ก็
สมถ..มีมาก่อน พุทธกาล หรือ?
อนิจจังทุกขัง..มีมาก่อน พุทธกาล หรือ?
อนัตตาปรากฏ..ในสมัยพุทธกาล หรือ?
บทความ นี้ ช่วยแตกความรู้
******การเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วามีอยู่แต่ในสมัยพุทธกาล นอกสมัยพุทธกาล ไม่อาจเกิดมีขึ้นได้นั้น
ถาจะกล่าวอย่างรวบรัดก็อาจกล่าวได้ว่า เพราะการ เจริญวิปัสสนากรรมฐานั้น ต้องมีรูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์
และรูปนามขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นปรมัตถสภาวะนั้น
ย่อมมีพระไตรลักษณ์ปรากฏอยู่ เมื่อใช้สติกำหนด รูปนามอยู่อย่างไม่ขาดสายแล้ว พระไตรลักษณ์ ก็ย่อมจะปรากฏ แต่อย่างไร ก็ดี พระไตรลักษณ์ที่จะเป็นอารมณืของวิปัสสนากรรมฐานได้นั้น
จะต้อง เกิดจากสัพพัญญุตฌาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ นอกจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะสามารถนำมาสั่งสอนได้ เว้นแต่จะได้ ฟังคำสั่งสอนมาจากพระพุทธองค์ก่อน ดังปรากฏหลักฐานในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาว่า
อนฺตลกฺขณํ ปญฺญาปนสฺส อญฺญสฺส กสฺสจิ อวิสโย สพฺพญฺญุพุทฺธานเมว วิสโย เอวเมตํ อนตฺตลกฺขณํ อปากฏฺํ ตสฺมา สตฺถา อนฺตตลกฺขณํ ทสฺเสนฺโต อนิจฺเจน วา ทสฺเสติ ทุกฺเขน วา อนิจฺจทุกเขหิ วา
ซึ่งแปลเป็นใจความว่า อนัตตลักขณะเป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระองค์เดียว ผู้อื่นไม่สามารถสอนได้ เพราะว่าอนัตตลักขณะนั้นสุขุม คัมภีรภาพยิ่งนัก ไม่อาจจะเห็นได้ชัดโดยง่าย ในการเทศนาของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงเทศนาอนิจจังทุกขังก่อน แล้วจังเทศนาอนัตตา ต่อภายหลัง
ดังมีเรื่องกล่าวว่า สมัยนอกพุทธกาล มีพระดาบสองค์หนึ่ง นามว่า สรภังคดาบส ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่เสวยพระชาติ เป็นพระบรมโพธิสัตว์กำลังสร้างพระบารมีอยู่นั้นเอง ได้ทรงสอนให้สัตว์ ทั้งหลายรู้จักอนิจจังและทุกขัง ส่วนอนัตตานั้นไม่สามารถจะสอนได้ และแท้จริงอนิจจังทุกขังที่ท่านสรภังคดาบสสอนนั้นก็ไม่ใช่อนิจจังทุกขัง แท้ เป็นเพียงอนิจจังทุกขังเทียม เพราะอนิจจังทุกขังที่ท่านสรภังคดาบส สอนนั้น ถือสมมติบัญญัติเป็นอารมณ์ หาใช่ปรมัตถอารมณ์ไม่ เช่น ถ้วยโถโอชามแตกก็สอนว่าเป็นอนิจจัง หรือแม้ที่สุดเมื่อมีสัตว์หรือ บุคคลใดถึงแก่ความตาย ก็สอนว่าลักษณะเช่นนั้นแหละเป็นอนิจจัง ส่วนทุกขังนั้นก็เมื่อบุคคลใดได้รับความลำบาก มีการเจ็บป่วยหรือ ถูกภัยใดๆ เบียดเบียน ก็กล่าวว่านี้แหละเป็นทุกขัง ส่วนอนัตตานั้น ท่านไม่อาจสอนได้
นี้จะเห็นได้ว่า แม้แต่พระบรมโพธิสัตว์ ก่อนแต่การตรัสรู้ซึ่งสัพพัญญุตญาณนั้น ก็ไม่อาจจะสอนพระไตรลักษณ์ให้สมบูรณ์ได้ ถึงแม้การสอนเพียงอนิจจังทุกขัง ก็ถือสมมติบัญญัติเป็นอารมณ์หาใช่ปรมัตถอารมณ์ไม่ อนิจจังทุกขังดังกล่าว นั้นจึงยังหาใช่อารมณ์วิปัสสนากรรมฐานไม่ และการพิจารณาโดยถือสมมติ บัญญัติเป็นอารมณ์เช่นนั้น
ไม่อาจเป็นเหตุให้อนัตตาปรากฏเกิดขึ้นได้เลย
จึงไม่สามารถอน
สักกายทิฏฐิ
อันอุปมาเหมือนศรเสียบอยู่ที่อุระประเทศ ออกได้เลย อนัตตาลักขณะจะปรากฏเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพิจารณา อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะอันเกิดจากปรมัตถอารมณ์ และได้เห็น ลักษณะทั้งสองนั้นอย่างแจ่มชัดแล้ว เมื่อนั้นแหละอนัตตลักษณะ จึงจะปรากฏเกิดขึ้นได้
(จาก 'วิปัสสนาธุระ'
โดย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐานจริยะ
พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์
สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม
หน้า ๑๐๗ ถึง ๑๑๓)
source:
http://www.reocities.com/easydharma/dm005024.html
recheck related source from แหล่งปฐมภูมิ
.......................................
http://home.palapanyo.com/files/tpd/fco ... 770159.txt
p 74
009
... ..อนัตตลักษณะไม่ปรากฏ มืดมน ไม่แจ่มแจ้ง แทงตลอดได้โดย
006 ยาก แสดงได้โดยยาก ทำให้เข้าใจได้โดยยาก. แต่อนิจจลักษณะและ
007 ทุกขลักษณะ พระตถาคตทั้งหลายจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม
008 ย่อมปรากฏ. อนัตตลักษณะ เว้นจากการบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแล้วย่อม
009 ไม่ปรากฏ ย่อมปรากฏในพุทธุปเท่านั้น.
010 จริงอยู่ ดาบสและปริพาชกทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
011 แม้มีสรภังคศาสดาเป็นต้น ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่
012 สามารถจะกล่าวว่า อนัตตา ได้ แม้ถ้าพวกดาบสเป็นต้นเหล่านั้นพึงสามารถ
013 กล่าวคำว่า อนัตตา ในบริษัทที่ประชุมกันแล้ว บริษัทที่ประชุมกันก็จะพึง
014 แทงตลอดมรรคและผล เพราะการประกาศให้รู้อนัตตลักษณะไม่ใช่วิสัยของ
015 ใคร ๆ อื่น เป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น อนัตตลักษณะนี้จึง
016 ไม่ปรากฏแล้วด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระศาสดาเมื่อจะแสดงอนัตต-
017 ลักษณะจึงทรงแสดง โดยความไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง
018 โดยทั้งความไม่เที่ยงทั้งความเป็นทุกข์บ้าง แต่ในอายตนวิภังค์นี้ พึงทราบ