นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน TVI ทุกๆท่าน
วันนี้ผมมีเรื่องมาสอบถามอีกเช่นเคยครับ หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้
" The Most Important Thing Illuminated " (แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า)
ผมรู้สึกชื่นชอบหนังสือเล่มนี้มาก (แต่ยังอ่านไม่จบ เพราะอ่านควบคู่กับ The snow ball
และ คมปัญญา วอเร็น บัฟเฟต...T-T)
ผมเจอประเด็นในบทที่ 3 " แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ...คุณค่า "
ในเนื้อหาของบทนี้ได้แบ่งนักลงทุนแบบเน้นปัจจัยพื้นฐานไว้ 2 จำพวก
คือ 1) นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า และ 2) นักลงทุนแบบเน้นการเติบโต
ผมอยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ ในเรื่องเกี่ยวกับ
นักลงทุนแบบที่ 2 คือเน้นการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ โพส
เว็ปไซด์ อะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวนักลงทุนสไตล์นี้ เพราะผมเริ่มมาสังเกตุเห็นตัวเองว่า
ผมศึกษาแต่สไตล์ที่ 1 แบบเดียว คือ ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ
ในสไตล์ที่ 2 คือ ซื้อที่ราคาที่เหมาะสม จึงอยากให้ทุกๆท่านช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
ขอบพระคุณมากๆครับ....^^)
ปล. ถ้าเป็นหนังสือแปลไทยแล้วจะดีมากเลยครับ เพราะภาษาอังกฤษปมไม่แข็งแรง...T-T)
วันนี้ผมมีเรื่องมาสอบถามอีกเช่นเคยครับ หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้
" The Most Important Thing Illuminated " (แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า)
ผมรู้สึกชื่นชอบหนังสือเล่มนี้มาก (แต่ยังอ่านไม่จบ เพราะอ่านควบคู่กับ The snow ball
และ คมปัญญา วอเร็น บัฟเฟต...T-T)
ผมเจอประเด็นในบทที่ 3 " แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ...คุณค่า "
ในเนื้อหาของบทนี้ได้แบ่งนักลงทุนแบบเน้นปัจจัยพื้นฐานไว้ 2 จำพวก
คือ 1) นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า และ 2) นักลงทุนแบบเน้นการเติบโต
ผมอยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ ในเรื่องเกี่ยวกับ
นักลงทุนแบบที่ 2 คือเน้นการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ โพส
เว็ปไซด์ อะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวนักลงทุนสไตล์นี้ เพราะผมเริ่มมาสังเกตุเห็นตัวเองว่า
ผมศึกษาแต่สไตล์ที่ 1 แบบเดียว คือ ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ
ในสไตล์ที่ 2 คือ ซื้อที่ราคาที่เหมาะสม จึงอยากให้ทุกๆท่านช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
ขอบพระคุณมากๆครับ....^^)
ปล. ถ้าเป็นหนังสือแปลไทยแล้วจะดีมากเลยครับ เพราะภาษาอังกฤษปมไม่แข็งแรง...T-T)
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 2
แนะนำกระทู้นี้ครับคุณ plant
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57526
อ. Imerlot ค่อย ๆ ไล่ไปตั้งแต่ เบสิก จนถึง 4 จตุรเทพ
และทรานซิชันเฟสของบัฟเฟตต์จาก หุ้นแบบแกรม ไปจนถึงปัจจุบัน
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57526
อ. Imerlot ค่อย ๆ ไล่ไปตั้งแต่ เบสิก จนถึง 4 จตุรเทพ
และทรานซิชันเฟสของบัฟเฟตต์จาก หุ้นแบบแกรม ไปจนถึงปัจจุบัน
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 4
หุ้นเติบโต คือหุ้นที่มีคุณค่าในอนาคตครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 5
newbie_12 เขียน:ผมว่าหุ้นเติบโตมันก็เป็นหุ้นเน้นคุณค่าเหมือนกันนะครับ
ผมลอกคำตอบละกันtwentyfour เขียน:หุ้นเติบโต คือหุ้นที่มีคุณค่าในอนาคตครับ
การเติบโตก็คือคุณค่าอย่างนึงเช่นกัน
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณ คุณ"Nevercry.boy" ที่แนะนำกระทู้ให้ครับ แล้วก็ต้องขอบคุณ คุณ"Imerlot"Nevercry.boy เขียน:แนะนำกระทู้นี้ครับคุณ plant
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57526
อ. Imerlot ค่อย ๆ ไล่ไปตั้งแต่ เบสิก จนถึง 4 จตุรเทพ
และทรานซิชันเฟสของบัฟเฟตต์จาก หุ้นแบบแกรม ไปจนถึงปัจจุบัน
ที่ได้เขียนกระทู้นี้ไว้ด้วยครับ เดี๋ยวผมจะไปไล่อ่านให้ครบทุกหน้าครับ
(แต่ต้องหาเวลาซักหน่อย ช่วงนี้งานรัดตัว..T-T)
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณ คุณ "newbie_12" , "twentyfour" , "ลูกอิสาน" , "ลูกหิน" มากๆครับ...^^)
หลังจากกลับไปอ่านบทนั้นอีกครั้งทำให้เข้าใจประเด็นที่ทุกคนบอกมามากขึ้นครับ
การลงทุนแบบเน้นคุณค่ากับเน้นการเติบโต เป็นของคู่กันไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
เพราะการที่เราซื้อเพราะราคามันถูกกว่ามูลค่าที่ประเมินได้ ก็ต้องมองถึงการเติบโต
ของหุ้นตัวนั้นในอนาคตด้วย ไม่ได้เพียงแต่ว่าถูกแล้วซื้ออย่างเดียว
ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งครับ...^^)
หลังจากกลับไปอ่านบทนั้นอีกครั้งทำให้เข้าใจประเด็นที่ทุกคนบอกมามากขึ้นครับ
การลงทุนแบบเน้นคุณค่ากับเน้นการเติบโต เป็นของคู่กันไม่ได้มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
เพราะการที่เราซื้อเพราะราคามันถูกกว่ามูลค่าที่ประเมินได้ ก็ต้องมองถึงการเติบโต
ของหุ้นตัวนั้นในอนาคตด้วย ไม่ได้เพียงแต่ว่าถูกแล้วซื้ออย่างเดียว
ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 9
ความเห็นผมเพิ่มเติมคือ หุ้นเติบโตที่จะมีคุณค่าสูงนั้น ควรเป็นหุ้นเติบโตแข็งแกร่งเหนือคู่แข่งขันอื่น ๆในปัจจุบัน และยิ่งโตยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากจนก้าวไปไกลกว่าที่คู่แข่งขันอื่นจะตามทัน และยังสามารถเติบใหญ่เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ยังเล็กอยู่โดยยังเติบโตได้ยาวนานอีกมากพอควรหรือโดอย่างยั่งยืน เพราะหากโตสั้นไป อาจถูกจัดกลุ่มอยู่ในหุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัวสั้น ๆ ได้ครับ อาจไม่ใช่หุ้นเติบโตก็ได้ครับลูกอิสาน เขียน:newbie_12 เขียน:ผมว่าหุ้นเติบโตมันก็เป็นหุ้นเน้นคุณค่าเหมือนกันนะครับผมลอกคำตอบละกันtwentyfour เขียน:หุ้นเติบโต คือหุ้นที่มีคุณค่าในอนาคตครับ
การเติบโตก็คือคุณค่าอย่างนึงเช่นกัน
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 11
ยังไม่ได้บอก คุณ plant นักลงทุนที่่เน้นการลงทุนแบบ growth stock ที่เราควรถือเป็นแม่แบบลงทุนเป็นใคร และมีสไตล์การลงทุนอย่างไรPlant เขียน:สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน TVI ทุกๆท่าน
วันนี้ผมมีเรื่องมาสอบถามอีกเช่นเคยครับ หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้
" The Most Important Thing Illuminated " (แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า)
ผมรู้สึกชื่นชอบหนังสือเล่มนี้มาก (แต่ยังอ่านไม่จบ เพราะอ่านควบคู่กับ The snow ball
และ คมปัญญา วอเร็น บัฟเฟต...T-T)
ผมเจอประเด็นในบทที่ 3 " แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ...คุณค่า "
ในเนื้อหาของบทนี้ได้แบ่งนักลงทุนแบบเน้นปัจจัยพื้นฐานไว้ 2 จำพวก
คือ 1) นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า และ 2) นักลงทุนแบบเน้นการเติบโต
ผมอยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ ในเรื่องเกี่ยวกับ
นักลงทุนแบบที่ 2 คือเน้นการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ โพส
เว็ปไซด์ อะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวนักลงทุนสไตล์นี้ เพราะผมเริ่มมาสังเกตุเห็นตัวเองว่า
ผมศึกษาแต่สไตล์ที่ 1 แบบเดียว คือ ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ
ในสไตล์ที่ 2 คือ ซื้อที่ราคาที่เหมาะสม จึงอยากให้ทุกๆท่านช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
ขอบพระคุณมากๆครับ....^^)
ปล. ถ้าเป็นหนังสือแปลไทยแล้วจะดีมากเลยครับ เพราะภาษาอังกฤษปมไม่แข็งแรง...T-T)
ผมแนะนำ 1 ในนั้นที่ควรไปหาหนังสือของผู้แต่งคนนี้มาอ่านเพิ่มเติม แม้แต่ ลุง warren bufett ยังแนะนำเลยครับ
เขาคือ ฟิลิปส์ ฟิชเชอร์ ปรมาจารย์นักลงทุนแนวนี้เลยครับ
ลองอ่านวิธีการลงทุนสรุปแนวคิดคร่าว ๆ ดูก่อนครับ
http://www.stockopedia.com/content/phil ... ing-69030/
Investment Strategy
In the 1929 stockmarket crash, Fisher lost money on his investments after buying stocks that looked cheap on a price/earnings basis. He went on to rely less on the P/E as a measure of value and focused more closely on growth factors. His own preference was for manufacturing companies, a sector he understood, and he advised against diversifying too much, with a limit of 20 stocks in a portfolio. Rather than looking for undervalued stocks, Fisher would seek out much higher returns from those companies that he believed could outperform the market in terms of growth in sales and profits over the long term. He was particularly interested in firms that had a competitive advantage as a means of delivering consistent sales growth.
Naturally he was wary of stocks that pay dividends, preferring cash to be recycled in order to fund growth. His attention to the integrity of management was a major factor in this respect because he had to be sure that excess cash would not be wasted on poor decisions and needless empire building by profligate executives.
In Common Stocks and Uncommon Profits Fisher lifted the lid on his blend of quant and qualitative analysis of stocks. In the preface to the latest edition, his son Ken explains:
“...this book teaches that if you figure out the right things to buy, selling becomes a lot less important because you can hold the stocks you own for longer. And what to buy derives directly from my father's fifteen points.”
The fifteen points that Philip Fisher went on to outline were linked to what he described as “scuttlebutt”, or the act of pulling together lots of sources of information about a company to establish a coherent and accurate view of it. You can see the detailed checklist here.
15 Points to Look for in a Common Stock
1. Does the company have products or services with sufficient market potential to make possible a sizeable increase in sales for at least several years?
2. Does the management have a determination to continue to develop products or processes that will still further increase total sales potentials when the growth potentials of currently attractive product lines have largely been exploited?
3. How effective are the company's research and development efforts in relation to its size?
4. Does the company have an above-average sales organization?
5. Does the company have a worthwhile profit margin?
6. What is the company doing to maintain or improve profit margins?
7. Does the company have outstanding labor and personnel relations?
8. Does the company have outstanding executive relations?
9. Does the company have depth to its management?
10. How good are the company's cost analysis and accounting controls?
11. Are there other aspects of the business, somewhat peculiar to the industry involved, which will give the investor important clues as to how outstanding the company will be in relation to its competition?
12. Does the company have a short-range or long-range outlook in regard to profits?
13.In the foreseeable future, will the growth of the company require sufficient equity financing so that the larger number of shares then outstanding will largely cancel the existing stockholders' benefit from this anticipated growth?
14. Does the management talk freely to investors about its affairs when things are going well but "clam up" when troubles or disappointments occur?
15. Does the company have a management of unquestionable integrity?
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 12
ส่วนหนังสือภาษาไทยมีคนแปลไว้ 2 เล่ม ลองหาดูที่ se-ed ก็ได้ครับ
1. ชื่อหนังสือ. หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ (Common Stocks & Uncommon Profits) ; เขียนโดย. Philip A. Fisher ; แปลโดย. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ฟิลลิป ฟิชเชอร์ คือตำนานของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า แม้กระทั่ง วอเร็น บัฟเฟตต์ ยังยอมรับนำเอาหลักการของเขามาประยุกต์ใช้ในการลงทุน ดังนั้นหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญจึงเป็นหนังสือคลาสสิคที่นักลงทุนทุกคนควรจะต้องอ่านก่อนที่จะเริ่มลงทุน ฟิชเชอร์ได้เขียนหนังสือที่สำคัญๆ ไว้ทั้งหมด 4 เล่ม และหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเอาหนังสือที่สำคัญของเขาถึง 3 เล่มเข้าไว้ด้วยกัน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
2. ชื่อ. เส้นทางสู่ความมั่งคั่งด้วยสามัญ (Paths to Wealth through Common Stocks) ; เขียนโดย. Philip A. Fisher ; แปลโดย. ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ หนังสือเล่มนี้ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ได้ขยายความเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มก่อน ด้วยการอธิบายถึงการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเขาแล้ว นอกจากนั้นเขายังได้อธิบายถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ และเหตุปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นนั้นสูงขึ้น
1. ชื่อหนังสือ. หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ (Common Stocks & Uncommon Profits) ; เขียนโดย. Philip A. Fisher ; แปลโดย. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ฟิลลิป ฟิชเชอร์ คือตำนานของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า แม้กระทั่ง วอเร็น บัฟเฟตต์ ยังยอมรับนำเอาหลักการของเขามาประยุกต์ใช้ในการลงทุน ดังนั้นหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญจึงเป็นหนังสือคลาสสิคที่นักลงทุนทุกคนควรจะต้องอ่านก่อนที่จะเริ่มลงทุน ฟิชเชอร์ได้เขียนหนังสือที่สำคัญๆ ไว้ทั้งหมด 4 เล่ม และหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเอาหนังสือที่สำคัญของเขาถึง 3 เล่มเข้าไว้ด้วยกัน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
2. ชื่อ. เส้นทางสู่ความมั่งคั่งด้วยสามัญ (Paths to Wealth through Common Stocks) ; เขียนโดย. Philip A. Fisher ; แปลโดย. ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ หนังสือเล่มนี้ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ได้ขยายความเกี่ยวกับการลงทุนเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มก่อน ด้วยการอธิบายถึงการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเขาแล้ว นอกจากนั้นเขายังได้อธิบายถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ และเหตุปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นนั้นสูงขึ้น
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 13
ฟังเพลงนี้ล่ะกัน
ศรัทธา (Acoustique Version) : หิน เหล็ก ไฟ [Official MV]
http://www.youtube.com/watch?v=8bPPWSTW4u4
ความคิดของผม ถ้านักลงทุนที่เน้นการเติบโต
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ศรัทธาในสิ่งที่เราคิด แต่อย่างไรเสีย ต้องรับฟังเสียงของจิ้งจกทักด้วย
เพราะการทักนั้นเป็นสิ่งที่ดี ในมุมมองที่เราไม่ได้มอง หรือ มองไม่ถึง หรือ นึกไม่ถึง
ส่วนศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆๆ ถ้าไม่มีศรัทธาแล้ว "....โอกาสของผู้กล้า มันไม่มี..."
แค่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เพียบเล็กน้อย คนที่มีศรัทธาว่า มันคือโอกาสที่ทำได้ เขาก็ไขว้คว้าไว้
ถ้าไม่มีความเชื่อในสิ่งที่เราทำได้ไซร้ มันคือแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ต่อย
ศรัทธา (Acoustique Version) : หิน เหล็ก ไฟ [Official MV]
http://www.youtube.com/watch?v=8bPPWSTW4u4
ความคิดของผม ถ้านักลงทุนที่เน้นการเติบโต
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ศรัทธาในสิ่งที่เราคิด แต่อย่างไรเสีย ต้องรับฟังเสียงของจิ้งจกทักด้วย
เพราะการทักนั้นเป็นสิ่งที่ดี ในมุมมองที่เราไม่ได้มอง หรือ มองไม่ถึง หรือ นึกไม่ถึง
ส่วนศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆๆ ถ้าไม่มีศรัทธาแล้ว "....โอกาสของผู้กล้า มันไม่มี..."
แค่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เพียบเล็กน้อย คนที่มีศรัทธาว่า มันคือโอกาสที่ทำได้ เขาก็ไขว้คว้าไว้
ถ้าไม่มีความเชื่อในสิ่งที่เราทำได้ไซร้ มันคือแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ต่อย
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณ คุณ "chaitorn" มากๆครับ หนังสือของฟิลลิป ฟิชเชอร์เล่มแรก
ผมซื้อมาอ่านตั้งแต่ช่วงเริ่มศึกษาก่อนจะลงทุนหุ้นจริงๆเลยครับ เป็นหนังสือที่ดี
จริงๆครับ แต่บางคำผมอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย(ทั้งที่แปลมาแล้ว)
จึงไม่ได้คิดจะอ่านเล่ม 2 ต่อ แต่เมื่อคุณ "chaitorn" แนะนำมาแบบนี้ต้องไปซื้อ
มาใส่ใน list หนังสือที่ต้องอ่านเพิ่มซะแล้วละครับ...^^)
ผมซื้อมาอ่านตั้งแต่ช่วงเริ่มศึกษาก่อนจะลงทุนหุ้นจริงๆเลยครับ เป็นหนังสือที่ดี
จริงๆครับ แต่บางคำผมอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย(ทั้งที่แปลมาแล้ว)
จึงไม่ได้คิดจะอ่านเล่ม 2 ต่อ แต่เมื่อคุณ "chaitorn" แนะนำมาแบบนี้ต้องไปซื้อ
มาใส่ใน list หนังสือที่ต้องอ่านเพิ่มซะแล้วละครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 16
เมื่อก่อนหน้านี้ผมก็เหมือนคุณ plant อ่านเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ มีโจทย์้เต็มไปหมด ฝืนความรู้สึกเรา คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว เป็นพวก active มาก สมาธิสั้นมั้ง 555Plant เขียน:ขอบคุณ คุณ "chaitorn" มากๆครับ หนังสือของฟิลลิป ฟิชเชอร์เล่มแรก
ผมซื้อมาอ่านตั้งแต่ช่วงเริ่มศึกษาก่อนจะลงทุนหุ้นจริงๆเลยครับ เป็นหนังสือที่ดี
จริงๆครับ แต่บางคำผมอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย(ทั้งที่แปลมาแล้ว)
จึงไม่ได้คิดจะอ่านเล่ม 2 ต่อ แต่เมื่อคุณ "chaitorn" แนะนำมาแบบนี้ต้องไปซื้อ
มาใส่ใน list หนังสือที่ต้องอ่านเพิ่มซะแล้วละครับ...^^)
แต่ เมื่อเราได้ลงทุนไปสักระยะ และลองเอาบทเรียนของอาจารย์ฟิลิป ฟิชเชอร์มาทบทวน
จะรู้ซึ้งถึงปรัชญาการลงทุนที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดนี้ที่ผ่านการคิดซ้ำ คิดอย่างถี่ถ้วนทุกแง่ทุกมุม จนตกผลึก
อ่านยาก ก็เอาบทความของพี่ NB มาอ่านก่อนก็ได้ครับ รับรองอ่านแล้วจะชวนให้ติดตามแนวคิดของอาจารย์ฟิลิป ฟิชเชอร์ได้ง่ายขึ้นครับ
http://nevercry-boy.blogspot.com/
หนังสือของอาจารย์ ฟิลิปช์ ฟิชเชอร์ อ่านยากกว่าของ ปีเตอร์ ลินซ์ ก็จริง แต่อย่างว่า ยายิ่งขมมาก ยิ่งมีประโยชน์มาก และต้องอ่านไป คิดไป ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะเกิดความเข้าใจดีขึ้นครับ เพราะสะท้อนให้เห็นปรัชญาบอกถึงการใช้ชีวิต การตัดสินใจคิด การลงมือปฏิบัติ ความมีวินัยที่สู้กับนายตลาดในทุกภาวะตามแนวคิดการลงทุนของอาจารย์ที่ทำอย่างถูกต้อง และกล้าท้าทายแนวคิดนี้จนสามารถลงทุนระยะยาวได้ผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนานถึงขนาดที่เสียชีวิตไป ท่านก็ยังมีหุ้นที่ท่านลงทุนระยะยาวมากอยู่ใน port เพื่อส่งต่อให้กับทายาทต่อไปครับครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- Samkok
- Verified User
- โพสต์: 1880
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณ ผู้ตั้งกระทู้ คุณ Plant
ผมก็อ่านหนังสือของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยไขข้อสงสัยครับ เด๋วจะตามไปอ่านเช่นกันครับ
ผมก็อ่านหนังสือของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยไขข้อสงสัยครับ เด๋วจะตามไปอ่านเช่นกันครับ
ในโลกหล้านี้... มีเพียงหนึ่งเดียวที่ฟ้ามิอาจลิขิตได้นั่นก็คือ "ยอดคน"
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 18
สุดที่รักของผมคือ "ความผันผวน" เธอเป็นอาร์ตตัวแม่ ผมเอาใจเธอไม่ถูก เธออยู่กับผมและผมอยู่กับเธอ
เพื่อนซี้ของผมคือ "การลดลงของตัวเลขในพอร์ต" เค้ามักจะมาพร้อมกับ "โอกาส" ที่เพิ่มขึ้น มันมาทุกครั้งผมเซ็งมันทุกครั้ง แต่มันก็สัญญาว่ามันจะกลับมาอีกไอ้เพื่อนเอ๋ย
สัตว์เลี้ยงของผมคือ "หมีที่หมอบอยู่ในเด็น" และผมต้องเตรียมอาหารชั้นยอดไว้สำหรับมัน กินจุ กินทีพอร์ตแทบแหลกราญ แต่ก็นะเลี้ยงมันไว้ดูเล่น
และที่สำคัญกว่านั้นผมเป็นนักลงทุนที่ไร้เป้าหมาย มีอาจารย์ปลดล็อกให้เหมือนนักมวยที่ถอดมงคลออกจากศีรษะ และเข้าสู่ผืนผ้าใบ
เพื่อนซี้ของผมคือ "การลดลงของตัวเลขในพอร์ต" เค้ามักจะมาพร้อมกับ "โอกาส" ที่เพิ่มขึ้น มันมาทุกครั้งผมเซ็งมันทุกครั้ง แต่มันก็สัญญาว่ามันจะกลับมาอีกไอ้เพื่อนเอ๋ย
สัตว์เลี้ยงของผมคือ "หมีที่หมอบอยู่ในเด็น" และผมต้องเตรียมอาหารชั้นยอดไว้สำหรับมัน กินจุ กินทีพอร์ตแทบแหลกราญ แต่ก็นะเลี้ยงมันไว้ดูเล่น
และที่สำคัญกว่านั้นผมเป็นนักลงทุนที่ไร้เป้าหมาย มีอาจารย์ปลดล็อกให้เหมือนนักมวยที่ถอดมงคลออกจากศีรษะ และเข้าสู่ผืนผ้าใบ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 19
พอดีคุณ Plant กล่าวถึงหุ้นเติบโต และฟิชเชอร์
ดังนั้นมงคลหัวอันแรกที่ต้องปลดออกคือ ค่าพีอี
ค่า พีอี ไม่มีความหมายสำหรับ ฟิชเชอร์ พ่อลูก (และผม)
ฟิชเชอร์กล่าวว่า "การที่บริษัทเติบโตมีพีอีสูง ๆ ได้ เปรียบดั่งคนที่ยืนอยู่บนไม้ต่อขา ตราบใดที่เค้ามีความสามารถที่จะยืนอยู่ตรงนั้นได้ เค้าจะไม่มีวันลงมา"
เราอธิบายพีอีของ Amazon อย่างไร? ไร้คู่แข่งหรือแพงโคตร ๆ
แต่ถ้าวันใดก็ตามที่มีคู่แข่งซึมเข้าไปในตลาดอย่างมีนัยยะ หรือสูญเสีย "ความสามารถ" ไปเมื่อนั้นไม้ต่อขาก็จะสั้นลงมา หรือ หกคะเมน ลงมา
แต่ตราบใดที่วันนั้นไม่มาถึง เค้าก็ยังคงยืนเด่นสง่า อยู่อย่างนั้น
และสำหรับบางคนที่มีความสามารถในการยืนเด่นสง่าอยู่อย่างนั้นได้ เค้าต้องเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
สำหรับ ฟิชเชอร์ คนลูก เคยทำงานวิจัยเขียนไว้ในหนังสือของเค้าว่า พีอี ไม่มีความสัมพันธ์กับราคาหุ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ลองหาอ่านดูนะ
The only 3 questions that count และ Debunkery
ดังนั้นมงคลหัวอันแรกที่ต้องปลดออกคือ ค่าพีอี
ค่า พีอี ไม่มีความหมายสำหรับ ฟิชเชอร์ พ่อลูก (และผม)
ฟิชเชอร์กล่าวว่า "การที่บริษัทเติบโตมีพีอีสูง ๆ ได้ เปรียบดั่งคนที่ยืนอยู่บนไม้ต่อขา ตราบใดที่เค้ามีความสามารถที่จะยืนอยู่ตรงนั้นได้ เค้าจะไม่มีวันลงมา"
เราอธิบายพีอีของ Amazon อย่างไร? ไร้คู่แข่งหรือแพงโคตร ๆ
แต่ถ้าวันใดก็ตามที่มีคู่แข่งซึมเข้าไปในตลาดอย่างมีนัยยะ หรือสูญเสีย "ความสามารถ" ไปเมื่อนั้นไม้ต่อขาก็จะสั้นลงมา หรือ หกคะเมน ลงมา
แต่ตราบใดที่วันนั้นไม่มาถึง เค้าก็ยังคงยืนเด่นสง่า อยู่อย่างนั้น
และสำหรับบางคนที่มีความสามารถในการยืนเด่นสง่าอยู่อย่างนั้นได้ เค้าต้องเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
สำหรับ ฟิชเชอร์ คนลูก เคยทำงานวิจัยเขียนไว้ในหนังสือของเค้าว่า พีอี ไม่มีความสัมพันธ์กับราคาหุ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ลองหาอ่านดูนะ
The only 3 questions that count และ Debunkery
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 20
ประเด็นนี้ผมต้องเขียนด้วยความระมัดระวัง และเตือนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาวุธนั้นมีหลายประเภท
อย่าเข้าใจผิดว่า ผมพูดว่า "ค่าพีอี" เป็นของไม่ดี ไม่ใช่ อย่ามา debate กับผมประเด็นนี้นะ ผมเลิกเลย
ผมหมายความว่า พีอี เป็นอาวุธ อันหนึ่ง แต่ผม "เลือก" ที่จะหยิบ อาวุธอันอื่น
เวลาออกรบต้องหยิบอาวุธที่เราคุ้นมือ นั่นคือหัวใจของผม
อย่าเข้าใจผิดว่า ผมพูดว่า "ค่าพีอี" เป็นของไม่ดี ไม่ใช่ อย่ามา debate กับผมประเด็นนี้นะ ผมเลิกเลย
ผมหมายความว่า พีอี เป็นอาวุธ อันหนึ่ง แต่ผม "เลือก" ที่จะหยิบ อาวุธอันอื่น
เวลาออกรบต้องหยิบอาวุธที่เราคุ้นมือ นั่นคือหัวใจของผม
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณ คุณ "chaitorn" มีบล็อคของคุณ "Nevercry.boy" ด้วย
ต้องตามไปแอบเก็บความรู้เพิ่มเติมแล้วละครับ...^^)
หนังสือนี่ผมหยิบมาอ่านหลายรอบเหมือนกันครับ แต่ในแต่ละครั้งที่อ่านไม่เคย
อ่านจบเล่มเลย(ไม่รู้ทำไม...-_-??) คงต้องกลับไปอ่านแบบจริงจังควบคู่กับเล่ม2
แล้วหละครับคราวนี้...^^)
ต้องตามไปแอบเก็บความรู้เพิ่มเติมแล้วละครับ...^^)
หนังสือนี่ผมหยิบมาอ่านหลายรอบเหมือนกันครับ แต่ในแต่ละครั้งที่อ่านไม่เคย
อ่านจบเล่มเลย(ไม่รู้ทำไม...-_-??) คงต้องกลับไปอ่านแบบจริงจังควบคู่กับเล่ม2
แล้วหละครับคราวนี้...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณ คุณ "Nevercry.boy" มากๆเลยครับ
เรื่องของ PE เป็นประเด็นที่ยังติดค้างอยู่ในหัวผมเช่นกันครับ
ผมเคยประเมินวิธีหามูลค่าจากหลายๆวิธีที่เคยได้เรียนรู้มาแล้ว
ได้ข้อสรุปว่า วิธี PE เป็นวิธีที่สมเหตุสมผล ใช้ง่าย และสร้างผลตอบแทนได้
ตรงตามที่ผมต้องการมากที่สุด แต่ผมก็ยังมีความคิดว่า "มันยังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด"
สำหรับตัวผมครับ เป็นดังที่ คุณ"Nevercry.boy" บอกครับ ในตอนนี้ผมเพียงแต่
ใช้อาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้เท่านั้น ซึ่งเวลานี้ทำให้รู้ว่ายังมีอีกหลายอย่าง
ที่เราต้องไปศึกษาเพิ่มเติม เพื่อค้นหาอาวุธใหม่ๆ มาเก็บไว้ในคลัง เพื่อจะได้นำมาใช้
ในช่วงเวลา และสถานการณ์ที่เหมาะสมครับ...^^)
ปล. หนทางยังอีกยาวไกล แต่มันเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว หุหุ...^^)
เรื่องของ PE เป็นประเด็นที่ยังติดค้างอยู่ในหัวผมเช่นกันครับ
ผมเคยประเมินวิธีหามูลค่าจากหลายๆวิธีที่เคยได้เรียนรู้มาแล้ว
ได้ข้อสรุปว่า วิธี PE เป็นวิธีที่สมเหตุสมผล ใช้ง่าย และสร้างผลตอบแทนได้
ตรงตามที่ผมต้องการมากที่สุด แต่ผมก็ยังมีความคิดว่า "มันยังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด"
สำหรับตัวผมครับ เป็นดังที่ คุณ"Nevercry.boy" บอกครับ ในตอนนี้ผมเพียงแต่
ใช้อาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้เท่านั้น ซึ่งเวลานี้ทำให้รู้ว่ายังมีอีกหลายอย่าง
ที่เราต้องไปศึกษาเพิ่มเติม เพื่อค้นหาอาวุธใหม่ๆ มาเก็บไว้ในคลัง เพื่อจะได้นำมาใช้
ในช่วงเวลา และสถานการณ์ที่เหมาะสมครับ...^^)
ปล. หนทางยังอีกยาวไกล แต่มันเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว หุหุ...^^)
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 25
ขอบพระคุณคุณแพลนท์อย่างสูงครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 28
P/E มีหลายความหมายจริง ๆ ครับ ขึ้นกับสมมุติฐานในการคิด
P/E ในอดีต อาจไม่มีความหมายเลย หาก E ในอนาคตมันลดลงเรื่อย ๆ ท้ายสุด P/E ที่ต่ำในอดีตนั้น อาจจะสูงมากขึ้นในอนาคตหากใช้ราคาปัจจุบันมาคิด กล่าวคือเราซื้อมาราคาถูกมากเทียบกับมูลค่าหุ้นปัจจุบันในวันนี้ อาจจะมีราคาแพงมากในอนาคตเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นที่แท้จริงในอนาคต
ตัวอย่างหุ้นวัฏจักร หรือหุ้น Asset play ทั้งหลายที่ลุงบัฟเฟท ก็เจอมากับตัวคือหุ้น เบริกไชส์ ในอดีตที่ทำสิ่งทอนั้นเอง เพราะที่เราไปซื้อตอน P/E ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นปัจจุบัน เช่น 2-3 เท่า พอ E มันลดลงมามากในอนาคต ราคาที่เราซื้อมาในอดีตจะแพงมโหฬารเลยเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้น
ทำให้ราคาหุ่นในอนาคตต้องปรับลดลงมามากตาม E ที่ลดลงนั้นเองตามหลาย ๆ Case ของกลุ่ม Commodity ที่เราเห็น ๆ ครับ กลุ่มพวกนี้จึงต้องรอรอบใหม่ที่ E จะปรับตัวสูงขึ้นใหม่ในอนาคต
ในทำนองเดียวกัน การซื้อหุ้นที่ P/E ที่สูงในวันนี้ ที่เราซื้อมาตอน P/E สูงแล้วเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้น แต่พอ E มันลดลง ไม่สูงขึ้นมากตามที่คาดหวังไว้ จน Earning ในปีถัด ๆ มา มีกำไรน้อยลงมาก หรือจนขาดทุนไปเลย P/E ในอนาคตของหุ้นที่เราซื้อมาปัจจุบันนั้นก็อาจจะยิ่งสูงมากยิ่งขึ้นจนน่ากลัวมาก ๆ ในอนาคตเพราะมูลค่าในอนาคตลดลงนั้นเอง
ตัวอย่างหุ้น Turnaround ทั้งหลายนั้นเอง ซึ่งมีหลายตัวต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้าง ปรับได้ก็รอด ปรับไม่ได้ก็ต้องยุบเลิกไปในที่สุดจำนวนมาก
ข้อสรุปคือ เราต้องเข้าใจความถูกแพงของหุ้น โดยดูจาก ราคาหุ้น เทียบกับ มูลค่าหุ้นที่แท้จริง
ราคาหุ้นนั้น นายตลาดทำหน้าที่ตามอารมณ์ทุกวัน เป็นหน้าที่ของเขา
แต่หน้าที่นักลงทุนคือต้องหา E ในอนาคตให้เจอ เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นให้ได้
การลงทุน Growth stock ที่สำคัญจึงอยู่ที่การหา Growth ของ Earning ในอนาคตให้เจอให้ได้ จึงอาจไม่สามารถใช้ P/E ในอดีตถึงปัจจุบันมาประเมินความถูกแพงได้โดยตรงนั้นเอง
สรุป Earning ในอนาคตจึงสำคัญสุด และควรเป็น Earning ที่มีคุณภาพ เติบโตสม่ำเสมอต่อเนื่องหลายปี จากเล็กไปใหญ่ให้ได้ด้วย
P/E ในอดีต อาจไม่มีความหมายเลย หาก E ในอนาคตมันลดลงเรื่อย ๆ ท้ายสุด P/E ที่ต่ำในอดีตนั้น อาจจะสูงมากขึ้นในอนาคตหากใช้ราคาปัจจุบันมาคิด กล่าวคือเราซื้อมาราคาถูกมากเทียบกับมูลค่าหุ้นปัจจุบันในวันนี้ อาจจะมีราคาแพงมากในอนาคตเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นที่แท้จริงในอนาคต
ตัวอย่างหุ้นวัฏจักร หรือหุ้น Asset play ทั้งหลายที่ลุงบัฟเฟท ก็เจอมากับตัวคือหุ้น เบริกไชส์ ในอดีตที่ทำสิ่งทอนั้นเอง เพราะที่เราไปซื้อตอน P/E ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นปัจจุบัน เช่น 2-3 เท่า พอ E มันลดลงมามากในอนาคต ราคาที่เราซื้อมาในอดีตจะแพงมโหฬารเลยเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้น
ทำให้ราคาหุ่นในอนาคตต้องปรับลดลงมามากตาม E ที่ลดลงนั้นเองตามหลาย ๆ Case ของกลุ่ม Commodity ที่เราเห็น ๆ ครับ กลุ่มพวกนี้จึงต้องรอรอบใหม่ที่ E จะปรับตัวสูงขึ้นใหม่ในอนาคต
ในทำนองเดียวกัน การซื้อหุ้นที่ P/E ที่สูงในวันนี้ ที่เราซื้อมาตอน P/E สูงแล้วเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้น แต่พอ E มันลดลง ไม่สูงขึ้นมากตามที่คาดหวังไว้ จน Earning ในปีถัด ๆ มา มีกำไรน้อยลงมาก หรือจนขาดทุนไปเลย P/E ในอนาคตของหุ้นที่เราซื้อมาปัจจุบันนั้นก็อาจจะยิ่งสูงมากยิ่งขึ้นจนน่ากลัวมาก ๆ ในอนาคตเพราะมูลค่าในอนาคตลดลงนั้นเอง
ตัวอย่างหุ้น Turnaround ทั้งหลายนั้นเอง ซึ่งมีหลายตัวต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้าง ปรับได้ก็รอด ปรับไม่ได้ก็ต้องยุบเลิกไปในที่สุดจำนวนมาก
ข้อสรุปคือ เราต้องเข้าใจความถูกแพงของหุ้น โดยดูจาก ราคาหุ้น เทียบกับ มูลค่าหุ้นที่แท้จริง
ราคาหุ้นนั้น นายตลาดทำหน้าที่ตามอารมณ์ทุกวัน เป็นหน้าที่ของเขา
แต่หน้าที่นักลงทุนคือต้องหา E ในอนาคตให้เจอ เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นให้ได้
การลงทุน Growth stock ที่สำคัญจึงอยู่ที่การหา Growth ของ Earning ในอนาคตให้เจอให้ได้ จึงอาจไม่สามารถใช้ P/E ในอดีตถึงปัจจุบันมาประเมินความถูกแพงได้โดยตรงนั้นเอง
สรุป Earning ในอนาคตจึงสำคัญสุด และควรเป็น Earning ที่มีคุณภาพ เติบโตสม่ำเสมอต่อเนื่องหลายปี จากเล็กไปใหญ่ให้ได้ด้วย
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 29
E ไม่ขึ้นกับสภาวะตลาดหุ้น แต่ขึ้นกับผลการดำเนินงานของกิจการ (ไม่นับบริษัทหลักทรัพย์นะครับ) ทำให้พอจะคาดการณ์ได้แม่นยำระดับหนึ่งถ้าเข้าใจธุรกิจมากพอ
ส่วน P ขึ้นกับสภาวะตลาดหุ้น โดยเฉพาะในระยะสั้น ทำให้การคาดการณ์ทำได้ยากกว่า เช่น ในช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาท/วัน กับช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 5 หมื่นล้านบาท/วัน ค่า P/E ที่ตลาดยินดีจ่ายย่อมต่างกัน หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกซบเซากับช่วงที่บูม
อีกอย่างของ P ที่ผมสังเกตได้ คือ ถ้าหุ้นตัวไหนที่กำไรโตขึ้นโดยเปลี่ยนจากโตแบบเส้นตรงเป็นโตแบบอัตราเร่ง เช่น จากโตปีละเฉลี่ย 10% กลายเป็นโต 20% ตลาดจะยอมจ่ายแพงขึ้น (ให้ P/E สูงขึ้นกว่าเดิม)
ส่วน P ขึ้นกับสภาวะตลาดหุ้น โดยเฉพาะในระยะสั้น ทำให้การคาดการณ์ทำได้ยากกว่า เช่น ในช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาท/วัน กับช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 5 หมื่นล้านบาท/วัน ค่า P/E ที่ตลาดยินดีจ่ายย่อมต่างกัน หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกซบเซากับช่วงที่บูม
อีกอย่างของ P ที่ผมสังเกตได้ คือ ถ้าหุ้นตัวไหนที่กำไรโตขึ้นโดยเปลี่ยนจากโตแบบเส้นตรงเป็นโตแบบอัตราเร่ง เช่น จากโตปีละเฉลี่ย 10% กลายเป็นโต 20% ตลาดจะยอมจ่ายแพงขึ้น (ให้ P/E สูงขึ้นกว่าเดิม)
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......
โพสต์ที่ 30
เป็นความเห็นที่น่าสนใจมากเลยครับ ขอบคุณ K. ดำด้วยครับดำ เขียน:E ไม่ขึ้นกับสภาวะตลาดหุ้น แต่ขึ้นกับผลการดำเนินงานของกิจการ (ไม่นับบริษัทหลักทรัพย์นะครับ) ทำให้พอจะคาดการณ์ได้แม่นยำระดับหนึ่งถ้าเข้าใจธุรกิจมากพอ
ส่วน P ขึ้นกับสภาวะตลาดหุ้น โดยเฉพาะในระยะสั้น ทำให้การคาดการณ์ทำได้ยากกว่า เช่น ในช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาท/วัน กับช่วงที่ปริมาณซื้อขายเฉลี่ย 5 หมื่นล้านบาท/วัน ค่า P/E ที่ตลาดยินดีจ่ายย่อมต่างกัน หรือในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกซบเซากับช่วงที่บูม
อีกอย่างของ P ที่ผมสังเกตได้ คือ ถ้าหุ้นตัวไหนที่กำไรโตขึ้นโดยเปลี่ยนจากโตแบบเส้นตรงเป็นโตแบบอัตราเร่ง เช่น จากโตปีละเฉลี่ย 10% กลายเป็นโต 20% ตลาดจะยอมจ่ายแพงขึ้น (ให้ P/E สูงขึ้นกว่าเดิม)
ขอบคุณ ภาพไอน์สไตน์ ของคุณ Plant ที่สะท้อนความคิดของเราในเรื่อง EGO มาก ๆ ครับ ทำให้เราได้เรียนรู้ตนเองเป็นอย่างดีมาก ๆ
ยิ่งหาความรู้มาก ๆ เราจะรู้สึกว่า แก้วน้ำที่เราคิดว่ามีความรู้เยอะ ทำให้มั่นใจในตนเองมากจนไม่ฟังความเห็นอื่น ๆ นั้น แต่แท้จริง เรายังมีที่ว่างให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น ได้พัฒนามากขึ้น ได้รับประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น
การมีกัลยาณมิตรที่ดีในที่แห่งนี้ ที่ช่วยเตือน ช่วยกัน Share ความรู้ ด้วยความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนสนิท เป็นอาจารย์ผู้รู้การลงทุนและให้แนวคิดการใช้ชีวิตในเวปแห่งนี้ ช่างเป็นความสุขสำหรับคนที่แสวงหาแนวร่วม แนวคิด การลงทุนที่หลากหลายของกลุ่ม Value Investor จริง ๆ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger