นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 31

โพสต์

ดำ เขียน:อีกอย่างของ P ที่ผมสังเกตได้ คือ ถ้าหุ้นตัวไหนที่กำไรโตขึ้นโดยเปลี่ยนจากโตแบบเส้นตรงเป็นโตแบบอัตราเร่ง เช่น จากโตปีละเฉลี่ย 10% กลายเป็นโต 20% ตลาดจะยอมจ่ายแพงขึ้น (ให้ P/E สูงขึ้นกว่าเดิม)
คิดอีกที มันก็คือ PEG นั่นเองแหละครับ
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ขอบคุณทุกๆท่าน และขอบคุณ คุณ "ดำ" มากๆครับ
เรื่อง PEG เมื่อก่อนผมเคยคิดว่ามันเป็นตัวเลขประมานการ และคาดเดา
แบบเข้าข้างตัวเอง ที่จะให้ E มันโตๆไปเรื่อยๆในอนาคตแล้วก็นำกลับมาหาเป็น
มูลค่าของหุ้นในปัจจุบัน

แต่หลังจากได้เริ่มทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนแบบเน้นเติบโต + เข้าไปอ่านบล็อค
ของคุณ "Nevercry.boy" เกี่ยวกับแนวทางการลงทุนของ อ.ฟิชเชอร์ แล้ว
ทำให้เริ่มมองเห็นว่า จริงๆแล้ววิธี PEG ไม่ได้ผิด แต่คนที่นำ E ไปใช้โดยให้ Growth
ของ E มันเว่อร์ๆ มากเกินไป จึงทำให้ P มันเป็นอะไรที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงต่างหาก
ที่นำไปใช้ผิด ดังนั้น วิธีการที่เราจะเข้าไปหา E ที่มัน Growth ได้แบบเหมาะสมมาใส่
ในสูตรคำนวน หนึ่งในนั้นคือแนวทางของ อ.ฟิชเชอร์ นั่นเองครับ...^^)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ผมเข้าใจว่า Growth ของ E ที่เหมาะสมจะนำมาประเมินคือ การเติบโตเฉลี่ยในอนาคตระยะยาว

แต่ที่มีคนเอามาใช้คำนวณแบบดีเกินจริง มักเอาการเติบโตที่ไม่ยั่งยืนมาใช้ครับ บางทีใช้ 30-40% ซึ่งในความเป็นจริงจะหากิจการที่กำไรเติบโตระยะยาวขนาดนั้นได้คงยากเต็มทนครับ (ใครแย้งว่ามีก็เชิญนะครับ จะได้ขอซื้อตามด้วยคน :B )

ไม่อยากกล่าวหาว่าบทวิเคราะห์หลายสำนักนี่แหละตัวดี ชอบมองอนาคตแค่ปี 2 ปีแล้วจับใส่ PE สูงๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
canuseeme
Verified User
โพสต์: 302
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 34

โพสต์

อาจจะเป็นเรื่องของ วิสัยทัศน์ ทัศนคติ ที่มีเหตุผลพอ นะครับ
แนบไฟล์
CPALL
CPALL

ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา

There is no fate but what we make

https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 35

โพสต์

ขอบคุณ คุณ "canuseeme" ที่ได้ยกตัวอย่างหุ้นดีๆมาให้ผมครับ
เพียงแต่หากเรายกตัวอย่างหุ้นที่มีในตลาด มันจะทำให้ดูเหมือนเป็นการเชียร์หุ้น
โดยไม่ได้ตั้งใจไปหนะครับ ผมขอเพียงมุมมอง แนวคิด วิธีการในการลงทุน
แล้วนมคุยในประเด็นต่างๆกัน จะดูเหมาะสมกว่านะครับ

ขอบคุณ คุณ "canuseeme" มากๆอีกครั้งนึงครับ...^^)
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 36

โพสต์

การประมาณการตัวเลขเชิงปริมาณบางครั้งก็ต้องใช้ศิลปในการสร้างความเข้าใจในแต่ละธุรกิจก่อน ซึ่งมี factors ที่สำคัญในหลายมิติ

ผมไปเจอบทความหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ ในการตรวจสอบ growth ว่ามีคุณภาพควบคู่กับประมาณการเติบโตเชิงปริมาณที่เหมาะสมครับ

ที่มา http://roadtobillion.com/2012/09/13/เติ ... /#more-118
“เติบโต” หรือ “ติดดิน” – วิธีวิเคราะห์หุ้นเติบโตแบบหลายมิติ

การลงทุน
13 September 2012


ขึ้นได้เหมือนกัน แต่จะเลือกอันไหนดี?

 

หุ้นที่มีกำไรเติบโต (Growth Stock) นับว่าเป็นหุ้นที่ทำกำไรให้กับนักลงทุนดีที่สุดประเภทนึง เพราะหุ้นกลุ่มนี้นอกจากจะมีกำไรที่เติบโตขึ้นรวดเร็วแล้ว ตลาดมักจะให้ราคาหุ้นประเภทนี้สูงกว่าตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าทุก Growth Stock จะดีเหมือนกันทุกบริษัท หลายบริษัทที่ตอนแรกๆอาจจะดูเหมือนเป็น “หุ้นเติบโต” แต่พอเวลาผ่านไปกลับกลายเป็น “หุ้นติดดิน”

คำถามที่นักลงทุนทุกคนควรจะต้องถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Growth Stock ตัวไหนจะสามารถเติบโต “ได้จริง” อย่างมีคุณภาพ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงประเภทของการเติบโตก่อน ผมขอจับไว้เป็นคู่ๆเพื่อให้เข้าใจง่ายแล้วกันครับ

Volume Growth vs. Price Growth

ในบางธุรกิจที่มีอำนาจในการต่อรองราคาของบริษัทต่อลูกค้าสูง (High Negotiating Power) จะสามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ทุกปี ตัวอย่างเช่นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ การเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของ “ราคา” สามารถทำได้ง่ายกว่าการเติบโตของ “ปริมาณการขาย” มากเพราะแทบจะไม่มีต้นทุนเพ่ิมขึ้นเลย ในขณะที่การขยายกำลังการผลิตหรือการให้บริการต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในการที่จะต้องหาลูกค้าเพิ่มขึ้นเพื่อมาซื้อสินค้่า

อย่างไรก็ตามการเติบโตจากการขึ้นราคาอาจจะมีข้อจำกัดจากเรื่องการแข่งขัน กฏหมายควบคุมราคา (เช่นในกรณีร้านสะดวกซื้อ) หลายบริษัทจึงใช้วิธีในการปรับ Product Mix เพื่อเพิ่มราคาสินค้าแทน เช่นธุรกิจโรงพยาบาลที่ มีการนำเสนอแผนการรักษาใหม่ๆ หรือเน้นการให้การรักษาในโรคร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ยอดค่าใช้จ่ายต่อคนสูงขึ้น

Industry Growth vs. Market Share Growth 

ธุรกิจที่อยู่อุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว เช่นธุรกิจที่มี penetration rate ต่ำๆ และมีปัจจัยทางโครงสร้างเอื้อหนุน จะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้ง่ายกว่าธุรกิจที่เติบโตด้วยการแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตช้า เพราะในอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว ความจำเป็นในการแข่งขันในด้านราคาจะมีน้อย อีกทั้งต้นทุนในการหาลูกค้ารายใหม่ๆถูกกว่า เพราะไม่ต้องแย่งลูกค้ากัน

ในทางตรงกันข้ามการที่บริษัทผลิตกระเบื้องแห่งหนึ่งมีแผนที่จะเพ่ิมส่วนแบ่งการตลาด 1% ทุกปี (ตลาดกระเบื้องเติบโตในระดับใกล้เคียงกับ GDP ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ) การเติบโตอาจจะทำได้จริงแต่อาจจะไม่ยั่งยืนเนื่องจากคู่แข่งรายอื่นๆก็จะไม่ปล่อยให้บริษัทถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดไป การแข่งขันจะรุนแรงยิ่งขึ้นถ้าอุตสาหกรรมนั้นๆเติบโตได้ช้า เพราะบริษัทต้องดิ้นรนมากขึ้นเพื่อที่จะเพิ่มยอดขายให้ทันกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี อาจจะเกิดภาวะที่เรียกว่าสงครามราคา (Price War) ได้ ซึ่งจะมีผลแย่ต่อทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ

One-off vs. Recurring 

ธุรกิจที่เติบโตแบบครั้งเดียวจบ หมายถึงธุรกิจที่มีลักษณะการรับงานแบบเป็น Project มีสัญญาที่ระยะเวลาสั้นๆ งานที่ได้รับในปีนี้จะไม่ได้รับการการันตีอีกในปีหน้า (คือรับงานเป็นปีๆไป) มีจำนวนลูกค้าน้อยราย หรือ ปริมาณความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจรับจ้างผลิตต่างๆ ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิกส์ เกษตร รถยนต์ โฆษณา เป็นต้น

สำหรับการเติบโตแบบยั่งยืน คือการเติบโตของกำไรที่ต่อยอดไปเรื่อยๆจากการขยายสาขา ขยายฐานลูกค้าที่มีสัญญาในระยะยาวกับบริษัท เช่นธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค (มีลูกค้าหลายแสนราย จึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่า)

Existing vs. New Business

ในปัจจุบันหลายธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ใน Sunset Industry หรือธุรกิจที่กำลังตกต่ำ ฉะนั้นหลายบริษัทจึงพยายาม “แตกไลน์ธุรกิจ” ไปยังโอกาสใหม่ๆ  ในการคาดการณ์การเติบโตของบริษัท นักลงทุนต้องมองให้ออกว่า แผนการเติบโตของบริษัทมากจากธุรกิจใด หลายครั้งที่ทางผู้บริหารอาจจะไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวธุรกิจใหม่อย่างเพียงพอ (ไม่ใช่ไม่เก่งแต่อาจจะไม่มีประสบการณ์) ผู้บริหารจึงไม่สามารถคาดการณ์ถึงการแข่งขันที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงถึงอุปสรรคต่างๆในการทำธุรกิจ จึงทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้

นอกจากการขยายไปยังธุรกิจใหม่แล้ว การขยายไปยังตลาดใหม่ๆก็นับว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน หลายบริษัทเลือกที่จะขยายกิจการไปต่างประเทศ (โดยไม่ได้มีประสบการณ์ในประเทศนั้นๆมาก่อน) มักจะประสบกับปัญหาต่างๆ เช่น ความล่าช้าของการขอใบอนุญาต/การก่อสร้าง สินค้าไม่ถูกใจลูกค้าในประเทศนั้นๆ ซึ่งมักจะทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และมักจะมีผลขาดทุน

Small vs. Large 

Peter Lynch เคยบอกไว้ว่าในระยะยาวแล้วหุ้นขนาดเล็กจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่เนื่องจากสามารถเติบโตได้ในอัตราที่สูงกว่าในระยะยาว เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะหาหุ้นมีอัตราการเติบโตที่สูงอาจจะต้องหาจากบริษัทที่มีขนาดเล็ก (ทั้งในเชิงมูลค่าตลาด ยอดขาย ส่วนแบ่งการตลาด รวมถึงอัตราในการทำกำไร) ซึ่งจะมีโอกาสในการเติบมากกว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างไรก็ตามธุรกิจขนาดเล็กก็อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจที่ครองความเป็นเจ้าตลาดมาเป็นระยะเวลานาน

Top line vs. Bottom Line 

ประเด็นนี้จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมักจะมองข้าม เพราะหลายๆครั้งการเติบโตของยอดขายต้องแลกมาด้วยการให้โปรโมชั่นเยอะๆ (ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง) ค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้น เงินลงทุนในเครื่องจักรหรือขยายสาขาใหม่ (ที่มาพร้อมค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้น) การที่ยอดขายเติบโตแต่กำไรไม่โตตามอาจจะเป็นเพราะบริษัทอยู่ในอุุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง คู่แข่งรายใหม่อาจจะอยากได้ส่วนแบ่งการตลาดโดยไม่สนใจภาพรวมของอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น บริษัทสื่อสารที่ตัดสินใจลดราคา เพื่อดึงลูกค้าใหม่ๆ ทำให้มีผลต่อการปรับราคาของคู่แข่งรายอื่นๆ

เงินลงทุนก็เป็นประเด็นสำคัญ ฉะนั้นทุกครั้งที่ผู้บริหารเล่าถึงแผนที่จะขยายธุรกิจเราก็ต้องอย่าลืมที่จะถามถึงค่าใช้จ่ายหรือเงินลงทุนที่ต้องใช้ด้วย ถ้าเราอยากรู้ว่าเงินลงทุนอันนั้นจะมีผลต่อกำไรในอนาคตอย่างไร ก็ต้องประเมินว่าปรกติแล้วสินทรัพย์นั้นๆตัดค่าเสื่อมกี่ปี (ส่วนใหญ่ผู้บริหารจะตอบถ้าเราถาม) เราก็พอจะรู้คร่าวๆว่ากำไรที่ได้มาเพิ่มจะคุ้มค่ากับเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีหรือเปล่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

การเติบโตของบริษัทล้วนแต่เป็นการ “คาดการณ์อนาคต” ซึ่งจะแม่นยำหรือไม่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง แต่ส่ิงที่สำคัญที่สุดคือผู้บริหารที่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ตามความเป็นจริง สามารถ “ทำ” ได้เท่ากับที่ “พูด” ซึ่งการที่จะดูให้ได้อย่างนั้นเราต้องมองย้อนไปในอดีต ตัวอย่างเช่นบริษัทผลิตอาหารทะเลแห่งหนึ่งที่เคยบอกไว้ว่าจะมียอดขายหลายพันล้านเหรียญ ภายในปีนั้นปีนี้ แล้วทำได้ตรงตามที่สัญญาไว้ตลอด เรียกได้ว่าพูดคำไหนคำนั้น
ซึ่งเราอาจจะเรียกหุ้นแบบนี้ได้อีกอย่างว่า “ทำได้จริง ไม่ได้โม้…”
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 37

โพสต์

อีกหนึ่งข้อคิดของอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ที่ให้แนวคิดมราน่าสนใจครับ
[youtube]R5ZOTtVj6hs[/youtube]
หลักการซื้อ-ขายหุ้น: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1.ดู Story: ถ้าเลือกหุ้นที่เติบโตระยะยาว พอถึงจุดที่เติบโตช้าลง ย่อมหมายถึงหมด Story
2.ศักยภาพธุรกิจ: พิจารณาจุดอิ่มตัวของธุรกิจ
3.ดูว่าหุ้น Over Value หรือไม่
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ขอบคุณครับ คุณ "chaitorn" ...^^)
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ในทางการเงินนั้น เราสามารถตรวจสอบ potential growth ได้
และเราสามารถรู้ factors สำคัญที่จะทำให้เกิด earning growth ได้ตามนี้ครับ

http://www.investopedia.com/exam-guide/ ... ratios.asp
Financial Ratios - Growth Potential Ratios


1. Sustainable Growth Rate


Formula 7.40

G = RR * ROE

Where:
RR = retention rate = % of total net income reinvested in the company

or, RR = 1 - (dividend declared / net income)
ROE = return on equity = net income / total equity

Note that dividend payout is the residual portion of RR. If RR is 80% then 80% of the net income is reinvested in the company and the remaining 20% is distributed in the form of cash dividends.


Therefore, Dividend Payout = Dividend Declared/Net Income

Look Out!

Students sometimes confuse retention rate with actual dividend declared. Students should read questions diligently.


Let's consider an example:


Segment Analysis


Segment analysis requires conducting ratio analysis on any operating segment that accounts for more than 10% of a company's revenues or total assets, or that is easily distinguishable from the other company business in terms of products provided or the risk/return profile of the segment. Lines of business are often broken down into geographical segments, when the size or type of business differentiates them from other business lines.

Since many segments have different risk profiles, they should be analyzed and valued separately from other parts of the business. Conducting ratio analysis, specifically profit margins, return on assets and other profitability measures can give analysts insight into how the segment affects overall financial performance. Both U.S. GAAP and IFRS require companies to report specific segment data, which is only a subset of the overall reporting requirements.

Ratio Analysis


Ratio analysis can be used to estimate future performance and allows analysts to create pro forma financial statements. Here is one example of how to estimate the future earnings potential of a firm. An analyst can first create a common-size income statement by dividing all accounting items by total sales. Using forecast assumptions the analyst then determines the amount of future sales. By multiplying the common-size percentages by the new sales amount, the analyst prepares a pro forma income statement that estimates the future earnings potential based on the expectations of future sales.


By using a range of values from the common-size statement and using a range of values for sales, the analyst can conduct a sensitivity analysis for each of the accounting items, such as cost of goods sold (COGS), profit margin and net income, to see how sensitive they are to changes in the amount of sales.


By understanding how each of these items correlate to the changes in sales, an analyst can create a function that provides output for these measures for any potential sales amount in the future. Using this function an analyst can conduct scenario analysis by choosing assumptions for different market situations and create for example a base case, upside and downside scenario.


Scenario analysis gives analysts an idea of the risks involved in operating a firm under different economic situations. To create an even more detailed probability distribution of potential values and risk, some analysts will conduct simulations that use a computer to produce many potential scenarios
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 40

โพสต์

จากข้อเขียนดังกล่าว ผมขอสรุป factors ที่สำคัญ ที่เราต้องวิเคราะห์ให้เจอคือ

1. Organic growth เป็นการเติบโตปกติของบริษัท ปัจจัยสำคัญคือ multipliers ที่สำคัญคือ
1.1 roe ยิ่ง roe สูงมากเท่าไร จะเป็นอัตราเร่งของการเติบโต หรือเป็นตัวคูณนั้นเอง
1.2 retention rate หรืออัตราการเก็บส่วนของทุนไว้กับบริษัท ซึ่งขึ้นกับนโยบาย กล่าวคือถ้าบริษัทเข้าสู่ mode growth stock ปกติเราจะพยายามเก็บส่วนของทุนไว้กับบริษัท เพราะเราสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเสียโอกาสของการจ่ายคืนในรูปปันผล กล่าวคือ หาก roic หรือผลตอบแทนการลงทุน สูงกว่า wacc ต้นทุนเฉลี่ยค่าเสียโอกาสของการลงทุนทั้งหมดมาก และเรายังมีการขยายงานได้อีกมาก เราจึงควรเก็บเงินทุนไว้ให้มากเพื่อขยายงานต่อเนื่อง หรือ reinvestment ให้มากขึ้น growth stock จึงมักเป็นปฏิภาคกับปันผล กล่าวคือ ยิ่งเติบโตสูงมากเท่าไร เรายิ่งต้องเก็บเงินทุนไว้ขยายงานให้มากขึ้นนั้นเอง เป็นที่มาของเบริกไชล์ ที่ลุงบัฟเฟทบริหารอยู่จึงไม่มีการจ่ายปันผลเลย เพราะบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนกาาลงทุนได้สูงกว่าค่าเสียโอกาสเงินลงทุนต่อเนื่องซึ่งดูจากผลตอบแทนทบต้นในปัจจุบันระยะยาวก็ยังทำได้กว่า 20% กว่า ๆ ขึ้นไป ดีกว่าจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นซึ่งอาจเอาไปลงทุนที่อื่นที่ได้ผลตอบแทนทบต้นในอนาคตที่ต่ำกว่ามากนั้นเอง

2. การเติบโตจาก ธุรกรรม m&a หรือ ตวบรวม ซื้อกิจการภายนอก ก็เป็นการเติบโตก้าวกระโดดอีกลักษณะหนึ่งครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 41

โพสต์

เมื่อเรารู้ว่า roe คือ key driver ที่สำคัญมากของการเป็น growth stock การจะวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ roe จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจะสะท้อนความแข็งแกร่งของการเติบโตที่ยั่งยืนเหนือกว่าคู่แข่งขัน

เราสามารถดูเหตุของปัจจัยที่ทำให้ roe สูงจาก model ของ ดูปองค์ได้ และจะเป็นที่มาที่เวลาเราจะวิเคราะห์ เราต้องรู้ว่าธุรกิจที่เราวิเคราะห์นั้นส่วนใดเป็นส่วนที่สำคัญจะ impact กับ roe มาก ๆ และบริษัทมีกลยุทธ์อะไรที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ เช่น กรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพการนำไปใช้วิเคราะห์ครับ
Cpall เคยขาย non food กำไร น้อย เปลี่ยน product mixed เป็นสัดส่วน food มากขึ้นเรื่อย ๆ margin จึงสูงขึ้น roe จึงอยู้ระดับสูงมาก ซึ่งกลยุทธ์นี้กำลังเป็น key สำคัญที่ cpall นำมาใช้กับ makro ที่จะเริ่มทำการตลาดค้าส่ง horeca หรือ ธุรกิจขายส่งอาหารสด กับ โรงแรม ภัตตาคารและร้านอาหาร บริการจัดเลี้ยง เป็นต้น ซึ่ง makro ได้ทดลอง model เปิดสาขาจำนวนน้อยเป็นต้นแบบมาสักระยะ และมีลงทุนพัฒนาระบบ logistics มาหลายปีให้รองรับไว้หมดแล้ว ก่อนจะเร่งขยายสาขาจำนวนมากในปีถัด ๆ ไปต่อไปตามแผนงานที่เปิดเผยทุกปี

Hmpro เคยขยายสาขาได้น้อยเพราะใช้ capex ผ่านการซื้อที่ดินและลงทุนเองทั้งหมด ทำให้ขยายสาขาแต่ละปีได้น้อย ก็เปลี่ยนเป็นการเช่าแทน ทำให้สามารถเร่งการเติบโตขายสินค้าให้มี turnover ได้มากขึ้น cost ต่อหน่วยต่ำลงและเปลี่ยนธุรกิจใหม่จาก discount store เป็น conveniece store มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ทำให้เพิ่ม margin สินค้าได้อีกมาก เป็นต้น

ทั้งหมดมาจาก driver การวิเคราะห์ผ่าน ดูปองค์ model นี้ครับ

การวิเคราะห์โดยสรุปของดูปองค์ เป็นดังนี้
http://www.investopedia.com/exam-guide/ ... system.asp
Financial Ratios - Return on Equity and the Dupont System


DuPont System
A system of analysis has been developed that focuses the attention on all three critical elements of the financial condition of a company: the operating management, management of assets and the capital structure. This analysis technique is called the "DuPont Formula". The DuPont Formula shows the interrelationship between key financial ratios. It can be presented in several ways.

The first is:

Formula 7.41

Return on equity (ROE) = net income / total equity

If we multiply ROE by sales, we get:
Return on equity = (net income / sales) * (sales / total equity)

Said differently:
ROE = net profit margin * return on equity

The second is:

Formula 7.42

Return on equity (ROE) = net income / total equity

If in a second instance we multiply ROE by assets, we get:
ROE = (net income / sales) * (sales / assets) * (assets / equity)

Said differently:
ROE = net profit margin * asset turnover * equity multiplier

Uses of the DuPont Equation
By using the DuPont equation, an analyst can easily determine what processes the company does well and what processes can be improved. Furthermore, ROE represents the profitability of funds invested by the owners of the firm.

All firms should attempt to make ROE as high as possible over the long term. However, analysts should be aware that ROE can be high for the wrong reasons. For example, when ROE is high because the equity multiplier is high, this means that high returns are really coming from overuse of debt, which can spell trouble.

If two companies have the same ROE, but the first is well managed (high net-profit margin) and managed assets efficiently (high asset turnover) but has a low equity multiplier compared to the other company, then an investor is better off investing in the first company, because the capital structure can be changed easily (increase use of debt), but changing management is difficult.

More Useful Dupont Formula Manipulations
The DuPont formula can be expanded even further, thus giving the analyst more information.

Formula 7.43
ROE = (net income / sales) * (sales / assets) * (assets / equity)

If in a third instance we substituted net income for EBT * (1-tax rate), we get:

ROE =(EBT/sales) * (sales / assets) * (assets / equity)* (1-tax rate)

Formula 7.44
ROE = (net income / sales) * (sales / assets) * (assets / equity)

If in a forth instance we substituted EBT for EBIT - interest expense, we get:

ROE = [EBIT / sales * sales / total assets - interest / total assets] * total assets / equity * [1 - tax / net before tax]

Said differently:

ROE = operating profit margin * asset turnover - interest expense rate * equity multiplier * tax retention
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ข้อพึงระวังของ roe ที่เราต้องดูระยะยาวขึ้น ดูความเสถียรมากขึ้น เราต้องระวังเรื่องโครงสร้างการก่อหนี้โดยเฉพาะหนี้ที่เสียดอกเบี้ยอาจเป็นระเบิดเวลาในอนาคตได้นั้นเอง ตามนี้ครับ
All firms should attempt to make ROE as high as possible over the long term. However, analysts should be aware that ROE can be high for the wrong reasons. For example, when ROE is high because the equity multiplier is high, this means that high returns are really coming from overuse of debt, which can spell trouble.

If two companies have the same ROE, but the first is well managed (high net-profit margin) and managed assets efficiently (high asset turnover) but has a low equity multiplier compared to the other company, then an investor is better off investing in the first company, because the capital structure can be changed easily (increase use of debt), but changing management is difficult.
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 43

โพสต์

สัญาญานเตือนของ growth stock ที่อาจอิ่มตัว หรือไม่โตแล้ว

เท่าที่ผมสังเกตเห็นและลองมาประมวลดูนะครับ
ค้าปลีก
เนื่องจากสัดส่วนร้านค้าเดิมมักจะมากกว่าการเปิดของร้านค้าใหม่ ดังนั้นตัววัดสำคัญที่เป็นสัญาณ้ตือนคือ same store growth สัญญาณนี้ชัดมากในกลุ่มค้าปลีก หากตัวนี้ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี เป็นสัญาณการเติบโตที่ดี หากเริ่มลดลงต่อเนื่องต้องระวัง

ประกันชีวิต อัตรา retention rate เป็นตัววัดสำคัญซึ่งแสดงถึงความต่อเนื่องของรายได้กรมธรรม์เก่าที่มีมากกว่าการออกกรมธรรม์ใหม่ เหมือนค้าปลีก roi ของการลงทุนต่ำกว่าสมมุติฐาน เพราะรายได้หลักของประกันชีวิตอยู่ที่ port การลงทุน

ธุรกิจที่พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่ราย เช่น หุ้นอิเลคทรอนิคส์ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือยกเลิกคำสั่งซื้อ จะเป็นตัววัดที่สำคัญมาก เป็นต้น

การลงทุนจึงต้องตั้งสัญาณเตือนภัยให้ได้ อละหาให้เจอ ก่อนที่ของจริงจะตามมา ซึ่งอาจไม่ทัน เป็นจุดอ่อนหนึ่งของ vi ที่บางครั้งเราจะรูสึกช้ากว่าพวก active ที่หนีได้ไวกว่า เราจึงต้องตั้งตัววัดไว้ล่วงหน้าด้วยเพื่อความไม่ประมาทครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 44

โพสต์

Plant เขียน:ขอบคุณ คุณ "miracle" มากๆครับที่แนะนำเพลงพี่โป่ง
แต่รุ่นผมนี่ต้องเพลง "ความเชื่อ" ของพี่ตูน บอดี้ กาแลม เอ้ย!!
บอดี้สแลมครับ 555+....^^)
ไอ้ตูน นี่รุ่นน้องหลายปีเลย เด็กสวนกุหลาบ สมัยอยู่สวนประกวดวงชื่อ วงละอ่อน ถ้าจำไม่ผิด

ผมชอบ เรือเล็กออกจากฝั่ง ไม่ออกจากฝั่งอะไรของมันนี่แหละ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 45

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ไอ้ตูน นี่รุ่นน้องหลายปีเลย เด็กสวนกุหลาบ สมัยอยู่สวนประกวดวงชื่อ วงละอ่อน ถ้าจำไม่ผิด

ผมชอบ เรือเล็กออกจากฝั่ง ไม่ออกจากฝั่งอะไรของมันนี่แหละ
งั้นผมเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของ ปู่ "Nevercry.boy" เลยหละมั๊งครับนี่ แต่ผมเด็ก สธ.
นะครับ...^^)

ขอบคุณ คุณ "chaitorn" มากๆครับ มีประเด็นให้ศึกษาเพิ่มเติมอีกเพียบเลย
ผมจะไปตามอ่านให้ครบทุกอันที่แนะนำครับ (ตอนนี้การบ้านเพียบทั้งหนังสือ
บทความ โพส คอรั่ม.....สู้เว้ย!!!!)....^^)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 46

โพสต์

Plant เขียน:
Nevercry.boy เขียน:ไอ้ตูน นี่รุ่นน้องหลายปีเลย เด็กสวนกุหลาบ สมัยอยู่สวนประกวดวงชื่อ วงละอ่อน ถ้าจำไม่ผิด

ผมชอบ เรือเล็กออกจากฝั่ง ไม่ออกจากฝั่งอะไรของมันนี่แหละ
งั้นผมเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของ ปู่ "Nevercry.boy" เลยหละมั๊งครับนี่ แต่ผมเด็ก สธ.
นะครับ...^^)

ขอบคุณ คุณ "chaitorn" มากๆครับ มีประเด็นให้ศึกษาเพิ่มเติมอีกเพียบเลย
ผมจะไปตามอ่านให้ครบทุกอันที่แนะนำครับ (ตอนนี้การบ้านเพียบทั้งหนังสือ
บทความ โพส คอรั่ม.....สู้เว้ย!!!!)....^^)
อายุเป็นเพียงตัวเลขเฟ้ย

[youtube]HkMNOlYcpHg[/youtube]
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
kreangk
Verified User
โพสต์: 22
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 47

โพสต์

ขออนุญาต Share Blog ของ นพ. พงศกร เอื้อชวาลวงศ์ หรือ "Mind investing blog" ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเติบโต ลองดูครับเพื่อเป็นไอเดียในการลงทุน

การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน
http://pongsakorne.blogspot.com/2012/08 ... stock.html

กรณีศึกษา : หุ้น JUBILE
http://pongsakorne.blogspot.com/2011/07/jubile.html

ยังมีบทความอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ลองติดตามดูครับ
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: นักลงทุนที่เน้นการเติบโต......

โพสต์ที่ 48

โพสต์

ขอบคุณ คุณ "kreangk" มากๆครับ...^^)