Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 1
สัมมนา Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง และเปิดโผหุ้นเด่น mai”
โดย คุณภรณี ทองเย็น บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
คุณสุกิจ อุดมศิริกุล บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทรีนีตี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
ต้องขอขอบคุณอจ ไพบูลย์ที่ให้โอกาสผมไปร่วมฟังสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
เริ่มด้วยคำถามจาก ดร ไพบูลย์ ว่า หุ้น MAI ต่างจาก หุ้น SET อย่างไร
คูณหมอ เค ตอบว่า หุ้นในตลาด MAI ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ส่วน หุ้นในตลาด SET ขั้นต่ำ 300 ล้านบาท
แต่ถ้าคิดจากสภาพจริง ตลาด MAI จากต้นปี ผลตอบแทน 40% รวมเงินปันผล แล้วเป็น 42%
ถ้าเป็น ตลาด SET จากต้นปี ผลตอบแทน 24% รวมปันผล อีก 3% รวมเป็น 27%
ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทนสูง ตัวเล็กเหมือนตั๊กแตน กระโดดได้สูง เติบโตเร็วกว่า
คำถามจากดร ไพบูลย์ ถามผู้ร่วมสัมมนา คือ สถานการณ์หุ้นตอนนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ขอให้ฟันธง
เริ่มจาก คุณ ภรณี กล่าวว่า ตลาดดีไม่ดี ขึ้นกับปัจจัยภายนอก
1. มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเริ่มแผ่วเบา เงิน 6 ล้านล้าน US มีส่วนทำให้ ตลาดทั่วโลกขึ้นกว่า 100% ปีหน้า US , อังกฤษ มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีหน้า ส่วนตลาดเอเซีย อัตราดอกเบี้ยทรงๆ กับ ขึ้นดอกเบี้ย
2. Fund Flow ปีที่แล้ว ต่างชาติขายออก 200,000 ล้านUS รวมขายกับปีนี้เป็น 300,000 ล้านUS
ตอนนี้ fund flow ใกล้กลับมาแล้ว เพราะไปซื้อหุ้นในตลาด อินโด และ ฟิลิปปินส์ ยังรอเข้าไทยอยู่
3. เศรษฐกิจไทยเดินหน้าหลัง คสชเข้ามา มาตราการเริ่มเดินหน้าต่อจากเดิม การประท้วงจบแล้ว เป็นสิ่งที่ดี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V shape เป็นการฟื้นตัวที่ดี ตลาดหุ้นฟื้นตัว 100 กว่าจุดหลัง คสช เข้ามา
เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2%ต่ำที่สุดในเอเซีย กำไรของตลาดหุ้น โตแค่ 8% เทียบกับปีที่แล้ว 10% ไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับ จีน และ อินเดีย ตลาดโตค่อนข้างมาก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป โต 6% โดยเฉลี่ย ดังนั้น ไทยจึงไม่น่าสนใจ
PE ในตลาดหุ้นไทย โดยใช้ Forward PE 15 เท่า ถือว่าไม่ถูก ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ถูกกว่า อินโด เล็กน้อย การที่PEจะไปสูงกว่านี้ ค่อนข้างยาก ถ้า Fund flow ต่างประเทศไม่เข้ามา ตลาดหุ้นจะถูก crack ด้วย PE 15 เท่า ตลาดน่าจะ side way กลยุทธ์เน้นแบบ
เลือกหุ้นรายตัว ดูการเติบโตที่ดี เงินปันผลสูง
ตอนนี้ หุ้นส่งออก ก็โดนแอนตี้จากต่างชาติ US, EU ดังนั้นให้เลือกหุ้น ที่ PE ต่ำ ปันผลสูง และ เติบโตสูง
ถาม ดร นิเวศน์ คนจีน อินเดีย ต่างกันกับไทย อย่างไร
อจ ตอบว่า ต่างตรงที่ ประเทศเหล่านี้มีประชากรสูง ซึ่งเป็นเรื่องดี ต่างกับสมัยก่อน ประชากรเยอะ จะยากจน
ถาม ดร.วิศิษฐ์ ด้วยคำถาม PE 15 เท่า แพง หรือ ถูก
ดร ตอบว่า ให้ดูจาก 6 มิติ
มิติที่ 1 การอ่านนโยบายการเงินของทั้งโลกเป็นสิ่งสำคัญ US หยุดทำ QE แน่นอน แต่ยังมี QE จาก EU & Japan.
สภาพคล่องทั่วโลกยังมีอยู่ มาดูสภาพคล่อง ภายใน มีพันธบัตรครบกำหนด ทำให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และ ยังมี พันธบัตรไทยเข้มแข๊ง ที่จะครบกำหนดอีก 90,000 บาทอีก ธปท พึ่งปรับ GDP อยู่ระหว่าง 5-5.5% เติบโตอย่างมีนัยยะ
มิติที่สอง
GDP ปีนี้ค่อนข้างต่ำ ตลาด MAI ค่อนข้างสอดคล้องกับ GDP ที่โตขึ้นในปีหน้า performance ของ MAI ค่อนข้างดี
มิติที่สาม การปรับประมาณกำไรของนักวิเคราะห์ เริ่มดีขึ้น ก่อน หน้า รัฐประหารปรับ กำไรลงตลอด หลังรัฐประหาร ปรับกำไรดีขึ้น ตลาดหุ้น จะถึงจุดต่ำสุด ก่อนเศรษฐกิจ ถึง Bottom
มิติที่สี่
Fund flow ของต่างชาติที่เป็น Pension fund ได้ถอนออกไป แต่ยังมี Flow จาก EU เข้ามา
EU/Japan ทำ QE มาครึ่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ย 0-0.25% ทำให้เกิด carry trade โดยกู้เงินจาก EU, Japan , US มาซื้อพันธบัตรไทย ซึ่ง 3 ปี ได้ 2.5%
มิติที่ 5
การถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ เหลือแค่ 34% จากดู market cap มีส่วนร่วมน้อยมาก แค่ 1.8% ของ market cap
position การถือหุ้นต่ำสุด ในรอบ 5 ปี ดังนั้นไม่น่าจะขายมากกว่านี้
มิติที่ 6
Valuation ตลาดหุ้นไทย Forward PE ต่ำกว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ประมาณ 15% ซึ่งถูกกว่าตลาดโลก
Emerging Market อินเดีย จีน เกาหลี ถูกกว่า 25% ตอนนี้ Flow เข้าจีนไปแล้ว
คุณ สุกิจ ให้ความเห็นเพิ่มเติมจาก2 ท่านที่พูด
หลังจากมี คสช ตลาดหุ้นขึ้น 100 จุด มองว่าขึ้นด้วยหวัง แต่ต่อไปจะขึ้นด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดัชนีเริ่มผันผวนมากขึ้น ผลตอบแทนเทียบกับ Indo / Philipin แล้วเท่ากัน เทียบกับปีที่แล้ว น้อยกว่า ตลาดจะขึ้นด้วยปัจจัยสนับสนุน
กลุ่มพลังงาน และ สือสาร มีโอกาสขึ้นจากก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากนโยบายของคสช
อนาคต เศรษฐกิจ มีตัวช่วยจากงบประมาณ เป็นเรื่องปกติ เศรษฐกิจเลยพอไปได้
คสช เริ่มเฟสหนึ่ง คืนความสุขให้ประชาชน เฟสต่อไป เป็น การปฎิรูป ระยะเวลาค่อนข้างนาน หลังจากมีนายก และ รัฐบาลในเดือน กย แล้ว ต่างชาติ นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเนื่องจากการคลายกฎ น่าจะเห็นการฟื้นตัว การลงทุนของต่างชาติจะเริ่มเข้ามา ปัจจัยหลักนี้ทำให้เงินค่อยๆซึมเข้ามา
1. เศรษฐกิจโลก ไม่ได้ขยาย ดีมากนัก ทำให้นโยบายการเงินไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจยุโรป อเมริกา ค่อยๆขึ้น
2. เศรษฐกิจเอเซีย เงินไปทางจีนค่อนข้างมาก อัตราเร่งเริ่มช้าลง
นักวิเคราะห์ไม่ปรับประมาณการลงแล้ว แต่ยังไม่ปรับขึ้น มองไป 12 เดือนข้างหน้า กำไร 107 บาท เป็น อัฟไซด์ของตลาด
อจ วิศิษฐ์
ปัจจัยลบ ทำให้ตลาดผันผวนมาก
ปัจจัยแรก ธนาคารกลางสหรัฐ บางรัฐเริ่มพูดว่า ตลาด วอลสตีสเริ่มเป็นฟองสบู่ มาตราการที่ออกมาจะมากำจัดฟองสบู่
ปัจจัยที่สอง อิรักจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันมากกว่า 125 US ต่อบาร์เรล ทำให้ GDP ลดลง 0.5%
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มก่อสร้าง
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลก เช่น บริษัทส่งออก โดนกระทบจาก EU , US
มีบางกลุ่มที่ดี โดยธปท เปิดตัวคาดการณ์ GDP ปีหน้า 5.5% จากปีนี้ 1.5% มี 2 กลุ่มรับผลประโยขน์ คือ
Private investment การลงทุนภาคเอกชน จะโตเลข 2 หลัก
การลงทุนสาธารณูปโภค โตเกิน2 หลัก
กลุ่มที่ 3 Business model ที่ดี winning by business model
กลุ่มที่ 4 มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น มักให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงสภาพคล่องสูง การกู้เงินทำ leverage มาซื้อกิจการสูง
โดย คุณภรณี ทองเย็น บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
คุณสุกิจ อุดมศิริกุล บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทรีนีตี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
ต้องขอขอบคุณอจ ไพบูลย์ที่ให้โอกาสผมไปร่วมฟังสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
เริ่มด้วยคำถามจาก ดร ไพบูลย์ ว่า หุ้น MAI ต่างจาก หุ้น SET อย่างไร
คูณหมอ เค ตอบว่า หุ้นในตลาด MAI ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ส่วน หุ้นในตลาด SET ขั้นต่ำ 300 ล้านบาท
แต่ถ้าคิดจากสภาพจริง ตลาด MAI จากต้นปี ผลตอบแทน 40% รวมเงินปันผล แล้วเป็น 42%
ถ้าเป็น ตลาด SET จากต้นปี ผลตอบแทน 24% รวมปันผล อีก 3% รวมเป็น 27%
ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทนสูง ตัวเล็กเหมือนตั๊กแตน กระโดดได้สูง เติบโตเร็วกว่า
คำถามจากดร ไพบูลย์ ถามผู้ร่วมสัมมนา คือ สถานการณ์หุ้นตอนนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ขอให้ฟันธง
เริ่มจาก คุณ ภรณี กล่าวว่า ตลาดดีไม่ดี ขึ้นกับปัจจัยภายนอก
1. มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเริ่มแผ่วเบา เงิน 6 ล้านล้าน US มีส่วนทำให้ ตลาดทั่วโลกขึ้นกว่า 100% ปีหน้า US , อังกฤษ มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีหน้า ส่วนตลาดเอเซีย อัตราดอกเบี้ยทรงๆ กับ ขึ้นดอกเบี้ย
2. Fund Flow ปีที่แล้ว ต่างชาติขายออก 200,000 ล้านUS รวมขายกับปีนี้เป็น 300,000 ล้านUS
ตอนนี้ fund flow ใกล้กลับมาแล้ว เพราะไปซื้อหุ้นในตลาด อินโด และ ฟิลิปปินส์ ยังรอเข้าไทยอยู่
3. เศรษฐกิจไทยเดินหน้าหลัง คสชเข้ามา มาตราการเริ่มเดินหน้าต่อจากเดิม การประท้วงจบแล้ว เป็นสิ่งที่ดี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V shape เป็นการฟื้นตัวที่ดี ตลาดหุ้นฟื้นตัว 100 กว่าจุดหลัง คสช เข้ามา
เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2%ต่ำที่สุดในเอเซีย กำไรของตลาดหุ้น โตแค่ 8% เทียบกับปีที่แล้ว 10% ไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับ จีน และ อินเดีย ตลาดโตค่อนข้างมาก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป โต 6% โดยเฉลี่ย ดังนั้น ไทยจึงไม่น่าสนใจ
PE ในตลาดหุ้นไทย โดยใช้ Forward PE 15 เท่า ถือว่าไม่ถูก ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ถูกกว่า อินโด เล็กน้อย การที่PEจะไปสูงกว่านี้ ค่อนข้างยาก ถ้า Fund flow ต่างประเทศไม่เข้ามา ตลาดหุ้นจะถูก crack ด้วย PE 15 เท่า ตลาดน่าจะ side way กลยุทธ์เน้นแบบ
เลือกหุ้นรายตัว ดูการเติบโตที่ดี เงินปันผลสูง
ตอนนี้ หุ้นส่งออก ก็โดนแอนตี้จากต่างชาติ US, EU ดังนั้นให้เลือกหุ้น ที่ PE ต่ำ ปันผลสูง และ เติบโตสูง
ถาม ดร นิเวศน์ คนจีน อินเดีย ต่างกันกับไทย อย่างไร
อจ ตอบว่า ต่างตรงที่ ประเทศเหล่านี้มีประชากรสูง ซึ่งเป็นเรื่องดี ต่างกับสมัยก่อน ประชากรเยอะ จะยากจน
ถาม ดร.วิศิษฐ์ ด้วยคำถาม PE 15 เท่า แพง หรือ ถูก
ดร ตอบว่า ให้ดูจาก 6 มิติ
มิติที่ 1 การอ่านนโยบายการเงินของทั้งโลกเป็นสิ่งสำคัญ US หยุดทำ QE แน่นอน แต่ยังมี QE จาก EU & Japan.
สภาพคล่องทั่วโลกยังมีอยู่ มาดูสภาพคล่อง ภายใน มีพันธบัตรครบกำหนด ทำให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และ ยังมี พันธบัตรไทยเข้มแข๊ง ที่จะครบกำหนดอีก 90,000 บาทอีก ธปท พึ่งปรับ GDP อยู่ระหว่าง 5-5.5% เติบโตอย่างมีนัยยะ
มิติที่สอง
GDP ปีนี้ค่อนข้างต่ำ ตลาด MAI ค่อนข้างสอดคล้องกับ GDP ที่โตขึ้นในปีหน้า performance ของ MAI ค่อนข้างดี
มิติที่สาม การปรับประมาณกำไรของนักวิเคราะห์ เริ่มดีขึ้น ก่อน หน้า รัฐประหารปรับ กำไรลงตลอด หลังรัฐประหาร ปรับกำไรดีขึ้น ตลาดหุ้น จะถึงจุดต่ำสุด ก่อนเศรษฐกิจ ถึง Bottom
มิติที่สี่
Fund flow ของต่างชาติที่เป็น Pension fund ได้ถอนออกไป แต่ยังมี Flow จาก EU เข้ามา
EU/Japan ทำ QE มาครึ่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ย 0-0.25% ทำให้เกิด carry trade โดยกู้เงินจาก EU, Japan , US มาซื้อพันธบัตรไทย ซึ่ง 3 ปี ได้ 2.5%
มิติที่ 5
การถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ เหลือแค่ 34% จากดู market cap มีส่วนร่วมน้อยมาก แค่ 1.8% ของ market cap
position การถือหุ้นต่ำสุด ในรอบ 5 ปี ดังนั้นไม่น่าจะขายมากกว่านี้
มิติที่ 6
Valuation ตลาดหุ้นไทย Forward PE ต่ำกว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ประมาณ 15% ซึ่งถูกกว่าตลาดโลก
Emerging Market อินเดีย จีน เกาหลี ถูกกว่า 25% ตอนนี้ Flow เข้าจีนไปแล้ว
คุณ สุกิจ ให้ความเห็นเพิ่มเติมจาก2 ท่านที่พูด
หลังจากมี คสช ตลาดหุ้นขึ้น 100 จุด มองว่าขึ้นด้วยหวัง แต่ต่อไปจะขึ้นด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดัชนีเริ่มผันผวนมากขึ้น ผลตอบแทนเทียบกับ Indo / Philipin แล้วเท่ากัน เทียบกับปีที่แล้ว น้อยกว่า ตลาดจะขึ้นด้วยปัจจัยสนับสนุน
กลุ่มพลังงาน และ สือสาร มีโอกาสขึ้นจากก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากนโยบายของคสช
อนาคต เศรษฐกิจ มีตัวช่วยจากงบประมาณ เป็นเรื่องปกติ เศรษฐกิจเลยพอไปได้
คสช เริ่มเฟสหนึ่ง คืนความสุขให้ประชาชน เฟสต่อไป เป็น การปฎิรูป ระยะเวลาค่อนข้างนาน หลังจากมีนายก และ รัฐบาลในเดือน กย แล้ว ต่างชาติ นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเนื่องจากการคลายกฎ น่าจะเห็นการฟื้นตัว การลงทุนของต่างชาติจะเริ่มเข้ามา ปัจจัยหลักนี้ทำให้เงินค่อยๆซึมเข้ามา
1. เศรษฐกิจโลก ไม่ได้ขยาย ดีมากนัก ทำให้นโยบายการเงินไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจยุโรป อเมริกา ค่อยๆขึ้น
2. เศรษฐกิจเอเซีย เงินไปทางจีนค่อนข้างมาก อัตราเร่งเริ่มช้าลง
นักวิเคราะห์ไม่ปรับประมาณการลงแล้ว แต่ยังไม่ปรับขึ้น มองไป 12 เดือนข้างหน้า กำไร 107 บาท เป็น อัฟไซด์ของตลาด
อจ วิศิษฐ์
ปัจจัยลบ ทำให้ตลาดผันผวนมาก
ปัจจัยแรก ธนาคารกลางสหรัฐ บางรัฐเริ่มพูดว่า ตลาด วอลสตีสเริ่มเป็นฟองสบู่ มาตราการที่ออกมาจะมากำจัดฟองสบู่
ปัจจัยที่สอง อิรักจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันมากกว่า 125 US ต่อบาร์เรล ทำให้ GDP ลดลง 0.5%
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มก่อสร้าง
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลก เช่น บริษัทส่งออก โดนกระทบจาก EU , US
มีบางกลุ่มที่ดี โดยธปท เปิดตัวคาดการณ์ GDP ปีหน้า 5.5% จากปีนี้ 1.5% มี 2 กลุ่มรับผลประโยขน์ คือ
Private investment การลงทุนภาคเอกชน จะโตเลข 2 หลัก
การลงทุนสาธารณูปโภค โตเกิน2 หลัก
กลุ่มที่ 3 Business model ที่ดี winning by business model
กลุ่มที่ 4 มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น มักให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงสภาพคล่องสูง การกู้เงินทำ leverage มาซื้อกิจการสูง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 2
คำถาม ถามคุณสุกิจ กลุ่มไหนน่าสนใจ
คุณสุกิจ ตอบว่า
กลุ่มที่ราคาหุ้นไม่ค่อยฟื้นตัว เช่น กลุ่ม สื่อสาร พลังงาน สื่อ อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ กลุ่มขนส่ง ที่เป็นท่องเที่ยว การบิน ราคายังไม่สะท้อน แต่มีโอกาสจาก การผ่อนคลายข้อจำกัดมาท่องเที่ยว
กลุ่มรับเหมา ก่อสร้าง และ วัสดุก่อสร้าง จะดีหลังการประมูลงานใหม่ โดยปกติโครงการที่มีอยู่ของรัฐไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการน่าจะได้บทเรียนจากที่ผ่านมา และ โครงการค่อยๆอนุมัติ ทยอยทำ ดังนั้นจะไม่เจอปัญหาการแย่งแรงงานกัน ดังนั้นน่าจะไม่กดดันมาก นอกจากนี้ภาครัฐมีการจัดการแรงงานต่างด้าว จดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องด้วย
กลุ่มที่เสี่ยงในมุมมองของคุณสุกิจ การบริโภคยังไม่ฟื้นตัวเพราะ หนี้สาธารณะยังอยู่ ชาวนาได้รับเงินก็ชำระหนี้ ไม่ค่อยมีเงินเหลือมาบริโภค และ ราคาสินค้าเกษตรยังไม่ปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นกลุ่มบริโภคในระยะสั้นไม่ค่อยดี ระยะยาวยังดีอยู่
คุณภรณี ได้ให้มุมมองในส่วนของกลุ่มที่น่าสนใจ โดยมองที่กำไรของตลาด 98 บาท ประมาณ 7% ซึ่งต่างกับ คุณสุกิจ ซึ่งประมาณไว้ 107 บาท
มอง sector ที่กำไรดีกว่าตลาด เช่น โต 30% เช่น ICT : ไทยคม JAS DTAC , ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ , Commerce , พลังงาน ปิโตรเคมี แต่ราคากลุ่มที่กล่าวมาขึ้นมาเยอะแล้ว ดังนั้น ไปหาหุ้นที่ถูก ที่อาจโดนกระทบจากนโยบาย เช่น Advance , ไทยคม
กลุ่มน้ำมัน ทีถูกกดดันจากคสช ( PTT ) ซึ่งราคาไม่ค่อยขยับเท่าไหร่
กลุ่มที่เติบโตดี PE ถูก เช่น ANAN อันอัน กำไรค่อนข้างโต หรือ KSL , SCC , Advance
กลุ่มปันผลสูง ASK yield 7% , SC หลายคนไม่ชอบเพราะอิงการเมือง , BECL ขนส่ง , PTT , BCP
หุ้นในตลาด MAI โดยดูที่ กระแสเงินสดดี สะท้อนสุขภาพทางการเงินที่ดีเยี่ยม และ PE ไม่แพงมาก เมื่อเทียบกับในกลุ่ม
1. โรงพยาบาลใน Mai มีตัวเดียว คือ ไทยนครินทร์ สภาพคล่องสูง กระแสเงินสดดี สามารถจ่ายปันผล หรือ ลงทุนขยาย หนี้สินน้อย ตอนนี้ก็กำลังหาที่สร้างรพ ใหม่ เพราะ ที่เดิมเช่าอยู่ ต้องทำสัญญาทุกปี ซึ่งเป็นความเสี่ยงของกิจการ
เมื่อเทียบกับรพ ขนาดใหญ่ เช่น รพ กรุงเทพ หรือ บำรุงราษฎร์ ซึ่งราคาแพงเพราะมีข่าวควบรวมกับรพ ขนาดเล็ก ที่มีกำไรดี PE ต่ำ
แล้ว ไทยนครินทร์เป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน
2. ยูบิลลี่ ตอนนี้มีสาขา 114สาขาแล้ว PE 16-17 เท่า กำไรโต 20% ต่อปี ยอดขาย SSS โตตลอดและยังมีรายได้จากสาขาที่เปิดใหม่ สามารถเปิดสาขาโดยใช้เงินกำไรจากกิจการ สุขภาพการเงินค่อนข้างดี สินค้าขายง่าย ราคาต่อชิ้น 50,000 บาท
ดร.วิศิษฐ์ พูดถึง MAI จะให้ผลตอบแทนดี เมื่อ เศรษฐกิจโต
ดังนั้น หุ้นที่มีผลตอบแทนดี เนื่องมาจาก
1. มี Business model ที่ดี เช่น สหการประมูล ให้ผลตอบแทนจากต้นปี 164% ซึ่งสูงสุด ในตลาด MAI หมอ เคไม่ค่อยอยากพูดถึง เพราะพลาดไม่ได้ซื้อตัวนี้ 555
2. บริษัททีมี Market cap เท่ากับ cash มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น
3. บริษัทโฆษณาที่มีลูกค้าในมือที่ royaltyต่อบริษัท ถือเป็น Intangible asset ได้
4. บริษัทที่ทำcredit card ที่มีฐานลูกค้ามาก ถือเป็น สินทรัพย์ซ่อนเร้นได้
5. บริษัทที่มี PB น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1
ถ้าดอกเบี้ยต่ำ ในตลาด US , EU จะเห็นการทำ leverage buyout ซึ่งมักเกิดในช่วงดอกเบี้ยต่ำ EFORL ก็เป็น แนะนำหนังสือของตลท ที่รวบรวมบริษัทในตลาด MAI ยังมีหินที่สามารถพลิกหา เผื่อเจอเป็นเพชรได้
เรามาดูแนวการลงทุนของคุณสุกิจบ้าง
วิธีการลงทุนใน MAI แต่งจาก SET เป็นการลงทุนระยะยาว หลายทุกธุรกิจจะครอบคลุมเพื่อรองรับ AEC ที่จะเกิดขึ้นอันใกล้ ความหวังเชิงบวก ถ้าเปิด AEC แล้ว ดังนั้น น่ามองว่าเป็นการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นไม่ใหญ่ สภาพคล่องไม่ค่อยมาก มีความผันผวนเป็นระยะ ในช่วงตลาด ตกหนักช่วง พค 56 หุ้นก็ตกเยอะมาก จากสภาพคล่องน้อย แต่ความเสี่ยงของ fundamental จะต่ำกว่า SET
เน้นฝั่งด้านพลังงาน เพราะมีความมั่นคง มีgrowthโดยเฉพาะพลังงานทางเลือก เช่น
UACโครงสร้างรายได้ มีธุรกิจ สองอย่าง
1.นำเข้าสารเคมี ใช้ใน ปตท ปูน ทั้งปลายน้ำ ขุดเจาะ
อีกธุรกิจ เจ็ดปีที่แล้วผลิตไบโอดีเซล ถือ 30% บางจากถือ 70%
หลังโรงงานที่สามเสร็จ จะเป็นอันดับทีสอง V7 เป็นพลังงานทดแทน
ผลิต Biogas เปลี่ยนสภาพเป็น เอ็นจีวี ปตทส่งรถมารับ เป็นเวลา ยี่สิบปี
อีกโรงงาน บ่อน้ำนัน แกสที่ออกมาจากน้ำมันดิบ
มีบริษัท ราชบุรี นำมาทำต่อ
ก่อสร้างโรงงานแยกกาซที่สุโขทัย เริ่มดำเนินการแล้ว ผลิตLPG NGV ออกมาขาย
มีโครงการยี่สิบ เริ่มไปแล้วห้าโครงการ ผลิดกาซธรรมชาติ 21 โรงงาน
Solar rooftop 13 megawatt oct จ่ายให้การไฟฟ้า
พลังงานทดแทนจะเป็นก้าวกระโดด คิดเป็นครึ่งหนึ่งในปีหน้า แต่ธุรกิจเดิมจะโต 15%
รัฐบาลมีนโยบายด้านพลังงานทางเลือกอย่างไร
นโยบายของพลังงงาน เราได้นำเข้าเป็นหลัก สูงสุดได้แก่พลังงาน น้ำมัน ที่มีอยู่สามารถทำได้ทันที คือพลังงานทางเลือก รัฐบาลได้สนับสนุนแต่ไม่ได้แจ้ง ก่อนรัฐประหารได้ตั้ง Biogas 3000 Mwatt
คิดเป็นโรงงาน 1500 โรง
ต้นทุนอยู่ที่ไหน รํฐบาลพยายาม ลดการ subsidize LPG
LPG ขายลิตรละ สิบบาท แต่ราคาตลาด สามสิบบาท
UAC ขายไม่ถึงสิบห้าบาท น่าจะได้ประโยชน์จากรัฐบาล
ปันผล 40% เน้นทางพลังงานทดแทน เป็นหลัก การระดมเงินเพิ่มยังไม่มี นอกจากมีโครงการใหม่ เนื่องจาก ดีอี แค่0.8 สามารถกู้ได้
ความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยนจากการนำเข้า ต้องทำ forward
2. ถิรไทย
เป็นธุรกิจหลักทำหม้อแปลงไฟฟ้า มีการขยายการใช้ไฟฟ้า ธุรกิจก็ดีขึ้น ขายหม้อแปลงเพื่อเก็บไฟได้มากขึ้น
สองปีที่แล้วเริ่มขายของที่เกี่ยวข้อง เช่น รถกระเช้าไฟฟ้าจากอเมริกา ไปซ่อมเสาไฟฟ้าแรงสูง ค่อนข้างดี การไฟฟ้าเป็นลูกค้าหลัก
เริ่ม ทำ switch gear จากจีน นำชิ้นส่วนมาประกอบ
ธุรกิจที่สาม take over supplierธุรกิจ ทำตัวถังหม้อแปลง และ ชิ้นส่วน จากธุรกิจอืน
โครงสร้างสายพานลำเลียง ขี้เถ้า ได้รับจาก โรงไฟฟ้าหงสา มูลค่า 450 ล้านส่งมอบ ไตรมาสสามถึงหนึ่งปีหน้า
คาดว่าเติบโตได้
ตั้งเป้า อีกสองปี มีรายได้อื่น ถึง 25%ตลาด หม้อแปลง 80% ตปท 20%
สินค้าใหม่ต้องการเพิ่มถึง 25% เพื่อกระจายความเสี่ยง
รายรับมีปัญหา การรรับรู้รายได้ไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางไตรมาส ต่ำ หรือสูง บางทีไตรมาสสุดท้าย เท่า สามไตรมาสรวมกัน เป็นคำถามของนักลงทุนเสมอ
Backlog start now to 2559
การเติบโตในปีนี้ 20%ปีหน้าจะโต 15%
ความเสี่ยงหลัก
มีตลาดรองรับตลอดเวลา ไม่ถูกผลกระทบในระยะสั้น เช่น พย ที่ผ่านมาไม่โดนกระทบ เพราะ มีการสั่งล่วงหน้าบางครั้ง สาม ถึง สี่ปี แต่รายได้แต่ละไตรมาส ไม่สม่ำเสมอไม่ต้องตกใจ กำไรสวิงมากเนื่องจากการส่งมอบ
บริษัทได้ประกาศชัดเจน ปันผลทุกปีไม่ต่ำกว่า 50% warrant เหลืออีก 18 เดือน หุ้นกู้มีอยู่ และรุ่นใหม่ไม่มีเงื่อนไข ขายได้ทุกคน
ปิดท้ายด้วยดร นิเวศน์มาให้ความเห็นต่อหุ้นที่เสนอมา
อจ เก็บเงินสดเป็นปี หาหุ้นลงไม่ได้ MOS ไม่ค่อยมี ราคาขึ้นมาเยอะ ถ้าสถานการณ์ไม่ค่อยดี อาจพลาดได้ ตอนนี้ถือเงินสดประมาณ 6-7%
ถ้าหุ้นขึ้นในปลายปีอีก 100 จุด จะค่อยๆขายไป
อจ ไพบูลย์ แซวว่า ผิด concept ของ สัมมนา ที่ชวนให้ลงทุน 555
มาฟังดร พูดต่อดีกว่า
ภาพใหญ่ของประเทศไทย 4-5 ปีที่ผ่านมา ทนทายาด เกิดอะไรขึ้นมา ลงนิดหน่อย และ ขึ้นต่อ ไม่ยอมลง
มีข้อสรุป 1. กระแสเงิน คนไทยเข้ามาลงทุนหุ้นเพิ่มขึ้น คนจบใหม่ ก็มาลงทุนเลย หรือคนอายุ 30-40 ปีที่ไม่มีความรู้เรื่องลงทุน และไม่กล้าลงทุนมาก่อนก็เข้ามาลงทุนกันโดยไม่กลัวเหมือนเมื่อก่อน คนเข้ามาเยอะ หุ้นตก แต่ก่อนคนหนี แต่ตอนนี้หุ้นตกมีคนเข้ามาซื้อ อัตราดอกเบี้ยต่ำยาวมาก ฝากเงินได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป ตอนเกษียณ เงินไม่พอใช้จ่าย คนก็เลยเข้าตลาดหุ้นกันใหญ่ ฝรั่งขาย 300,000 ล้านUS แต่ รายย่อยรับหมด 555
เวลาหุ้นขึ้นเรื่อยๆ แรงจัด และ มีโอกาสลงตอนปลายๆ พรึบเดียว ก็ลงเล บทจะลง ก็ลงเร็วมาก
ผลประกอบการหุ้นตัวเล็กก็มากกว่าตัวใหญ่ ค่า PE กระโดดจาก 10 กว่าทขึ้นแรงมาจากเหตุผล กำไรกระโดดเป็นเท่าตัว แต่ PE กระโดดเยอะกว่า ราคาหุ้นขึ้นไป4-5 เท่า แต่กำไรขึ้นไปแค่เท่าเดียว การเติบโตของบางบริษัท Market cap เท่ากับบ้านปูเลย
พอดอกเบี้ยกระตุกขึ้นมา จากต่างชาติ ขึ้นก่อน ไทยก็มีโอกาสขึ้นเหมือนกัน ตัวใครตัวมันแล้ว ระวังเศรษฐกิจดี อะไรดีหมด ตลาดหุ้นจะตกได้
ธุรกิจพลังงานทางเลือกตอนนี้บูมมาก เหมือนธุรกิจ Dot com ของอเมริกา ซึ่งต่อมาก็ตกหนัก มากเพราะ คนลงทุนโดยคาดการณ์แต่กำไรอนาคตอย่างเดียว ซึ่งดร ให้ข้อคิดดีมาก ถึงไม่ได้วิเคราะห์หุ้นที่นักวิเคราะห์ให้มา แต่ให้มุมมองภาพกว้าง และ เตือนพวกเราให้ระวัง ตลาดหุ้นขึ้นสูงก็ลงแรง
ขอให้เพื่อนๆระมัดระวังการลงทุนหลังจากนี้ให้ดีนะครับ ขอให้ทุกคนสมหวังในการลงทุน
คุณสุกิจ ตอบว่า
กลุ่มที่ราคาหุ้นไม่ค่อยฟื้นตัว เช่น กลุ่ม สื่อสาร พลังงาน สื่อ อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ กลุ่มขนส่ง ที่เป็นท่องเที่ยว การบิน ราคายังไม่สะท้อน แต่มีโอกาสจาก การผ่อนคลายข้อจำกัดมาท่องเที่ยว
กลุ่มรับเหมา ก่อสร้าง และ วัสดุก่อสร้าง จะดีหลังการประมูลงานใหม่ โดยปกติโครงการที่มีอยู่ของรัฐไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการน่าจะได้บทเรียนจากที่ผ่านมา และ โครงการค่อยๆอนุมัติ ทยอยทำ ดังนั้นจะไม่เจอปัญหาการแย่งแรงงานกัน ดังนั้นน่าจะไม่กดดันมาก นอกจากนี้ภาครัฐมีการจัดการแรงงานต่างด้าว จดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องด้วย
กลุ่มที่เสี่ยงในมุมมองของคุณสุกิจ การบริโภคยังไม่ฟื้นตัวเพราะ หนี้สาธารณะยังอยู่ ชาวนาได้รับเงินก็ชำระหนี้ ไม่ค่อยมีเงินเหลือมาบริโภค และ ราคาสินค้าเกษตรยังไม่ปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นกลุ่มบริโภคในระยะสั้นไม่ค่อยดี ระยะยาวยังดีอยู่
คุณภรณี ได้ให้มุมมองในส่วนของกลุ่มที่น่าสนใจ โดยมองที่กำไรของตลาด 98 บาท ประมาณ 7% ซึ่งต่างกับ คุณสุกิจ ซึ่งประมาณไว้ 107 บาท
มอง sector ที่กำไรดีกว่าตลาด เช่น โต 30% เช่น ICT : ไทยคม JAS DTAC , ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ , Commerce , พลังงาน ปิโตรเคมี แต่ราคากลุ่มที่กล่าวมาขึ้นมาเยอะแล้ว ดังนั้น ไปหาหุ้นที่ถูก ที่อาจโดนกระทบจากนโยบาย เช่น Advance , ไทยคม
กลุ่มน้ำมัน ทีถูกกดดันจากคสช ( PTT ) ซึ่งราคาไม่ค่อยขยับเท่าไหร่
กลุ่มที่เติบโตดี PE ถูก เช่น ANAN อันอัน กำไรค่อนข้างโต หรือ KSL , SCC , Advance
กลุ่มปันผลสูง ASK yield 7% , SC หลายคนไม่ชอบเพราะอิงการเมือง , BECL ขนส่ง , PTT , BCP
หุ้นในตลาด MAI โดยดูที่ กระแสเงินสดดี สะท้อนสุขภาพทางการเงินที่ดีเยี่ยม และ PE ไม่แพงมาก เมื่อเทียบกับในกลุ่ม
1. โรงพยาบาลใน Mai มีตัวเดียว คือ ไทยนครินทร์ สภาพคล่องสูง กระแสเงินสดดี สามารถจ่ายปันผล หรือ ลงทุนขยาย หนี้สินน้อย ตอนนี้ก็กำลังหาที่สร้างรพ ใหม่ เพราะ ที่เดิมเช่าอยู่ ต้องทำสัญญาทุกปี ซึ่งเป็นความเสี่ยงของกิจการ
เมื่อเทียบกับรพ ขนาดใหญ่ เช่น รพ กรุงเทพ หรือ บำรุงราษฎร์ ซึ่งราคาแพงเพราะมีข่าวควบรวมกับรพ ขนาดเล็ก ที่มีกำไรดี PE ต่ำ
แล้ว ไทยนครินทร์เป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน
2. ยูบิลลี่ ตอนนี้มีสาขา 114สาขาแล้ว PE 16-17 เท่า กำไรโต 20% ต่อปี ยอดขาย SSS โตตลอดและยังมีรายได้จากสาขาที่เปิดใหม่ สามารถเปิดสาขาโดยใช้เงินกำไรจากกิจการ สุขภาพการเงินค่อนข้างดี สินค้าขายง่าย ราคาต่อชิ้น 50,000 บาท
ดร.วิศิษฐ์ พูดถึง MAI จะให้ผลตอบแทนดี เมื่อ เศรษฐกิจโต
ดังนั้น หุ้นที่มีผลตอบแทนดี เนื่องมาจาก
1. มี Business model ที่ดี เช่น สหการประมูล ให้ผลตอบแทนจากต้นปี 164% ซึ่งสูงสุด ในตลาด MAI หมอ เคไม่ค่อยอยากพูดถึง เพราะพลาดไม่ได้ซื้อตัวนี้ 555
2. บริษัททีมี Market cap เท่ากับ cash มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น
3. บริษัทโฆษณาที่มีลูกค้าในมือที่ royaltyต่อบริษัท ถือเป็น Intangible asset ได้
4. บริษัทที่ทำcredit card ที่มีฐานลูกค้ามาก ถือเป็น สินทรัพย์ซ่อนเร้นได้
5. บริษัทที่มี PB น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1
ถ้าดอกเบี้ยต่ำ ในตลาด US , EU จะเห็นการทำ leverage buyout ซึ่งมักเกิดในช่วงดอกเบี้ยต่ำ EFORL ก็เป็น แนะนำหนังสือของตลท ที่รวบรวมบริษัทในตลาด MAI ยังมีหินที่สามารถพลิกหา เผื่อเจอเป็นเพชรได้
เรามาดูแนวการลงทุนของคุณสุกิจบ้าง
วิธีการลงทุนใน MAI แต่งจาก SET เป็นการลงทุนระยะยาว หลายทุกธุรกิจจะครอบคลุมเพื่อรองรับ AEC ที่จะเกิดขึ้นอันใกล้ ความหวังเชิงบวก ถ้าเปิด AEC แล้ว ดังนั้น น่ามองว่าเป็นการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นไม่ใหญ่ สภาพคล่องไม่ค่อยมาก มีความผันผวนเป็นระยะ ในช่วงตลาด ตกหนักช่วง พค 56 หุ้นก็ตกเยอะมาก จากสภาพคล่องน้อย แต่ความเสี่ยงของ fundamental จะต่ำกว่า SET
เน้นฝั่งด้านพลังงาน เพราะมีความมั่นคง มีgrowthโดยเฉพาะพลังงานทางเลือก เช่น
UACโครงสร้างรายได้ มีธุรกิจ สองอย่าง
1.นำเข้าสารเคมี ใช้ใน ปตท ปูน ทั้งปลายน้ำ ขุดเจาะ
อีกธุรกิจ เจ็ดปีที่แล้วผลิตไบโอดีเซล ถือ 30% บางจากถือ 70%
หลังโรงงานที่สามเสร็จ จะเป็นอันดับทีสอง V7 เป็นพลังงานทดแทน
ผลิต Biogas เปลี่ยนสภาพเป็น เอ็นจีวี ปตทส่งรถมารับ เป็นเวลา ยี่สิบปี
อีกโรงงาน บ่อน้ำนัน แกสที่ออกมาจากน้ำมันดิบ
มีบริษัท ราชบุรี นำมาทำต่อ
ก่อสร้างโรงงานแยกกาซที่สุโขทัย เริ่มดำเนินการแล้ว ผลิตLPG NGV ออกมาขาย
มีโครงการยี่สิบ เริ่มไปแล้วห้าโครงการ ผลิดกาซธรรมชาติ 21 โรงงาน
Solar rooftop 13 megawatt oct จ่ายให้การไฟฟ้า
พลังงานทดแทนจะเป็นก้าวกระโดด คิดเป็นครึ่งหนึ่งในปีหน้า แต่ธุรกิจเดิมจะโต 15%
รัฐบาลมีนโยบายด้านพลังงานทางเลือกอย่างไร
นโยบายของพลังงงาน เราได้นำเข้าเป็นหลัก สูงสุดได้แก่พลังงาน น้ำมัน ที่มีอยู่สามารถทำได้ทันที คือพลังงานทางเลือก รัฐบาลได้สนับสนุนแต่ไม่ได้แจ้ง ก่อนรัฐประหารได้ตั้ง Biogas 3000 Mwatt
คิดเป็นโรงงาน 1500 โรง
ต้นทุนอยู่ที่ไหน รํฐบาลพยายาม ลดการ subsidize LPG
LPG ขายลิตรละ สิบบาท แต่ราคาตลาด สามสิบบาท
UAC ขายไม่ถึงสิบห้าบาท น่าจะได้ประโยชน์จากรัฐบาล
ปันผล 40% เน้นทางพลังงานทดแทน เป็นหลัก การระดมเงินเพิ่มยังไม่มี นอกจากมีโครงการใหม่ เนื่องจาก ดีอี แค่0.8 สามารถกู้ได้
ความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยนจากการนำเข้า ต้องทำ forward
2. ถิรไทย
เป็นธุรกิจหลักทำหม้อแปลงไฟฟ้า มีการขยายการใช้ไฟฟ้า ธุรกิจก็ดีขึ้น ขายหม้อแปลงเพื่อเก็บไฟได้มากขึ้น
สองปีที่แล้วเริ่มขายของที่เกี่ยวข้อง เช่น รถกระเช้าไฟฟ้าจากอเมริกา ไปซ่อมเสาไฟฟ้าแรงสูง ค่อนข้างดี การไฟฟ้าเป็นลูกค้าหลัก
เริ่ม ทำ switch gear จากจีน นำชิ้นส่วนมาประกอบ
ธุรกิจที่สาม take over supplierธุรกิจ ทำตัวถังหม้อแปลง และ ชิ้นส่วน จากธุรกิจอืน
โครงสร้างสายพานลำเลียง ขี้เถ้า ได้รับจาก โรงไฟฟ้าหงสา มูลค่า 450 ล้านส่งมอบ ไตรมาสสามถึงหนึ่งปีหน้า
คาดว่าเติบโตได้
ตั้งเป้า อีกสองปี มีรายได้อื่น ถึง 25%ตลาด หม้อแปลง 80% ตปท 20%
สินค้าใหม่ต้องการเพิ่มถึง 25% เพื่อกระจายความเสี่ยง
รายรับมีปัญหา การรรับรู้รายได้ไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางไตรมาส ต่ำ หรือสูง บางทีไตรมาสสุดท้าย เท่า สามไตรมาสรวมกัน เป็นคำถามของนักลงทุนเสมอ
Backlog start now to 2559
การเติบโตในปีนี้ 20%ปีหน้าจะโต 15%
ความเสี่ยงหลัก
มีตลาดรองรับตลอดเวลา ไม่ถูกผลกระทบในระยะสั้น เช่น พย ที่ผ่านมาไม่โดนกระทบ เพราะ มีการสั่งล่วงหน้าบางครั้ง สาม ถึง สี่ปี แต่รายได้แต่ละไตรมาส ไม่สม่ำเสมอไม่ต้องตกใจ กำไรสวิงมากเนื่องจากการส่งมอบ
บริษัทได้ประกาศชัดเจน ปันผลทุกปีไม่ต่ำกว่า 50% warrant เหลืออีก 18 เดือน หุ้นกู้มีอยู่ และรุ่นใหม่ไม่มีเงื่อนไข ขายได้ทุกคน
ปิดท้ายด้วยดร นิเวศน์มาให้ความเห็นต่อหุ้นที่เสนอมา
อจ เก็บเงินสดเป็นปี หาหุ้นลงไม่ได้ MOS ไม่ค่อยมี ราคาขึ้นมาเยอะ ถ้าสถานการณ์ไม่ค่อยดี อาจพลาดได้ ตอนนี้ถือเงินสดประมาณ 6-7%
ถ้าหุ้นขึ้นในปลายปีอีก 100 จุด จะค่อยๆขายไป
อจ ไพบูลย์ แซวว่า ผิด concept ของ สัมมนา ที่ชวนให้ลงทุน 555
มาฟังดร พูดต่อดีกว่า
ภาพใหญ่ของประเทศไทย 4-5 ปีที่ผ่านมา ทนทายาด เกิดอะไรขึ้นมา ลงนิดหน่อย และ ขึ้นต่อ ไม่ยอมลง
มีข้อสรุป 1. กระแสเงิน คนไทยเข้ามาลงทุนหุ้นเพิ่มขึ้น คนจบใหม่ ก็มาลงทุนเลย หรือคนอายุ 30-40 ปีที่ไม่มีความรู้เรื่องลงทุน และไม่กล้าลงทุนมาก่อนก็เข้ามาลงทุนกันโดยไม่กลัวเหมือนเมื่อก่อน คนเข้ามาเยอะ หุ้นตก แต่ก่อนคนหนี แต่ตอนนี้หุ้นตกมีคนเข้ามาซื้อ อัตราดอกเบี้ยต่ำยาวมาก ฝากเงินได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป ตอนเกษียณ เงินไม่พอใช้จ่าย คนก็เลยเข้าตลาดหุ้นกันใหญ่ ฝรั่งขาย 300,000 ล้านUS แต่ รายย่อยรับหมด 555
เวลาหุ้นขึ้นเรื่อยๆ แรงจัด และ มีโอกาสลงตอนปลายๆ พรึบเดียว ก็ลงเล บทจะลง ก็ลงเร็วมาก
ผลประกอบการหุ้นตัวเล็กก็มากกว่าตัวใหญ่ ค่า PE กระโดดจาก 10 กว่าทขึ้นแรงมาจากเหตุผล กำไรกระโดดเป็นเท่าตัว แต่ PE กระโดดเยอะกว่า ราคาหุ้นขึ้นไป4-5 เท่า แต่กำไรขึ้นไปแค่เท่าเดียว การเติบโตของบางบริษัท Market cap เท่ากับบ้านปูเลย
พอดอกเบี้ยกระตุกขึ้นมา จากต่างชาติ ขึ้นก่อน ไทยก็มีโอกาสขึ้นเหมือนกัน ตัวใครตัวมันแล้ว ระวังเศรษฐกิจดี อะไรดีหมด ตลาดหุ้นจะตกได้
ธุรกิจพลังงานทางเลือกตอนนี้บูมมาก เหมือนธุรกิจ Dot com ของอเมริกา ซึ่งต่อมาก็ตกหนัก มากเพราะ คนลงทุนโดยคาดการณ์แต่กำไรอนาคตอย่างเดียว ซึ่งดร ให้ข้อคิดดีมาก ถึงไม่ได้วิเคราะห์หุ้นที่นักวิเคราะห์ให้มา แต่ให้มุมมองภาพกว้าง และ เตือนพวกเราให้ระวัง ตลาดหุ้นขึ้นสูงก็ลงแรง
ขอให้เพื่อนๆระมัดระวังการลงทุนหลังจากนี้ให้ดีนะครับ ขอให้ทุกคนสมหวังในการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณมากๆครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 183
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 8
ละเอียดมาก อ่านจบแทบจะก้มลงไปกราบหน้าคอม ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5620
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณมากครับ
วินัย + แผนการ + ลงรายละเอียด => ขุดหุ้น
fb fanpage : https://www.facebook.com/stockinvestigator
fb fanpage : https://www.facebook.com/stockinvestigator
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณมากครับ