ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 1
ควรจะกี่เปอร์เซนต์ดีครับ
ทั้งพื้นฐานและเทคนิค ล้วนมีความสำัคัญยิ่งต่อการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 2
ตามความรู้ความสามารถครับ ไม่มีตัวเลขที่แน่นอน
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
- Muffin
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
ผมว่าสำคัญที่รายจ่ายครับ
โพสต์ที่ 4
ผมว่าสำคัญที่รายจ่ายครับ
ตอบเป็น % ลำบาก เพราะว่า รายจ่ายที่ลดไม่ได้ จะเป็น minimum ของรายจ่าย ที่เป็นตัวจำกัด เงินส่วนเกินที่เกิดจากรายได้หักค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ถ้า รายได้เพิ่ม แต่สามารถ control รายจ่ายได้ดี ไม่ให้เพิ่มตาม
เงินในส่วนนี้ ก็ควรจะเก็บมาลงทุนได้เพิ่มครับ
ของผม มักจะใช้เงินกับค่าใช้จ่ายด้านบันเทิงมากเกินไป ทำให้เก็บตังได้น้อย
ตอบเป็น % ลำบาก เพราะว่า รายจ่ายที่ลดไม่ได้ จะเป็น minimum ของรายจ่าย ที่เป็นตัวจำกัด เงินส่วนเกินที่เกิดจากรายได้หักค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ถ้า รายได้เพิ่ม แต่สามารถ control รายจ่ายได้ดี ไม่ให้เพิ่มตาม
เงินในส่วนนี้ ก็ควรจะเก็บมาลงทุนได้เพิ่มครับ
ของผม มักจะใช้เงินกับค่าใช้จ่ายด้านบันเทิงมากเกินไป ทำให้เก็บตังได้น้อย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 5
ขึ้นกับฐานเงินเดือน และสภาพครับ
แต่ถ้าเป็นเด็กๆ เนี่ยะ สัก 20% ขึ้นไปครับ
ถ้าตัวคนเดียวนะครับ ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก
ถ้าเงินเดือนสัก 10000 ต้องมีเก็บอย่างน้อย 20%
ถ้าเงินเดือนสัก 20000 ต้องมีเก็บเกินครึ่งครับ
แต่ผมทำบ่ได้นะ :lol:
ผมส่วนใหญ่รดรายจ่ายไม่ค่อยได้ครับ มีแต่เพิ่ม :lol:
แต่ถ้าเป็นเด็กๆ เนี่ยะ สัก 20% ขึ้นไปครับ
ถ้าตัวคนเดียวนะครับ ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก
ถ้าเงินเดือนสัก 10000 ต้องมีเก็บอย่างน้อย 20%
ถ้าเงินเดือนสัก 20000 ต้องมีเก็บเกินครึ่งครับ
แต่ผมทำบ่ได้นะ :lol:
ผมส่วนใหญ่รดรายจ่ายไม่ค่อยได้ครับ มีแต่เพิ่ม :lol:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 64
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 7
แล้วแต่เป้าหมายครับ ถ้าเป้าหมายคือ ร่ำรวย ก็ต้องเก็บเงินมาลงทุนมากหน่อยครับ (ผมว่าอย่างน้อยต้องสักครึ่งหนึ่งของเงินเดือน) แต่ถ้าเป้าหมายแค่อยู่อย่างสบาย เก็บสัก 10-20% ของเงินเดือนก็พอ ถ้าเป็นข้าราชการมีบำนาญใช้เพียงพอและพอใจแค่นั้น อาจไม่ต้องเก็บเลยก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับดังนั้น ถ้า รายได้เพิ่ม แต่สามารถ control รายจ่ายได้ดี ไม่ให้เพิ่มตาม
เงินในส่วนนี้ ก็ควรจะเก็บมาลงทุนได้เพิ่มครับ
ทั้งพื้นฐานและเทคนิค ล้วนมีความสำัคัญยิ่งต่อการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 777
- ผู้ติดตาม: 0
อายุกับการลงทุน
โพสต์ที่ 9
สำหรับคนที่มีอายุ 20 ปี ถึง 30 ปี
ถือเป็นวัยที่เริ่มการทำงาน ยังไม่มีภาระต้องรับผิดชอบมากนัก
และยังเป็นวัยที่ยังสามารถหารายได้อีกนานในอนาคต ช่วงอายุขนาดนี้เป็น
วัยที่ได้เปรียบในการลงทุนมากที่สุด เพราะสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า
จึงลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงได้มากกว่า เพราะถึงแม้ว่าจะมี
โอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นสูง ถ้าเสียเงินไปจริงก็ยังมีเวลาอีกนานเพื่อหาราย
ได้มาทดแทน ทั้งยังไม่มีครอบครัวที่ต้องดูแล
สำหรับการลงทุนของคนอายุช่วงนี้ อาจจะนำ 90% ของเงินออมไปลงทุนใน
หุ้นได้ แต่ไม่ใช่การซื้อหุ้นแบบเก็งกำไรนะ หรือการซื้อมาขายไป แต่เป็นการ
ลงทุนในหุ้นระยะยาว เพราะจากสถิติของต่างประเทศพบว่า การลงทุนในหุ้นมี
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดแม้ว่าจะมีความผันผวนคือเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แต่
ถึงอย่างไรในระยะยาวแล้วหุ้นมีโอกาสพุ่งขึ้นได้คือกำไรเสมอนะครับ ส่วนการ
เลือกซื้อหุ้นนั้นควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเลือกบริษัทที่เอาตัวรอดได้
แล้วซื้อทิ้งไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสที่ได้กำไรสูงมากเพราะเวลาช่วยลดความ
เสี่ยงในการขึ้น ๆ ลง ๆ ของหุ้นได้มาก
ส่วนเงินออมที่เหลืออีก 10% ควรเก็บไว้ในรูปเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้
ต่าง ๆเช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ต่างๆ ที่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูง
มีอัตราผลตอบแทนที่แน่นอน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับตัวเอง
สำหรับคนที่มีอายุในช่วง 31 ปี ถึง 40 ปี
เป็นช่วงที่หน้าที่การงานเริ่มก้าวหน้ามีรายได้สูงขึ้นแต่รายจ่ายก็สูงขึ้นเป็นเงา
ตามตัว เพราะ เป็นวัยที่เริ่มสร้างครอบครัว แต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีภาระ
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยนี้จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงจาก
เดิมที่มี 90% ก็น่าจะลดลงมาเหลือประมาณ 50% เพราะเริ่มรับความเสี่ยงได้
น้อยลง เนื่องจากเป็นวัยที่มีภาระผูกพัน คือมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู
เงินอีก 50% จึงควรไปไว้ในหลักทรัพย์ที่เสี่ยงต่อเงินต้นหรือการรอเวลาน้อย
ลง อย่างเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ต่างๆ
ในช่วงอายุ 41 ปี ถึง 50 ปี
ถือเป็นช่วงที่มีรายได้สูงสุดมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ก็เป็นช่วงที่มี
รายจ่ายสูงที่สุดเช่นกัน ทั้งค่าจับจ่ายใช้สอย หรือค่าเล่าเรียนบุตร ฯลฯ
การลงทุนของคนวัยนี้จะเน้นให้นำเงินออมส่วนใหญ่หรือ 70% ไปไว้ในที่
ปลอดภัย เพราะมีเวลาที่จะหารายได้เหลืออีกไม่กี่ปี เงินที่มีอยู่ควรรักษาไว้ใช้
ตอนไม่มีรายได้แล้ว ไม่ควรนำไปลงทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่านี้ และควรกัน
ส่วนที่เหลืออีก 30%มาลงทุนในหุ้นระยะยาวเพื่อเพิ่มพูนเงินออมให้มากขึ้น
นอกเหนือจากดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก
ส่วนผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
บางคนก็ไม่มีรายได้แล้วบางคนเหลือเวลาที่จะหารายได้อีกไม่ถึง 5 ปี
ไม่มีเวลาพอสำหรับการลงทุนในระยะยาวอีกต่อไป เป็นช่วงที่ยอมรับ
ความเสี่ยงได้น้อยที่สุด เงินออมเกือบทั้งหมดที่มี คือ 90% ควรนำไป
ฝากธนาคารไว้กินดอกเบี้ย หรือไปซื้อตราสารหนี้ต่างๆ ก็จะได้ผลตอบแทนที่
มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และอาจจะแบ่งเพียง 10% ไปลงทุนซื้อหุ้นเพื่อหวัง
ให้ได้กำไรสูงขึ้น แต่หากว่าผิดคาดเกิดสูญเงินก้อนนี้ไปบางส่วน ก็คงไม่
กระทบกระเทือนฐานะการเงินโดยรวมมากนัก
หมายเหตุ: เก็บตกจากเว็บนักศึกษาแข่งขันแห่งหนึ่ง ชื่อ KATANG
http://chiangmai02.mfcwebactivity.com/index.php
ถือเป็นวัยที่เริ่มการทำงาน ยังไม่มีภาระต้องรับผิดชอบมากนัก
และยังเป็นวัยที่ยังสามารถหารายได้อีกนานในอนาคต ช่วงอายุขนาดนี้เป็น
วัยที่ได้เปรียบในการลงทุนมากที่สุด เพราะสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า
จึงลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงได้มากกว่า เพราะถึงแม้ว่าจะมี
โอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นสูง ถ้าเสียเงินไปจริงก็ยังมีเวลาอีกนานเพื่อหาราย
ได้มาทดแทน ทั้งยังไม่มีครอบครัวที่ต้องดูแล
สำหรับการลงทุนของคนอายุช่วงนี้ อาจจะนำ 90% ของเงินออมไปลงทุนใน
หุ้นได้ แต่ไม่ใช่การซื้อหุ้นแบบเก็งกำไรนะ หรือการซื้อมาขายไป แต่เป็นการ
ลงทุนในหุ้นระยะยาว เพราะจากสถิติของต่างประเทศพบว่า การลงทุนในหุ้นมี
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดแม้ว่าจะมีความผันผวนคือเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แต่
ถึงอย่างไรในระยะยาวแล้วหุ้นมีโอกาสพุ่งขึ้นได้คือกำไรเสมอนะครับ ส่วนการ
เลือกซื้อหุ้นนั้นควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเลือกบริษัทที่เอาตัวรอดได้
แล้วซื้อทิ้งไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสที่ได้กำไรสูงมากเพราะเวลาช่วยลดความ
เสี่ยงในการขึ้น ๆ ลง ๆ ของหุ้นได้มาก
ส่วนเงินออมที่เหลืออีก 10% ควรเก็บไว้ในรูปเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้
ต่าง ๆเช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ต่างๆ ที่มีความปลอดภัยของเงินต้นสูง
มีอัตราผลตอบแทนที่แน่นอน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับตัวเอง
สำหรับคนที่มีอายุในช่วง 31 ปี ถึง 40 ปี
เป็นช่วงที่หน้าที่การงานเริ่มก้าวหน้ามีรายได้สูงขึ้นแต่รายจ่ายก็สูงขึ้นเป็นเงา
ตามตัว เพราะ เป็นวัยที่เริ่มสร้างครอบครัว แต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีภาระ
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยนี้จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงจาก
เดิมที่มี 90% ก็น่าจะลดลงมาเหลือประมาณ 50% เพราะเริ่มรับความเสี่ยงได้
น้อยลง เนื่องจากเป็นวัยที่มีภาระผูกพัน คือมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู
เงินอีก 50% จึงควรไปไว้ในหลักทรัพย์ที่เสี่ยงต่อเงินต้นหรือการรอเวลาน้อย
ลง อย่างเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ต่างๆ
ในช่วงอายุ 41 ปี ถึง 50 ปี
ถือเป็นช่วงที่มีรายได้สูงสุดมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ก็เป็นช่วงที่มี
รายจ่ายสูงที่สุดเช่นกัน ทั้งค่าจับจ่ายใช้สอย หรือค่าเล่าเรียนบุตร ฯลฯ
การลงทุนของคนวัยนี้จะเน้นให้นำเงินออมส่วนใหญ่หรือ 70% ไปไว้ในที่
ปลอดภัย เพราะมีเวลาที่จะหารายได้เหลืออีกไม่กี่ปี เงินที่มีอยู่ควรรักษาไว้ใช้
ตอนไม่มีรายได้แล้ว ไม่ควรนำไปลงทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่านี้ และควรกัน
ส่วนที่เหลืออีก 30%มาลงทุนในหุ้นระยะยาวเพื่อเพิ่มพูนเงินออมให้มากขึ้น
นอกเหนือจากดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก
ส่วนผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
บางคนก็ไม่มีรายได้แล้วบางคนเหลือเวลาที่จะหารายได้อีกไม่ถึง 5 ปี
ไม่มีเวลาพอสำหรับการลงทุนในระยะยาวอีกต่อไป เป็นช่วงที่ยอมรับ
ความเสี่ยงได้น้อยที่สุด เงินออมเกือบทั้งหมดที่มี คือ 90% ควรนำไป
ฝากธนาคารไว้กินดอกเบี้ย หรือไปซื้อตราสารหนี้ต่างๆ ก็จะได้ผลตอบแทนที่
มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และอาจจะแบ่งเพียง 10% ไปลงทุนซื้อหุ้นเพื่อหวัง
ให้ได้กำไรสูงขึ้น แต่หากว่าผิดคาดเกิดสูญเงินก้อนนี้ไปบางส่วน ก็คงไม่
กระทบกระเทือนฐานะการเงินโดยรวมมากนัก
หมายเหตุ: เก็บตกจากเว็บนักศึกษาแข่งขันแห่งหนึ่ง ชื่อ KATANG
http://chiangmai02.mfcwebactivity.com/index.php
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ท่านที่ทำงานประจำ แบ่งเงินมาลงทุนกี่ % ของเงินเดือน
โพสต์ที่ 10
น้อยที่สุด คือ 20% มากที่สุดคือ กู้มาเพิ่มด้วย