การขับรถ กับการลงทุน

[noooon010]

ขออนุญาติเขียนข้อคิดที่ผมได้จากชีวิตประจำวันนะครับ ผมคิดว่าการับรถ คล้ายกับการลงทุนอยู่หลายข้อครับ

- อายุที่เริ่มขับรถ ตามกฏหมายเค้าระบุว่า ถ้าเป็นการขับรถส่วนนบุคคล ผู้ขับควรมีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะเค้าคิดว่า อายุ18 ปี น่าจะมี วุฒิภาวะ และวินัยจราจรพอสมควร การลงทุนก็อาศัย วุฒิภาวะ และวินัยการลงทุนครับ

- ทางที่เราจะขับไป เราสามารถศึกษาล่วงหน้าได้โดยการอ่านจากแผนที่ จาก Web site หรือถามเพื่อน
การลงทุนก็ทำเช่นเดียวกัน หากเราศึกษาบริษัทที่เราคิดจะลงทุนก่อนที่จะลงทุน การลงทุนน่าจะประสบความสำเร็จครับ(ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี)

เช่นกันครับ การสอบถามเพื่อนๆ เราก็อาจจะได้ไอเดียจากเพื่อนๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าเค้าบอกทางที่ถูกต้อง เราก็จะไปถูกทาง

เวลาเราจะไปสถานที่ใดที่หนึ่ง มันมีวิธีไปได้หลายทาง บางทางเราต้องเข้าไปในซอยแคบๆ บางทางเราต้องขับช้าๆทางบางทางอาจไม่เหมาะกับเรา

ดังนั้นเลือกสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
(เราต้องรู้จักตนเองก่อนครับ)

- พรุ่งนี้ หรือวันต่อๆไปในอนาคต บางครั้งเราก็ไปในสถานที่ที่ไม่แน่นอน บางครั้งเราไม่ทราบว่า รถจะติดหรือไม่ เราต้องใช้เวลาในการเดินทางนานแค่ไหน
บางทีเราง่วง เราเพลีย ก็ต้องพักผ่อน

การลงทุนก็เช่นเดียวกัน บางวันเราอาจเจอสิ่งที่เราไม่คาดฝัน
แต่สิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ปลอดภัย คือเราต้องมีหลัก มีวินัย มีสุขภาพกาย และใจที่แข็งแรงสมบูรณ์
วันไหนเหนื่อยมากๆก็ไปพักเสียก่อนครับ

- ทางที่คนแย่งกันไป รถจะติด เราจะทำเวลาในการเดินทางไม่ค่อยดี
กรณีหากเราต้องขับรถไปซื้อของ เราอาจไม่ได้ของที่เราต้องการซื้อ
และหลายครั้ง เวลาลูกค้าแย่งกัน แต่ของมีจำนวนไม่พอ เราอาจต้องเสียเงินมากขึ้น
และเราจะรู้สึกว่า ถ้าไม่ซื้อวันนี้ เราอาจไม่มีสิทธิได้ซื้ออีกเลยในราคานี้

แต่จริงๆแล้ว โอกาสซื้อของสิ่งนั้น อาจมาได้อีกเรื่อยๆครับ
หากเรารู้จักรอ

- บางทีเราต้องการพักบ้าง ไม่อยากขับรถ
เราต้องการขึ้นรถ taxi ขึ้นรถตู้ เราต้องเลือกดีๆ(หลายครัเงเค้าเปิดเผยข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ)
taxi ที่ดูสะอาด คนขับแต่งตัวดี อาจมีภัยแอบแฝงได้
มันก็เหมือนกับการที่เราไปฝากคนอื่นลงทุน หรือเราซื้อกองทุนรวม
ภาพภายนอกที่เราเห็น อาจไม่ตรงกับภายในที่เป็นครับ

- เวลาเราขับรถ แล้วเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน(น้องที่ผมรู้จักพึ่งเกิดเหตุยางรถระเบิด)
สติ และทักษะการขับรถนั้นสำคัญมากๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีชีวิตรอดต่อไปครับ

[noooon010]

- บางครั้งเราจะพบไอด้อลในการขับรถ หลายๆแนว บางคนขับแบบซิ่งสุดชีวิต บางคนขับระมัดระวังเกินไป

เลือกสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
...บางครั้งเราอาจลองกับบางแนวทาง แต่บางแนวทางอาจไม่เปิดโอกาสให้เราลองแนวทางอื่นๆอีก เช่นถ้าเราขับรถ แนวซิ่งสุดชีวิต เหยียบ 220 km/ชั่วโมง เราอาจไม่ได้ไปต่อ
มันก็เหมือนกับการลงทุนบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น Derivative
เราอาจเจอกับภาวะขาดทุนร้ายแรงจนทุนเราหมด หรือเราต้องมีหนี้สินพร้อมดอกเบี้ย หากเราไม่ระงับความโลภให้เหมาะกับความรู้ที่เรามีครับ

- การขับรถอาศัย เวลา และประสบการณ์
เราไม่สามารถเร่ง speed การเรียนรู้จนสมอง และร่างกายเรารับไม่ไหว
เราต้องการเวลา

หลายครั้งกิเลสทำให้เราอย่างเร่งความเร็ว อยากเร่งความรวยให้เท่าๆกับคนอื่นๆ

แต่เชื่อเถอะครับ
ว่าหลายครั้งที่เราเร่ง speed จนเกินไป
เราจะเจอกับ risk ที่มากขึ้น

เวลาเราเจอทางที่โล่งๆ เราอาจเร่งสปีดรถให้เร็วขึ้น
บางทีมันก็ดี แต่บางครั้ง เราอาจขับจนเลยเป้าหมายของเรา(มันทำให้เราไปผิดทาง เพราะเราเผลอติดใจกับความเร็วที่น่าจูงใจ)
บางครั้งเราเร่งสปีดรถ เราเปลี่ยนเลนโดยที่คิดว่ามันไม่เป็นอะไร
ไปๆมาๆเราอาจเจอกับรถที่จอดขวางอยู่ และเกิดอุบัติเหตุได้ครับ

- การสลับเลนไปมาระหว่างขับรถ มันก็เหมือนกับการที่คุณเปลี่ยนบริษัทที่ลงทุน บางทีมันก็เป็นการดี
แต่บางทีถ้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยๆคุณอาจเจออุบัติเหตุได้
โดยเฉพาะกับทาง(หรือบริษัท) ที่คุณไม่รู้จักมันดีพอครับ

อาจเขียนกระท่อน กระแท่นไปบ้าง ต้องขออภัยนะครับ ตรวจคนไข้ไป เวลาไม่มีคนไข้ก็เขียนข้อความไปครับ ><
ลมีความสติ มีความสุข และสนุกกับ(การขับรถและ)การลงทุนนะครับ

[ลูกหิน]

ขอบคุณมากครับ

[noooon010]

- เราสามารถศึกษาวิธีขับรถได้เสมอๆ บางวันเราพบเส้นทางใหม่ๆที่น่าสนใจ
เราก็ใช้เวลาศึกษา บางทีเราอาจต้องลองขับรถไปในเส้นทางนั้นดู ถ้ามันไม่เหมาะกับเรา เราก็ไม่เลือกสิ่งนั้น
อันนี้ก็คล้ายกับการลงทุนนะครับ เรามีอะไรให้ศึกษาอยู่เรื่อยๆไม่มีวันหมด เพียงแต่เราต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับเรา

- เวลาเราเข้าไปในซอยแคบๆ หรือทางโค้งที่ต้องระมัดระวังสูงๆ เราต้องมีสติ และไม่จิตตกไปกับเสียงรบกวน ไม่ว่าเสียงคนด่ากัน เสียงสุนัขเห่า เสียงคนพูดถึงข่าวลือต่างๆที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้

- กูรูการขับรถ บางครั้งก็เชื่อถือได้ บางครั้งก็เชื่อถือไม่ได้
แต่ก่อนคุณพ่อผมเคยฟังกูรูพูดในรายการเกี่ยวกับรถทางวิทยุ
กูรูบอกว่าพอรถจะตกเขา เราต้องทำแบบบนี้ๆ

แต่คุณพ่อผมบอกว่า ของจริงๆมันไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้น

หรือบางที กูรูบางท่าน อาจไม่สามารถทำแบบที่เค้าพูดให้เราฟัง หรือบางท่านอาจไม่เคยขับรถด้วยซ้ำ เพียงแต่เค้าแค่ "ขายคำแนะนำ"ในการขับรถ หรือการลงทุน

ดังนั้นเราต้องเสพสื่ออย่างมีสติ ปละใช้หลักกาลมสูตรครับ

- สิ่งจำเป็นบางอย่างเราควรสำรองไว้ เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
บางครั้งน้ำเปล่าเป็นสิ่งจำเป็นเวลาหม้อน้ำร้อน
บางทีเงินสดเป็นสิ่งจำเป็นเวลารถเสียกระทันหัน หรือเราต้องเดินทางไกลกว่าที่เราคิด แล้วเราต้องเติมน้ำมัน

...บางทีตลาดหุ้นก็ไม่เป็นแบบที่เราคิด และเงินสด ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งครับ

[noooon010]

- ปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยการเมือง ปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือ ข่าวลือต่างๆมีผลต่อการขับรถ หรือการเดินทางของเราได้เสมอ
บางครัเงรัฐบาลอาจสั่งให้ทุบสะพานข้ามแยก เพื่อที่จะสร้างรถไฟฟ้า
บางครั้งเราก็รอนโยบายการตัดถนนผ่านบริเวณที่เราต้องการเดินทาง

โดยส่วนใหญ่เวลามีเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น เรามักกังวล เราอาจตื่นตระหนก
แต่พอเวลาผ่านไป อะไรๆมันก็เคลียขึ้น

หลายครั้งอารมณ์มาทำให้ เราตัดสินใจเพียงชั่ววูบ แล้วมานั่งนึกเสียใจทีหลัง

เวลาเราเห็นรถว่าง ตำรวจก็ไม่มี บางทีสันชาตญานความมักง่ายคนเราจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก แอบขับผ่าไฟแดงก็ได้ ไม่มีใครเห็น
ซึ่งบางทีมันก็ยังปลอดภัย แต่บางครั้งก็มีรถวิ่งมาชนเรา

มันเหมือนกับการลงทุนตรงที่ถ้าเรามักง่าย
บางครัังเราได้ยินมาว่า หุ้นนี้เจ้ามือจะลากหุ้นตัวนี้ หรือมีเซียนหุ้นลงทุนกับหุ้นตัวนี้ด้วยเงินปริมาณมากมาย
เราไม่ทันได้ศึกษาอะไรเลย เราก็ซื้อหุ้นตามข่าวลือที่เราได้ยิน

สุดท้ายเราก็เสียค่าเล่าเรียนราคาแพงครับ

[noooon010]

- ผมเคยชื่นชอบคนที่ขับรถเข้าซอง หรือขับรถถอยหลังเก่งๆ โดยเฉพาะช่วงแรกๆของการขับรถ
เรารู้สึกว่า เค้าขับเก่งมาก เค้าน่าจะมีทักษะดีๆ ที่เก่งกว่าชาวบ้าน

เวลาเราเห็นกูรู หรือนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เราก็มักรู้สึกคล้ายๆกัน เราอาจรู้สึกว่าเค้าอาจมียีนของอัจฉริยะอยู่ในตัว เค้าเรียนรู้ได้เร็วกว่ามนุษย์ปกติ
แต่เรามักเห็นสิ่งต่างๆเมื่อมันมาถึงตอนท้ายๆเสมอ

จริงๆคนเหล่านั้นกว่าจะขับรถได้เก่งขนาดนี้ เค้าต้องมีชั่วโมงของประสบการณ์(ถ้าเป็นนักบิน เราจะเรียกว่าชั่วโมงบินครับ)
หลายครั้งเค้าลองผิด ลองถูก หลายครั้งเค้าพลาด อาจขับไปชนเสา หรือพลาดพลั้งได้

แต่นักขับรถ หรือนักลงทุนที่ดี จะรู้จัก ศึกษา เรียนรู้จากสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น

คำถามที่เราควรจะถามคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน จึงควรถามว่า
... การที่จะมาถึงจุดนี้ เค้าทำอย่างไร
เราจะได้คำตอบที่น่าเรียนรู้ และสามารถนำมาปรับ้กับตัวเราเอง
ซึ่งเป็นคำถามที่เหมาะสมกว่า คำถามที่ชอบถามว่า พอร์ตตอนนี้เท่าไหร่ เพราะเราอาจไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยครับ

[Sasueke]

ขอบคุณครับ

[Internship]

ขอบคุณมากครับ

[Paul VI]

เยี่ยมครับ หมอนุ่น

ขอบคุณครับ

[นายมานะ]

อ่านเพลินมากครับ ผมก็ชอบเปรียบเทียบการลงทุนกับการขับรถ แต่คุณ noooon010 เปรียบเทียบได้หลายแง่มุมกว่า และมีเหตุมีผลกว่ามากเลย เยี่ยมเลยครับ

[noooon010]

ขอบคุงทุกๆท่านนะครับ
พยายามจะเขียนอะไรเป็นสาระบ้างน่ะครับ ><

วันนี้ฝนตกหนัก ผมขับรถกลับบ้านมาดูภรรยาครับ(กำลังแพ้ท้อง)
ฝนตกหนักมากจนมองกระจกรถแทบไม่เห็น
ผมว่าเวลาฝนตกหนัก รถติด ใจเราก็ยิ่งวุ่นวาย
เหมือนเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวน เวลาดัชนีตกลงมามากๆ หรือขึ้นไปมากๆ คนเราจะเริ่มไม่แน่ใจในตนเอง
(ปกติคนเราจะตอบสนองต่อข่าวร้าย มากกว่าข่าวดี ซึ่งเป็นไปตามสันชาตญานการเอาตัวรอดครับ)

สิ่งที่จะช่วยให้เราอยู่รอดในตลาดหุ้นหรือ อยู่รอดในท้องถนนได้คือ สติ สมาธิ และหลักการที่เราเคยศึกษามาแล้วว่าเหมาะกับเรา

อย่าเปลี่ยนหลักการอย่างกระทันหัน เพราะในภาวะแบบนั้น มันกระตุ้นการตัดสินใจของเราให้ใช้อารมณ์ มากกว่าเหตุผลครับ

ที่ผมเขียนก็เอามาจากสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ จากสิ่งผิดพลาดในอดีตครับ

ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน
เข้ามาแนะนำครับ

[noooon010]

มีวันนึงขับรถกลับบ้าน
บางทีก็งงว่า รถติดอะไรน่ะ "ทำไมมันติดแบบนี้น้า"
เปิดฟัง จส.100 ก็ไม่ทราบว่าติดอะไร สอบถามเพื่อน เพื่อนก็บอกไม่ทราบเหมือนกัน(ผมใช้ speaker นะครับ)

ไปๆมาๆ ขับถึงตรงที่รถติด ก็ไม่พบสาเหตุ แล้วรถก็เคลื่อนตัวได้หลังจากที่รถติดมานาน

นึกย้อนไป มันก็เหมือนตอนที่ตลาดหุ้นขึ้น หรือลงเยอะๆ หรือตลาดหุ้นเคลื่อนที่ไม่ตรงกับที่เราคิด
เราก็มักจะมีคำถามขึ้นในใจว่า "ทำไมหุ้นขึ้น/ลง"
เรามักพยายามหาเหตุผลโดยการสอบถามคนอื่นๆ หรือหาข้อมูลจากสื่อต่างๆ

ไปๆมาๆ ....แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปครับ

เราแค่มีวินัยในการลงทุนครับ

[noooon010]

มีบางคนบ่นว่า ตกรถๆ เวลาหุ้นขึ้นเยอะๆ(พอๆกับคนที่บ่นว่า ติดดอยตอนหุ้นตก)

บ่นไปว่ารู้งี้ๆ แต่ก็ไม่กล้าจะทำอะไร

ถ้าเป็นผม ถ้าผมอยากขึ้นรถ
รถคันไหนมาก็ขึ้นครับ
รถมีมาเรื่อยๆ แต่ละคันไปคนละทาง แล้วแต่ทางของเค้า
บางคันวกกลับมา บางคันไปแล้วไปเลย ไม่มาง้อผู้โดยสาร

ถ้านั่งอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ขึ้นพอดี

เป็นผม ถ้าผมจะขึ้นรถ
ผมคงทยอยขึ้นรถดู เอาขาแตะๆทีละนิด
แล้วดูว่าไปกับเค้าดีไหม คนขับขับปลอดภัยไหม เรารู้จักทางที่เค้าจะไปแค่ไหน

ถ้ารู้จักดี ระหว่างทางก็ไม่ต้องไปกังวลมาก บางครั้งเค้าเปลี่ยนเลน หรือไปในทางที่เราไม่คุ้นเคย

นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ แอบงีบบ้าง ทานอะไรเล่นรองท้องบ้าง

เดี๋ยวก็ถึงที่หมายครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ ^_^