คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
-
- Verified User
- โพสต์: 410
- ผู้ติดตาม: 1
คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 1
คิดว่า ตอนนี้ Earning ของ SET ประมาณว่า EPS ย้อนหลังของตลาดก็ 84 ได้P/Eที่ 18.94เท่า ถ้าจะให้ P/E เหลือ 14 เท่าโดยที่ดัชนี 1591 Earning ของ SET 113.6 ต้องโต 35.23%
นักวิเคราะห์ในงาน SET in the City บอกว่าปี2558 P/Eแค่14-15เท่า เป็นไปได้ไหมที่Earningจะโตได้????
ดร.นิเวศน์ ท่านก็บอกว่า GDP หลังจากปี40 อัตราการเจริญเติบโตลดลง ซึ่งส่งผลต่อEarningของตลาดจึงเป็นที่มาของบทความสิ้นสุดยุคทองของ VI คือ P/Eสูง อัตราการเจริญเติบโตต่ำ
ถ้าตามหลักของviก็ไม่ต้องสนใจตลาด แต่เราแค่อยากรู้ว่าท่านคิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
- Pyrostrikes
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1000
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 2
ผมมองรายอุตสาหกรรมและบริษัทครับ ถ้าโดยรวมยังเติบโตได้ดี (PEG ยังต่ำ) มีความสามารถในการแข่งขันสูง แม้ภาวะเศรษฐกิจซบเซา ก็ลงทุนต่อไปครับ
Nothing comes for free...
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 3
ของอะไรที่มันสูงเกินค่าเฉลี่ยไปมากๆก็จะต้องปรับลงมาแน่ๆครับแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
คนลุกจากงานเป็นคนท้ายๆต้องจ่ายตังตามระเบียบ
คนลุกจากงานเป็นคนท้ายๆต้องจ่ายตังตามระเบียบ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 4
ผมว่ามันก็น่าจะสูงแบบนี้จนกว่าดอกเบี้ยมันจะแพงมั้ง เอาเงินออกจากตลาดไปตอนนี้มันได้ดอกน้อยเกิน หรือไม่ก็ต้องเอา ลงทุน ตปท แต่ขอให้ระวังไว้ เพราะอะไรที่เราไม่ค่อยใกล้ชิดหรือสัมผัส ศรัทธามันเกิดยากหรือไม่ก็จะเกิดมโนมากเกินไป ความยากมันจะเยอะกว่าลงทุนในไทย
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 5
เออ เค้าว่ากันว่า เกาหลี PE ต่ำมาก 8-9 เท่าเอง แต่ไปดูๆคร่าวๆ บริษัทพวกเครื่องสำอางอะไรพวกนั้น pe ทะลุ 40-50 กันหมด เฮ่อๆ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 6
อย่าไปยึดติดกับตัวเลขมากเลยครับ
สมมติว่าปีหน้า ศก.ดีกว่าปีนี้ รัฐบาลชั่วคราวผ่าตัดบ้านเมืองสำเร็จ วางกติกาใหม่ที่ยุติธรรม ปรับโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม แล้วปีถัดไปก็มีรัฐบาลใหม่ที่ถูกต้องตามกติกา เปิด AEC ศก.ดีขึ้นไปอีก แล้วปีถัดไปอีก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม 4G เริ่มมีใช้กันแพร่หลาย เช่นเดียวกับดิจิตอล อิโคโนมี
แบบนี้ P/E ที่ตอนนี้ดูเหมือนแพงจะมีความหมายอะไรครับ ในเมื่อกำไรอนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ
สมมติว่าปีหน้า ศก.ดีกว่าปีนี้ รัฐบาลชั่วคราวผ่าตัดบ้านเมืองสำเร็จ วางกติกาใหม่ที่ยุติธรรม ปรับโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม แล้วปีถัดไปก็มีรัฐบาลใหม่ที่ถูกต้องตามกติกา เปิด AEC ศก.ดีขึ้นไปอีก แล้วปีถัดไปอีก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม 4G เริ่มมีใช้กันแพร่หลาย เช่นเดียวกับดิจิตอล อิโคโนมี
แบบนี้ P/E ที่ตอนนี้ดูเหมือนแพงจะมีความหมายอะไรครับ ในเมื่อกำไรอนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 7
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 10
Mr. Market มักทำอะไรไร้เหตุผลเสมอ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะหาเหตุผลจากเค้า คงต้องอ่านนิทานสมมติของ เบน แกรม
ท่านกล่าวไว้ว่า นายตลาดเป็นคนอารมณ์ผันผวนบางครั้งให้ราคาสูงเกินจริงบางครั้งต่ำเกินไป
SET พีอี สูง ๆ นี่ซื้อ ๆ กันเข้าไปเดี๋ยวตลาดพังครืนลงมาได้ร้องกันโวยวาย
บอกได้คำเดียว "เตือนแล้วนะ"
..........................................................................
ปล. ผมเต็มพอร์ต บวก มาร์จิ้น และ ฟิวเจอร์
ท่านกล่าวไว้ว่า นายตลาดเป็นคนอารมณ์ผันผวนบางครั้งให้ราคาสูงเกินจริงบางครั้งต่ำเกินไป
SET พีอี สูง ๆ นี่ซื้อ ๆ กันเข้าไปเดี๋ยวตลาดพังครืนลงมาได้ร้องกันโวยวาย
บอกได้คำเดียว "เตือนแล้วนะ"
..........................................................................
ปล. ผมเต็มพอร์ต บวก มาร์จิ้น และ ฟิวเจอร์
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 11
P/e ตลาดอาจต้องแยกแยะด้วย
เพราะเป็น composition ของหุ้นหลาย sectors
หลายขนาด
เป็นต้น
เช่น ที่หุ้นเราประกอบด้วย sectors ที่เป็นกลุ่ม commodity ค่อนข้างสูง เวลาเจอวัฏจักรขาลง p/e จะสูงมาก
เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มเกษตร เป็นต้น
Growth stock บางตัวของเราก็ค่อนข้างมี pe สูง เช่น โรงพยาบาล และค้าปลีกเป็นต้น เป็นมุมมองของbroker ในเชิงการเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น เป็นต้น
หรือกลุ่มที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก
ภาพที่เราเห็นก็คือ รอบวัฏจักรขาขึ้น กลุ่มของหุ้นขนาดเล็ก ๆ หลายตัวในรอบนี้ปรับตัวสูงมาก และไปเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ลองดู pe ของตลาด mai ประกอบด้วย
เวลาผู้จัดการกองทุนหรือสถาบันมอง เขามักจะแยกแยะหุ้นที่เขาจะลงทุนเป็น กลุ่ม universe และคำนวน pe ใหม่เพื่อใช้เปรียบเทียบกัน
ผมได้ฟังจาก broker กิมเอ็ง วิเตราะห์ไว้ว่า หากตัดกลุ่มขนาดเล็ก ๆ และ กลาง ๆ ออกไป เราจะมี pe อยู่ประมาณ 14-15 เท่า เป็นระดับกลาง ๆ ที่ไม่ถูกครับ
เพราะเป็น composition ของหุ้นหลาย sectors
หลายขนาด
เป็นต้น
เช่น ที่หุ้นเราประกอบด้วย sectors ที่เป็นกลุ่ม commodity ค่อนข้างสูง เวลาเจอวัฏจักรขาลง p/e จะสูงมาก
เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มเกษตร เป็นต้น
Growth stock บางตัวของเราก็ค่อนข้างมี pe สูง เช่น โรงพยาบาล และค้าปลีกเป็นต้น เป็นมุมมองของbroker ในเชิงการเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น เป็นต้น
หรือกลุ่มที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก
ภาพที่เราเห็นก็คือ รอบวัฏจักรขาขึ้น กลุ่มของหุ้นขนาดเล็ก ๆ หลายตัวในรอบนี้ปรับตัวสูงมาก และไปเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ลองดู pe ของตลาด mai ประกอบด้วย
เวลาผู้จัดการกองทุนหรือสถาบันมอง เขามักจะแยกแยะหุ้นที่เขาจะลงทุนเป็น กลุ่ม universe และคำนวน pe ใหม่เพื่อใช้เปรียบเทียบกัน
ผมได้ฟังจาก broker กิมเอ็ง วิเตราะห์ไว้ว่า หากตัดกลุ่มขนาดเล็ก ๆ และ กลาง ๆ ออกไป เราจะมี pe อยู่ประมาณ 14-15 เท่า เป็นระดับกลาง ๆ ที่ไม่ถูกครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 12
ข้อมูลนี้อาจช่วยมscreen sectors ภาพใหญ่ที่มี pe สูง ๆ ได้ระดับหนึ่ง
http://siamchart.com/stock/SECTOR
ส่วนข้อมูลนี้ไว้ดูรายละเอียดของหุ้นในแต่ละ sectors
http://www.settrade.com/C04_08_stock_se ... mbol=ASIAN
http://siamchart.com/stock/SECTOR
ส่วนข้อมูลนี้ไว้ดูรายละเอียดของหุ้นในแต่ละ sectors
http://www.settrade.com/C04_08_stock_se ... mbol=ASIAN
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
- SawScofield
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 13
เป็นแค่สัญญาณการหาหุ้นได้ง่ายหรือยากครับ
สุดท้ายก็ดูกันที่กิจการหรือหุ้นรายตัวอยู่ดี
ในวิกฤติมีโอกาส ในโอกาสมีวิกฤติ ... ในแพงก็มีถูกซ่อนอยู่ ในถูกก็มีแพงแฝงตัวเช่นกัน
ที่สำคัญน่าจะเป็นตัวชี้วัดอารมณ์ของคนในตลาดได้ดีฮะ ... ซื้อหุ้นตาม ig ก็มีแล้ว พระให้หุ้นแทนให้หวยก็มีแล้ว ... รอดูภาพต่อๆไปและทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสดีกว่าครับ
หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อมสำหรับการข้ามพรมแดนซะทีรึปล่าวครับ 555
สุดท้ายก็ดูกันที่กิจการหรือหุ้นรายตัวอยู่ดี
ในวิกฤติมีโอกาส ในโอกาสมีวิกฤติ ... ในแพงก็มีถูกซ่อนอยู่ ในถูกก็มีแพงแฝงตัวเช่นกัน
ที่สำคัญน่าจะเป็นตัวชี้วัดอารมณ์ของคนในตลาดได้ดีฮะ ... ซื้อหุ้นตาม ig ก็มีแล้ว พระให้หุ้นแทนให้หวยก็มีแล้ว ... รอดูภาพต่อๆไปและทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสดีกว่าครับ
หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อมสำหรับการข้ามพรมแดนซะทีรึปล่าวครับ 555
Respect, Persistence then Deserve
- Lastpun
- Verified User
- โพสต์: 819
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 14
ตราบใดทีเงินยังล้นโลก แข่งกันอัดฉีดเข้ามา คงไม่แปลกที่จะเห็นสินทรัพย์หลายๆอย่างก่อฟอง ยังเดาไม่ออกจริงๆว่าจะจบยังไงในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าถึงจุดหนึ่งตลาดหุ้นและเงินที่ล้นโลกก็จะ regression to the mean
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 15
ไม่คิดอะไรเลย เพราะถ้าคิดสักนิด คงเผ่นไปไกลพันลี้แล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1487
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 16
เมื่อก่อนหุ้น market cap ใหญ่เป็นพลังงานกับธนาคาร ทำให้โดยรวม P/E ตลาดไม่สูงมาก แต่ตอนนี้หุ้น market cap ใหญ่เป็นพวกค้าปลีกกับโรงพยาบาลมากขึ้น ดึงให้ P/E ตลาดสูงขึ้นมา หุ้นปั่นหุ้นซิ่ง market cap นิดเดียวแทบไม่มีผลต่อ SET index
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 18
เช้าแล้วครับ ตื่นๆดำ เขียน:อย่าไปยึดติดกับตัวเลขมากเลยครับ
สมมติว่าปีหน้า ศก.ดีกว่าปีนี้ รัฐบาลชั่วคราวผ่าตัดบ้านเมืองสำเร็จ วางกติกาใหม่ที่ยุติธรรม ปรับโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม แล้วปีถัดไปก็มีรัฐบาลใหม่ที่ถูกต้องตามกติกา เปิด AEC ศก.ดีขึ้นไปอีก แล้วปีถัดไปอีก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม 4G เริ่มมีใช้กันแพร่หลาย เช่นเดียวกับดิจิตอล อิโคโนมี
แบบนี้ P/E ที่ตอนนี้ดูเหมือนแพงจะมีความหมายอะไรครับ ในเมื่อกำไรอนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 272
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 19
เรากำลังก้าวเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้ว (ไม่รู้เมื่อไหร่) บริษัทหลายๆแห่งก็เป็นบริษัทชั้นดี ออกนอกประเทศไปแข่งได้พอสมควร เลยต้องให้ PE ล่วงหน้าไปพอสมควรครับ อิอิ
-
- Verified User
- โพสต์: 872
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 20
ลองดู market cap super max ea รึยังครับ ^^"KriangL เขียน:เมื่อก่อนหุ้น market cap ใหญ่เป็นพลังงานกับธนาคาร ทำให้โดยรวม P/E ตลาดไม่สูงมาก แต่ตอนนี้หุ้น market cap ใหญ่เป็นพวกค้าปลีกกับโรงพยาบาลมากขึ้น ดึงให้ P/E ตลาดสูงขึ้นมา หุ้นปั่นหุ้นซิ่ง market cap นิดเดียวแทบไม่มีผลต่อ SET index
-
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 22
ไปดูค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ 2008 ได้ครับ PE SET ไทยไม่เคยถูกนะครับ อยู่แถวๆช่วงนี้มาตลอด
ผมว่า Guru หลายๆท่านที่มาเตือนเรื่อง PE SET อาจจะมองไม่ค่อยถูกจุดเท่าไหร่
ผมคิดว่า ควรทำตามความเห็นท่านสมาชิกบนๆว่า ควร Focus ที่ Single Stock เสียมากกว่า
ผมว่า Guru หลายๆท่านที่มาเตือนเรื่อง PE SET อาจจะมองไม่ค่อยถูกจุดเท่าไหร่
ผมคิดว่า ควรทำตามความเห็นท่านสมาชิกบนๆว่า ควร Focus ที่ Single Stock เสียมากกว่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1487
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 24
P/E ของ SET มีการเปลี่ยนสูตรคำนวนช่วงกลางปี 2008 ครับ เอาปีเก่าๆมาใช้เทียบไม่ได้ครับ อย่างในลิงก์ข้างล่างช่วงที่เขาพูดกัน SET Index อยู่ 800 จุด คำนวนแบบเก่ากับแบบใหม่ได้ P/E ตลาดต่างกันมากมาย
http://www.thanachartfund.com/webboard/ ... p?QID=1707
http://www.thanachartfund.com/webboard/ ... p?QID=1707
-
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณที่แนะนำมาครับ ตอนแรกผมก็ไปเอาของปีเก่าๆกว่านี้มาใช้งานKriangL เขียน:P/E ของ SET มีการเปลี่ยนสูตรคำนวนช่วงกลางปี 2008 ครับ เอาปีเก่าๆมาใช้เทียบไม่ได้ครับ อย่างในลิงก์ข้างล่างช่วงที่เขาพูดกัน SET Index อยู่ 800 จุด คำนวนแบบเก่ากับแบบใหม่ได้ P/E ตลาดต่างกันมากมาย
http://www.thanachartfund.com/webboard/ ... p?QID=1707
http://www.set.or.th/th/market/market_statistics.htmlหมายเหตุ: ตลท.ไดมีการประกาศปรับปรุงวิธีการคํานวณคาสถิติภาพรวมตลาดใหม โดยมีผล
ตั้งแตวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 และไดจัดทําคาสถิติภาพรวมตลาดที่ใชหลักการคํานวณแบบ
ใหมยอนหลัง 5 ป (ตั้งแต 1 มกราคม 2546 ถึง 30 เมษายน 2551)
ผมลองนำค่า PE ของ SET และ SET Index จาก set.or.th ตั้งแต่ มกราคม 2546 ถึง พฤศจิกายน 2557 มาทำกราฟได้ตามด้านล่างครับ
(ส่วนค่าสถิติอื่นๆ ผมคำนวณเองโดยใช้ข้อมูลในช่วงดังกล่าวครับ)
*Index @ Average PE คือ Index ณ เวลานั้นๆ โดยสมมุติว่า PE เท่ากับ Average ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 26
คือที่ผมมองว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2008 อยู่ประมาณนี้ ผมไม่ได้เอา PE ทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ยหรอกนะครับ แต่จะเปรียบเทียบว่าถึง PE SET ในบางช่วงจะสูง ก็ไ่ม่ได้แปลว่า PE SETในอนาคตจะปรับลดมาไม่ได้b4solid เขียน:20 ย้อนหลัง PE 12.6
ผมคิดว่าใช้ Average PE มาใช้ในการตัดสินใจที่จะถืิอ Cash หรือ ลดขนาด PORT คงจะไม่เหมาะนักครับ
สมมุติตอน July 2009 SET INDEX อยู่ที่ 600-700 (ภาพจากคุณ eno_khem)
PE SET อยู่ระหว่าง 25-27
ถ้าคุณดูแค่ PE SET อย่างเดียวจะตกรถครั้งยิ่งใหญ่เลยนะครับ
"STAY CALM , STAY INVEST"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 27
...ตลาดหุ้น น่าจะยังดีอยู่ ถ้าอยากรวย อยากลงทุน อย่าไปคิดว่า 1,600 จุด มันแพงครับ ตอนมันไป 2,000 จุด ระวังจะเสียใจ นั้นเรื่องแรก อีกเรื่องก็คือ สนใจ Index ให้น้อย แต่สนใจพื้นฐานบริษัทที่เราชอบให้มาก
นาฬิกาแห่งการลงทุน
http://www.iammrmessenger.com/?p=796
นาฬิกาแห่งการลงทุน
http://www.iammrmessenger.com/?p=796
-
- Verified User
- โพสต์: 410
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คิดยังไงกับ SET ที่ P/E 19 เท่า
โพสต์ที่ 28
อึ้ง-ทึ่ง-เสียว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บรรยากาศของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ถ้าจะให้ผมบรรยายด้วยคำเพียง 3 คำ ผมคิดว่าคำที่เหมาะสมที่สุดก็คือ “อึ้ง-ทึ่ง-เสียว” เพราะเหตุการณ์ เรื่องราว และสถานะของหุ้นจำนวนไม่น้อยทำให้ผมเกิดความรู้สึกวนเวียนอยู่ในสามอาการดังกล่าวนั่นก็คือ “อึ้ง” เพราะเรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวหรือบริษัทมีการกระทำหรือได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันท้าทายจริยธรรมและความเชื่อปกติของสังคมนักลงทุนมากจนทำให้เรา “พูดไม่ออก” หรือ “ไม่กล้าพูด” หรือ “ไม่อยากพูด” ผม “ทึ่ง” เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้น มัน “แหกกฎเกณฑ์” หรือทฤษฎี หรือมันเกินไปจาก “ประสบการณ์”หรือ “ภาวะปกติ” ที่ผมคุ้นเคยไปมาก และสุดท้าย มัน “เสียว” เพราะหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นหรือเป็นข่าวนั้น ดูเหมือนว่ามันน่ากลัวหรือดูมีความเสี่ยงสูง แต่คนก็เข้าไปทำกันอย่าง “บ้าคลั่ง” ราวกับว่ามันมีแต่ได้กับได้ในขณะที่ผมดูแล้วมันมีอันตรายสูงและตัวเอง “เสียว” จนต้องพยายามลดความเสี่ยงลง
ที่จริงผมเคยเจอสถานการณ์แบบ อึ้ง-ทึ่ง-เสียว มาแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมสุด ๆ ในช่วงประมาณปี 2536 ถึง 2538 อาการหลาย ๆ อย่างในตลาดหุ้นในช่วงนั้นก็คล้าย ๆ กับในช่วงนี้ ความแตกต่างดูเหมือนว่าจะเป็น “รายละเอียด” ของเหตุการณ์และความรุนแรงของแต่ละเรื่อง นอกจากนั้น ความแตกต่างอีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ในช่วงนั้น เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตเร็วมากระดับ 7%-10% ต่อปี จนทุกคนคิดว่าเรากำลังเป็น “เสือ” ทางเศรษฐกิจของเอเชีย ในขณะที่ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกำลัง “มีปัญหา” และน่าจะเติบโต “รั้งท้าย” ในเอเชีย อย่างไรก็ตาม คนต่างก็คิดว่าเราน่าจะกำลัง “ฟื้นตัว” ในขณะที่ช่วงปี 2536-2538 นั้น เราโตอย่าง “ไร้คุณภาพ” เป็น “ฟองสบู่” ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อาการในตลาดหุ้นนั้น คล้ายคลึงกัน สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ มันจะจบเหมือนกันหรือไม่?
เรื่องที่ทำให้ “อึ้ง” นั้น ค่อย ๆ ทยอยออกมาเป็นระยะ หลาย ๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับคน “นอก” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้นในทางใดทางหนึ่งหรือนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่ในตลาดหุ้น ในอดีตนั้น เราก็จะพบเหตุการณ์เช่นว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงในวงราชการที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีแผนจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือมีนักการเมืองบางคนมาเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบางตัวอะไรทำนองนี้แต่ก็ไม่มีใครจะพูดอะไรเพราะมันเป็น “สิทธิ” อันชอบธรรมของทุกคนตราบที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรของตลาด
ประเด็นที่ทำให้คน “อึ้ง” นั้น อยู่ที่ว่า “ดีล” หรือเงื่อนไขที่ได้มานั้น บางทีมันก็ “ดีเกินไป” และคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้น ใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์ และถ้าเป็นคนอื่นเขาจะได้เงื่อนไขแบบนั้นหรือไม่ ประเด็นที่สำคัญยังอยู่ที่ว่าไม่มีใครหรือหน่วยงานไหนที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือขัดขวางการดำเนินการอะไรอย่างจริงจัง ว่าที่จริงพวกเขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้จริง ๆ และเขาก็อาจจะไม่อยากทำเพราะเหตุผลสารพัดที่ไม่อยากจะพูด นั่นก็คือ พวกเขาก็ “อึ้ง” เหมือนกัน ในช่วงปัจจุบันนั้น ผมเองก็คิดว่ามันมีหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามัน “แปลก” และมีความไม่ชอบมาพากล แต่ในเมื่อมัน “ไม่ผิดกฎเกณฑ์อะไร” ผมก็ได้แต่เก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้ และนี่ก็คือความหมายของคำว่า “อึ้ง”
เรื่องน่า “ทึ่ง” ที่ผมเห็นนั้นมีมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่ “ไม่น่าเป็นไปได้” โดยสามัญสำนึกหรือโดยประสบการณ์ “ปกติ” นี่เป็นสิ่งที่มักปรากฏขึ้นในยามที่ตลาด “ไม่ปกติ” โดยเฉพาะในยามที่ตลาดบูมมาก ๆ เป็น “ฟองสบู่” ในอดีตนั้น สิ่งที่เห็นชัดเจนและเป็นเรื่องน่าทึ่งก็คือราคาหุ้นขนาดเล็กโดยเฉพาะที่เป็นหุ้น IPO นั้น มีราคาที่สูงมากเกินกว่าผลประกอบการที่ทำได้ไปมากจนไม่น่าเชื่อ และราคาที่ปรับขึ้นมานั้น ส่วนมากก็ปรับขึ้นตั้งแต่วันแรก ๆ ของการเข้ามาซื้อขายในตลาด ในช่วงเร็ว ๆ นี้หุ้น IPO มีความน่าทึ่งยิ่งกว่าในช่วงปี 2536-2538 เพราะหลายตัวปรับขึ้นถึง 200% ในวันแรกนอกจากนั้น หุ้นตัวเล็กที่มีเรื่องราวน่าสนใจก็มีราคาสูงมากจนไม่น่าเชื่อ ค่า PE เฉลี่ยของหุ้น MAI ที่เป็นหุ้นตัวเล็กนั้น สูงถึง 60-70 เท่า และที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กที่มีมูลค่าตลาดเพียงหลักพันล้านบาทนั้น บ่อยครั้ง สูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ระดับแสนล้านบาท
นอกจากเรื่องของราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นขนาดเล็กที่ “กลบรัศมี” หุ้นตัวใหญ่แล้ว ความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมหนักนั้น เราก็มักจะพบความน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะมีรายการ “หนูกินช้าง” หรือ “ปลาเล็กกินปลาใหญ่” ในอดีตนั้น เราเห็นบริษัทเงินทุนเอกธนกิจพยายามเทคโอเวอร์ธนาคารไทยทนุที่เป็นธนาคารที่ใหญ่กว่ามาก แม้แต่ในต่างประเทศอย่างในตลาดสหรัฐเองนั้น เวลาที่ตลาดหุ้นบูมหนักในบางครั้งเราก็จะเห็นความน่าทึ่งแบบนี้ที่ปลาเล็กหรือหุ้นบริษัทเล็กที่ “ร้อนแรง” เทคโอเวอร์บริษัทใหญ่หรือกินปลาใหญ่ที่อ่อนแอ ในช่วงเร็ว ๆ นี้เราก็เริ่มได้ยินข่าวแบบนี้บ้างแล้วในตลาดหุ้นไทย
เรื่องน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเป็นเศรษฐี “ช่วงข้ามคืน” ของคนหลาย ๆ คนโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรกหรือในหุ้นเล็กที่ “มีการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไป “มโหฬาร” ภายในระยะเวลาอันสั้น ความร่ำรวยของคนหลายคนในช่วงเวลาอันสั้นนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในตลาด เหตุผลก็เพราะว่า หลายบริษัทนั้น ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมายนักและมีขนาดเล็ก ถ้าอยู่นอกตลาดก็อาจจะเป็นแค่บริษัทขนาดเล็กธรรมดา ๆ ที่เจ้าของไม่สามารถที่จะเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างแน่นอน
ความ “เสียว” นั้น น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเป็นส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของสังคมนักลงทุนไทย เหตุเพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่างก็ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยและหุ้นส่วนใหญ่นั้น ยังแข็งแรงดีอยู่ ราคาหุ้นโดยส่วนรวมก็ยังไม่แพงเทียบกับเพื่อนบ้านแม้ว่าบางคนจะดูว่าหุ้นตัวเล็กมีราคาสูงเกินไปเป็น “ฟองสบู่” แต่ถ้ามีปัญหาก็คงไม่กระทบกับหุ้นทั้งตลาด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สภาพของเศรษฐกิจ การเงิน สังคม การเมืองและตลาดหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่าวิตก ค่า PE ตลาดหุ้นไทยที่สูงถึง 19 เท่าและพอ ๆ กับจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นรอบที่แล้วก็อาจจะไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยมีราคาแพง เหตุผลก็เพราะอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ที่ต่ำติดดิน ดังนั้น PE 19 เท่าจึงไม่ถือว่าแพง แต่ถ้ายังคิดว่าแพงก็มีเหตุผลว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในเวลานี้ก็สูงกว่าในอดีต ดังนั้น สรุปว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ากลัว
สิ่งที่ผมกังวลนั้น เกิดจากเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ เรื่องที่โอกาสจะเกิดขึ้นอาจจะไม่สูงแต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็มี “ศักยภาพ” ที่จะทำให้เกิดอาการช็อกได้กับตลาดหุ้น ตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ถ้ายังแย่อยู่แบบปีนี้ ผลก็อาจจะรุนแรงได้เพราะมันอาจจะเปลี่ยน “ความเชื่อ” ของนักลงทุนว่าหุ้นจะดี เช่นเดียวกับด้านของการเมือง ถ้าทุกอย่างไม่ได้ “ลงตัว” ปัญหาก็อาจจะรุนแรงได้ ประเด็นสำคัญก็คือ ทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากและดัชนีหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงกว่ามาตรฐานระยะยาวแล้ว โอกาสที่มันจะปรับตัวลงแรงก็มักจะมีสูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นประสบปัญหา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ประกอบกับสัญญาณของความ “อึ้ง” และ “ทึ่ง” ดังที่กล่าว ผมจึงรู้สึก “เสียว” จนบอกไม่ถูก
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58408
บรรยากาศของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ถ้าจะให้ผมบรรยายด้วยคำเพียง 3 คำ ผมคิดว่าคำที่เหมาะสมที่สุดก็คือ “อึ้ง-ทึ่ง-เสียว” เพราะเหตุการณ์ เรื่องราว และสถานะของหุ้นจำนวนไม่น้อยทำให้ผมเกิดความรู้สึกวนเวียนอยู่ในสามอาการดังกล่าวนั่นก็คือ “อึ้ง” เพราะเรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวหรือบริษัทมีการกระทำหรือได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันท้าทายจริยธรรมและความเชื่อปกติของสังคมนักลงทุนมากจนทำให้เรา “พูดไม่ออก” หรือ “ไม่กล้าพูด” หรือ “ไม่อยากพูด” ผม “ทึ่ง” เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลายอย่างนั้น มัน “แหกกฎเกณฑ์” หรือทฤษฎี หรือมันเกินไปจาก “ประสบการณ์”หรือ “ภาวะปกติ” ที่ผมคุ้นเคยไปมาก และสุดท้าย มัน “เสียว” เพราะหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นหรือเป็นข่าวนั้น ดูเหมือนว่ามันน่ากลัวหรือดูมีความเสี่ยงสูง แต่คนก็เข้าไปทำกันอย่าง “บ้าคลั่ง” ราวกับว่ามันมีแต่ได้กับได้ในขณะที่ผมดูแล้วมันมีอันตรายสูงและตัวเอง “เสียว” จนต้องพยายามลดความเสี่ยงลง
ที่จริงผมเคยเจอสถานการณ์แบบ อึ้ง-ทึ่ง-เสียว มาแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมสุด ๆ ในช่วงประมาณปี 2536 ถึง 2538 อาการหลาย ๆ อย่างในตลาดหุ้นในช่วงนั้นก็คล้าย ๆ กับในช่วงนี้ ความแตกต่างดูเหมือนว่าจะเป็น “รายละเอียด” ของเหตุการณ์และความรุนแรงของแต่ละเรื่อง นอกจากนั้น ความแตกต่างอีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ในช่วงนั้น เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตเร็วมากระดับ 7%-10% ต่อปี จนทุกคนคิดว่าเรากำลังเป็น “เสือ” ทางเศรษฐกิจของเอเชีย ในขณะที่ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกำลัง “มีปัญหา” และน่าจะเติบโต “รั้งท้าย” ในเอเชีย อย่างไรก็ตาม คนต่างก็คิดว่าเราน่าจะกำลัง “ฟื้นตัว” ในขณะที่ช่วงปี 2536-2538 นั้น เราโตอย่าง “ไร้คุณภาพ” เป็น “ฟองสบู่” ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อาการในตลาดหุ้นนั้น คล้ายคลึงกัน สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ มันจะจบเหมือนกันหรือไม่?
เรื่องที่ทำให้ “อึ้ง” นั้น ค่อย ๆ ทยอยออกมาเป็นระยะ หลาย ๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับคน “นอก” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้นในทางใดทางหนึ่งหรือนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่ในตลาดหุ้น ในอดีตนั้น เราก็จะพบเหตุการณ์เช่นว่าคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงในวงราชการที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีแผนจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือมีนักการเมืองบางคนมาเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบางตัวอะไรทำนองนี้แต่ก็ไม่มีใครจะพูดอะไรเพราะมันเป็น “สิทธิ” อันชอบธรรมของทุกคนตราบที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรของตลาด
ประเด็นที่ทำให้คน “อึ้ง” นั้น อยู่ที่ว่า “ดีล” หรือเงื่อนไขที่ได้มานั้น บางทีมันก็ “ดีเกินไป” และคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้น ใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์ และถ้าเป็นคนอื่นเขาจะได้เงื่อนไขแบบนั้นหรือไม่ ประเด็นที่สำคัญยังอยู่ที่ว่าไม่มีใครหรือหน่วยงานไหนที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือขัดขวางการดำเนินการอะไรอย่างจริงจัง ว่าที่จริงพวกเขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้จริง ๆ และเขาก็อาจจะไม่อยากทำเพราะเหตุผลสารพัดที่ไม่อยากจะพูด นั่นก็คือ พวกเขาก็ “อึ้ง” เหมือนกัน ในช่วงปัจจุบันนั้น ผมเองก็คิดว่ามันมีหลายเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามัน “แปลก” และมีความไม่ชอบมาพากล แต่ในเมื่อมัน “ไม่ผิดกฎเกณฑ์อะไร” ผมก็ได้แต่เก็บความคิดและความรู้สึกเอาไว้ และนี่ก็คือความหมายของคำว่า “อึ้ง”
เรื่องน่า “ทึ่ง” ที่ผมเห็นนั้นมีมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่ “ไม่น่าเป็นไปได้” โดยสามัญสำนึกหรือโดยประสบการณ์ “ปกติ” นี่เป็นสิ่งที่มักปรากฏขึ้นในยามที่ตลาด “ไม่ปกติ” โดยเฉพาะในยามที่ตลาดบูมมาก ๆ เป็น “ฟองสบู่” ในอดีตนั้น สิ่งที่เห็นชัดเจนและเป็นเรื่องน่าทึ่งก็คือราคาหุ้นขนาดเล็กโดยเฉพาะที่เป็นหุ้น IPO นั้น มีราคาที่สูงมากเกินกว่าผลประกอบการที่ทำได้ไปมากจนไม่น่าเชื่อ และราคาที่ปรับขึ้นมานั้น ส่วนมากก็ปรับขึ้นตั้งแต่วันแรก ๆ ของการเข้ามาซื้อขายในตลาด ในช่วงเร็ว ๆ นี้หุ้น IPO มีความน่าทึ่งยิ่งกว่าในช่วงปี 2536-2538 เพราะหลายตัวปรับขึ้นถึง 200% ในวันแรกนอกจากนั้น หุ้นตัวเล็กที่มีเรื่องราวน่าสนใจก็มีราคาสูงมากจนไม่น่าเชื่อ ค่า PE เฉลี่ยของหุ้น MAI ที่เป็นหุ้นตัวเล็กนั้น สูงถึง 60-70 เท่า และที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กที่มีมูลค่าตลาดเพียงหลักพันล้านบาทนั้น บ่อยครั้ง สูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ระดับแสนล้านบาท
นอกจากเรื่องของราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้นขนาดเล็กที่ “กลบรัศมี” หุ้นตัวใหญ่แล้ว ความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมหนักนั้น เราก็มักจะพบความน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะมีรายการ “หนูกินช้าง” หรือ “ปลาเล็กกินปลาใหญ่” ในอดีตนั้น เราเห็นบริษัทเงินทุนเอกธนกิจพยายามเทคโอเวอร์ธนาคารไทยทนุที่เป็นธนาคารที่ใหญ่กว่ามาก แม้แต่ในต่างประเทศอย่างในตลาดสหรัฐเองนั้น เวลาที่ตลาดหุ้นบูมหนักในบางครั้งเราก็จะเห็นความน่าทึ่งแบบนี้ที่ปลาเล็กหรือหุ้นบริษัทเล็กที่ “ร้อนแรง” เทคโอเวอร์บริษัทใหญ่หรือกินปลาใหญ่ที่อ่อนแอ ในช่วงเร็ว ๆ นี้เราก็เริ่มได้ยินข่าวแบบนี้บ้างแล้วในตลาดหุ้นไทย
เรื่องน่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเป็นเศรษฐี “ช่วงข้ามคืน” ของคนหลาย ๆ คนโดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรกหรือในหุ้นเล็กที่ “มีการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งทำให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไป “มโหฬาร” ภายในระยะเวลาอันสั้น ความร่ำรวยของคนหลายคนในช่วงเวลาอันสั้นนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในตลาด เหตุผลก็เพราะว่า หลายบริษัทนั้น ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมายนักและมีขนาดเล็ก ถ้าอยู่นอกตลาดก็อาจจะเป็นแค่บริษัทขนาดเล็กธรรมดา ๆ ที่เจ้าของไม่สามารถที่จะเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างแน่นอน
ความ “เสียว” นั้น น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเป็นส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของสังคมนักลงทุนไทย เหตุเพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่างก็ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยและหุ้นส่วนใหญ่นั้น ยังแข็งแรงดีอยู่ ราคาหุ้นโดยส่วนรวมก็ยังไม่แพงเทียบกับเพื่อนบ้านแม้ว่าบางคนจะดูว่าหุ้นตัวเล็กมีราคาสูงเกินไปเป็น “ฟองสบู่” แต่ถ้ามีปัญหาก็คงไม่กระทบกับหุ้นทั้งตลาด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สภาพของเศรษฐกิจ การเงิน สังคม การเมืองและตลาดหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่าวิตก ค่า PE ตลาดหุ้นไทยที่สูงถึง 19 เท่าและพอ ๆ กับจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติตลาดหุ้นรอบที่แล้วก็อาจจะไม่ได้แปลว่าหุ้นไทยมีราคาแพง เหตุผลก็เพราะอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ที่ต่ำติดดิน ดังนั้น PE 19 เท่าจึงไม่ถือว่าแพง แต่ถ้ายังคิดว่าแพงก็มีเหตุผลว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในเวลานี้ก็สูงกว่าในอดีต ดังนั้น สรุปว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่ากลัว
สิ่งที่ผมกังวลนั้น เกิดจากเหตุการณ์และสถานการณ์หลาย ๆ เรื่องที่โอกาสจะเกิดขึ้นอาจจะไม่สูงแต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็มี “ศักยภาพ” ที่จะทำให้เกิดอาการช็อกได้กับตลาดหุ้น ตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ถ้ายังแย่อยู่แบบปีนี้ ผลก็อาจจะรุนแรงได้เพราะมันอาจจะเปลี่ยน “ความเชื่อ” ของนักลงทุนว่าหุ้นจะดี เช่นเดียวกับด้านของการเมือง ถ้าทุกอย่างไม่ได้ “ลงตัว” ปัญหาก็อาจจะรุนแรงได้ ประเด็นสำคัญก็คือ ทุกครั้งที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากและดัชนีหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงกว่ามาตรฐานระยะยาวแล้ว โอกาสที่มันจะปรับตัวลงแรงก็มักจะมีสูงขึ้นเมื่อตลาดหุ้นประสบปัญหา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ประกอบกับสัญญาณของความ “อึ้ง” และ “ทึ่ง” ดังที่กล่าว ผมจึงรู้สึก “เสียว” จนบอกไม่ถูก
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58408