ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
cobain_vi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 31

โพสต์

ต้องขออภัยด้วยนะครับเจตนาไม่ได้ว่าใครเพียงแต่เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถ้าไปทำให้ใครขัดข้องหมองใจหรือขุ่นเคืองใจต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง บางทีคำพูดที่พิมพ์ออกไปพออ่านแล้วมันทำให้รู้สึกอวดเก่งหรือว่าอะไรก็ตามขอให้รู้ว่าเจตนาผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น
บางทีก็รู้สึกว่าคำที่พิมพ์ลงไปมันแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเป็นคนพิมพ์อธิบายไม่เก่ง คำพูดบางทีก็พูดห้วนๆไม่ค่อยเพราะ
ต่อไปนี้คงต้องทำโทษตัวเองด้วยการห้ามโพสและห้ามแสดงความคิดเห็นสักพักนึงครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 32

โพสต์

จะบอกว่าผมเองก็เป็นแบบเดียวกับคุณ cobain_vi เลยครับ

พิมพ์อธิบายไม่เก่ง ภาษาบางทีก็ห้วนๆไม่ค่อยเพราะ แล้วก็ต้องคอยออกมาพิมพ์ขอโทษเวลาที่มีคนอ่านแล้วเข้าใจเจตนาผิด (โดนแบบนี้หลายรอบก็ยังไม่เข็ดซะที)

บางทีเจตนาอยากจะช่วยชี้ให้เห็นความจริง กลายเป็นเหมือนเสียดสีก็มี (ตัวเองลองกลับไปอ่านซ้ำที่เคยพิมพ์ไว้ ก็รู้สึกว่าเออ.. ที่เราพิมพ์ไปจะมองยังงั้นมันก็ได้อยู่เหมือนกัน)

สงสัยต้องทำโทษตัวเองด้วยการห้ามโพสและห้ามแสดงความคิดเห็นสักพักนึงเหมือนกันครับ :(
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 33

โพสต์

"พระราชปุจฉา กับ หลวงพ่อเกษม เขมโก"

ณ วัดคะตึกเชียงมั่น อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง

พระราชปุจฉา : หลวงพ่ออยู่ตามป่ามีความสงบ ย่อมจะมีโอกาสปฏิบัติธรรม ได้มากกว่าพระที่วัดในเมือง ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการปกครองและงานอื่นๆ จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะอยู่ป่าไม่มีภารกิจอย่างอื่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับศีลบริสุทธิ์ด้วย เพราะเมื่อศีลบริสุทธิ์จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ไม่ครอบงำก็ปฏิบัติได้

พระราชปุจฉา : การปฏิบัติอย่างพระมีเวลามากย่อมจะได้ผลเร็ว ส่วนผู้ที่มีเวลาน้อยมีภารกิจมาก จะปฏิบัติอย่างหลวงพ่อก็ไม่อาจทำได้ แล้วจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เราจะหั่นแลกช่วงเวลาช่วงเช้าให้สั้นเข้าจะได้ไหม คือ ซอยเวลาออกจาก หนึ่งชั่วโมงเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นสิบนาที หรือห้านาที แต่ให้ได้ผล คือ ได้รับความสุขเท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น นั่งรถยนต์จากเชียงใหม่มาลำปางก็สามารถปฏิบัติได้ หรือระหว่างที่มาอยู่ในพิธีนี้มีช่วงที่ว่างอยู่ ก็ปฏิบัติเป็นระยะไป อย่างนี้จะถูกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อยากจะเรียนถาม

หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร จะปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ ถ้าแบ่งเวลาได้

พระราชปุจฉา : ไม่ถึงแบ่งเวลาต่างหากออกมาทีเดียว ก็อาศัยเวลาขณะที่ออกมาทำงานอย่างอื่นอยู่นั้นแหละ ได้หรือไม่ คือ ใช้สติอยู่ทุกขณะจิตที่เกิดดับ ทำงานด้วยความรอบคอบให้สติตั้งอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อเกษม : ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปฏิบัติอย่างนั้นถูกแล้ว การที่มหาบพิตรเสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติงานอย่างนี้ ก็เรียกว่าได้ทรงเจริญเมตตาในพรหมวิหารอยู่

พระราชปุจฉา : ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น เช่นว่ามาตัดลูกนิมิตนี้ ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ด้วยขี้เกียจมาจึงมีกำลังใจมา และเมื่อได้โอกาสได้เรียนถามพระสงฆ์ว่า การปฏิบัติธรรมเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็นตอนๆ อย่างนี้จะได้ผลไหม อุปมาเหมือนช่างทาสีผนังโบสถ์ เขาทาทางนี้ดีแล้วพัก ทาทางโน้นดีแล้วพัก ทำอยู่อย่างนี้ก็เสร็จได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย จึงอยากเรียนถามว่าปฏิบัติอย่างนี้ จะมีผลสำเร็จไหม

หลวงพ่อเกษม : ปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้โดยอาศัยหลัก ๓ อย่าง คือ มีศีลบริสุทธิ์ ทำบุญในชาติปางก่อนไว้มาก มีบาปน้อย ขอถวายพระพร

(จาก หนังสือหลวงพ่อเกษม เขมโก)

ปล.พระราชปุจฉานี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับเรื่องงานกับการปฏิบัติธรรมได้บ้างครับ ส่วนกิจกรรมอื่นๆในชีวิตประจำวันที่ไม่ใช่งาน ต้องดูว่าทำให้ศิลมัวหมอง ด่างพล้อย หรือถึงขั้นขนาดศิลขาดไหม เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน หรือนิวรณ์ครอบงำเอาได้ครับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง

http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html



http://goo.gl/VjQ4cG
tanoppan
Verified User
โพสต์: 135
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 34

โพสต์

:arrow: :!: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ :arrow: :?:

เห็นชื่อเรื่อง รู้สึกไม่สบายใจ
บางคนมีความรู้สึก อ่อนไหวมากในเรื่องของ ศาสนา การเมือง เป็นต้น
ควรเปลี่ยนเป็นว่า
"ตลาดหุ้น เป็นตัวอย่างชั้นเลิศของ ธรรมะ"

ธรรม = มาจากคำว่า ธรรมชาติ
การปฎิบัติธรรม = เป็นการกระทำที่มุ่งเน้น ผลสุดท้าย ในเรื่องของการดับทุกข์ในจิต
แต่ในตลาดหุ้น ไม่ใช่สถานที่ที่ปฎิบัติธรรม

ตลาดหุ้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทีชัดเจน
สีเหลือง แดง เขียว กระพริบๆๆตามเวลาที่ผ่านพ้นไป
เป็นการเตือน และสะท้อนถึงชีวิตของเรา
ในเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
tanoppan
Verified User
โพสต์: 135
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 35

โพสต์

เดียวคนค้นหาที่ google
เพื่อ หาสถานที่ปฎิบัตรธรรมเพื่อสงบทางใจ อื่นๆ


:arrow: :!: คงรีบไปเปิด port กันใหญ่โต ได้ทั้งความโลภและเงิน และ:arrow: :!:
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 36

โพสต์

cobain_vi เขียน:... เช่น กินเหล้า ถ้าพวกโหลยโท่ยจะบอกว่ากินให้รู้ว่ากิน เมาให้รู้ว่าเมา ฮา (จะบ้าไปใหญ่)
กำลังจีบเมียชาวบ้านก็ให้รู้ว่ากำลังจีบเมียชาวบ้าน กินดื่มคิดพูดให้รู้ตัว ฮา
พูดโกหก เป็นสักแต่ว่าพูดไม่ได้หมายมั่นเป็นแค่เสียงไร้บัญญัติ ฮา
หรือมิจฉาสมาธิ กำลังเล่นไพ่ สติจดจ่ออยู่กับไพ่แบบนี้เรียกปฏิบัติ ฮา
กำลังดูหนังโป๊ปฏิบัติไปด้วย ยุบหนอพองหนอ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ฮา
กำลังจะฆ่าสัตว์ สติจดจ่ออยู่กับสัตว์ที่จะฆ่า ...
เอาจริงๆ นะพี่ cobain_vi ผมหลังจากปฏิบัติธรรมครั้งแรก จากนั้นมาผมก็จะเจริญสติไปเรื่อย กินเหล้าก็กำหนด ทำดี ทำชั่ว ทำอะไรแต่ละอย่างก็เจริญสติไปเรื่อยๆ ดูหุ้น ทำนู้นทำนี่ มีโอกาสก็เจริญสติไปเรื่อย

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราเห็นอาการทางจิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น เห็นทุกข์เห็นโทษ เห็นเหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ ผลที่ตามมาจากที่เมื่อก่อนกินเหล้า พอเจริญสติขณะกินเหล้าไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่สนุก ไม่เห็นสาระของการกินเหล้า เลยลดละเหลือแค่กินไวน์ พอกินไวน์ก็เจริญสติไปเรื่อยๆ ก็เห็นทุกข์โทษของการกินไวน์ หาสาระอะไรไม่ได้กันการกินไวน์ ผลที่ตามมาจากที่เคยกินเหล้าสูบบุหรี่ สัปดาห์หนึ่งมี 7 วันกินไปซะ 6 วัน ก็ค่อยๆ ลดละ จนสุดท้ายก็เลิกไปเอง

อย่างเรื่องการโกหก ฆ่าสัตว์ ทำชั่วต่างๆ ผมเชื่อว่าหากขณะทำ เจริญสติไปเรื่อยๆ เห็นหมาอยากเตะหมา เห็นอาการของจิตที่อยากทำให้คนอื่นวอดวาย ตั้งจิตที่จะทำ ตามดูอาการที่กระทำ จนกระทำสำเร็จ เห็นอาการทางจิตที่ได้กระทำสำเร็จ จนเวลาผ่านไป เรื่องที่เราทำถูกยกขึ้นมาพิจารณาก็มีสติตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันละ มันเลิก โดยไม่ต้องมีใครมาสั่งสอนเอง เพราะ มันเห็นทุกข์เห็นโทษที่ประจักษ์แจ้งอยู่กับจิต

อย่างในเรื่องการดูหุ้นนี้ แรกๆ ที่ปฏิบัติมาก็พยายามเจริญสติอยู่ให้ได้มากตามกำลัง ถึงกับมี Timer ที่ใช้คอยเตือนให้ถอนจิตออกมาจากการดูหุ้น มากำหนดสติ ก่อนที่จะปักจิตกลับเข้าไปทำใหม่ ทำๆ ไป ยิ่งทำก็ยิ่งเห็นทุกข์โทษจากการดูหน้าจอ วันเวลาผ่านไปก็ลดการดูจอ เดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ดูราคาหุ้นระหว่างวันน้อยมาก วันหนึ่งอาจจะดูสัก 2-3 ครั้ง และเมื่อดูก็สักแต่ว่าดู ดูสัก 1 นาทีเสร็จแล้วก็ปิด กำหนด ตามดูจิตที่เกิดขึ้นจากการดู จนจิตที่กระเพื่อมสงบลง ค่อยไปทำอะไรอย่างอื่นต่อ

คือ การเจริญสติแบบนี้มันเป็นการเจริญสติแบบรักษาหน่วยกิจ รักษาตัว รักษาใจ ไม่ให้ไหลไปกับอกุศล และทำให้รู้ตัวว่าสิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ถ้ามันผิดทาง มันก็จะค่อยๆ ขึ้นทางที่ถูก เป็นการขัดเกลามรรคหยาบ เพื่อให้กิจกรรมทางโลกเกื้อหนุนกับการพัฒนาสติได้มากยิ่งขึ้นๆ เมื่อมรรคหยาบดีขึ้น มรรคละเอียดก็ก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น

แต่ก็อย่างเคยเขียนมาก่อนหน้าล่ะครับ จากประสบการณ์ การเอาการดูหุ้นมาเป็นเครื่องมือในการเจริญสติจริงๆ จังๆ นี่ยากมากครับ บางคนอาจจะทำได้ แต่ผมทำไม่ได้ เพราะ ผัสสะ อารมณ์ที่ไหลเข้ามามีมากเกินไป จิตจะเป็นไปกับความโลภความกลัวเสียมากกว่า แรกๆ เหมือนจะเอาอยู่ แต่พออารมณ์ที่ไหลเข้ามากระทบมันมากถึงจุดหนึ่งจะต้านกระแสของกิเลสไม่ได้ ไม่นิ่งพอที่จะจับอาการทางจิตได้อย่างชัดเจน สภาวะในการปฏิบัติจะสติอ่อน สมาธิน้อย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเครื่องมือที่ไม่สัปปายะต่อการปฏิบัติ

ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่อยากแชร์ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 37

โพสต์

อย่างที่คุณ picatos ว่านี่ล่ะครับ ที่ผมอยากบอกแต่อธิบายไม่เป็น
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ขอบคุณ คุณ picatos มากครับที่แชร์ การดูหุ้นทุกวัน แต่ไม่ทำอะไรผมว่าสมาธิและเหตุผลต้องดีมาก และเราก็ต้องทำใจอีกว่า หุ้นที่เราถืออาจจะเกิดเหตุการ์ณที่คาดไม่ถึงได้ เช่นเดียวกับ svi เมื่อทำใจได้มากขึ้นเราก็เริ่มจะเบื่อมัน แต่เมื่อเราเกิดมาในยุคนี้ และเงินคือสิ่งที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เราอยู่รอด ทำให้เราก็ยังคงต้องอยู่กับมัน ทั้งที่รู้ว่ามันคือกิเลส ทั้งที่รู้ว่าไม่ยั่งยืน แต่ก็ต้องอยู่และคอยรับรู้มันครับ :cry:
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ลูกหิน เขียน:ขอบคุณ คุณ picatos มากครับที่แชร์ การดูหุ้นทุกวัน แต่ไม่ทำอะไรผมว่าสมาธิและเหตุผลต้องดีมาก และเราก็ต้องทำใจอีกว่า หุ้นที่เราถืออาจจะเกิดเหตุการ์ณที่คาดไม่ถึงได้ เช่นเดียวกับ svi เมื่อทำใจได้มากขึ้นเราก็เริ่มจะเบื่อมัน แต่เมื่อเราเกิดมาในยุคนี้ และเงินคือสิ่งที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เราอยู่รอด ทำให้เราก็ยังคงต้องอยู่กับมัน ทั้งที่รู้ว่ามันคือกิเลส ทั้งที่รู้ว่าไม่ยั่งยืน แต่ก็ต้องอยู่และคอยรับรู้มันครับ :cry:
จริงครับ ผมก็พยายามเลือกวิธีการ ระยะ ระดับที่เหมาะสมของเวลาและความพยายาม ที่เอาไปใช้ในการลงทุน เพื่อให้เกื้อหนุนกับการปฏิบัติ

แม้ว่าการลงทุนจะเป็นอาชีพที่ทำเหตุใกล้ให้เกิดกิเลสได้ง่าย เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ แต่ต้องยอมรับครับว่า มันเป็นอาชีพที่ใช้เวลาน้อยมากในการหาเลี้ยงชีพ ทำให้มีอิสระทางเวลา ซึ่งถ้าพอร์ตใหญ่ระดับหนึ่ง จัดสรรเวลาดีๆ ก็จะมีเวลาไปปฏิบัติธรรมได้มาก
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 40

โพสต์

ธรรมบรรยายในหลักสูตร "เพียงแค่รู้"
โดย อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
เรื่อง "สอนดูจิต"

https://www.youtube.com/watch?v=jYIqfULVot0
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 41

โพสต์

ผมลองวิเคราะห์ดูด้วยตนเองจากคำถามที่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นการปฏิบัติธรรมได้ไหมเนื่องจากที่นี่ทำให้ความโลภกำเริบขึ้นได้ง่ายแล้วพบว่า มีโอกาสเป็นไปได้ถ้าท่านสำเร็จกิจทางโลกจากตลาดหุ้นแล้ว โดยการได้อิสระภาพทางการเงินที่"พอเพียง"สำหรับการใช้ชีวิตของตนเองและครอบครัวไปตลอดแล้วไม่ต้องกังวัลเรื่องเงินอีกสามารถอยู่ได้ด้วยเงินปันผลจากหุ้น

แต่การปฏิบัติธรรมคือการมุ่งเน้นให้ล่ะตัวเราของเราเพราะฉะนั้นถ้าต้องการทำให้การลงทุนในหุ้นเป็นการปฏิบัติธรรมจริงๆ ท่านต้องเปลี่ยนทัศนคติในการลงทุนใหม่หลังจากได้อิสระภาพทางการเงินว่า ดอกผลส่วนใหญ่ที่งอกเงยจากการลงทุนต่อไปนี้ของข้าพเจ้าจะขออุทิศเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป (คำว่าดอกผลส่วนใหญ่ที่งอกเงยจากการลงทุนต่อไปนี้ของข้าพเจ้านั้น ปีเเรกหรือรอบการลงุทนแรกซึ่งอาจจะกินหลายปีอาจจะเริ่มต้นที่51%ของส่วนที่งอกเงยมาจากการลงทุนก่อนก็ได้ครับแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไปทุกๆปีหรือทุกๆรอบการลงทุนครับ)

และหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นก็เอื้อกับปฎิบัตธรรม เนื่องจากหลักการนี้ไม่จำเป็นต้องดูราคาหุ้นบ่อยๆแต่อย่างไรอาจจะดูเพียงเดือนล่ะครั้งหรือไตรมาสล่ะครั้งเมื่องบออกก็ได้ครับไม่จำเป็นที่ต้องเฝ้าหน้าจอเหมือนนักลงทุนแนวทางอื่น และหลักการลงทุนนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับอาชีพ นักประเมินราคาทรัพย์สิน จริงๆแล้วนักลุงทนก็แค่ทำหน้าที่วิเคราะห์และประเมินมูลค่าของหุ้นที่ควรจะเป็นในอนาคตของบริษัทต่างๆในขอบเขตความรู้ความเข้าใจของตนเองว่าบริษัทใดที่ราคาหุ้นในขณะนี้เมื่อเทียบกับมูลค่าในอนาคตบริษัทไหนน่าลงทุนก็ลงทุนเมื่อเต็มมูลค่าก็ค่อยๆทยอยขายออกไป กระบวนการที่ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ถ้าพิจารณาดูดีดีแล้วจะพบว่าจะพบจะไม่ให้กิเลศหรือตัณหาเข้ามาเกี่ยวกับข้องเลยก็สามารถทำได้ครับถ้ากำลังสติมากเพียงพอ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง

http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html



http://goo.gl/VjQ4cG
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ศิษย์เซียน007 เขียน:... กระบวนการที่ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ถ้าพิจารณาดูดีดีแล้วจะพบว่าจะพบจะไม่ให้กิเลศหรือตัณหาเข้ามาเกี่ยวกับข้องเลยก็สามารถทำได้ครับถ้ากำลังสติมากเพียงพอ
ขออนุญาตถกตรงเรื่องที่ไม่ให้มีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องหน่อยนะครับ

อย่างการที่ตั้งใจจะเอาผลกำไรที่ได้ไปบริจาคทั้งหมดนี่ เหมือนว่าจะไม่ใช่กิเลสตัณหา แต่จริงๆ แล้วยังประกอบด้วยโลภะและโมหะอยู่ กล่าวคือยังมีความติดใจยินดีในการทำสิ่งที่เป็นกุศล เรียกสั้นๆ ว่า ติดดี

ผมเห็นด้วยว่าผู้ปฏิบัติควรละความชั่ว ทำความดี แต่เมื่อถึงจุดที่จะเอามรรคเอาผล แม้แต่ความดีเราก็ต้องทิ้ง เพราะ กุศลกรรมก็ยังมีกุศลวิบาก ความติดใจยินดีใจการทำดีก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ หากจะไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แม้ความดีก็ต้องทิ้ง

ในการปฏิบัติในเชิงลึกองค์ธรรมจะประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งผู้ปฏิบัติแต่ละคนแม้จะทำทานบารมีมาแตกต่างกัน แต่ทำมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ถึงเวลาปฏิบัติธรรมนี้เป็นเรื่องของการต่อสู้กับกิเลสล้วนๆ และกิเลสที่เนียนที่สุดที่แฝงเข้ามาระหว่างปฏิบัติก็คือกิเลสที่แฝงตัวเข้ามากับความคิดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกุศล ล่อหลอกให้เราออกจากการปฏิบัติไปทำบุญบ้าง ล่อหลอกให้เราคิดใคร่ครวญไตร่ตรองในธรรมะบ้าง ซึ่งทำให้เราทิ้งอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันไป ไม่เห็นสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพราะ มัวแต่คิดว่าจะไปทำดีอะไรในอนาคต หรือธรรมะในอดีตอะไรที่เคยรู้มา

สายที่ผมปฏิบัตินี่ถ้าเกิดความรู้สึกอยากทำบุญ ก็ต้องกำหนดให้ดับที่ตรงนั้น เกิดคิดใคร่ครวญธรรมะ ก็ต้องกำหนดความฟุ้งนั้นจนกว่าจะดับไป ไม่ปล่อยให้ความโลภในกุศลมายึดจิตจนทิ้งปัจจุบัน

ยากจริงๆ ครับ กับการเอาตลาดหุ้นมาเป็นสถานปฏิบัติธรรม ใครทำได้สำเร็จ รบกวนช่วยมาชี้แนะด้วยครับ จะได้เอามาลองทำดูบ้าง ขอบคุณครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 43

โพสต์

picatos เขียน:
ศิษย์เซียน007 เขียน:... กระบวนการที่ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ถ้าพิจารณาดูดีดีแล้วจะพบว่าจะไม่ให้กิเลศหรือตัณหาเข้ามาเกี่ยวกับข้องเลยก็สามารถทำได้ครับถ้ากำลังสติมากเพียงพอ
ขออนุญาตถกตรงเรื่องที่ไม่ให้มีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องหน่อยนะครับ

อย่างการที่ตั้งใจจะเอาผลกำไรที่ได้ไปบริจาคทั้งหมดนี่ เหมือนว่าจะไม่ใช่กิเลสตัณหา แต่จริงๆ แล้วยังประกอบด้วยโลภะและโมหะอยู่ กล่าวคือยังมีความติดใจยินดีในการทำสิ่งที่เป็นกุศล เรียกสั้นๆ ว่า ติดดี

ผมเห็นด้วยว่าผู้ปฏิบัติควรละความชั่ว ทำความดี แต่เมื่อถึงจุดที่จะเอามรรคเอาผล แม้แต่ความดีเราก็ต้องทิ้ง เพราะ กุศลกรรมก็ยังมีกุศลวิบาก ความติดใจยินดีใจการทำดีก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ หากจะไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แม้ความดีก็ต้องทิ้ง

ในการปฏิบัติในเชิงลึกองค์ธรรมจะประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งผู้ปฏิบัติแต่ละคนแม้จะทำทานบารมีมาแตกต่างกัน แต่ทำมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ถึงเวลาปฏิบัติธรรมนี้เป็นเรื่องของการต่อสู้กับกิเลสล้วนๆ และกิเลสที่เนียนที่สุดที่แฝงเข้ามาระหว่างปฏิบัติก็คือกิเลสที่แฝงตัวเข้ามากับความคิดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกุศล ล่อหลอกให้เราออกจากการปฏิบัติไปทำบุญบ้าง ล่อหลอกให้เราคิดใคร่ครวญไตร่ตรองในธรรมะบ้าง ซึ่งทำให้เราทิ้งอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันไป ไม่เห็นสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพราะ มัวแต่คิดว่าจะไปทำดีอะไรในอนาคต หรือธรรมะในอดีตอะไรที่เคยรู้มา

สายที่ผมปฏิบัตินี่ถ้าเกิดความรู้สึกอยากทำบุญ ก็ต้องกำหนดให้ดับที่ตรงนั้น เกิดคิดใคร่ครวญธรรมะ ก็ต้องกำหนดความฟุ้งนั้นจนกว่าจะดับไป ไม่ปล่อยให้ความโลภในกุศลมายึดจิตจนทิ้งปัจจุบัน

ยากจริงๆ ครับ กับการเอาตลาดหุ้นมาเป็นสถานปฏิบัติธรรม ใครทำได้สำเร็จ รบกวนช่วยมาชี้แนะด้วยครับ จะได้เอามาลองทำดูบ้าง ขอบคุณครับ
ก่อนอื่นเลยตอบขอตอบตรงว่ายากครับ ที่จะปฏิบัติธรรมในตลาดหุ้น เรื่องการนำดอกผลส่วนใหญ่ไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นส่วนสำคัญในการจะทำให้ที่นี่เป็นที่ๆเหมาะในการปฏิบัติธรรมครับเพราะถ้าไม่ตั้งเจตนาแบบนี้หลังจากได้อิสระทางการเงินแล้ว จะเป็นการทำเพื่อตัวเราของเราอย่างไม่จบไม่สิ้นครับเพราะจะปรารถนาให้พอร์ตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆครับ เห็นด้วยกับท่านที่ให้ล่ะความอยากในการทำบุญ แต่ขอให้เปลี่ยนเป็นการทำบุญโดยปราศจากความอยากแทน โดยให้เห็นประโยชน์สูงสุดจากการทะนุบำรุงพระศาสนาว่าพุทธศาสนานั้นเป็นทางอันประเสริฐที่จะทำให้คนเราพ้นจากทุกข์ได้จริงพุทธองค์ท่านทรงสอนให้ล่ะบาปแต่ให้เจริญกุศลยิ่งๆขึ้นไปครับ(อาจจะเพื่อทำให้บารมีเต็มเพื่อการบรรลุธรรมก็เป็นได้ครับ) การที่เป็นเพศฆราวาสอยู่นี้ก็สามารถบรรลุธรรมได้ถึงขั้นอนาคามีขั้นก่อนสุดท้ายครับ ในสมัยพุทธกาลก็มีพระอริยะเจ้าหลายท่านที่หลังจากได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วก็ยังทำงานอยู่ในเพศฆราวาสเพื่อทะนุบำรุงพระศาสนาต่อไปครับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง

http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html



http://goo.gl/VjQ4cG
anasak
Verified User
โพสต์: 16
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 44

โพสต์

อนุโมทนาแด่ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
fiat1100
Verified User
โพสต์: 383
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ

โพสต์ที่ 45

โพสต์

เออ...จริงๆแล้ว ถ้าเรารู้ว่าทั้งหมดในตลาดหุ้นนี้ มันไม่มีอยู่จริงมันถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด เราเป็นเพียงได้เข้าไปเกี่ยวข้องในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง เพียงร่วมใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มันเป็นอยู่ในช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง สุดท้ายตลาดหุ้นมันก็ต้องหายไป แม้แต่เงินเราที่ได้รับมาก็เถอะมันไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วน เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย มีการเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงแล้วก็ดับไปไม่สามารถคงอยู่ได้ แล้วเราจะเอาจิตเราไปยึดไว้เพื่ออะไร เราก็แค่ใช้สติ อยู่กับปัจจุบัน ทำในสิ่งที่สมควร ไม่ผิดศิล รักษาจิตของเรา ให้ปรกติ ไม่ไปสร้างอุปปาทาน ขึ้นมา ตัณหาก็จะไม่เกิดครับ พึงมีสติระลึกรู้ว่าทุกอย่างรอบตัวเราล้วนเป็นอนัตตา(อย่าเข้าไปยึด) มีสติระลึกอยู่กับปัจจุบันสังเกตุกายสังเกตุจิตโอกาสที่จิตจะปรุงแต่งสิ่งต่างๆขึ้นมาก็จะน้อยครับ แล้วเมื่อเราฝึกจิตจนจิตเรามีพลังมากพอ เมื่อเราพบเจอกิเลส ตัณหา จิตเราจะละได้โดยอัตโนมัติครับ(เกิดณาน) นี่เป็นหลักการที่ใช้ฝึกครับ ไม่เฉพาะกับตลาดหุ้น แต่ต้องฝึกเจริญสติทุกสถานการณ์ (ไม่ใช่การคิดเอานะครับ แต่เป็นการดูที่กาย และจิตจริงๆ) จนจิต เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทั้งหมดนี้คือ การฝึกสัมมาสมาธิ และเจริญวิปัสนา เมื่อเราพบเหตุการต่างๆทางผัสสะทั้ง6ครับ นี่เป็นแนวทางที่ผมรู้มาครับ ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยครับ
มองให้ไกล ไปให้ถูกทาง ถูกที่ ถูกเวลา
"อยู่กับปัจจุบัน ให้เห็นอนาคต ลดมายา มุ่งหาโอกาส"