ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 1
ปีนี้ทั้งปีผมกำไรน้อยมากครับ พอถึงปลายปีแล้วคิดว่าคงเท่าทุนหรือกำไรนิด ๆ เท่านั้นครับไม่ได้เก่งกล้าอะไร
แต่ที่ตั้งใจเขียนกระทู้นี้ออกมาเพื่อให้ตัวผมเองระลึก ถึงจุดของการเป็นนักลงทุน และจุดยืนที่สำคัญในการเป็นนักลงทุนไทยครับ ในสมัยก่อนเรามักจะแยกแยะเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องด้วยเหตุและผล เรามีหลักการในการคิดมากมาย ผมรวมเพื่อน ๆ สายเทคนิกและ CANSLIM อยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
เราวิเคราะห์ค่า PE, PB, PEG และอีกสารพัด สายเทคนิก เราดูทั้ง โวลุ่ม, MACD, RSI และอีกสารพัด CANSLIM เราดูสายลมทั้ง 6 สาย ประกอบไปด้วย C,A,N,S,L,I,M และคัพวิทโฮลเดอร์ ก่อนจะตัดสินใจเราทำการบ้านกันมามากครับ
ย้ำว่าเราทำการบ้านกันมามากครับ หากท่านมั่นใจและทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ตัดสินใจขายเลยครับ
แต่ผมคิดว่าไม่น่าใช่นะครับ ใครจะผิดจะถูกผมไม่รู้ หุ้นจะขึ้นจะลงผมไม่รู้ แต่การตัดสินใจขายเพราะความไร้สตินั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ ไตร่ตรองและใคร่ครวญอีกครั้งครับ
แต่ที่ตั้งใจเขียนกระทู้นี้ออกมาเพื่อให้ตัวผมเองระลึก ถึงจุดของการเป็นนักลงทุน และจุดยืนที่สำคัญในการเป็นนักลงทุนไทยครับ ในสมัยก่อนเรามักจะแยกแยะเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องด้วยเหตุและผล เรามีหลักการในการคิดมากมาย ผมรวมเพื่อน ๆ สายเทคนิกและ CANSLIM อยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
เราวิเคราะห์ค่า PE, PB, PEG และอีกสารพัด สายเทคนิก เราดูทั้ง โวลุ่ม, MACD, RSI และอีกสารพัด CANSLIM เราดูสายลมทั้ง 6 สาย ประกอบไปด้วย C,A,N,S,L,I,M และคัพวิทโฮลเดอร์ ก่อนจะตัดสินใจเราทำการบ้านกันมามากครับ
ย้ำว่าเราทำการบ้านกันมามากครับ หากท่านมั่นใจและทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็ตัดสินใจขายเลยครับ
แต่ผมคิดว่าไม่น่าใช่นะครับ ใครจะผิดจะถูกผมไม่รู้ หุ้นจะขึ้นจะลงผมไม่รู้ แต่การตัดสินใจขายเพราะความไร้สตินั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ ไตร่ตรองและใคร่ครวญอีกครั้งครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 3
สิ่งที่ยังฝังใตคนที่ผ่านวิกฤตอย่างแฮมเบอรเกอร มันยังทำให้อดคิดไม่ได้ทั้งๆที่ตอนนั้นไทยไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ฟันโฟลวออกไปนี่อะครับ ที่ผมน่ากังวล แม้หุ้นเราตะเทพแค่ไหน ก็ฉุดไม่อยู่
ผมเองไม่ได้ขายหุ้นเลยตั้งแต่ 2009 ก็ชักสับสนว่าควรล็อกกำไรดีมั้ย
ปกติผมไม่หวั่นไหวนะ อาจเป็นตอนนั้นทุนมันน้อย เจ็ดหลักเอง แต่ผ่านมาหลายปีเริ่มคิดถึงความมั่นคงตัวเองกับอาชีพ เลยกลับมาคิดว่ากอดความมั่นคงไว้บ้างจะดีมี้ย
ต่างประเทศดุเหมือนมีปัญหาหลายจุดทีเดียว น่าคิด พี่ๆว่าไงกันครับ
ผมเองไม่ได้ขายหุ้นเลยตั้งแต่ 2009 ก็ชักสับสนว่าควรล็อกกำไรดีมั้ย
ปกติผมไม่หวั่นไหวนะ อาจเป็นตอนนั้นทุนมันน้อย เจ็ดหลักเอง แต่ผ่านมาหลายปีเริ่มคิดถึงความมั่นคงตัวเองกับอาชีพ เลยกลับมาคิดว่ากอดความมั่นคงไว้บ้างจะดีมี้ย
ต่างประเทศดุเหมือนมีปัญหาหลายจุดทีเดียว น่าคิด พี่ๆว่าไงกันครับ
"Failure is the only way to start again intelligently"
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 4
ใครว่าเศรษฐกิจโลกดี....ผมคนหนึ่งละครับที่ว่าไม่ดี ทั้งในและนอก ลำบากครับปีหน้าการลงทุนต่าง ๆ ก็แย่....ในต่างประเทศเตือนมาหลายครั้งแล้ว CRASH ALERT เห็น Warren Buffett ก็มีการขายหุ้นออกบ้างแล้ว และ มี fund managers ต่างประเทศบอก prepare for pain เตรียมตัวกันเจ็บอีกครั้งหนึ่ง.....ผมไม่ได้หนีไม่ได้ขายหุ้นออก ที่ซื้อไปก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ หุ้นผมเป็นหุ้นเล็กและกลางเป็นส่วนใหญ่ ฝรั่งหรือสถาบัน ไม่มายุ่งเกี่ยวกับผมเท่าไหร่ สภาพคล่องแย่มาก แต่สิ่งที่สำคัญคือมีปันผลแทบทุกตัว....รายได้ส่วนใหญ่ของผมอยู่ที่ปันผล ผมมีการคาดการณ์ปันผลที่จะรับปีหน้า มันบอกว่า น้อยลงครับ น้อยลงประมาณ 10% ได้...ผมไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนที่ไหน อยู่ในตลาดหุ้นมานานแล้ว ก็ ต้องอยู่กับมัน ตอนนี้ดูตัวเลข portforlio ก็ตกลงเหมือนกับที่ตลาดตกลงเช่นกัน....แต่สิ่งที่สำคัญที่อัตราปันผลที่ได้รับ ยังสูงกว่าพวกเงินฝากหรือหุ้นกู้ เท่านั้นผมก็พอใจแล้วครับ.....ต้องอดทนกันหน่อย
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- koh
- Verified User
- โพสต์: 273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 5
อืมส์...... สาย โอนีล น่าจะออกไปจากตลาดตอน 1580-1600 แล้วนะครับ DD Days มาเป็นชุดเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 2547
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 7
ทั้งหมดอยู่ที่ความพอดี
ไม่โลภเกินพอดี คาดหวังซื้อให้ได้ต่ำสุด หรือขายให้ได้สูงสุด
ไม่กลัวเกินจริง ตลาดหุ้นก่อกำเนิดมาหลายปี ดู logo ตลาดมีความหมายคือ หยินกับหยาง นั้นคือสัจจธรรมที่ว่า เมื่อหุ้นขึ้นสักวันมันก็ต้องลง ในขาขึ้นก็มีขาลงเป็นคลื่น ในขาลงก็ต้องมีขาขึ้นเป็นคลื่น จะให้ขึ้นตลอดหรือลงตลอดคงไม่ได้ มันเป็นวัฏจักรของมันอยู่อย่างนั้น
ไม่ไร้สติ คือ การลงทุนที่ไม่มีแผนการใด ๆ ทำไปตามอารมณ์หรือกระแสส่วนใหญ่ ให้นายตลาดเป็นนาย สั่งการเราให้ไร้สติ ขาลง กลัวเกินเหตุ ขาขึ้น ก็โลภเกินพอดี
ไม่ไร้สติเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเราต้องมีแผนในการลองรับ และเข้าใจอารมณ์ของตล่ดตลาดที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของมันอยู่อย่างนั้น เราต้องมีสติให้นายตลาดรับใช้เราให้ได้
ขอเอาตัวอย่างแผนการลงทุนของผมกำหนดไว้ล่วงหน้่าดังนี้ กำหนดไว้หลายเดือนในช่วงตลาดขาขึ้น เพื่อป้องกันอารมณ์ร่วมของผมกับนายตลาด ดังนี้
เพราะเราไม่สามารถคาดเดาตลาด เอาแน่นอนไม่ได้เลย
เช่นที่ผ่านมา เวลาลงถึง138 จุด ปลายตลาดก็สามารถปรับขึ้นมากว่า 100จุดเป็น v shape ได้เช่นกัน ใครจะไปเช่ือในเวลาไม่นานก็เป็นไปแล้ว
ผมได้วางแผนลงทุนได้ และเดินไปตามแผนทีีกำหนด
โดยให้ตลาดรับใช้เรา แต่ไม่ต้องคาดการณ์จังหวะครับ
ผมใช้สำรองแผน 3 ระดับ เพื่อรองรับตลาดขาลง เตรียมการไว้และเดินต่อดังนี้
แผนแรกลงทุนเอง จะ focus หุ้นที่ลงทุน เน้นเฉพาะเป็นกิจการท่ีมี cash flow สูง หนี้น้อย สะท้อนจากเครดิตเรทติ้งที่ระดับ investment grade และมีฐานะการเงินดี มีปันผลด้วย สำคัญสุดต้องเป็น ธุรกิจโตมีแผนการเติบโตชัดเจน ผมกันเงินสำรอง 10%-20% จำนวนหน่ึงไว้ซื้อเพ่ิมในกิจการดังกล่าวหากยังลงต่อ และสำรองเงินในินาคตเพราะจะมีเงินก้อน ltf ท่ีผมขายทุกปีเอามามาสมทบเพื่อซื้อเพิ่มในอนาคตทำให้เฉลี่ยต้นทุนระยะยาว ไม่โลภเกินพอดี
แผน 2 dca จากเงินเดือนมาลงทุนในกองทุน rmf และ ltf ทุกเดือน ไม่กลัวจนเกินไป
แผน 3 rmf ท่ีเป็นกอง money market จำนวนมาก ผมมาแบ่งเงินเป็น 20 งวด ทะยอย dca ในกองทุนที่เป็น equity fund เม่ือตลาด panic มาก ๆ จึงจะทยอยลงทุนไปทีละส่วน ทำให้ไม่เสียโอกาสระยะยาวเมื่อตลาด panic และทำให้เราลงทุนมีวินัย ไม่ไร้สติตามนายตลาด หากมันขึ้นมามาก ๆ ในอนาคต ผมก็จะสวิชกลับเป็น money market ใหม่ เพื่อเป็นแผนสำรองแบบนี้ต่อไป
ด้วยการไม่คาดการณ์ตลาด แต่ลงทุนตามวินัย ตามแผนที่กำหนด และเม่ือตลาดเป็นใจตาม scenerio ต่าง ๆ ก็เดินไปตามนั้นครับ
จึงตอบโจทย์พี่ NB ที่ว่า ไม่โลภ ไม่กลัว และไม่ไร้สติ ทำได้อย่างไร เอามา share ครับ
ไม่โลภเกินพอดี คาดหวังซื้อให้ได้ต่ำสุด หรือขายให้ได้สูงสุด
ไม่กลัวเกินจริง ตลาดหุ้นก่อกำเนิดมาหลายปี ดู logo ตลาดมีความหมายคือ หยินกับหยาง นั้นคือสัจจธรรมที่ว่า เมื่อหุ้นขึ้นสักวันมันก็ต้องลง ในขาขึ้นก็มีขาลงเป็นคลื่น ในขาลงก็ต้องมีขาขึ้นเป็นคลื่น จะให้ขึ้นตลอดหรือลงตลอดคงไม่ได้ มันเป็นวัฏจักรของมันอยู่อย่างนั้น
ไม่ไร้สติ คือ การลงทุนที่ไม่มีแผนการใด ๆ ทำไปตามอารมณ์หรือกระแสส่วนใหญ่ ให้นายตลาดเป็นนาย สั่งการเราให้ไร้สติ ขาลง กลัวเกินเหตุ ขาขึ้น ก็โลภเกินพอดี
ไม่ไร้สติเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเราต้องมีแผนในการลองรับ และเข้าใจอารมณ์ของตล่ดตลาดที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของมันอยู่อย่างนั้น เราต้องมีสติให้นายตลาดรับใช้เราให้ได้
ขอเอาตัวอย่างแผนการลงทุนของผมกำหนดไว้ล่วงหน้่าดังนี้ กำหนดไว้หลายเดือนในช่วงตลาดขาขึ้น เพื่อป้องกันอารมณ์ร่วมของผมกับนายตลาด ดังนี้
เพราะเราไม่สามารถคาดเดาตลาด เอาแน่นอนไม่ได้เลย
เช่นที่ผ่านมา เวลาลงถึง138 จุด ปลายตลาดก็สามารถปรับขึ้นมากว่า 100จุดเป็น v shape ได้เช่นกัน ใครจะไปเช่ือในเวลาไม่นานก็เป็นไปแล้ว
ผมได้วางแผนลงทุนได้ และเดินไปตามแผนทีีกำหนด
โดยให้ตลาดรับใช้เรา แต่ไม่ต้องคาดการณ์จังหวะครับ
ผมใช้สำรองแผน 3 ระดับ เพื่อรองรับตลาดขาลง เตรียมการไว้และเดินต่อดังนี้
แผนแรกลงทุนเอง จะ focus หุ้นที่ลงทุน เน้นเฉพาะเป็นกิจการท่ีมี cash flow สูง หนี้น้อย สะท้อนจากเครดิตเรทติ้งที่ระดับ investment grade และมีฐานะการเงินดี มีปันผลด้วย สำคัญสุดต้องเป็น ธุรกิจโตมีแผนการเติบโตชัดเจน ผมกันเงินสำรอง 10%-20% จำนวนหน่ึงไว้ซื้อเพ่ิมในกิจการดังกล่าวหากยังลงต่อ และสำรองเงินในินาคตเพราะจะมีเงินก้อน ltf ท่ีผมขายทุกปีเอามามาสมทบเพื่อซื้อเพิ่มในอนาคตทำให้เฉลี่ยต้นทุนระยะยาว ไม่โลภเกินพอดี
แผน 2 dca จากเงินเดือนมาลงทุนในกองทุน rmf และ ltf ทุกเดือน ไม่กลัวจนเกินไป
แผน 3 rmf ท่ีเป็นกอง money market จำนวนมาก ผมมาแบ่งเงินเป็น 20 งวด ทะยอย dca ในกองทุนที่เป็น equity fund เม่ือตลาด panic มาก ๆ จึงจะทยอยลงทุนไปทีละส่วน ทำให้ไม่เสียโอกาสระยะยาวเมื่อตลาด panic และทำให้เราลงทุนมีวินัย ไม่ไร้สติตามนายตลาด หากมันขึ้นมามาก ๆ ในอนาคต ผมก็จะสวิชกลับเป็น money market ใหม่ เพื่อเป็นแผนสำรองแบบนี้ต่อไป
ด้วยการไม่คาดการณ์ตลาด แต่ลงทุนตามวินัย ตามแผนที่กำหนด และเม่ือตลาดเป็นใจตาม scenerio ต่าง ๆ ก็เดินไปตามนั้นครับ
จึงตอบโจทย์พี่ NB ที่ว่า ไม่โลภ ไม่กลัว และไม่ไร้สติ ทำได้อย่างไร เอามา share ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 962
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 8
จริงๆ ด้วยความรู้อันจำกัดของผม ผมก็มองว่าตลาดขึ้นมาเยอะเกินกว่าพื้นฐาน มองเศรษฐกิจไปข้างหน้าระยะ 1 ปี ก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไร อาจจะทรงๆ แต่ตลาดขึ้นเพราะความคาดหวัง และมองโลกในแง่ดี
เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ผมยังคุยกับเพื่อนว่า ออกจากตลาดดีมั้ย แต่ผมก็ไม่ได้ออก เพราะว่าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ในใจก็คิดว่าถ้าเกิดตลาดลงเยอะ ผมก็ขอเก็บกำไรบางส่วนออกไปก่อนละกัน
หลายวันที่ผ่านมาผมก็ขายออกไปพอสมควร กำไรของปีนี้ก็ลดลงพอสมควรเหมือนกันครับ
รอให้ฝุ่นหายตลบก่อน แล้วผมค่อยคิดใหม่ละกันว่าจะเอายังไงต่อ
เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ผมยังคุยกับเพื่อนว่า ออกจากตลาดดีมั้ย แต่ผมก็ไม่ได้ออก เพราะว่าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ในใจก็คิดว่าถ้าเกิดตลาดลงเยอะ ผมก็ขอเก็บกำไรบางส่วนออกไปก่อนละกัน
หลายวันที่ผ่านมาผมก็ขายออกไปพอสมควร กำไรของปีนี้ก็ลดลงพอสมควรเหมือนกันครับ
รอให้ฝุ่นหายตลบก่อน แล้วผมค่อยคิดใหม่ละกันว่าจะเอายังไงต่อ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 10
ผมว่านะ มันอยู่ที่วินัยและจิตใจของเราครับ บางเรื่องเราถูกสอนมาคล้าย ๆ "แบบเรียนมาตรฐาน" เช่น ไม่ควรจับจังหวะของตลาด
ถามว่ามันถูกต้องไหม ผมว่าส่วนใหญ่มันถูกต้องครับ แต่ในบางสถานการณ์ ถึงใจเราจะไม่จับจังหวะของตลาด แต่เราก็ควรจะยั้ง ๆ ไว้บ้าง เช่น กรณีที่ SET อยู่ที่ระดับสูง ๆ PE ตลาดอยู่ในระดับสูง ๆ
การมีวินัยเช่น การมี MOS ที่สูงขึ้น เหมือนเราชกมวย เราตั้งการ์ดสูง คู่แข่งชกเข้ามาก็ไม่เข้าเป้า แต่ถ้าเมื่อไร การ์ดเราตกหรือเราคิดจะชกคู่แข่งแบบปล่อยหมัดแล้วน็อคนั้น ในจังหวะที่การ์ดเราตกหรือเรากำลังปล่อยหมัดออกไปนั้น มันก็คือจังหวะที่การป้องกันของเราเสียไปนั่นเอง
เรื่องจิตใจก็สำคัญ ก่อนหน้านี้ที่หุ้นตัวเล็ก ๆ วิ่งเอา ๆ พร้อม ๆ กับข่าวดีมากมาย ผมเห็นบางคนมองอนาคตหุ้นตัวนั้นสวยงามมากทั้ง ๆ ที่โปรเจคทั้งหลายบางทีมันก็เป็นแค่ข่าว ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย เจอแบบนี้มันทำให้เรา bias จากที่เคยคิดว่าถ้าราคามันโอเวอร์เกินไปแล้วจะขาย ก็เลยขอถือเอาไว้ก่อน นอกจากนั้น เรื่องของภาวะจิตใจ บางครั้ง เราเห็นคนอื่นกำไรมาก ๆ เราก็อยากกำไรเหมือนอย่างเค้าบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะพยายามหาทางปล่อยหมัดน็อคคู่ต่อสู้ จุดอ่อนของเราก็จะเปิด เมื่อคุ่ต่อสู้หลบหมัดของเราแล้วปล่อยหมัดกลับมาได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเราโดนน็อคเสียเองครับ บางครั้ง การเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้างโดยเฉพาะเรื่องการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับคนอื่น มันก็เป็นเหมือนการฝึกวินัยและฝึกจิตใจของเราครับ
ผมเองก็เคยโดนมาแล้วครับ ตลาดหุ้นสูง แต่เราเปิดเกมบุก พยายามหาหุ้นถูก ๆ ซื้อ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ได้หุ้นถูกจริง แต่คุณภาพอาจจะไม่ดีนัก สิ่งที่ตามมาก็คือ พอตลาดลง หุ้นที่เราว่ามันถูกแล้วเลยกลายเป็นซุปเปอร์ถูกครับ
ถามว่ามันถูกต้องไหม ผมว่าส่วนใหญ่มันถูกต้องครับ แต่ในบางสถานการณ์ ถึงใจเราจะไม่จับจังหวะของตลาด แต่เราก็ควรจะยั้ง ๆ ไว้บ้าง เช่น กรณีที่ SET อยู่ที่ระดับสูง ๆ PE ตลาดอยู่ในระดับสูง ๆ
การมีวินัยเช่น การมี MOS ที่สูงขึ้น เหมือนเราชกมวย เราตั้งการ์ดสูง คู่แข่งชกเข้ามาก็ไม่เข้าเป้า แต่ถ้าเมื่อไร การ์ดเราตกหรือเราคิดจะชกคู่แข่งแบบปล่อยหมัดแล้วน็อคนั้น ในจังหวะที่การ์ดเราตกหรือเรากำลังปล่อยหมัดออกไปนั้น มันก็คือจังหวะที่การป้องกันของเราเสียไปนั่นเอง
เรื่องจิตใจก็สำคัญ ก่อนหน้านี้ที่หุ้นตัวเล็ก ๆ วิ่งเอา ๆ พร้อม ๆ กับข่าวดีมากมาย ผมเห็นบางคนมองอนาคตหุ้นตัวนั้นสวยงามมากทั้ง ๆ ที่โปรเจคทั้งหลายบางทีมันก็เป็นแค่ข่าว ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย เจอแบบนี้มันทำให้เรา bias จากที่เคยคิดว่าถ้าราคามันโอเวอร์เกินไปแล้วจะขาย ก็เลยขอถือเอาไว้ก่อน นอกจากนั้น เรื่องของภาวะจิตใจ บางครั้ง เราเห็นคนอื่นกำไรมาก ๆ เราก็อยากกำไรเหมือนอย่างเค้าบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะพยายามหาทางปล่อยหมัดน็อคคู่ต่อสู้ จุดอ่อนของเราก็จะเปิด เมื่อคุ่ต่อสู้หลบหมัดของเราแล้วปล่อยหมัดกลับมาได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเราโดนน็อคเสียเองครับ บางครั้ง การเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้างโดยเฉพาะเรื่องการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับคนอื่น มันก็เป็นเหมือนการฝึกวินัยและฝึกจิตใจของเราครับ
ผมเองก็เคยโดนมาแล้วครับ ตลาดหุ้นสูง แต่เราเปิดเกมบุก พยายามหาหุ้นถูก ๆ ซื้อ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ได้หุ้นถูกจริง แต่คุณภาพอาจจะไม่ดีนัก สิ่งที่ตามมาก็คือ พอตลาดลง หุ้นที่เราว่ามันถูกแล้วเลยกลายเป็นซุปเปอร์ถูกครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 365
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 11
ก่อนอื่น ต้องขอชื่นชมพี่ Nevercry.boy นะครับ ที่ออกมาให้สติ .. ผมเองก็ติดตามการโพสของพี่เรื่อย ๆ
ส่วนตัว ผลงานปีนี้ ก็ได้กำไรเล็กน้อยเช่นกัน
ผมเชื่อมั่นและศรัทธาในแนวทางการลงทุนระยะยาว
"stay calm stay invest"
แต่อาจจะต้องบริหารเงินให้ดีกว่านี้ ... ในช่วงที่หุ้นตกมาก ๆ อย่างไม่ค่อยมีเหตุมีผลอย่างที่ผ่านมา
จะได้เหลือกระสุนไว้ซื้อเพิ่ม
โชคดีในการลงทุนระยะยาวครับทุก ๆ ท่าน
ส่วนตัว ผลงานปีนี้ ก็ได้กำไรเล็กน้อยเช่นกัน
ผมเชื่อมั่นและศรัทธาในแนวทางการลงทุนระยะยาว
"stay calm stay invest"
แต่อาจจะต้องบริหารเงินให้ดีกว่านี้ ... ในช่วงที่หุ้นตกมาก ๆ อย่างไม่ค่อยมีเหตุมีผลอย่างที่ผ่านมา
จะได้เหลือกระสุนไว้ซื้อเพิ่ม
โชคดีในการลงทุนระยะยาวครับทุก ๆ ท่าน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 12
ดัชนีหุ้นขึ้นลงก็เหมือนนํ้าขึ้นนํ้าลง
เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ถ้าขึ้นโดยไม่ลงเลย มันจะมีแรงขึ้นรอบใหม่ได้อย่างไร
สําหรับคนที่เจอมาหลายวิกฤติแบบผม
วิกฤติตอนปี40 ดัชนีลดลง80กว่าเปอร์เซนต์
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ดัชนีลงประมาณ50เปอร์เซนต์
เที่ยวนี้2ส้ปดาห์ดัชนีลงไปแค่10กว่าไม่ถึง20เปอร์เซนต์
เงินในพอร์ทผมก็หายไปหลายล้าน
แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย
ผมเชื่อว่าถ้ากิจการที่เราถือยังดีอยู่
มันก็แค่ตัวเลขติดลบทางบัญชีเท่านั้น
อันที่จริงหุ้นที่ผมอยากได้เพิ่ม
แต่ละตัวยังp/eเกิน30อยู่เลย
ไม่เห็นถูกตรงไหน
ผมว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่สําคัญสําหรับผม คือ
"อย่านั่งเฝ้ากระดานหุ้น"
ผมดูราคาหุ้นวันละ1ครั้งตอนตลาดปิดแล้ว
วันที่ดัขนีหุ้นลดลง138จุด ผมมารู้ตอนตลาดปิดแล้ว
ซึ่งตอนปิดก็ลดลงแค่30กว่าจุด
ถ้าผมนั่งเฝ้าจออยู่ก็อาจมือบอนทําอะไรโง่ๆลงไป
การดูห้นตอนตลาดปิดแล้วมีข้อดีคือ
คุณซื้อขายไม่ได้แล้ว
คุณต้องนอนคิด1คืนว่าจะเอายังไง
Buffettเคยบอกว่าดูราคาหุ้น2อาทิตย์ครั้ง
ผมยอมรับว่ายังทําตามไม่ได้
ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่า
สําหรับตลาดหุ้น ถ้าคุณวิเคราะห์ธุรกิจและราคาอย่างดีแล้ว
ใครนั่งทับมือตัวเองโดยไม่ขยับได้นานเท่าไหร่
คนนั้นเป็นคนชนะและรํ่ารวย
ใครขยับมือยิ่งเร็วยิ่งบ่อย
คนนั้นแพ้ และต้องจ่ายเงินรอบวง
เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ถ้าขึ้นโดยไม่ลงเลย มันจะมีแรงขึ้นรอบใหม่ได้อย่างไร
สําหรับคนที่เจอมาหลายวิกฤติแบบผม
วิกฤติตอนปี40 ดัชนีลดลง80กว่าเปอร์เซนต์
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ดัชนีลงประมาณ50เปอร์เซนต์
เที่ยวนี้2ส้ปดาห์ดัชนีลงไปแค่10กว่าไม่ถึง20เปอร์เซนต์
เงินในพอร์ทผมก็หายไปหลายล้าน
แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย
ผมเชื่อว่าถ้ากิจการที่เราถือยังดีอยู่
มันก็แค่ตัวเลขติดลบทางบัญชีเท่านั้น
อันที่จริงหุ้นที่ผมอยากได้เพิ่ม
แต่ละตัวยังp/eเกิน30อยู่เลย
ไม่เห็นถูกตรงไหน
ผมว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่สําคัญสําหรับผม คือ
"อย่านั่งเฝ้ากระดานหุ้น"
ผมดูราคาหุ้นวันละ1ครั้งตอนตลาดปิดแล้ว
วันที่ดัขนีหุ้นลดลง138จุด ผมมารู้ตอนตลาดปิดแล้ว
ซึ่งตอนปิดก็ลดลงแค่30กว่าจุด
ถ้าผมนั่งเฝ้าจออยู่ก็อาจมือบอนทําอะไรโง่ๆลงไป
การดูห้นตอนตลาดปิดแล้วมีข้อดีคือ
คุณซื้อขายไม่ได้แล้ว
คุณต้องนอนคิด1คืนว่าจะเอายังไง
Buffettเคยบอกว่าดูราคาหุ้น2อาทิตย์ครั้ง
ผมยอมรับว่ายังทําตามไม่ได้
ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่า
สําหรับตลาดหุ้น ถ้าคุณวิเคราะห์ธุรกิจและราคาอย่างดีแล้ว
ใครนั่งทับมือตัวเองโดยไม่ขยับได้นานเท่าไหร่
คนนั้นเป็นคนชนะและรํ่ารวย
ใครขยับมือยิ่งเร็วยิ่งบ่อย
คนนั้นแพ้ และต้องจ่ายเงินรอบวง
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 13
สุดยอดเลยครับอาจารย์ ผมก็เจอแบบนี้หลายที (แต่ไม่เข็ดหลาบซะที) พอตลาดกระทิงทีไร ลืมระวังหลังตลอดleky เขียน:แต่ถ้าเมื่อไร การ์ดเราตกหรือเราคิดจะชกคู่แข่งแบบปล่อยหมัดแล้วน็อคนั้น ในจังหวะที่การ์ดเราตกหรือเรากำลังปล่อยหมัดออกไปนั้น มันก็คือจังหวะที่การป้องกันของเราเสียไปนั่นเอง
หมัดเคาน์เตอร์ใช่มั้ยครับอาจารย์ อ่านแล้วผมนึกถึงการ์ตูน "ก้าวแรกสู่สังเวียน" เลยครับleky เขียน:เราจะพยายามหาทางปล่อยหมัดน็อคคู่ต่อสู้ จุดอ่อนของเราก็จะเปิด เมื่อคุ่ต่อสู้หลบหมัดของเราแล้วปล่อยหมัดกลับมาได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเราโดนน็อคเสียเองครับ บางครั้ง การเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้างโดยเฉพาะเรื่องการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับคนอื่น มันก็เป็นเหมือนการฝึกวินัยและฝึกจิตใจของเราครับ
เรื่องเทียบเขาเทียบเรานี่ผมก็ประจำเลยครับ ไม่เคยสำนึกถึงความพอเพียง
อันนี้ก็เกือบไปแล้วครับ ยังดีที่มีสติทันก่อน หลายครั้งที่ลืมนึกไปว่าเรายังมีทางเลือกอีกทางคือ "ถือกระสุนรอ" ครับleky เขียน:ผมเองก็เคยโดนมาแล้วครับ ตลาดหุ้นสูง แต่เราเปิดเกมบุก พยายามหาหุ้นถูก ๆ ซื้อ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ได้หุ้นถูกจริง แต่คุณภาพอาจจะไม่ดีนัก สิ่งที่ตามมาก็คือ พอตลาดลง หุ้นที่เราว่ามันถูกแล้วเลยกลายเป็นซุปเปอร์ถูกครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 14
เห็นด้วยครับ โดยส่วนตัวแล้วการตัดสินใจในเวลาตลาดเปิดทำการส่วนใหญ่จะได้ผลแย่กว่าการตัดสินใจที่มีเวลาคิดพิจารณารอบคอบครับdrsp เขียน:การดูห้นตอนตลาดปิดแล้วมีข้อดีคือ
คุณซื้อขายไม่ได้แล้ว
คุณต้องนอนคิด1คืนว่าจะเอายังไง
เห็นด้วยมากๆ เลยครับdrsp เขียน:ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่า
สําหรับตลาดหุ้น ถ้าคุณวิเคราะห์ธุรกิจและราคาอย่างดีแล้ว
ใครนั่งทับมือตัวเองโดยไม่ขยับได้นานเท่าไหร่
คนนั้นเป็นคนชนะและรํ่ารวย
ใครขยับมือยิ่งเร็วยิ่งบ่อย
คนนั้นแพ้ และต้องจ่ายเงินรอบวง
หลายคนมีความเชื่อว่าต้องรู้ข้อมูล รู้ข่าวเร็วกว่าคนอื่น ต้องมีระบบซื้อขายที่เร็วกว่าคนอื่น ต้องจับตาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นคนแรกๆ
จากประสบการณ์กว่าสิบปี ผลส่วนใหญ่มันออกตรงกันข้ามครับ
- astro345
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 15
คอยติดตามอ่าน post พี่ NB. เหมือนกันครับและขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆของพี่ๆเพื่อนๆ ฯลฯ ใน thaivi พยายามนำไป apply กับตัวเอง ส่วนตัวยังเชื่อในคำพูดที่ว่า "ตลาดหุ้นจะไปได้ไกลกว่าที่ใครจะคาดคิดเสมอทั้งขาขึ้นและขาลง "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 16
ยามหุ้น ผันผวน มีแต่ข่าวร้าย มา รบกวน
เค้าว่ากันว่า พยายาม ทำสายตายาวเข้าไว้ ยิ่งยาวยิ่งดี
พอเราแก่ๆ กัน อีก 50-60 ปีข้างหน้า ประเทศไทย จะเป็นอย่างไร
ประเทศไทย น่าจะเจริญกว่าปัจจุบันนี้ หรือไม่
โลกเราน่าจะมีการพัฒนา ไปข้างหน้า มากกว่าปัจจุบันนี้ หรือ ไม่
บริษัท หลาย บริษัท อาจล้มหายตายจาก จากผู้ชนะ เป็นผู้แพ้
บริษัท หลาย บริษัท อาจเป็นดาวเด่น เกิดใหม่ จนยิ่งใหญ่ เป็นผู้ชนะ
พวกเรานักลงทุน สุดจะโชคดี ที่สามารถ เลือกข้าง ที่จะอยู่กับ ผู้ชนะในช่วงเวลานั้นๆ ได้
แค่ ขอให้เราเลือกให้ถูก มากกว่า ผิด และไม่ทำอะไร เสี่ยง ที่จะหมดตัว
ผมเดาว่า อีก 50 ปีข้างหน้า นักลงทุนผู้มุ่งมั่นในเวปนี้ จะร่ำรวยกว่า ปัจจุบัน แน่นอนครับ
แต่ถึงเวลานั้นแล้ว คุณคงไม่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วมั้งครับ 555
Stay Clam Stay Invest ครับ
เค้าว่ากันว่า พยายาม ทำสายตายาวเข้าไว้ ยิ่งยาวยิ่งดี
พอเราแก่ๆ กัน อีก 50-60 ปีข้างหน้า ประเทศไทย จะเป็นอย่างไร
ประเทศไทย น่าจะเจริญกว่าปัจจุบันนี้ หรือไม่
โลกเราน่าจะมีการพัฒนา ไปข้างหน้า มากกว่าปัจจุบันนี้ หรือ ไม่
บริษัท หลาย บริษัท อาจล้มหายตายจาก จากผู้ชนะ เป็นผู้แพ้
บริษัท หลาย บริษัท อาจเป็นดาวเด่น เกิดใหม่ จนยิ่งใหญ่ เป็นผู้ชนะ
พวกเรานักลงทุน สุดจะโชคดี ที่สามารถ เลือกข้าง ที่จะอยู่กับ ผู้ชนะในช่วงเวลานั้นๆ ได้
แค่ ขอให้เราเลือกให้ถูก มากกว่า ผิด และไม่ทำอะไร เสี่ยง ที่จะหมดตัว
ผมเดาว่า อีก 50 ปีข้างหน้า นักลงทุนผู้มุ่งมั่นในเวปนี้ จะร่ำรวยกว่า ปัจจุบัน แน่นอนครับ
แต่ถึงเวลานั้นแล้ว คุณคงไม่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วมั้งครับ 555
Stay Clam Stay Invest ครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 178
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่ไร้สติ!
โพสต์ที่ 17
เป็นคำแนะนำที่ดีมากๆเลยครับ อยากกดLikeให้เยอะๆเลยdrsp เขียน:ดัชนีหุ้นขึ้นลงก็เหมือนนํ้าขึ้นนํ้าลง
เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ถ้าขึ้นโดยไม่ลงเลย มันจะมีแรงขึ้นรอบใหม่ได้อย่างไร
สําหรับคนที่เจอมาหลายวิกฤติแบบผม
วิกฤติตอนปี40 ดัชนีลดลง80กว่าเปอร์เซนต์
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ดัชนีลงประมาณ50เปอร์เซนต์
เที่ยวนี้2ส้ปดาห์ดัชนีลงไปแค่10กว่าไม่ถึง20เปอร์เซนต์
เงินในพอร์ทผมก็หายไปหลายล้าน
แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย
ผมเชื่อว่าถ้ากิจการที่เราถือยังดีอยู่
มันก็แค่ตัวเลขติดลบทางบัญชีเท่านั้น
อันที่จริงหุ้นที่ผมอยากได้เพิ่ม
แต่ละตัวยังp/eเกิน30อยู่เลย
ไม่เห็นถูกตรงไหน
ผมว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่สําคัญสําหรับผม คือ
"อย่านั่งเฝ้ากระดานหุ้น"
ผมดูราคาหุ้นวันละ1ครั้งตอนตลาดปิดแล้ว
วันที่ดัขนีหุ้นลดลง138จุด ผมมารู้ตอนตลาดปิดแล้ว
ซึ่งตอนปิดก็ลดลงแค่30กว่าจุด
ถ้าผมนั่งเฝ้าจออยู่ก็อาจมือบอนทําอะไรโง่ๆลงไป
การดูห้นตอนตลาดปิดแล้วมีข้อดีคือ
คุณซื้อขายไม่ได้แล้ว
คุณต้องนอนคิด1คืนว่าจะเอายังไง
Buffettเคยบอกว่าดูราคาหุ้น2อาทิตย์ครั้ง
ผมยอมรับว่ายังทําตามไม่ได้
ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่า
สําหรับตลาดหุ้น ถ้าคุณวิเคราะห์ธุรกิจและราคาอย่างดีแล้ว
ใครนั่งทับมือตัวเองโดยไม่ขยับได้นานเท่าไหร่
คนนั้นเป็นคนชนะและรํ่ารวย
ใครขยับมือยิ่งเร็วยิ่งบ่อย
คนนั้นแพ้ และต้องจ่ายเงินรอบวง
อ่านแล้วได้ข้อคิด เตือนสติหลายอย่าง
ขอบคุณมากๆครับ