รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
รักเธอประเทศไทย / โดย คนขายของ
ช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะอ่านหนังสือพิมพ์ของต่างประเทศหรือบทวิเคราะห์หุ้นของฝรั่ง ส่วนใหญ่ให้ความเห็น เชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย และถ้าหันมาดูพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ในประเทศก็มักมี แต่ข่าวในด้านลบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง การส่งออกที่ไม่ได้ขยายตัวมาก เหมือนในอดีต และ ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้มีนักลงทุนหลายท่านเริ่มเกรงว่าประเทศไทยจะประสบ กับวิกฤตเศรษฐกิจแบบ “ต้มยำกุ้ง” ที่เราเคยเจอเมื่อปี 2540 ผมเองก็ไม่ได้มีพื้นฐานการศึกษาทางด้าน เศรษฐศาสตร์คงมิอาจกล้าฟันธงในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจก็คือประเทศไทยยังมีจุดแข็งและข้อดีอีกมาก ที่หลายๆคนอาจมองข้ามไป เราลองมาดูกันว่ามีประเด็นหลักๆอะไรบ้าง
หลังการต่อสู้เพื่อรักษาค่าเงินบาทในปี 2540 ประเทศไทยเหลือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 2,850 ล้านเหรียญ จากที่เคยอยู่สูงถึง 38,700 ล้านเหรียญในปี 2539 (ลดลงราว 92%) ทำให้เราต้องขอความ ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ผ่านมา 18 ปี หลังจากที่เราได้เรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวด ตอนนี้ประเทศไทยเรามีทุนสำรองระหว่างประเทศมูลค่าสูงถึง 158,000 ล้านเหรียญ สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ การมีทุนสำรอง ระหว่างประเทศในระดับสูงช่วยให้เงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่าประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจหลายๆประเทศ
มีหลายครั้งที่ผมได้ยินนักลงทุนพูดกันว่า “ดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของอินโดนีเซียสิ ก่อนวิกฤตในปี 2540 ดัชนีเขา อยู่แค่ประมาณ 700 จุด แต่ตอนนี้เขาไป 5,200แล้ว SET ของไทยยังไม่เคยทะลุไฮเดิมเลย” แต่หากเรา มองดูเรื่องค่าเงิน Rupiah ของอินโดนีเซียประกอบด้วยจะพบว่า อ่อนค่าจาก 2500 IDR/USD ในปี 2540 มาเป็น 12,755 IDR/USD ในปี 2558 อ่อนลงประมาณ 5 เท่า ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว มาประมาณ 30% ในช่วงเดียวกัน ดังนั้นหากเราพิจารณา ราคาหุ้นของอินโดนีเซียเทียบหุ้นไทยโดยอ้างอิง สกุลเงินดอลล่าห์สหรัฐ เราก็อาจจะพบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียไม่ได้สวยงามมากมายขนาดนั้น
จากการจัดอันดับล่าสุดของ World Economic Forum ในเรื่อง “ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” (Global Competitiveness Report 2014-2015) โดยวัดจาก 12 หัวข้อหลักเช่น สภาพโดยรวมของ เศรษฐศาสตร์มหภาค, โครงสร้างพื่นฐาน และ การสาธารณสุขและการศึกษา ของประเทศนั้นๆ ตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 31 จาก 140 กว่าประเทศ ถ้านับกันในอาเซียน ไทยยังเป็นรอง สิงค์โปร์ (อันดับ 2) และ มาเลเซีย (อันดับ 20) แต่ยังเหนือกว่า อินโดนีเซีย (อันดับ 34) ฟิลิปปินส์ (อันดับ 52) และ เวียดนาม (อันดับ 68) หากมองจากหลักการลงทุนแบบ Warren Buffet ที่เน้นเรื่อง “ความสามารถในการแข่งขัน” ประเทศไทยถึงแม้จะไม่อยู่ในกลุ่มดีเลิศ แต่ก็ยังพอนับได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่มีศักยภาพที่พอใช้ได้หากบริษัท ต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุน
ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่เกื้อหนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศนั้น หากเปรียบเทียบ ระหว่างประเทศ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets) ด้วยกัน ประเทศไทยนับว่ามีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 2% อัตราดอกเบี้ยของบราซิลอยู่ที่ 12.25% ตุรกีอยู่ที่ 7.75% และ อินโดนีเซียอยู่ที่ 7.75% การที่มีดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องการระดมทุนไม่ว่าจะเป็น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ได้ง่ายกว่าประเทศที่มีดอกเบี้ยสูง และเมื่อ รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทเอกชนมีการขายสินทรัพย์เดิมออกไปเข้ากองทุน ก็จะนำเงินที่ได้มาลงทุนใหม่ ทำให้การหมุนเวียนของสินทรัพย์ในประเทศดีขึ้น ทำให้ประเทศกลับมามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้อย่างต่อเนื่อง
MasterCard Global Destination Cities Index ได้รายงานเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุด ในโลกในปี 2014 อันดับหนึ่งได้แก่ มหานครลอนดอน ของอังกฤษ อันดับสอง ได้แก่กรุงเทพมหานคร ขนาดประเทศไทยมีความไม่สงบทางการเมืองเกิดขึ้นกลางเมืองหลวงในปีที่แล้ว ยังมีคนมาเยือนขนาดนี้ ในปี 2015 นี้หากไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีก ก็หวังว่ากรุงเทพฯจะคว้าเมืองอันดับหนึ่งมาได้อย่างง่ายดาย
ผมไม่ปฏิเสธว่าประเทศไทยยังมีเรื่องที่ต้องแก้ไขและพัฒนาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆ, เรื่องการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบอุปถัมภ์พวกพ้อง แต่ประเทศไทยก็ยังมีเรื่องดีๆที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามไปดังเช่นประเด็นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เมื่อไม่นาน นี้ผมลองหาข้อมูลของประเทศในอเมริกาใต้ที่ได้ชื่อว่ามีปัญหาเรื่องวิกฤตการเงินอยู่เสมอ กลับพบกับ ความประหลาดใจว่า ประเทศเหล่านั้นประชากรของเขามีความมั่งคั่งกว่าคนไทยในด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่สูงกว่า และ GDPต่อหัวที่สูงกว่า ด้วยศักยภาพที่ประเทศไทยมี ผมเชื่อว่าในอนาคตหากเรามีการบริหาร จัดการประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยเราคงเข้าสู่ยุคทองของการค้าและการลงทุนอย่างแน่นอน
ช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะอ่านหนังสือพิมพ์ของต่างประเทศหรือบทวิเคราะห์หุ้นของฝรั่ง ส่วนใหญ่ให้ความเห็น เชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย และถ้าหันมาดูพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ในประเทศก็มักมี แต่ข่าวในด้านลบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง การส่งออกที่ไม่ได้ขยายตัวมาก เหมือนในอดีต และ ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้มีนักลงทุนหลายท่านเริ่มเกรงว่าประเทศไทยจะประสบ กับวิกฤตเศรษฐกิจแบบ “ต้มยำกุ้ง” ที่เราเคยเจอเมื่อปี 2540 ผมเองก็ไม่ได้มีพื้นฐานการศึกษาทางด้าน เศรษฐศาสตร์คงมิอาจกล้าฟันธงในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจก็คือประเทศไทยยังมีจุดแข็งและข้อดีอีกมาก ที่หลายๆคนอาจมองข้ามไป เราลองมาดูกันว่ามีประเด็นหลักๆอะไรบ้าง
หลังการต่อสู้เพื่อรักษาค่าเงินบาทในปี 2540 ประเทศไทยเหลือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 2,850 ล้านเหรียญ จากที่เคยอยู่สูงถึง 38,700 ล้านเหรียญในปี 2539 (ลดลงราว 92%) ทำให้เราต้องขอความ ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ผ่านมา 18 ปี หลังจากที่เราได้เรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวด ตอนนี้ประเทศไทยเรามีทุนสำรองระหว่างประเทศมูลค่าสูงถึง 158,000 ล้านเหรียญ สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ การมีทุนสำรอง ระหว่างประเทศในระดับสูงช่วยให้เงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่าประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจหลายๆประเทศ
มีหลายครั้งที่ผมได้ยินนักลงทุนพูดกันว่า “ดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของอินโดนีเซียสิ ก่อนวิกฤตในปี 2540 ดัชนีเขา อยู่แค่ประมาณ 700 จุด แต่ตอนนี้เขาไป 5,200แล้ว SET ของไทยยังไม่เคยทะลุไฮเดิมเลย” แต่หากเรา มองดูเรื่องค่าเงิน Rupiah ของอินโดนีเซียประกอบด้วยจะพบว่า อ่อนค่าจาก 2500 IDR/USD ในปี 2540 มาเป็น 12,755 IDR/USD ในปี 2558 อ่อนลงประมาณ 5 เท่า ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว มาประมาณ 30% ในช่วงเดียวกัน ดังนั้นหากเราพิจารณา ราคาหุ้นของอินโดนีเซียเทียบหุ้นไทยโดยอ้างอิง สกุลเงินดอลล่าห์สหรัฐ เราก็อาจจะพบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียไม่ได้สวยงามมากมายขนาดนั้น
จากการจัดอันดับล่าสุดของ World Economic Forum ในเรื่อง “ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” (Global Competitiveness Report 2014-2015) โดยวัดจาก 12 หัวข้อหลักเช่น สภาพโดยรวมของ เศรษฐศาสตร์มหภาค, โครงสร้างพื่นฐาน และ การสาธารณสุขและการศึกษา ของประเทศนั้นๆ ตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 31 จาก 140 กว่าประเทศ ถ้านับกันในอาเซียน ไทยยังเป็นรอง สิงค์โปร์ (อันดับ 2) และ มาเลเซีย (อันดับ 20) แต่ยังเหนือกว่า อินโดนีเซีย (อันดับ 34) ฟิลิปปินส์ (อันดับ 52) และ เวียดนาม (อันดับ 68) หากมองจากหลักการลงทุนแบบ Warren Buffet ที่เน้นเรื่อง “ความสามารถในการแข่งขัน” ประเทศไทยถึงแม้จะไม่อยู่ในกลุ่มดีเลิศ แต่ก็ยังพอนับได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่มีศักยภาพที่พอใช้ได้หากบริษัท ต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุน
ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่เกื้อหนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศนั้น หากเปรียบเทียบ ระหว่างประเทศ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets) ด้วยกัน ประเทศไทยนับว่ามีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 2% อัตราดอกเบี้ยของบราซิลอยู่ที่ 12.25% ตุรกีอยู่ที่ 7.75% และ อินโดนีเซียอยู่ที่ 7.75% การที่มีดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องการระดมทุนไม่ว่าจะเป็น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ได้ง่ายกว่าประเทศที่มีดอกเบี้ยสูง และเมื่อ รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทเอกชนมีการขายสินทรัพย์เดิมออกไปเข้ากองทุน ก็จะนำเงินที่ได้มาลงทุนใหม่ ทำให้การหมุนเวียนของสินทรัพย์ในประเทศดีขึ้น ทำให้ประเทศกลับมามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้อย่างต่อเนื่อง
MasterCard Global Destination Cities Index ได้รายงานเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุด ในโลกในปี 2014 อันดับหนึ่งได้แก่ มหานครลอนดอน ของอังกฤษ อันดับสอง ได้แก่กรุงเทพมหานคร ขนาดประเทศไทยมีความไม่สงบทางการเมืองเกิดขึ้นกลางเมืองหลวงในปีที่แล้ว ยังมีคนมาเยือนขนาดนี้ ในปี 2015 นี้หากไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีก ก็หวังว่ากรุงเทพฯจะคว้าเมืองอันดับหนึ่งมาได้อย่างง่ายดาย
ผมไม่ปฏิเสธว่าประเทศไทยยังมีเรื่องที่ต้องแก้ไขและพัฒนาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆ, เรื่องการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบอุปถัมภ์พวกพ้อง แต่ประเทศไทยก็ยังมีเรื่องดีๆที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามไปดังเช่นประเด็นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เมื่อไม่นาน นี้ผมลองหาข้อมูลของประเทศในอเมริกาใต้ที่ได้ชื่อว่ามีปัญหาเรื่องวิกฤตการเงินอยู่เสมอ กลับพบกับ ความประหลาดใจว่า ประเทศเหล่านั้นประชากรของเขามีความมั่งคั่งกว่าคนไทยในด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่สูงกว่า และ GDPต่อหัวที่สูงกว่า ด้วยศักยภาพที่ประเทศไทยมี ผมเชื่อว่าในอนาคตหากเรามีการบริหาร จัดการประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยเราคงเข้าสู่ยุคทองของการค้าและการลงทุนอย่างแน่นอน
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 4395
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
ในการสำรวจเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ทั่วโลก 300 เมือง พบว่า มาเก๊า เมืองการพนันของจีนมีอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดเป็นอันดับ 1
การสำรวจครั้งนี้เป็นของ Brooking Institution ที่ทำการประเมินเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ทั่วโลก 300 เมืองติดต่อกันมาหลายปี
สำหรับปีนี้อันดับ 1 ได้แก่ มาเก๊า ที่เล่าไว้แล้ว แต่อันดับที่ 300 ในบรรดาเมืองที่เขาสำรวจ ได้แก่ Bangkok, Thailand ครับ
ที่มา ไทยรัฐ ซุมซอกแซก
การสำรวจครั้งนี้เป็นของ Brooking Institution ที่ทำการประเมินเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ทั่วโลก 300 เมืองติดต่อกันมาหลายปี
สำหรับปีนี้อันดับ 1 ได้แก่ มาเก๊า ที่เล่าไว้แล้ว แต่อันดับที่ 300 ในบรรดาเมืองที่เขาสำรวจ ได้แก่ Bangkok, Thailand ครับ
ที่มา ไทยรัฐ ซุมซอกแซก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 4
คงต้องไปดูจากต้นตอครับyoko เขียน:ในการสำรวจเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ทั่วโลก 300 เมือง พบว่า มาเก๊า เมืองการพนันของจีนมีอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดเป็นอันดับ 1
การสำรวจครั้งนี้เป็นของ Brooking Institution ที่ทำการประเมินเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ทั่วโลก 300 เมืองติดต่อกันมาหลายปี
สำหรับปีนี้อันดับ 1 ได้แก่ มาเก๊า ที่เล่าไว้แล้ว แต่อันดับที่ 300 ในบรรดาเมืองที่เขาสำรวจ ได้แก่ Bangkok, Thailand ครับ
ที่มา ไทยรัฐ ซุมซอกแซก
ผมคิดว่า ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นได้
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 403
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 6
น่าสนใจมากครับ ผมก็เชื่อว่าเมืองไทยเราน่าจะโตกว่านี้ได้อีก อยากจะเรียนขอความเห็นพี่คนขายของเรื่องประเด็นโครงสร้างของประชากร ที่ อ.นิเวศน์ เคยให้ความเห็นว่า ประเทศไทยเรากำลังจะเข้าสู่สังคมของคนสูงอายุมากขึ้น คนชั้นแรงงานจะเริ่มขาดแคลน ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ gdp อาจจะไม่โตแบบหวือหวาเหมือนช่วงหลังต้มยำกุ้งอีกต่อไปแล้ว ประเด็นนี้พี่มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับoonngg51 เขียน:เป็นไปแล้วครับ. แต่มันเป็นการทำเทียบค่ากับปี 2013 vs 2014 นะครับ.
คือ กทม มีอัตราขยายตัวเสดกิจ แย่สุดแบบ yoy ( ก้อพอเดาได้ )
ถ้าปีต่อปีก็เป็นไปได้ครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 8
ผมรักประเทศไทยครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 290
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 9
ใช่ครับ เค้าวัดแค่อัตราเติบโตปีเดียว จริงๆ ก็ไม่แปลกเพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจเราปีที่แล้วโตไม่ถึง 1% จัดว่าน้อยสุดๆ เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาลูกอิสาน เขียน:ขอบคุณครับoonngg51 เขียน:เป็นไปแล้วครับ. แต่มันเป็นการทำเทียบค่ากับปี 2013 vs 2014 นะครับ.
คือ กทม มีอัตราขยายตัวเสดกิจ แย่สุดแบบ yoy ( ก้อพอเดาได้ )
ถ้าปีต่อปีก็เป็นไปได้ครับ
ขณะที่ปี 2012 เราก็โตกว่า 7.5% มากเกินกว่าศักยภาพเรา ซึ่งก็มาจากการกู้เงินนำเงินในอนาคตมาใช้ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากน้ำท่วมในปีก่อนหน้า ทั้งนโยบายรถคันแรก จำนำข้าว
บางทีการดูเป็นช่วงเวลาทั้งช่วงอาจจะเหมาะกว่านะครับ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 10
ผมเคยเขียนถึงเรือง aging population กับ ตลาดหุ้น ในส่วนหนึ่งของบทความนี้ครับ และ มีน้อง Rocker ถามถึงเรื่องนี้ในรายละเอียดในส่วนของ reply ในการทู้นี้เช่นกัน ยังไงลองดูนะครับเบี้ยว เขียน:น่าสนใจมากครับ ผมก็เชื่อว่าเมืองไทยเราน่าจะโตกว่านี้ได้อีก อยากจะเรียนขอความเห็นพี่คนขายของเรื่องประเด็นโครงสร้างของประชากร ที่ อ.นิเวศน์ เคยให้ความเห็นว่า ประเทศไทยเรากำลังจะเข้าสู่สังคมของคนสูงอายุมากขึ้น คนชั้นแรงงานจะเริ่มขาดแคลน ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ gdp อาจจะไม่โตแบบหวือหวาเหมือนช่วงหลังต้มยำกุ้งอีกต่อไปแล้ว ประเด็นนี้พี่มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58417
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 145
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รักเธอประเทศไทย / คนขายของ
โพสต์ที่ 12
ขอบคุณครับ
คุ้น ๆ เหมือนคุณ พีรนาถ ตอบใน Money talk ว่า "ประเทศไทยเหมือน condo ที่อยู่ในทำเลดี ต่อให้พนักงานขายจะแย่ยังไง เราก็ซื้ออยู่ดี"
แนวคิดคล้ายกันเรื่องประเทศไทยเรายังมีดีอีกมาก
ถ้าพัฒนาดี ๆ พัฒนาคนดี ๆ ไปได้อีกไกลเลย
คุ้น ๆ เหมือนคุณ พีรนาถ ตอบใน Money talk ว่า "ประเทศไทยเหมือน condo ที่อยู่ในทำเลดี ต่อให้พนักงานขายจะแย่ยังไง เราก็ซื้ออยู่ดี"
แนวคิดคล้ายกันเรื่องประเทศไทยเรายังมีดีอีกมาก
ถ้าพัฒนาดี ๆ พัฒนาคนดี ๆ ไปได้อีกไกลเลย
Let your winners run, and cut your losers.