บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
-
Thai VI Article
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
โค้ด: เลือกทั้งหมด
คิดว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นด้วยสาเหตุหลักๆคือความอยากร่ำรวย หลายคนอาจมีเงินลงทุนเริ่มต้นจากครอบครัวเช่นพ่อแม่ให้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น บางคนก็อาจจะขาดทุนจนหมดหรือเลิกเล่นหุ้นไป หลายคนก็สามารถสร้างความมั่งคั่งเพิ่มเติมขึ้นจากเงินที่พ่อแม่ให้มาได้ คนที่มีเงินมากมายจากการทำกำไรจากตลาดหุ้นในวันนี้อาจจะไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์เลยทีเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่มีเงินจากพ่อแม่หรือมีมรกดกตกทอดมาเป็นเงินตั้งต้น เราจะไม่สามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้
หลายคนอาจตัดพ้อต่อว่าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ลูกหลานจนต้องลำบากทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว หลายคนคิดว่าชาตินี้ไม่มีวันร่ำรวยได้เพราะไม่มีบุญวาสนาอย่างคนอื่นเหมือนคนที่เกิดมาในกองเงินกองทอง จริงๆแล้วการมีทัศนคติที่ถูกต้องน่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าชาติกำเนิดหรือมรดกที่มีในการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง เงินที่หามาได้จากลำแข้งจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างง่ายๆเหมือนเงินที่ได้มาจากคนอื่นให้อย่างเสน่หาหรือโชคลาภ มีผลวิจัยพบว่าคนที่ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆนั้นส่วนใหญ่มากกว่า 90 เปอร์เซนต์จะใช้เงินที่ได้รางวัลหมดในระยะเวลาเพียง 3 ปี เราเคยได้ยินเรื่องของสามล้อถูกหวยอยู่บ่อยๆที่ว่าคนรับจ้างถีบสามล้อวันหนึ่งถูกหวยรางวัลที่หนึ่งได้เงินมาหลายล้านบาท จากนั้นเขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซื้อรถซื้อบ้านแจกญาติๆ กินดื่มเที่ยวกับเพื่อนๆจนเงินหมด จากนั้นก็กลับไปถีบสามล้อหาเงินประทังชีวิตเช่นเดิม ถึงแม้วันนี้จะไม่มีอาชีพถีบสามล้ออีกแล้ว แต่สุภาษิตนี้ยังน่าจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน
สำหรับคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้อย่างไร จากประสบการณ์ของนักลงทุนจำนวนมากที่ผู้เขียนรู้จักสามารถสร้างตัวเองได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
หนึ่ง ทำงานเก็บเงิน
ถ้าไม่มีมรดกหรือกิจการส่วนตัวของครอบครัว สิ่งที่ทำได้คือทำงานกินเงินเดือน พนักงานประจำส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะมีสิ่งล่อใจจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นมือถือรุ่นใหม่ รถรุ่นใหม่หรือเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าสวยๆใหม่ๆก็ตามที พอเก็บเงินได้สักก้อนก็อยากจะนำไปดาวน์รถเป็นของขวัญให้ตนเอง โดยไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการมีรถยนต์ไว้ครอบครองนั้นสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าประกันภัย ค่าน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุงรักษาหลายคนไม่มีเงินก้อนก็ซื้อของก่อนผ่อนทีหลัง หรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตจนเป็นหนี้จำนวนมาก
การมีวินัยในการเก็บเงินถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยได้ หลักการในการเก็บเงินคือตามสัญชาตญานของมนุษย์แล้ว ถ้าเราไม่เห็นหรือไม่รู้สึกว่าไม่มีเงินก้อนนั้น เราก็จะไม่ใช้มัน เช่น เพียงแค่รู้ว่าเราได้โบนัสที่จะออกในเดือนหน้า เราก็คิดหาเรื่องใช้เงินก้อนนั้นแล้ว จนหลายคนบอกว่าโบนัสถูกใช้หมดตั้งแต่เงินยังไม่เข้าบัญชีเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าเราไม่คิดว่าได้โบนัส เราก็จะไม่ใช้เงินโบนัสนั้นถึงแม้เราจะได้โบนัสจริงๆ การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน ถ้าทำได้หมายความว่าในแต่ละวันที่เราทำงาน เราสามารถหยุดทำงานได้ตามวันที่เราทำงานเพราะเราใช้จ่ายแค่ครึ่งเดียวของที่เราหาได้ในแต่ละวันหรือแต่ละเดือน และถ้าได้โบนัสมาก็นำมาเป็นเงินลงทุน คิดเสียว่าเงินก้อนนี้ไม่ได้รับมา สมองเราก็จะไม่คิดใช้เงินก้อนนั้น ถ้าเงินเดือนขึ้นก็แบ่งเก็บครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน
สมมุติว่าพนักงานคนหนึ่งได้เงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก การจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีวินัยในตนเองเรื่องของการใช้ชีวิตและเก็บเงิน เงินเดือนเพียง 3 หมื่นบาทและเก็บเงินถึง 1.5 หมื่นบาทนั้นจำเป็นต้องหยุดความอยากได้ในระยะสั้นของตนเองเพื่อเป้าหมายในระยะยาว เช่น ไม่ใช้บัตรเครดิตเพราะทำให้การเก็บเงินไม่บรรลุเป้าหมาย หรือไม่คิดนำเงินสองแสนที่เก็บได้ไปซื้อรถยนต์ การเดินทางโดยรถสาธารณะหรือรถไฟฟ้าน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า การซื้อบ้านน่าจะยังไม่ใช่เป้าหมายในตอนนี้ ดังนั้นการเช่าบ้านจึงน่าจะเป็นทางออกสำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือญาติ สำหรับคนที่เริ่มต้นทำงานแล้ว ระยะเวลาเพียง 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านนั้นถือว่าไม่นานเพราะถึงตอนนั้นยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป
คราวหน้าเราจะมาพูดถึงขั้นตอนต่อไปในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ง้อมรดกจากใครๆ
[/size]
-
ลูกหิน
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณมากครับ
-
worawutag
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
เป็นข้อเขียนที่ดีมากเลยครับขอชมเชย
-
imaker
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณมากๆครับ
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความคราวที่แล้วกล่าวถึงขั้นตอนแรกในการสร้างความมั่งคั่งด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปตัดพ้อต่อว่าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้จนลูกหลานต้องลำบากทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว หรือคิดว่าชาตินี้ไม่มีวันร่ำรวยได้เพราะไม่มีบุญวาสนาอย่างคนอื่นเหมือนคนที่เกิดมาในกองเงินกองทอง จริงๆแล้วการมีทัศนคติที่ถูกต้องน่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าชาติกำเนิดหรือมรดกที่มีในการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง เงินที่หามาได้จากลำแข้งจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างง่ายๆเหมือนเงินที่ได้มาจากคนอื่นให้อย่างเสน่หาหรือโชคลาภ
สำหรับคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน
สมมุติว่าพนักงานคนหนึ่งได้เงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก การจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีวินัยในตนเองเรื่องของการใช้ชีวิตและเก็บเงิน ระยะเวลาเพียง 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านนั้นถือว่าไม่นานเพราะสำหรับคนที่จบการศึกษามาใหม่ถึงเวลานั้นยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป
ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน
หลายคนเพียงแค่มีเงินและอยากรวยจึงนำเงินมาลงในตลาดหุ้น ซึ่งในความเป็นจริงการมีเงินแค่อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการสร้างความร่ำรวยในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน เพราะคนที่ทำเงินจากตลาดหุ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นอาจเกิดจาก”โชค”หรือ”ฟลุ๊ค”ก็เป็นได้ ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นนั้น กลยุทธการลงทุนแบบไหนก็ทำกำไรได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคัลหรือซื้อลงทุนระยะยาวหรือแม้แต่ซื้อมาขายไปโดยใช้“สัญชาตญาน”เพียงอย่างเดียว
ในความเป็นจริง ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นไปตลอดเสมอไป ถ้าลงทุนในระยะสิบปีขึ้นไปในตลาดหุ้น นักลงทุนจะต้องเจอกับภาวะตลาดตกต่ำอย่างแรงอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง การเอาตัวรอดจากภาวะตลาดหุ้นถดถอยนั้นต้องอาศัย”ความรู้ในการลงทุน”เป็นหลัก มีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาในตลาดหุ้นเพียงเพราะความอยากรวยเหมือนคนอื่นๆ แต่ไม่ได้ศึกษาหลักการหรือวิธีการในการลงทุน ในช่วงแรกๆอาจได้กำไรเพียงแค่ซื้อหุ้นมาขายไป เพราะตลาดหุ้นกำลังไปได้ดี แต่เมื่อตลาดกลับเป็นขาลง หลายคนอาจต้องถอดใจเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี
ในช่วงที่กำลังเก็บเงินอยู่นั้นควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน เข้าอบรมเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นซึ่งมีการจัดอบรมทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากนั้นอาจเข้าฟังการบรรยายของนักลงทุนที่เชื่อถือได้ การเข้าสมาคมหรือกลุ่มนักลงทุนก็ช่วยให้เปิดความคิดทางด้านการลงทุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ระยะเวลา 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านบาทนั้น หลายคนคิดว่านานเกินไป แต่ในความเป็นจริงอาจทำได้เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ก็เป็นได้ เช่น ได้เลื่อนตำแหน่งมีเงินเดือนมากขึ้น หรือได้โบนัสมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่นำเงินที่เก็บได้ไปใช้ในการบริโภคอย่างการซื้อรถยนต์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ทำให้การเก็บเงินไม่บรรลุเป้าหมาย
ถ้าการศึกษาหาความรู้ในการลงทุนแล้วรู้สึกว่าอยากทดลองวิชาว่าได้ผลจริงหรือไม่ อาจนำเงินที่เก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นดูบ้าง เพื่อเป็นการหาความรู้ในการลงทุนจริงๆ เงินที่นำมาลงทุนนั้นอาจจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซนต์ของเงินที่มีอยู่ เพื่อเวลาเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เสียหายต่อเงินก้อนใหญ่ที่กำลังสะสมเป็นทุน หลายคนนำเงินที่มีมาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวในช่วงแรกๆซึ่งเป็นความเสี่ยงพอสมควร เพราะในช่วงต้นถือว่าเป็นการลองผิดลองถูก
การหาความรู้ในการลงทุนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวมถึงการเก็บเงินตามเป้าหมายในระยะเวลา 4 ปีนั้นน่าจะเพียงพอที่ทำให้นักลงทุนเรียนรู้หลักการลงทุนที่ถูกต้องและมีความรอบคอบต่อตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้เงิน 1 ล้านบาทที่เก็บได้และความรู้ที่มีจะไปให้ถึงจุดหมายในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ง้อมรดก ได้อย่างไรโปรดติดตาม
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 3/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความคราวที่แล้วกล่าวถึงคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน เช่นเงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก
ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน
ในช่วงที่กำลังเก็บเงินอยู่นั้นควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน เข้าอบรมเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นซึ่งมีการจัดอบรมทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากนั้นอาจเข้าฟังการบรรยายของนักลงทุนที่เชื่อถือได้ การเข้าสมาคมหรือกลุ่มนักลงทุนก็ช่วยให้เปิดความคิดทางด้านการลงทุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้อาจนำเงินที่เก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นดูบ้าง เพื่อเป็นการหาความรู้ในการลงทุนจริงๆ เงินที่นำมาลงทุนนั้นอาจจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซนต์ของเงินที่มีอยู่ เพื่อเวลาเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เสียหายต่อเงินก้อนใหญ่ที่กำลังสะสมเป็นทุน หลายคนนำเงินที่มีมาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวในช่วงแรกๆซึ่งเป็นความเสี่ยงพอสมควร
หลังจากลองผิดลองถูกในตลาดหุ้นมาเป็นเวลาสี่ปีและเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านบาทขั้นตอนต่อไปในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ต้องแบมือขอเงินมรดกจากใคร นั่นคือการนำเงินไปลงทุนในระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ต่อปีโดยคิดจากราคาหุ้นหรือดัชนีที่เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 20-30 ปีขึ้นไปโดยไม่ได้คิดเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปี ถ้านับรวมเงินปันผลเข้าไปด้วยสมมุติปีละ 5 เปอร์เซนต์ ผลตอบแทนต่อปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 15 เปอร์เซนต์ต่อปี
โดยทั่วไปนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่างวอร์เรน บัฟเฟตนั้นถ้าดูจากผลงานการลงทุนของเขาแล้วจะพบว่าในช่วงแรกๆนั้น บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ปีละ 24 เปอร์เซนต์ จนเมื่อเงินลงทุนของบริษัทเบิร์คไชน์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีหลังทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตลดลงแต่ยังอยู่ในระดับปีละเฉลี่ย 20 เปอร์เซนต์ต่อปี
การลงทุนให้ได้ปีละ 10-15 เปอร์เซนต์นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเองแต่อย่างใด และเป็นวิธีที่บัฟเฟตแนะนำสำหรับนักลงทุนรายย่อย การที่จะทำผลตอบแทนให้ได้มากกว่านั้น นักลงทุนอาจดำเนินตามรอยบัฟเฟตโดยลงทุนในหุ้นบริษัทที่ดีและเติบโตในระยะยาวด้วยวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investing ถ้าไปดูผลตอบแทนในแต่ละปีของบัฟเฟตนั้นจะเห็นว่า ไม่มีปีใดที่เขาทำผลตอบแทนได้ถึง 100 เปอร์เซนต์เลยสักปีเดียว วิธีการของเขาจะเน้นไปที่การป้องกันความเสียหายของพอร์ตหรือเงินลงทุนก่อนเป็นหลัก โดยการลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการศึกษาหาธุรกิจที่เข้าใจในราคาที่เหมาะสมและถือลงทุนเป็นระยะเวลานานหลายปี บางบริษัทบัฟเฟตถือมากกว่าสิบหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว
นักลงทุนรายย่อยในไทยนั้นมักคิดว่าการลงทุนในหุ้นต้องทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ต่อปีถึงจะรวยได้ แต่ในความเป็นจริงการทำผลตอบแทนได้สูงมากๆเป็นเวลาติดต่อกันนั้นมักตามมาด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น เช่น จำเป็นต้องใช้มาร์จิ้นหรือการกู้ยืมเพื่อเวลาหุ้นขึ้นพอร์ตจะได้เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างทวีคูณหรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อยๆเพราะบางครั้งราคาหุ้นที่ซื้อมานั้นสูงขึ้นมากจนอัพไซด์เริ่มน้อยลง ต้องขายและหันไปลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคาที่ยังต่ำอยู่ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น การใช้มาร์จิ้นจะได้ผลมากเพราะซื้อหุ้นอะไร ราคาก็ขึ้นไปได้แทบจะทุกตัว แต่ในช่วงเวลาตลาดกลับเป็นขาลง หลายคนที่เล่นมาร์จิ้นอาจจะหมดตัวได้เลยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะกับการเก็งกำไรแต่ไม่ยอมขายจนต้องถูกคัดลอสหรือเรียกหลักประกันเพิ่ม
ถึงตอนนี้จะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนเพียงปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซนต์ต่อปีก็สามารถทำให้รวยได้โดยไม่ง้อมรดกจากพ่อแม่หรือใครๆ คราวหน้าเราจะมาดูตัวเลขว่าการเก็บเงินเพียงเดือนละ 15,000 บาทก็เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้เช่นกัน โปรดติดตาม
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 4 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
คนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การ เก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน เช่นเงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท
ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน โดยในระยะเวลา 4 ปีที่เก็บเงินก็สามารถลองผิดลองถูกในตลาดหุ้นได้โดยนำเงินสัก 10 เปอร์เซนต์ของที่มีมาทดลองซื้อขายเพื่อความรู้
ขั้นตอนที่สามคือการนำเงินไปลงทุนในระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน การ ลงทุนให้ได้ปีละ 10-15 เปอร์เซนต์นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์หุ้นด้วย ตนเองแต่อย่างใดตามอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ส่วนนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่างวอร์เรน บัฟเฟตนั้นถ้าดูจากผลงานการลงทุนของเขาแล้วจะพบว่าในช่วงแรกๆนั้น บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ปีละ 24 เปอร์เซนต์ จนเมื่อเงินลงทุนของบริษัทเบิร์คไชน์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีหลัง ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตลดลงแต่ยังอยู่ในระดับปีละเฉลี่ย 20 เปอร์เซนต์ต่อปี
นักลงทุนรายย่อยในไทยนั้นมักคิดว่าการลงทุนในหุ้น ต้องทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ต่อปีถึงจะรวยได้ แต่ในความเป็นจริงการทำผลตอบแทนได้สูงมากๆเป็นเวลาติดต่อกันนั้นมักตามมา ด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น การลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนเพียงปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซนต์ต่อปีสามารถทำให้รวยได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เก็บเงินได้ 1 ล้านบาทและนำมาลงทุนแล้ว ถ้ายังคงทำงานเก็บเงินเหมือนเดิมคือเดือนละ 15,000 บาทและรวมโบนัสเข้าไปทุกปี ก็สามารถเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้เช่นกัน โดยยังไม่ได้คิดถึงเงินเดือนที่มากขึ้นตามอายุงาน
ตามตาราง แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการลงทุนทางด้านซ้ายและจำนวนเงินที่มีในตาราง ส่วนด้านบนของตารางคือผลตอบแทนที่ทำได้โดยเฉลี่ยในแต่ละปี ในแต่ละผลตอบแทนจะมีสองแถวโดยแถวแรกคือจำนวนที่มีในบัญชีเมื่อไม่ได้เพิ่ม เงินเข้าไปอีกเลย ส่วนอีกแถวในผลตอบแทนเดียวกันคือจำนวนเงินที่ถ้ามีการเก็บเงินเพิ่มเดือนละ 15,000 บาทเข้าไปทุกๆเดือน
จะเห็นว่าถ้าสามารถทำผลตอบแทนได้ปีละ 15 เปอร์เซนต์และเพิ่มเงินจากเงินเก็บเข้าไปเดือนละ 15,000 บาท ภายในระยะเวลา 30 ปีจะมีเงินในบัญชีถึง 164 ล้านบาท ถ้าไม่เพิ่มเงินเลยในแต่ละปี จำนวนเงินที่มีจะลดลงเหลือ 66 ล้านบาท ถ้าสามารถเก็บเงิน 1 ล้านบาทก่อนอายุ 30 ปีซึ่งน่าจะทำได้ถ้าเริ่มเก็บเงินตั้งแต่เริ่มต้นทำงานและไม่ใช้จ่าย ฟุ่มเฟือยและนำไปลงทุนในกองทุนรวมหรือลงทุนในตลาดหุ้นให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 เปอร์เซนต์ต่อปี ผลตอบแทนที่ว่าอาจะอยู่ในรูปของกำไรจากราคาหุ้น 10 เปอร์เซนต์และปันผลอีก 5 เปอร์เซนต์ เมื่อถึงอายุเกษียณที่ 60 ปี จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
ยิ่งถ้าใครทำผลตอบแทนได้เท่ากับ วอร์เรน บัฟเฟตที่ 24 และ 20 เปอร์เซนต์ด้วยแล้ว การเป็นเศรษฐีร้อยล้านจากการเก็บเงินเพียงเดือนละ 15,000 บาทก็เป็นไปได้เร็วมากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยกว่า 20 และ 25 ปีตามลำดับ นั่นคือเมื่ออายุเพียง 50 และ 55 ปี ในความเป็นจริงเงินเดือนจากการ ทำงานจะมากขึ้นตามประสบการณ์และถ้ายังสามารถบริหารจัดการเก็บเงินให้ได้ 50 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนแล้ว การไปสู่เป้าหมายของการมีเงินร้อยล้านก่อนเกษียณจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ที่สำคัญคือสามารถรวยได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อมรดกจากใครๆเลยสักคนเดียว