ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4246
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 4
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
งบกำไรขาดทุน
สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 และ 2548
งบการเงินรวม
2549 2548
รายได้
รายได้จากการขายและการให้บริการ 808,691 758,215
รายได้อื่น 13,064 10,915
ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนตาม
วิธีส่วนได้เสีย 1,530 (178)
รวมรายได้ 823,285 768,952
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการ 451,669 437,691
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 296,747 273,972
รวมค่าใช้จ่าย 748,416 711,663
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 74,869 57,289
ดอกเบี้ยจ่าย (151) (168)
ภาษีเงินได้ (19,390) (16,417)
กำไรหลังดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 55,328 40,704
กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (4,835) (2,362)
กำไรสุทธิ 50,493 38,342
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (หมายเหตุข้อ 9) บาท 0.58 0.51
กำไรต่อหุ้นปรับลด (หมายเหตุข้อ 9) บาท 0.55 0.46
งบกำไรขาดทุน
สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 และ 2548
งบการเงินรวม
2549 2548
รายได้
รายได้จากการขายและการให้บริการ 808,691 758,215
รายได้อื่น 13,064 10,915
ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนตาม
วิธีส่วนได้เสีย 1,530 (178)
รวมรายได้ 823,285 768,952
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการ 451,669 437,691
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 296,747 273,972
รวมค่าใช้จ่าย 748,416 711,663
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 74,869 57,289
ดอกเบี้ยจ่าย (151) (168)
ภาษีเงินได้ (19,390) (16,417)
กำไรหลังดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 55,328 40,704
กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (4,835) (2,362)
กำไรสุทธิ 50,493 38,342
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (หมายเหตุข้อ 9) บาท 0.58 0.51
กำไรต่อหุ้นปรับลด (หมายเหตุข้อ 9) บาท 0.55 0.46
_________
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 6
เอสแอนด์พีรุกตลาดพิซซ่า ผนึกพันธมิตรปั้น"ซานอตติ"
เอส แอนด์ พี จับมือพันธมิตร ขยายไลน์ร้านอาหารบุกตลาดพิซซ่าสไตล์อิตาเลียน มั่นใจตลาดเปิดกว้าง ชูคุณภาพเป็นหัวหอกนำร่อง คาดปีแรกขอชิมลางแค่ยอดขาย 25 ล้าน เล็งผุดสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี
นายประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค เอส แอนด์ พีมีนโยบายจะขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดร่วมทุนกับบริษัท ซานอตติ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งบริษัท เอส แอนด์ พิซซานอตติ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อให้บริการพิซซ่า ภายใต้แบรนด์พิซซานอตติ โดยจะเน้นลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ร้านพิซซานอตติได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมี 6 สาขา และตั้งเป้าจะเปิดอีกกว่า 30 จุด ภายใน 3-4 ปี ส่วนในแง่ของเมนูจะมีทั้งพิซซ่าสไตล์อิตาเลียน อาหารทานเล่น พาสต้า สลัด อาหารจานหลัก ฯลฯ ซึ่งจะเน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพเพื่อสร้างความแตกต่างจากพิซซ่าที่มีอยู่ ที่สำคัญราคาที่ไม่สูงมาก เริ่มต้นที่ 200-380 บาท พร้อมกับการจัดส่งพิซซ่าถึงบ้าน
คาดว่ารายได้ในปีแรกจะกว่า 25 ล้านบาท และภายใน 3 ปี ยอดขายจะขึ้นสูงถึง 90 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันตลาดพิซซ่ามีคู่แข่งไม่มากนัก และเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท แต่พิซซ่าสไตล์อิตาเลียนมีส่วนแบ่งอยู่ 15-20% ซึ่งถือว่าน้อยมาก และคาดว่าตลาดนี้จะเติบโตได้อีกมาก
พร้อมกันนี้นายประเวศวุฒิยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทก็พยายามจะตรึงราคาสินค้าและบริการต่างๆ ไว้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็หันไปให้ความสำคัญในการลดต้นทุนการดำเนินงานภายในลง อาทิ ค่าไฟ การขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าลง ลูกค้าของร้านก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ผลจากที่ในไตรมาสแรกได้มีการจัดโปรโมชั่นลดราคา 20% ในวันพุธ เพื่อเสริมจากโปรโมชั่นเดิมที่มีอยู่ ก็ช่วยให้ยอดขายออกมาเป็นที่น่าพอใจ และในปีนี้บริษัทมีการโฆษณาเและโปรโมชั่นเพิ่มขึ้นเป็น 3% ของยอดขาย พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และกระตุ้นยอดขาย
*** คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายรวมกว่า 3,300 ล้านบาท" ***
http://www.matichon.co.th/prachachart/p ... 2006/05/04
ผู้บริหารคาดว่าจะโตไม่ตํากว่า 15 % ..........................
หงายไพ่ออกมาแล้วดีกว่าที่ผู้บริหารคาดไว้เยอะพอสมควร ....................
เยี่ยมแล้วครับ .....................
IT กําไรต่อหุ้น 10ตัง 11 ตัง ราคาตลาด 10 บาท ..............
S&P กําไร/หุ้น 5 เท่าของIT แต่ราคาแค่ 2.5 เท่าของIT ....................
อย่าน้อยใจไปเลยครับ ...............
หุ้นมันต้องมีวันคืนของมัน ..................................
เอส แอนด์ พี จับมือพันธมิตร ขยายไลน์ร้านอาหารบุกตลาดพิซซ่าสไตล์อิตาเลียน มั่นใจตลาดเปิดกว้าง ชูคุณภาพเป็นหัวหอกนำร่อง คาดปีแรกขอชิมลางแค่ยอดขาย 25 ล้าน เล็งผุดสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี
นายประเวศวุฒิ ไรวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค เอส แอนด์ พีมีนโยบายจะขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดร่วมทุนกับบริษัท ซานอตติ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งบริษัท เอส แอนด์ พิซซานอตติ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อให้บริการพิซซ่า ภายใต้แบรนด์พิซซานอตติ โดยจะเน้นลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารอิตาเลียนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ร้านพิซซานอตติได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมี 6 สาขา และตั้งเป้าจะเปิดอีกกว่า 30 จุด ภายใน 3-4 ปี ส่วนในแง่ของเมนูจะมีทั้งพิซซ่าสไตล์อิตาเลียน อาหารทานเล่น พาสต้า สลัด อาหารจานหลัก ฯลฯ ซึ่งจะเน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพเพื่อสร้างความแตกต่างจากพิซซ่าที่มีอยู่ ที่สำคัญราคาที่ไม่สูงมาก เริ่มต้นที่ 200-380 บาท พร้อมกับการจัดส่งพิซซ่าถึงบ้าน
คาดว่ารายได้ในปีแรกจะกว่า 25 ล้านบาท และภายใน 3 ปี ยอดขายจะขึ้นสูงถึง 90 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันตลาดพิซซ่ามีคู่แข่งไม่มากนัก และเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง มูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท แต่พิซซ่าสไตล์อิตาเลียนมีส่วนแบ่งอยู่ 15-20% ซึ่งถือว่าน้อยมาก และคาดว่าตลาดนี้จะเติบโตได้อีกมาก
พร้อมกันนี้นายประเวศวุฒิยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีปัจจัยลบต่างๆ เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทก็พยายามจะตรึงราคาสินค้าและบริการต่างๆ ไว้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็หันไปให้ความสำคัญในการลดต้นทุนการดำเนินงานภายในลง อาทิ ค่าไฟ การขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าลง ลูกค้าของร้านก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ผลจากที่ในไตรมาสแรกได้มีการจัดโปรโมชั่นลดราคา 20% ในวันพุธ เพื่อเสริมจากโปรโมชั่นเดิมที่มีอยู่ ก็ช่วยให้ยอดขายออกมาเป็นที่น่าพอใจ และในปีนี้บริษัทมีการโฆษณาเและโปรโมชั่นเพิ่มขึ้นเป็น 3% ของยอดขาย พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และกระตุ้นยอดขาย
*** คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายรวมกว่า 3,300 ล้านบาท" ***
http://www.matichon.co.th/prachachart/p ... 2006/05/04
ผู้บริหารคาดว่าจะโตไม่ตํากว่า 15 % ..........................
หงายไพ่ออกมาแล้วดีกว่าที่ผู้บริหารคาดไว้เยอะพอสมควร ....................
เยี่ยมแล้วครับ .....................
IT กําไรต่อหุ้น 10ตัง 11 ตัง ราคาตลาด 10 บาท ..............
S&P กําไร/หุ้น 5 เท่าของIT แต่ราคาแค่ 2.5 เท่าของIT ....................
อย่าน้อยใจไปเลยครับ ...............
หุ้นมันต้องมีวันคืนของมัน ..................................
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 7
จะขอตังค์เมียไป convert warrant ให้หมดปลายเดือน6 นี่แหละเอาปันผลระหว่างกาลสัก 70-80ตังค์
ผมว่าตอนนี้ยอดขายเพิ่มนิดเพิ่มหน่อย กำไรพรวดๆ เพราะ
---invest 3ปีไปประมาณพันล้าน
****product หลากหลาย
****ต้นทุนคุมได้มีeconomy of scale
****คุมคุณภาพและความสะอาดได้
---ทะยอยใช้จ่ายดูแลพนักงานให้ดี ล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว บริการพอไหว
****ลูกหลานจบนอก ทะยอยมาเป็นyoung blood เช่นร้าน VANILA INDUSTRYรวมทั้งมี packaging สวยผิดหูผิดตา
****recruit professional marketer&financier มาเพื่อรุกมากขึ้น
****MD น้องชายคนที่3 อายุน้อยสุดน่าจะ aggressive มากขึ้น
---กระสุนเงินสดเหลือเฟือ ใช้จ่ายได้ทั้งรุกทั้งรับ สบายใจไร้กังวล
ผมว่าตอนนี้ยอดขายเพิ่มนิดเพิ่มหน่อย กำไรพรวดๆ เพราะ
---invest 3ปีไปประมาณพันล้าน
****product หลากหลาย
****ต้นทุนคุมได้มีeconomy of scale
****คุมคุณภาพและความสะอาดได้
---ทะยอยใช้จ่ายดูแลพนักงานให้ดี ล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว บริการพอไหว
****ลูกหลานจบนอก ทะยอยมาเป็นyoung blood เช่นร้าน VANILA INDUSTRYรวมทั้งมี packaging สวยผิดหูผิดตา
****recruit professional marketer&financier มาเพื่อรุกมากขึ้น
****MD น้องชายคนที่3 อายุน้อยสุดน่าจะ aggressive มากขึ้น
---กระสุนเงินสดเหลือเฟือ ใช้จ่ายได้ทั้งรุกทั้งรับ สบายใจไร้กังวล
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 9
และคงต้องติดตามดูว่า ภาวะน้ำตาลราคาแพงและกำลังซื้อลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ จะกระทบกำไรแค่ไหน ?
กำลังคิดว่า brand S&P ยังไม่ใช่ brand ที่แข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับ brand อื่น สังเกตจากหลาย ๆ คนเมื่อพูดถึง S&P แล้วก็บอกว่าก็งั้น ๆ ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ประกอบกับที่ผ่านมาการทำธุรกิจของเขาค่อนข้าง conservative ซึ่งก็ถือว่าดี
...แต่จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว ดูท่าจะหืดขึ้นคอเหมือนกัน ก็ไม่ทราบว่าเขามอง position ของเขาให้เป็นผู้นำในธุรกิจนี้ในอันดับที่เท่าไหร่ ???? หรือครองส่วนแบ่งการตลาดสักเท่าไหร่ ????
กำลังคิดว่า brand S&P ยังไม่ใช่ brand ที่แข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับ brand อื่น สังเกตจากหลาย ๆ คนเมื่อพูดถึง S&P แล้วก็บอกว่าก็งั้น ๆ ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ประกอบกับที่ผ่านมาการทำธุรกิจของเขาค่อนข้าง conservative ซึ่งก็ถือว่าดี
...แต่จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว ดูท่าจะหืดขึ้นคอเหมือนกัน ก็ไม่ทราบว่าเขามอง position ของเขาให้เป็นผู้นำในธุรกิจนี้ในอันดับที่เท่าไหร่ ???? หรือครองส่วนแบ่งการตลาดสักเท่าไหร่ ????
-
- Verified User
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 10
กำไรเพิ่มขึ้น 31.9 % จริง ๆค่ะ :lol: เอ คำนวนยังไง ...
ที่ สจญ.052/2549
วันที่ 9 พฤษภาคม 2549
เรื่อง ชี้แจงผลประกอบการบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)
เรียน กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้นำส่งงบการเงินงวดเดือนมกราคม - มีนาคม 2549 พร้อมขอเรียนชี้แจงผลประกอบการของบริษัทฯ ดังนี้
ผลประกอบการงวดเดือนมกราคม - มีนาคม 2549 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 จำนวน 50.5 ล้านบาท สูงกว่า ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 31.9 โดยมีสาเหตุหลักดังนี้
-บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 50.5 ล้านบาท หรือร้อยละ6.7จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการเปิดจำนวนสาขาร้านอาหารและเบเกอรี่ชอพทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับ ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราส่วนกำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 และไตรมาสที่ 1ของปี 2548 เท่ากับร้อยละ 44.1 และร้อยละ 42.3 ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราส่วนของกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาจากการควบคุมการใช้วัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ และการปรับราคาขายของสินค้าบางรายการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน
-บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 22.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้รวม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสแรกของปี 2549 และปี 2548 เท่ากับร้อยละ 36.7 และ 36.1 ตามลำดับ ปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ได้แก่ การปรับเงินเดือนประจำปี รวมทั้งการปรับเพิ่มค่าเช่า ค่าบริการ ของสถานที่เช่าของจุดขายของบริษัทฯ
จึงเรียนชี้แจงมาพร้อมนำส่งงบการเงิน เพื่อเผยแพร่แก่ผู้ลงทุนต่อไป
ขอแสดงตวามนับถือ
(นายประเวศวุฒิ ไรวา)
กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด(มหาชน)
ที่ สจญ.052/2549
วันที่ 9 พฤษภาคม 2549
เรื่อง ชี้แจงผลประกอบการบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)
เรียน กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้นำส่งงบการเงินงวดเดือนมกราคม - มีนาคม 2549 พร้อมขอเรียนชี้แจงผลประกอบการของบริษัทฯ ดังนี้
ผลประกอบการงวดเดือนมกราคม - มีนาคม 2549 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 จำนวน 50.5 ล้านบาท สูงกว่า ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 12.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 31.9 โดยมีสาเหตุหลักดังนี้
-บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 50.5 ล้านบาท หรือร้อยละ6.7จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการเปิดจำนวนสาขาร้านอาหารและเบเกอรี่ชอพทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับ ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราส่วนกำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 และไตรมาสที่ 1ของปี 2548 เท่ากับร้อยละ 44.1 และร้อยละ 42.3 ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่ทำให้อัตราส่วนของกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาจากการควบคุมการใช้วัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ และการปรับราคาขายของสินค้าบางรายการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน
-บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 22.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้รวม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสแรกของปี 2549 และปี 2548 เท่ากับร้อยละ 36.7 และ 36.1 ตามลำดับ ปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ได้แก่ การปรับเงินเดือนประจำปี รวมทั้งการปรับเพิ่มค่าเช่า ค่าบริการ ของสถานที่เช่าของจุดขายของบริษัทฯ
จึงเรียนชี้แจงมาพร้อมนำส่งงบการเงิน เพื่อเผยแพร่แก่ผู้ลงทุนต่อไป
ขอแสดงตวามนับถือ
(นายประเวศวุฒิ ไรวา)
กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด(มหาชน)
- Saran
- Verified User
- โพสต์: 2377
- ผู้ติดตาม: 1
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 12
คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ
เท่าที่ดูคร่าวๆ จากงบรวมอย่างเดียว ที่สรุปได้ก็คือ
ในส่วนงบดุล
1.มีการเพิ่มเงินลงทุนชั่วคราว เป็นเท่าตัว ซึ่งในหมายเหตุก็บอกแค่ว่าลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายและพันธบัตรธนาคาร อายุไม่เกิน 12 เดือน ซึ่งมีส่วนทำให้เงินสดมีจำนวนลดลง (สงสัยบริษัทมีเงินเยอะจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี เลยเอาไปฝากกินดอกเบี้ยไปก่อน ฮา)
2.จำนวนลูกหนี้ และเจ้าหนี้ รวมไปถึงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร ลดลงไปมาก คาดว่าคงมีเคลียร์หนี้สินกันตอนสิ้นปี
3.แปลกใจที่ไม่มีการบอกรายละเอียดสินค้าคงเหลือ
4.ส่วนเรื่องเงินที่ให้กู้ยืมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (บริษัท พีที ตรังนูกราฮา เอส แอนด์ พี อินโดนีเซีย จำกัด กับ บริษัท ยูเนียน สกาย เอส แอนด์ พี จำกัด) ที่ตั้งเป็นหนี้สูญ 18 ล้านกว่า คงไม่ได้คืนแน่ๆ เห็นตั้งเป็นหนี้สูญมาตั้งหลายปีแล้ว
ส่วนในงบกำไรขาดทุน การที่กำไรเพิ่มขึ้นมามาก น่าจะมาจาก
1.กำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น และเริ่มให้ผล
2.การขยายกำลังผลิตและเน้นขยายสาขา ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง(ต้นทุนการขายลดลงจาก 58% เหลือ 56%)
3.ค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารจะเพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยอดขายที่มากขึ้นเป็นอย่างมาก (ยอดขายเพิ่มขึ้น 50 ล้าน แต่ค่าบริหารเพิ่มขึ้นเพียง 22 ล้าน)
ส่วนงบกระแสเงินสด ผมดูไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว ได้แค่สรุปว่า
1.เงินสดที่ได้จากกิจกรรมดำเนินงานจำนวน 54.8 ล้าน มากกว่าปีที่แล้วที่ได้เพียง 39.1 ล้านบาท เหตุมาจากยอดขายที่มากขึ้น ส่วนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเมื่อเทียบกับปีก่อน
2.เงินสดที่ใช้ในกิจกรรมลงทุนเพิ่มมากกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญคือการนำเงินไปลงทุนชั่วคราว ส่วนการซื้อสินทรัพย์ถาวรที่มากขึ้นตามการขยายสาขาของบริษัท
3.เงินสดที่ใช้ในกิจกรรมจัดหาเงินไม่แตกต่างไปจากปีก่อน
มีใครอ่านงบแล้วมาช่วยกันวิเคราะห์นะครับ 8)
เท่าที่ดูคร่าวๆ จากงบรวมอย่างเดียว ที่สรุปได้ก็คือ
ในส่วนงบดุล
1.มีการเพิ่มเงินลงทุนชั่วคราว เป็นเท่าตัว ซึ่งในหมายเหตุก็บอกแค่ว่าลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายและพันธบัตรธนาคาร อายุไม่เกิน 12 เดือน ซึ่งมีส่วนทำให้เงินสดมีจำนวนลดลง (สงสัยบริษัทมีเงินเยอะจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี เลยเอาไปฝากกินดอกเบี้ยไปก่อน ฮา)
2.จำนวนลูกหนี้ และเจ้าหนี้ รวมไปถึงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร ลดลงไปมาก คาดว่าคงมีเคลียร์หนี้สินกันตอนสิ้นปี
3.แปลกใจที่ไม่มีการบอกรายละเอียดสินค้าคงเหลือ
4.ส่วนเรื่องเงินที่ให้กู้ยืมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (บริษัท พีที ตรังนูกราฮา เอส แอนด์ พี อินโดนีเซีย จำกัด กับ บริษัท ยูเนียน สกาย เอส แอนด์ พี จำกัด) ที่ตั้งเป็นหนี้สูญ 18 ล้านกว่า คงไม่ได้คืนแน่ๆ เห็นตั้งเป็นหนี้สูญมาตั้งหลายปีแล้ว
ส่วนในงบกำไรขาดทุน การที่กำไรเพิ่มขึ้นมามาก น่าจะมาจาก
1.กำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น และเริ่มให้ผล
2.การขยายกำลังผลิตและเน้นขยายสาขา ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง(ต้นทุนการขายลดลงจาก 58% เหลือ 56%)
3.ค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารจะเพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยอดขายที่มากขึ้นเป็นอย่างมาก (ยอดขายเพิ่มขึ้น 50 ล้าน แต่ค่าบริหารเพิ่มขึ้นเพียง 22 ล้าน)
ส่วนงบกระแสเงินสด ผมดูไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว ได้แค่สรุปว่า
1.เงินสดที่ได้จากกิจกรรมดำเนินงานจำนวน 54.8 ล้าน มากกว่าปีที่แล้วที่ได้เพียง 39.1 ล้านบาท เหตุมาจากยอดขายที่มากขึ้น ส่วนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเมื่อเทียบกับปีก่อน
2.เงินสดที่ใช้ในกิจกรรมลงทุนเพิ่มมากกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญคือการนำเงินไปลงทุนชั่วคราว ส่วนการซื้อสินทรัพย์ถาวรที่มากขึ้นตามการขยายสาขาของบริษัท
3.เงินสดที่ใช้ในกิจกรรมจัดหาเงินไม่แตกต่างไปจากปีก่อน
มีใครอ่านงบแล้วมาช่วยกันวิเคราะห์นะครับ 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 14
ดูกำไรของบริษัท จะเห็นความสามารถ ของการเติบโตของกิจการ ว่าไปได้ดีโอ@ เขียน:ดูกำไรของบริษัทครับ อย่าดูต่อหุ้น เพราะว่ามี warrant มา dilute ไปเยอะมาก
แต่จะไม่ดู กำไรต่อหุ้นที่ไดรู้ท ก็ไม่ได้อ่ะค่ะ เพราะมันมีผลต่อราคาหุ้นแน่นอน
และจะได้กำหนดจุดเข้าลงทุน ให้เหมาะสมด้วย
แต่เท่าที่ออกมา ว่าโตได้ ราว 30% นี่นับว่าดีค่ะ (เทียบกะที่ยังมีหุ้นรอแปลง ก็ราวๆ 20%)
สำหรับดิฉัน ถือว่าสูสี ใช้ได้ค่ะ ช่วยพยุงเรื่องราคาที่ต้องไดรู้ท
ไว้รอแปลงหมดก่อนเถอะ และ รักษาระดับเติบโตให้ได้เรื่อยๆ นะ
จะรอวันให้ลูกๆเธอโตพ้นอก เสียที :ep:
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 16
ดูกำไรของบริษัท จะเห็นความสามารถ ของการเติบโตของกิจการ ว่าไปได้ดี007-s เขียน:
แต่จะไม่ดู กำไรต่อหุ้นที่ไดรู้ท ก็ไม่ได้อ่ะค่ะ เพราะมันมีผลต่อราคาหุ้นแน่นอน
และจะได้กำหนดจุดเข้าลงทุน ให้เหมาะสมด้วย
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4246
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 17
สมมติปีนี้โตได้ 20% ละำักันกำไร เอาแบบน้อยๆหน่อย
จะได้ว่า กำไรปีนี้ประมาณ 250 ล้านบาท.
หารด้วย 100 หุ้น fully dilute
ก็ 2.5 บาทต่อหุ้น
ราคาปีหน้าควรจะอยู่ที่ 25 บาท (ผมให้ p/e 10 เพราะว่าไม่มี warrent มากวนใจละ แล้วปีนี้ยังโชว์โต 20% ให้ดูอีกด้วย)
ทีนี้เอาเหอะถึงราคาหุ้นอาจจะไม่น่าตื่นเต้นถ้าคิด p/e เท่านี้
แต่หุ้นที่ยังไม่แปลงอีก 13 ล้านหุ้นจะสร้างเงินเข้าบริษัท 13 x 18 = 234 ล้านบาท
รวมกับกำไรอีกประมาณ 250 ล้านบาท
ได้เท่ากับ 484 ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีการลงทุนใหญ่ๆนอกจากการขยายสาขาแล้วของ s&p ปันผล ในระดับ 2.5 บาทต่อหุ้นน่าจะได้เห็นกัน
จะได้ว่า กำไรปีนี้ประมาณ 250 ล้านบาท.
หารด้วย 100 หุ้น fully dilute
ก็ 2.5 บาทต่อหุ้น
ราคาปีหน้าควรจะอยู่ที่ 25 บาท (ผมให้ p/e 10 เพราะว่าไม่มี warrent มากวนใจละ แล้วปีนี้ยังโชว์โต 20% ให้ดูอีกด้วย)
ทีนี้เอาเหอะถึงราคาหุ้นอาจจะไม่น่าตื่นเต้นถ้าคิด p/e เท่านี้
แต่หุ้นที่ยังไม่แปลงอีก 13 ล้านหุ้นจะสร้างเงินเข้าบริษัท 13 x 18 = 234 ล้านบาท
รวมกับกำไรอีกประมาณ 250 ล้านบาท
ได้เท่ากับ 484 ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีการลงทุนใหญ่ๆนอกจากการขยายสาขาแล้วของ s&p ปันผล ในระดับ 2.5 บาทต่อหุ้นน่าจะได้เห็นกัน
_________
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 19
ปีที่แล้วทำเงินสดได้ราว 400ล้านครับ ปีนี้น่าจะสัก 450แต่หุ้นที่ยังไม่แปลงอีก 13 ล้านหุ้นจะสร้างเงินเข้าบริษัท 13 x 18 = 234 ล้านบาท
รวมกับกำไรอีกประมาณ 250 ล้านบาท
ได้เท่ากับ 484
รวม234 จะได้~684 ?!
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 22
หากลูกโตหมด พ้นอก แล้ว ยังโตได้ 20% ก็ไม่น่าเล่นแค่พีอี 10 มั้งคะ :ep:โอ@ เขียน:สมมติปีนี้โตได้ 20% ละำักันกำไร เอาแบบน้อยๆหน่อย
จะได้ว่า กำไรปีนี้ประมาณ 250 ล้านบาท.
หารด้วย 100 หุ้น fully dilute
ก็ 2.5 บาทต่อหุ้น
ราคาปีหน้าควรจะอยู่ที่ 25 บาท (ผมให้ p/e 10 เพราะว่าไม่มี warrent มากวนใจละ แล้วปีนี้ยังโชว์โต 20% ให้ดูอีกด้วย)
ทีนี้เอาเหอะถึงราคาหุ้นอาจจะไม่น่าตื่นเต้นถ้าคิด p/e เท่านี้
แต่หุ้นที่ยังไม่แปลงอีก 13 ล้านหุ้นจะสร้างเงินเข้าบริษัท 13 x 18 = 234 ล้านบาท
รวมกับกำไรอีกประมาณ 250 ล้านบาท
ได้เท่ากับ 484 ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีการลงทุนใหญ่ๆนอกจากการขยายสาขาแล้วของ s&p ปันผล ในระดับ 2.5 บาทต่อหุ้นน่าจะได้เห็นกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ขนมไหว้พระจันทร์น้อยใจ
โพสต์ที่ 23
พอดีมีโอกาสได้ศึกษา S&P-W1 เลยเอาผลการศึกษามาให้ดูครับ
สมมติให้ปันผลจนกระทั่ง warrant หมดอายุ จ่ายเท่าเดิม
รูปนี้แสดงถึง Outstanding Warrant และ Outstading Shares
ซึ่งนำข้อมูลตรงนี้ไปปรับราคาเนื่องมาจาก Dilution Effect
รูปนี้เป็น Highlight
graph เส้นสีฟ้า เป็นราคาตลาด
graph สีขาวเป็นราคาทฤษฎีที่เหมาะสม ตามแบบจำลอง Black Scholes
โดยมีสมมติฐานว่า ไม่มีการจ่ายปันผล และ ไม่มี Early Exercise
(ทำให้ราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น - Broker ส่วนใหญ่ใช้ Assumption นี้ในการ
ประเมินราคา warrant ทางทฤษฎี)
graph สีแดงเป็นราคาทฤษฎีที่เหมาะสม ตามแบบจำลอง Binomial
โดยมีสมมติฐานว่า มีการจ่ายปันผลตามที่ได้ forecast ไว้
และมีการคำนวณถึงผลกระทบของ Early Exercise
(ควรจะเป็นราคาทางทฤษฎีที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุด)
พบว่าในช่วงประมาณ มี.ค. 2006
S&P-W1 trade ต่ำกว่าราคาทางทฤษฎี ก่อให้เกิด Arbitrage Opportunity
ทำให้หลังจากนั้นราคา S&P-W1 ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
Risk Free Rate (Rf) ที่ใช้อยู่ระหว่าง 3.07 - 5.23%
Rf 3.07% สำหรับ เม.ย. ปี 2005
Rf 5.23% สำหรับ เม.ย. ปี 2006
(และสมมติให้ Rf เพิ่มขึ้นทีละนิดตลอดช่วงเวลาที่ศึกษา)
ค่า Volatility ของ S&P ที่ใช้คือ 10.2%
สมมติให้ปันผลจนกระทั่ง warrant หมดอายุ จ่ายเท่าเดิม
รูปนี้แสดงถึง Outstanding Warrant และ Outstading Shares
ซึ่งนำข้อมูลตรงนี้ไปปรับราคาเนื่องมาจาก Dilution Effect
รูปนี้เป็น Highlight
graph เส้นสีฟ้า เป็นราคาตลาด
graph สีขาวเป็นราคาทฤษฎีที่เหมาะสม ตามแบบจำลอง Black Scholes
โดยมีสมมติฐานว่า ไม่มีการจ่ายปันผล และ ไม่มี Early Exercise
(ทำให้ราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น - Broker ส่วนใหญ่ใช้ Assumption นี้ในการ
ประเมินราคา warrant ทางทฤษฎี)
graph สีแดงเป็นราคาทฤษฎีที่เหมาะสม ตามแบบจำลอง Binomial
โดยมีสมมติฐานว่า มีการจ่ายปันผลตามที่ได้ forecast ไว้
และมีการคำนวณถึงผลกระทบของ Early Exercise
(ควรจะเป็นราคาทางทฤษฎีที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุด)
พบว่าในช่วงประมาณ มี.ค. 2006
S&P-W1 trade ต่ำกว่าราคาทางทฤษฎี ก่อให้เกิด Arbitrage Opportunity
ทำให้หลังจากนั้นราคา S&P-W1 ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
Risk Free Rate (Rf) ที่ใช้อยู่ระหว่าง 3.07 - 5.23%
Rf 3.07% สำหรับ เม.ย. ปี 2005
Rf 5.23% สำหรับ เม.ย. ปี 2006
(และสมมติให้ Rf เพิ่มขึ้นทีละนิดตลอดช่วงเวลาที่ศึกษา)
ค่า Volatility ของ S&P ที่ใช้คือ 10.2%
"Winners never quit, and quitters never win."