โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความหลายๆครั้งที่ผ่านมาจะเป็นตัวอย่างของคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไปที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เพียงแค่มีความตั้งใจจริงและทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเงินๆทองๆก็สามารถสร้างตัวเองจากที่ไม่มีอะไรจนมีอิสรภาพทางการเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรบริษัทที่ไม่ยอมซื้อรถซื้อบ้านแต่นั่งรถเมล์ไปทำงานจนเลิกทำงานได้ด้วยเงินปันผลจากการลงทุนในตลาดหุ้น หรือพยาบาลที่ทำงานราชการเงินเดือนน้อยนิดจนสามารถมีชีวิตอยู่ได้จากเงินปันผลเช่นเดียวกัน หรือพนักงานออฟฟิศที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จนทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับหลายสิบเท่าในแต่ละปี หรือแม้กระทั่งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานใช้แรงงานอย่างคนสวนที่คิดเก็บเงินจนสามารถมีธุรกิจของตนเองได้ในบ้านเกิดเป็นต้น
ดังนั้นพนักงานออฟฟิศทั้งหลายที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่ยังมีความหวังที่คิดว่าสักวันเราต้องทำให้ได้อย่างท่านอื่นๆที่กล่าวถึงนั้นอาจจะต้องบอกว่า ทุกท่านทำได้แน่นอน เพียงแต่ต้องอาศัยความขยัน ประหยัด อดทนต่อการได้รับผลลัพธ์จากสิ่งที่ลงทุนลงแรงลงไปอย่างไม่ย่อท้อ ทุกท่านที่กล่าวเป็นตัวอย่างมานั้นสามารถลงทุนจนเปลี่ยนชีวิตได้ด้วยหลักการดังต่อไปนี้
หนึ่ง มีเป้าหมาย
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นต้องเริ่มต้นด้วยเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายของเราอาจหมายถึงได้มีอิสรภาพทางการเงินด้วยจำนวนเงินหนึ่งภายในระยะเวลากี่ปี เช่น ต้องการมีรายได้จากเงินปันผลเดือนละ 1 แสนบาทภายใน 10 ปีเป็นต้น เป้าหมายที่ดีต้องเขียนออกมาอย่างชัดเจนระบุทั้งเงื่อนไขอย่างรายได้และเวลา ควรจะบันทึกลงในสมุดพกหรือกระดาษที่สามารถนำมาออกมาพิจารณาได้อยู่ตลอดเวลา คนจำนวนมากอยากร่ำรวยแต่ไม่มีเป้าหมายว่าจะรวยแค่ไหน มีเงินเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย หรือเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาเนื่องจากไม่ได้บันทึกไว้เป็นต้น
สอง ทำงานเก็บเงิน
ทุกท่านที่กล่าวถึงในบทความครั้งก่อนๆเป็นพนักงานกินเงินเดือนแทบทั้งสิ้น พนักงงานออฟฟิศจำนวนมากทำงานเดือนชนเดือนเพราะไม่มีเงินเก็บ ส่วนใหญ่อ้างว่าไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ในความเป็นจริงหลายคนเงินเดือนไม่มากนัก เช่น วิศวกรจบใหม่หรือพยาบาลหรือแม้แต่คนสวนที่เคยพูดถึง แต่เขาเหล่านั้นมีเป้าหมายในการเก็บเงินที่แน่นอน ที่สำคัญคือจ่ายให้ตนเองก่อนนั่นคือกันเงินออกมาจำนวนหนึ่งก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองก่อนเป็นจำนวนเงิน 30 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนและเข้าบัญชีไว้โดยบัญชีนี้จะไม่นำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด ส่วนเงินที่ใช้ในแต่ละเดือนจะใช้เพียงเงิน 70 เปอร์เซนต์ที่เหลือจากที่หักออกไปแล้วเท่านั้น ตามจิตวิทยาของมนุษย์ ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น บัญชีที่เก็บไว้นี้ก็เหมือนกันคือต้องบอกตนเองว่าเงินที่เก็บนั้นถือว่าไม่มีและนำมาใช้จ่ายไม่ได้ ส่วนจะกันเงินออกมาเป็นเงินค่าใช้จ่ายอะไรบ้างก็ให้ทำในส่วนที่เหลือเช่นเก็บเงินซื้อเสื้อผ้าหรือมือถือ หรือเก็บเงินเพื่อการท่องเที่ยวให้แยกบัญชีไว้ต่างหากจากเงินที่จ่ายเพื่อตัวเราเอง ถ้ายังทำไม่ได้หรือไม่มีเงินเก็บอาจจะต้องพิจารณาดูว่ารายจ่ายไหนเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นก็งดหรือเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีราคาลดลง เช่น กาแฟแก้วละร้อยอาจเปลี่ยนเป็นกาแฟที่ชงเองจะถูกกว่าเป็นต้น ถ้าจะมีอิสรภาพทางการเงินด้วยระยะเวลาที่ไม่นานนักควรจะเก็บเงินให้ได้ 30-50 เปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละเดือน
สาม นำเงินไปลงทุน
หลังจากที่เก็บเงินได้แล้ว สิ่งต่อไปคือการหาความรู้ในการลงทุนให้เชี่ยวชาญและนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ การลงทุนในช่วงแรกๆอาจจะไม่ง่ายนักเพราะประสบการณ์ยังน้อย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปความรู้ในการลงทุนที่มากขึ้นจะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ หลายคนมีเงินแต่ไปลงทุนในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่มีความรู้ เช่น เล่นหุ้นในตลาดหุ้นหรือซื้อคอนโดเก็งกำไรซึ่งการลงทุนที่ดีนั้นเราควรมีความรู้อย่างแท้จริง ถ้าคิดว่าตนเองไม่ถนัดในการลงทุนควรจะใช้มืออาชีพอย่างการลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งเป็นต้น
จะเห็นว่าการมีอิสรภาพทางการเงินจากการทำงานประจำนั้น ไม่ได้มาได้ง่ายๆเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หัวใจสำคัญนั้นรวมถึงความอดทนให้เห็นผลลัพธ์จากการลงทุนที่ใช้เวลาพอสมควรอีกด้วย