บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
-
Thai VI Article
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปัจจุบัน ถ้ามองไปรอบๆจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่มักจะสนใจในเรื่องการลงทุนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหุ้น, อสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจส่วนตัว นักศึกษาหลายๆคนเรียนจบปริญญาแล้วแต่ไม่ไปทำงานเป็นลูกจ้าง แต่ออกมาเปิดธุรกิจของตนเองไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่หรืออื่นๆ เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากอยากจะเดินทางตามรอยรุ่นพี่ที่ร่ำรวยจากการเป็นนักลง ทุนในตลาดหุ้นจึงหันมาเล่นหุ้นหรือลงทุนแทนการทำงานประจำ คิดว่ามีแค่เครื่องคอมพิวเตอร์กับกาแฟสักแก้วก็หาเงินจากตลาดหุ้นได้แล้วโดย ไม่ต้องไปทำงาน จริงๆแล้วหลายๆคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวย หลังจากเรียนจบได้ออกมาหางานประจำทำ ขณะเดียวกันก็เริ่มต้นเก็บเงินและนำเงินเก็บนั้นมาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนมีเงินมากพอที่จะไม่ต้องทำงาน หลายคนคิดว่า ถ้าอยากจะรวยต้องลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราควรจะลงทุนให้เงินงอกเงยมากเพียงพอที่จะเราจะลา ออกจากงานได้มากกว่าที่จะออกมาทำให้เงินงอกเงยทีหลัง ถ้าดูดีๆจะพบว่าคนรวยระดับโลกจำนวนมากยังทำงานอยู่ถึงแม้เขาจะมีเงินมากพอจน ไม่ต้องทำงานแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวอร์เรน บัฟเฟตหรือริชาร์ด เบรนสันเป็นต้น ถ้าเรารวยมากพอวันหนึ่งเราอาจจะหยุดทำงาน ซึ่งนั่นหมายความว่าเราไม่ได้ทำงานที่เรารักหรือชอบอย่างแท้จริง
มี หลายคนที่เริ่มต้นจากศูนย์โดยไม่ได้มีมรดกตกทอดและสร้างฐานะจนสามารถลาออก จากงานประจำได้ หลายคนใช้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือในการไปให้ถึงจุดหมาย เรียกว่าเป็นการลงทุนเปลี่ยนชีวิต แต่กว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านประสบการณ์ที่เรียกว่าท้าทายต่อความ เชื่อและทัศนคติที่แตกต่างจากคนรุ่นเดียวกันอย่างเข้มแข็งเลยทีเดียว จากนี้จะได้กล่าวถึงบุคคลที่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ด้วยตนเองจาก ตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้น
มีรุ่นน้องท่านหนึ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาตร์ ฐานะที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก พ่อแม่มีเงินส่งเรียนแค่จบปริญญาตรีเท่านั้น หลังจากเรียนจบเขาเข้าทำงานในบริษัทผลิตและขายวัสดุก่อสร้างและเคมีภัณท์ ระดับประเทศเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะมั่นคงจนเป็นที่ทำงานในฝันของนัก ศึกษาจบใหม่หลายๆคน เริ่มต้นจากตำแหน่งวิศวกรเงินเดือนหลักหมื่น การได้ทำงานประจำกับองค์กรใหญ่เช่นนี้ย่อมทำให้คนที่เป็นพ่อแม่รู้สึกภูมิใจ และยินดีกับความมั่นคงของบุตรหลานของตนเอง ในช่วงเวลาที่เขาทำงานประจำอยู่นั้น เขาได้ค้นพบกลุ่มการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอโดยบังเอิญผ่านทางเวปไซค์ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแบบ วีไอ
ในช่วงเวลานั้น เพื่อนๆที่จบออกมาและทำงานในบริษัทเดียวกัน เริ่มมีรายได้มากขึ้นและมีสถานะทางสังคมสูงมากขึ้น เพื่อนที่ทำงานหลายคนนำเงินโบนัสไปออกรถใหม่เพื่อที่จะได้สะดวกสบายเวลาเดิน ทางมาทำงาน ส่วนใหญ่ก็จะวางเงินดาวน์และผ่อนเป็นรายเดือนไป เงินเดือนวิศวกรในบริษัทใหญ่เช่นนี้สามารถผ่อนรถคันเล็กๆได้อย่างสบายๆอยู่ แล้ว หลายคนเริ่มซื้อบ้านอาจจะเอาไว้เป็นเรือนหอหรือไม่ก็คิดว่าถ้าไม่รีบซื้อ ราคาบ้านจะขึ้นไปอีกจนซื้อไม่ได้ เช่นเดียวกับการซื้อรถ เพื่อนๆของเขามักจะกู้เงินแบงค์เพื่อซื้อบ้านโดยวางเงินดาวน์แค่เล็กน้อย หรือหลายโครงการสามารถผ่อนดาวน์ได้อีกด้วย เงินเดือนที่ได้รับก็ถูกใช้ไปเป็นค่าผ่อนบ้านผ่อนรถกันเป็นเวลาหลายปี นอกจากนั้นยังมีมือถือรุ่นใหม่ๆออกมาให้ผ่อนศูนย์เปอร์เซนต์อีกเป็นจำนวนมาก
สำหรับ เขา เนื่องจากพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดดังนั้นจึงไม่มีบ้านในกรุงเทพ เขาจึงเช่าบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน และเนื่องจากไม่มีรถไฟฟ้าผ่านที่ทำงาน เขาจึงอาศัยนั่งรถเมล์จากบ้านที่เช่าอยู่ไปกลับจากที่ทำงานทุกวัน ขณะที่เพื่อนๆขับรถเก๋งไปทำงานและอยู่บ้านหลังใหม่เอี่ยม เขาอยู่บ้านเช่าและนั่งรถเมล์โดยเงินเดือนและโบนัสที่ได้รับ เขานำมาเก็บออมและลงทุนในตลาดหุ้นโดยหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เพื่อนๆหลายคนดูถูกเขาว่าไม่ยอมซื้อรถหรือซื้อบ้าน ใช้มือถือรุ่นเก่า ไม่มีอะไรจะให้อวดได้เลย สาวๆไม่มีใครมาเหลียวมองทำให้เขาทำตัวเป็นโสดอยู่ในช่วงเวลาที่ทำงานอยู่
ผ่าน ไปสิบปีนับจากวันที่เขาเรียนจบและเริ่มต้นทำงาน เพื่อนๆยังคงทำงานกินเงินเดือนอยู่และไม่มีเงินเก็บเพราะนำเงินไปจ่ายค่า ผ่อนบ้านค่าผ่อนรถจนเงินหมดเดือนชนเดือน ส่วนเขาตอนนี้ลาออกจากงานประจำแล้วเพราะเงินปันผลที่ได้จากหุ้นที่ถืออยู่ เป็นเงินหลายล้านบาทต่อปี นอกเหนือจากเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของตนเองแล้วยังสามารถให้เงินกับพ่อแม่ที่เกษียณอายุแล้วอีกด้วย ด้วย ความอดทนเก็บหอมรอบริบและท้าทายต่อความเชื่อและทัศนคติที่แตกต่างจากคนรุ่น เดียวกันอย่างเข้มแข็งทำให้การลงทุนแบบวีไอเปลี่ยนชีวิตของเขาได้อย่างแท้จริง
[/size]
-
ลูกหิน
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณมากครับ
-
ต้น.เจียงฮาย
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
ขอขอบคุณคับ
-
uthai.l
- Verified User
- โพสต์: 177
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ
ทุกปัญหามีทางออก ถ้าไม่มีทางออก...ให้ออกทางเข้า!!!
-
maninpp
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 380
- ผู้ติดตาม: 0
บทความนี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดี ขอบคุณครับ
-
Skyforever
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1221
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักคนหนึ่งในเวปแห่งนี้ คนนี้เก่งมากครับ ^^
อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเองด้วย ผมก็มีชีวิตคล้ายๆกันเลยครับ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนโท เฉพาะแค่เรียนตรีก็ยังต้องขอทุน เรียนจบตรีมาต้องรีบหางานทำเอามาเป็นค่าใช้จ่ายของครอบครัว เลิกคิดเรื่องเรียนต่อ ทำงานเป็นวิศวกรมาสิบกว่าปี ใช้มือถือเครื่องละ 700 บาท แต่ลูกน้องเงินเดือนหลักพันใช้ไอโฟน ผมนั่งรถเมล์ไปทำงานวันจันทร์จากบางแคไปปทุมธานีวันศุกร์นั่งรถเมล์กลับ ครั้งละ 3-4 ต่อ และพักหอพักที่เก่าๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างสัปดาห์ อยู่ชั้น6 ไม่มีลิฟท์ เพื่อจะได้ค่าเช่าที่ถูกที่สุดเดือนละ 1,800 บาท (ชั้นล่างเดือนละ 2 พัน) และอยู่ในห้องพักที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีเตียง ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ มาหลายปี ขณะที่เพื่อนๆอยู่ห้องพักติดแอร์เดือนละ 3-4 พัน แม้แต่ลูกน้องยังอยู่บ้านพักที่ดูดีกว่า มีของใช้ของอำนวยความสะดวกเต็มห้อง
สุดท้ายตอนนี้ผมได้มีโอกาสออกแบบชีวิตของตัวเองแล้ว แต่เพื่อนๆคนรู้จักก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม เครียดๆเหมือนเดิม บ่นว่าอยากลาออกเหมือนเดิม ....
ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ กำไรเพราะไม่โลภ ลงทุนอย่างมีความสุขเพราะจิตใจอยู่เหนืออารมณ์ตลาด
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
Skyforever เขียน:ขอบคุณครับ อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักคนหนึ่งในเวปแห่งนี้ คนนี้เก่งมากครับ ^^
อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเองด้วย ผมก็มีชีวิตคล้ายๆกันเลยครับ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนโท เฉพาะแค่เรียนตรีก็ยังต้องขอทุน เรียนจบตรีมาต้องรีบหางานทำเอามาเป็นค่าใช้จ่ายของครอบครัว เลิกคิดเรื่องเรียนต่อ ทำงานเป็นวิศวกรมาสิบกว่าปี ใช้มือถือเครื่องละ 700 บาท แต่ลูกน้องเงินเดือนหลักพันใช้ไอโฟน ผมนั่งรถเมล์ไปทำงานวันจันทร์จากบางแคไปปทุมธานีวันศุกร์นั่งรถเมล์กลับ ครั้งละ 3-4 ต่อ และพักหอพักที่เก่าๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างสัปดาห์ อยู่ชั้น6 ไม่มีลิฟท์ เพื่อจะได้ค่าเช่าที่ถูกที่สุดเดือนละ 1,800 บาท (ชั้นล่างเดือนละ 2 พัน) และอยู่ในห้องพักที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีเตียง ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ มาหลายปี ขณะที่เพื่อนๆอยู่ห้องพักติดแอร์เดือนละ 3-4 พัน แม้แต่ลูกน้องยังอยู่บ้านพักที่ดูดีกว่า มีของใช้ของอำนวยความสะดวกเต็มห้อง
สุดท้ายตอนนี้ผมได้มีโอกาสออกแบบชีวิตของตัวเองแล้ว แต่เพื่อนๆคนรู้จักก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม เครียดๆเหมือนเดิม บ่นว่าอยากลาออกเหมือนเดิม ....
ผมขอแนะนำสักนิดนะครับ
ใช้มือถือเครื่องละ 700 บาท ผมว่าก็ยังใช้แพงไปมากอยู่นะครับ น่าจะใช้ซัมซุงฮีโร เครื่องหนึ่งก็ไม่น่าเกิน 390 บาทเอง
เพื่อจะได้ค่าเช่าที่ถูกที่สุดเดือนละ 1,800 บาท (ชั้นล่างเดือนละ 2 พัน) ผมว่าตรงจุดนี้ก็แพงไปอีกเหมือนกันครับ แถวๆแฟลตหลักสี่ เดือนละ 900 บาทเองอยู่ชั้น 5 ลมเย็นไม่ต้องเปิดแอร์ ประหยัดค่าไฟฟ้าได้อีกครับ
ผมนั่งรถเมล์ไปทำงานวันจันทร์จากบางแคไปปทุมธานีวันศุกร์นั่งรถเมล์กลับ ครั้งละ 3-4 ต่อ ตรงนี้ถ้าตื่นเช้าๆน่าจะนั่งรถเมล์ฟรีได้สักเที่ยวนะ ประหยัดไปได้อีกครับ
ข้าวมื้อเช้ากับกลางวัน น่าจะหุงข้าวไปกิน ซื้อแต่ซื้อแกงถุงก็ได้ สัก 1 ถุงก็พอ แบ่งครึ่งกินเช้า 1 มื้อ กลางวัน 1 มื้อ ส่วนน้ำเปล่ากินฟรีจากก๊อกน้ำก็ได้ครับ ประหยัดตรงนี้ได้อีกครับ
พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนโท เฉพาะแค่เรียนตรีก็ยังต้องขอทุน
ผมยังถือว่าคุณยังโชคดีมากๆๆเลยนะครับ ผมไม่เคยคิดจะเอาทุนการเรียนไหนเลย เพราะบางคนยากจนมากๆกว่าผมก็มี อีกเยอะแยะ หนังสือเรียนขอจากรุ่นพี่เอามาอ่าน
เสื้อตัวในเป็นเสื้อยืดกระทิงแดง หรือ M 150 ที่ได้แจกมา โดยใช้เสื้อ shop สวมทับทุกวัน ประหยัดค่าเสื้อขาวได้อีก
ผมขอชื่นชมคุณ skyforever มากๆครับที่มาแชร์ข้อมูลดีๆให้อ่านครับ
-
Skyforever
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1221
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับพี่ Seattle สำหรับคำแนะนำดีๆ น้อมรับด้วยความยินดีครับ
ถ้าเป็นสมัยนี้ผมคงทำตามคำแนะนำของพี่ในหลายข้อได้ครับ แต่เหตุการณ์ที่ผมเล่ามันเริ่มมาหลายปีก่อนแล้วครับ ตอนนั้นไม่เคยได้ยิน Samsung hero เลยครับ รู้จักแต่โนเกียรุ่นจอขาวดำ (ไอโฟนออกมาใหม่ๆ) ถ้าตอนนั้นมีคงได้ใช้ไปแล้วครับ ส่วนถ้าจะให้ไปเช่าหอแถวหลักสี่เกรงว่าจะมาทำงานที่ปทุมธานีลำบากครับเพราะบางวันต้องเข้าไปแก้ปัญหางานตอนตี 2 ตี 3 และรถเมล์ฟรีสมัยทำงานแรกๆก็ยังไม่มีครับ และยังมีเรื่องค่าเดินทางอีก ส่วนเรื่องเสื้อ shop กับหนังสือ ผมก็ทำแบบที่พี่แนะนำเลยครับ ^^ และสำหรับทุนนั้นเขาคัดเลือกจากหลายๆคนนะครับ คงเห็นว่าผมจัดอยู่ในกลุ่มที่ฐานะไม่ค่อยดีอันดับต้นๆ รายได้ครอบครัวค่อนข้างต่ำครับ ประกอบกับผลการเรียนที่ดี
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ขอขอบคุณอีกครั้งด้วยความจริงใจครับ
ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ กำไรเพราะไม่โลภ ลงทุนอย่างมีความสุขเพราะจิตใจอยู่เหนืออารมณ์ตลาด
"ทรัพย์ศฤงคารที่ได้มาอย่างเร่งร้อนจะยอบแยบลง แต่บุคคลที่ส่ำสมทีละเล็กละน้อยจะได้เพิ่มพูนขึ้น" สุภาษิต 13:11
-
Noinar
- Verified User
- โพสต์: 136
- ผู้ติดตาม: 1
ขอบคุณบทความดีๆจากพี่วิบูลย์เเละประสบการณ์จากคุณskyforever ครับ
" Risk comes from not knowing what you’re doing " Warrent Buffett
-
mafiapotae
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณพี่ๆ สำหรับประสบการณ์เพื่อนำมาเป็นแรงบัลดาลใจครับ
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความความที่แล้วกล่าวถึงวิศวกรจบใหม่ทำงานในบริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างขนาด ใหญ่ เริ่มต้นจากตำแหน่งวิศวกรเงินเดือนหลักหมื่น และโชคดีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอ ทำให้เขาประหยัดและเก็บหอมรอมริบโดยไม่ซื้อบ้านหรือซื้อรถยนต์เหมือนอย่างคน ทำงานรุ่นเดียวกัน ขณะทำงานเขาเช่าบ้านอยู่และนั่งรถเมล์ไปทำงาน เขาใช้เวลาสิบปีในการสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอจน สามารถลาออกจากงานได้เพราะเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปีเป็นเงินหลายล้านบาท
บทความครั้งนี้จะกล่าวถึงพนักงาน กินเงินเดือนอีกหนึ่งท่านที่ตั้งใจลงทุนจนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้โดยไม่ต้อง ง้อมรดกจากใครๆ เขาไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นแต่เขาร่ำรวยได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบ ค่อยเป็นค่อยไป หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและทำงานออฟฟิศมา สักระยะหนึ่งจนได้เข้าทำงานกับบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ได้ชื่อว่ามีฐานะการ เงินมั่นคงและอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งประเทศไทยลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 เศรษฐกิจของไทยและเอเชียได้รับผลกระทบอย่างมาก บริษัทที่เขาทำงานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดกันว่ามั่นคงและมีนโยบายจ้างพนักงานจน เกษียณอายุเริ่มเปลี่ยนไป มีการปรับเปลี่ยนองค์กรและมีโครงการจ้างพนักงานออกโดยความสมัครใจซึ่งในความ เป็นจริงคนที่ถูกให้ออกมักจะไม่ค่อยสมัครใจเท่าไหร่นัก บริษัทเริ่มลดพนักงานโดยการยุบแผนกหรือตัดขายกิจการที่ไม่ทำกำไรออกไป
จากความมั่นคงในการทำงานกลายเป็นความสั่นคลอนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่บริษัทจะเชิญให้ออกจากการเป็นพนักงาน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าการพึ่งพิงแต่การหารายได้จากการทำงานประจำนั้นไม่ใช่ สิ่งที่น่าทำอีกต่อไป แต่การหารายได้จากทางอื่นนั้นจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง ช่วงนั้น เขาได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิเรื่อง”พ่อรวยสอนลูก”และ”เงินสี่ด้าน”ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำให้เขาได้คำตอบจากสิ่งที่เขาค้นหามานาน นั่นคือการสร้าง”รายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน” หรือ Passive Income
คิโยซากิบอกว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ทำกิจการส่วนตัวนั้นต้องใช้แรงงานเข้าแลก ในการหาเงินหรือทำงานเพื่อเงิน แต่อีกด้านหนึ่งนั้นนักลงทุนและเจ้าของกิจการกลับใช้เงินทำงานแทน นี่คือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน นอกเหนือจากนั้นคิโยซากิยัง บอกอีกว่าคนชั้นกลางส่วนใหญ่ชอบคิดว่าบ้านหรือรถยนต์ที่มีนั้น เป็น”ทรัพย์สิน”ของตน แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นเป็น”หนี้สิน”เพราะทำให้เราต้องจ่ายเงินออก ไปทุกเดือนในรูปของค่าผ่อนบ้านผ่อนรถหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นต้องทำเงินเข้ากระเป๋าของเราไม่ใช่ทำให้เงินไหลออก
จากหนังสือเล่มนั้นทำให้เขาเข้าใจในความหมายของการมีทรัพย์สินที่ สร้าง”กระแสเงินสด”ให้กับเราตลอดเวลาแม้ขณะเรากำลังหลับหรือตื่น เขาเริ่มเข้าไปศึกษาอบรมเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นทุกครั้งที่ขับรถไปตามถนน เขามักจะสังเกตโครงการหรือห้างร้านต่างๆตามริมถนนว่ามีการประกาศซื้อ ขายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากนั้นเขายังไปชมโครงการขายคอนโดที่เปิดใหม่ต่างๆเพื่อดูลู่ทางใน การซื้อคอนโดเพื่อให้คนเช่า
หลังจากขับรถดูทำเลตึกแถวและบ้านโครงการต่างๆอยู่เป็นร้อยๆแห่ง วัน หนึ่งเขาพบประกาศขายตึกแถวริมถนนบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขาพบว่าเป็นทำเลที่ดีมากเพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าแต่เนื่องด้วยเป็นตึกเก่า และค่อนข้างโทรมรวมทั้งประเทศไทยเพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ไม่ค่อยมีใคร สนใจมากนัก เขารีบโทรหาเจ้าของและพบว่าจะขายในราคา 10 ล้านบาท ถ้าเป็นคนอื่นที่ทำงานกินเงินเดือนทั่วไปอาจจะคิดว่าเงินตั้ง 10 ล้านจะหาเงินจากไหนมาซื้อและเลิกล้มความคิดที่จะซื้อไป สำหรับเขาตอนนั้นมีเงินสดในมือเพียงแค่ 5 แสนบาท แต่ด้วยความคิดว่าทำเลตรงนี้ดีมากและไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดมือทำให้เขา ตัดสินใจวางเงินมัดจำกับเจ้าของที่ภายในวันนั้นเลยและขอเวลา 30 วันในการกู้เงิน เขาติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่ธนาคารต้องการเงินดาวน์อย่างน้อย 10 เปอร์เซนต์หรือ 1 ล้านบาท เขาจึงยืมเงินจากญาติอีก 5 แสนบาทเพื่อนำมากู้ซื้อตึกแถวห้องนั้น หลังจากซื้อมาเขาปรับปรุงเล็กน้อยและให้ร้านสะดวกซื้อเช่าซึ่งค่าเช่าสามารถ จ่ายให้กับเงินที่ผ่อนธนาคารในแต่ละเดือนได้พอดี
เวลาผ่านไป 10 ปี เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น คนเริ่มมาสนใจในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น มีคนมาขอซื้อตึกแถวที่เขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นในราคา 30 ล้านบาทซึ่งเขาก็ขายให้ด้วยความยินดีโดยได้รับกำไรมากกว่า 20 ล้านบาทจากเงินลงทุนเพียง 5 แสนบาทกับแนวคิดที่มุ่งมั่นในการสร้างทรัพย์สินโดยคิดเสมอว่าทุกอย่างเป็นไป ได้ นี่เป็นอีกตัวอย่างของการลงทุนเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความความที่แล้วกล่าวถึงวิศวกรจบใหม่ทำงานในบริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างขนาด ใหญ่ เริ่มต้นจากตำแหน่งวิศวกรเงินเดือนหลักหมื่น และโชคดีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอ ทำให้เขาประหยัดและเก็บหอมรอมริบโดยไม่ซื้อบ้านหรือซื้อรถยนต์เหมือนอย่างคน ทำงานรุ่นเดียวกัน ขณะทำงานเขาเช่าบ้านอยู่และนั่งรถเมล์ไปทำงาน เขาใช้เวลาสิบปีในการสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอจน สามารถลาออกจากงานได้เพราะเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปีเป็นเงินหลายล้านบาท
บทความครั้งนี้จะกล่าวถึงพนักงาน กินเงินเดือนอีกหนึ่งท่านที่ตั้งใจลงทุนจนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้โดยไม่ต้อง ง้อมรดกจากใครๆ เขาไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นแต่เขาร่ำรวยได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบ ค่อยเป็นค่อยไป หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและทำงานออฟฟิศมา สักระยะหนึ่งจนได้เข้าทำงานกับบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ได้ชื่อว่ามีฐานะการ เงินมั่นคงและอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งประเทศไทยลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 เศรษฐกิจของไทยและเอเชียได้รับผลกระทบอย่างมาก บริษัทที่เขาทำงานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดกันว่ามั่นคงและมีนโยบายจ้างพนักงานจน เกษียณอายุเริ่มเปลี่ยนไป มีการปรับเปลี่ยนองค์กรและมีโครงการจ้างพนักงานออกโดยความสมัครใจซึ่งในความ เป็นจริงคนที่ถูกให้ออกมักจะไม่ค่อยสมัครใจเท่าไหร่นัก บริษัทเริ่มลดพนักงานโดยการยุบแผนกหรือตัดขายกิจการที่ไม่ทำกำไรออกไป
จากความมั่นคงในการทำงานกลายเป็นความสั่นคลอนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่บริษัทจะเชิญให้ออกจากการเป็นพนักงาน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าการพึ่งพิงแต่การหารายได้จากการทำงานประจำนั้นไม่ใช่ สิ่งที่น่าทำอีกต่อไป แต่การหารายได้จากทางอื่นนั้นจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง ช่วงนั้น เขาได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิเรื่อง”พ่อรวยสอนลูก”และ”เงินสี่ด้าน”ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำให้เขาได้คำตอบจากสิ่งที่เขาค้นหามานาน นั่นคือการสร้าง”รายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน” หรือ Passive Income
คิโยซากิบอกว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ทำกิจการส่วนตัวนั้นต้องใช้แรงงานเข้าแลก ในการหาเงินหรือทำงานเพื่อเงิน แต่อีกด้านหนึ่งนั้นนักลงทุนและเจ้าของกิจการกลับใช้เงินทำงานแทน นี่คือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน นอกเหนือจากนั้นคิโยซากิยัง บอกอีกว่าคนชั้นกลางส่วนใหญ่ชอบคิดว่าบ้านหรือรถยนต์ที่มีนั้น เป็น”ทรัพย์สิน”ของตน แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นเป็น”หนี้สิน”เพราะทำให้เราต้องจ่ายเงินออก ไปทุกเดือนในรูปของค่าผ่อนบ้านผ่อนรถหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นต้องทำเงินเข้ากระเป๋าของเราไม่ใช่ทำให้เงินไหลออก
จากหนังสือเล่มนั้นทำให้เขาเข้าใจในความหมายของการมีทรัพย์สินที่ สร้าง”กระแสเงินสด”ให้กับเราตลอดเวลาแม้ขณะเรากำลังหลับหรือตื่น เขาเริ่มเข้าไปศึกษาอบรมเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นทุกครั้งที่ขับรถไปตามถนน เขามักจะสังเกตโครงการหรือห้างร้านต่างๆตามริมถนนว่ามีการประกาศซื้อ ขายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากนั้นเขายังไปชมโครงการขายคอนโดที่เปิดใหม่ต่างๆเพื่อดูลู่ทางใน การซื้อคอนโดเพื่อให้คนเช่า
หลังจากขับรถดูทำเลตึกแถวและบ้านโครงการต่างๆอยู่เป็นร้อยๆแห่ง วัน หนึ่งเขาพบประกาศขายตึกแถวริมถนนบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขาพบว่าเป็นทำเลที่ดีมากเพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าแต่เนื่องด้วยเป็นตึกเก่า และค่อนข้างโทรมรวมทั้งประเทศไทยเพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ไม่ค่อยมีใคร สนใจมากนัก เขารีบโทรหาเจ้าของและพบว่าจะขายในราคา 10 ล้านบาท ถ้าเป็นคนอื่นที่ทำงานกินเงินเดือนทั่วไปอาจจะคิดว่าเงินตั้ง 10 ล้านจะหาเงินจากไหนมาซื้อและเลิกล้มความคิดที่จะซื้อไป สำหรับเขาตอนนั้นมีเงินสดในมือเพียงแค่ 5 แสนบาท แต่ด้วยความคิดว่าทำเลตรงนี้ดีมากและไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดมือทำให้เขา ตัดสินใจวางเงินมัดจำกับเจ้าของที่ภายในวันนั้นเลยและขอเวลา 30 วันในการกู้เงิน เขาติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่ธนาคารต้องการเงินดาวน์อย่างน้อย 10 เปอร์เซนต์หรือ 1 ล้านบาท เขาจึงยืมเงินจากญาติอีก 5 แสนบาทเพื่อนำมากู้ซื้อตึกแถวห้องนั้น หลังจากซื้อมาเขาปรับปรุงเล็กน้อยและให้ร้านสะดวกซื้อเช่าซึ่งค่าเช่าสามารถ จ่ายให้กับเงินที่ผ่อนธนาคารในแต่ละเดือนได้พอดี
เวลาผ่านไป 10 ปี เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น คนเริ่มมาสนใจในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น มีคนมาขอซื้อตึกแถวที่เขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นในราคา 30 ล้านบาทซึ่งเขาก็ขายให้ด้วยความยินดีโดยได้รับกำไรมากกว่า 20 ล้านบาทจากเงินลงทุนเพียง 5 แสนบาทกับแนวคิดที่มุ่งมั่นในการสร้างทรัพย์สินโดยคิดเสมอว่าทุกอย่างเป็นไป ได้ นี่เป็นอีกตัวอย่างของการลงทุนเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 3 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
จากชีวิตคนทำงานกินเงินเดือนธรรมดาจนสามารถมีอิสรภาพทางการเงินอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอีกต่อไปนั้นมีตัวอย่างอีกมากที่เกิดขึ้นจริง ส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บหอมรอมริบและนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนในสิ่งที่มีความรู้ ครั้งนี้จะกล่าวถึงนักลงทุนสาวท่านหนึ่งที่เติบโตมาจากต่างจังหวัด เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพในช่วงมัธยมขณะที่พ่อแม่ยังทำงานอยู่ต่างจังหวัด การเรียนในกรุงเทพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องดิ้นรนขวนขวายด้วยตนเองเพราะไม่มีพี่น้องให้คำปรึกษาแต่อย่างใด หลังจากเรียนจบมัธยมด้วยความกตัญญูจึงไปสอบเป็นพยาบาลทั้งๆที่ในใจอยากเรียนด้านวิทยาศาตร์มากกว่า แต่ด้วยที่บ้านอยากให้ทำอาชีพพยาบาลเพราะจะได้ดูแลพ่อแม่ตอนแก่เฒ่าจึงยอมทนเรียนพยาบาลจนจบ
หลังจากเรียนจบได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากค่านิยมของคนต่างจังหวัดสมัยก่อนต้องการให้ลูกหลานเข้ารับราชการเพราะจะได้มีสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับพ่อแม่และคนในครอบครัวอีกด้วย เงินเดือนราชการเริ่มต้นไม่กี่พันบาทแต่ก็ยอมทนเพื่อบุพการี หลังจากเริ่มงานพยาบาลไปสักพักพบว่างานพยาบาลอาจจะไม่ใช่หนทางที่ตนเองต้องการเพราะในหน่วยงานที่ทำงานนั้นเต็มไปด้วยความฉ้อฉลและคอรัปชั่น จึงขอย้ายหน่วยงานไปทำงานในหน่วยราชการอื่นอย่างเทศบาลเมือง ระหว่างที่ทำงานไปนั้นเธอใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่ได้หลงไหลไปกับความฟุ้งเฟ้ออย่างเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ เงินเดือนส่วนใหญ่ก็ส่งให้พ่อแม่และเก็บหอมรอมริบไว้ทุกๆเดือนถึงแม้เงินเดือนจะไม่ได้มากมายอะไรนัก
หลังจากย้ายที่ทำงานไปทำงานในเทศบาลเมืองก็ยังหนีความฉ้อฉลในวงราชการไม่ได้เหมือนเดิม ทำให้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการ แต่หัวหน้าทัดทานไว้และบอกว่าอีกไม่กี่ปีก็ได้อายุราชการที่จะได้สิทธิรับบำนาญแล้ว ทนต่อไปอีกหน่อย จึงขอย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลสังกัดรัฐอีกแห่งหนึ่งแต่ทำด้านธุรการแทนโดยไม่ได้เข้าเวรประจำ ระหว่างนี้เงินเดือนที่ได้รับก็มากขึ้นตามอายุงาน แต่ถ้าเทียบกับเอกชนก็ถือว่าน้อยมากเพราะได้รับเงินเดือนเพียงไม่กี่หมื่นบาทต่อเดือนเมื่อเทียบกับอายุงานกว่าสิบปี
เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพียงไม่กี่แสนบาทจึงมองหาหนทางในการลงทุน ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังวิกฤติซัพไพร์ม ตลาดหุ้นตกต่ำไปทั่วโลก นักลงทุนต่างหนีหายจากตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าการซื้อขายวันหนึ่งไม่กี่พันล้านบาท เธอได้เข้าไปในเวปไซค์ไทยวีไอและเริ่มศึกษาการลงทุนแบบเน้นคุณค่าซึ่งพบว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับวีไอมาอ่านซึ่งขณะนั้นมีหนังสือแปลออกมาเป็นภาษาไทยจำนวนมาก และเริ่มนำเงินเก็บเข้ามาลงทุนตลาดหลักทรัพย์
ในช่วงแรกๆนั้น
ครอบครัวยังเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการลงทุนหุ้น แต่ด้วยทัศนคติที่ต่างกันในการลงทุน เพราะอีกฝ่ายมองว่าเวลาหุ้นราคาลดลงจะขาดทุนต้องรีบขายเพื่อออกจากตลาดไป ขณะที่เธอมองว่าเวลาราคาหุ้นลดลงกลับเป็นโอกาสในการลงทุน วันหนึ่งเธอตัดสินใจซื้อหุ้นธนาคารเพราะมีข่าวว่าจะมีปันผลและธุรกิจยังไปได้ดี แต่ปรากฏว่าดัชนีตลาดหุ้นตกลงอย่างมากทำให้หุ้นธนาคารนั้นลดลงจนขาดทุนไปเป็นเงินหลายแสนบาทรวมทั้งมีแรงกดดันจากคนรอบข้างให้รีบขายหุ้นนั้นออกไปเพื่อจะไม่ให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้น แต่เธอกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือซื้อหุ้นนั้นมากขึ้น พอเวลาผ่านไปตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคัก ราคาหุ้นธนาคารนั้นปรับตัวสูงขึ้นจนสามารถทำกำไรได้เป็นล้านบาท
ในช่วงเวลาที่ทำงานนั้น เธอได้ลงทุนไปด้วย ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาขึ้นหลังจากวิกฤติซัพไพร์ม ดัชนีจาก 400 จุดปรับตัวมาเป็น 1,500-1,600 จุดในปัจจุบัน หุ้นที่เธอลงทุนมีราคาเพิ่มขึ้นมากรวมถึงปันผลที่ได้รับในแต่ละปีมากกว่าเงินเดือนที่ได้จากอาชีพราชการ จนวันหนึ่งเมื่อถึงอายุราชการที่สามารถมีบำนาญได้จึงตัดสินใจลาออกและเป็นนักลงทุนเต็มตัว
จะเห็นว่าถึงแม้จะมีอาชีพรับราชการเงินเดือนน้อยนิด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและอดออมรวมถึงการแสวงหาความรู้ในการลงทุนก็สามารถลงทุนจนเปลี่ยนชีวิตได้เช่นกัน
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 5 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความฉบับที่แล้วกล่าวถึงคนสวนแรงงานต่างด้าวเงินเดือนหมื่นต้นๆที่ทำงานเก็บเงินมา 6-7 ปีจนสามารถมีเงินเก็บถึง 1 ล้านบาท หลังจากที่มีผู้อ่านบทความนั้นและแสดงความคิดเห็นเข้ามาปรากฏว่ามีเป็นจำนวนมากที่บอกว่าก็เพราะคนสวนคนนั้นมีที่อยู่ฟรี มีอาหารทานฟรีสามมื้อนะซิถึงเก็บเงินได้ขนาดนั้น แต่คนทำงานออฟฟิศต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหารและค่าอื่นๆอีกจิปาถะจะไปมีเงินเก็บอย่างนั้นได้อย่างไร แค่เงินเดือนก็ไม่พอใช้แล้ว
จริงๆแล้วการที่เราเก็บเงินได้ไม่ได้นั้นสาเหตุหลักมาจากความคิดของเราเองมากกว่า คนทำงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่มีรายได้มากกว่าคนสวนต่างด้าวท่านนั้นมากหลายเท่า แต่สุดท้ายก็เก็บเงินไม่ได้สักที หลายคนมีเงินเก็บน้อยกว่าคนสวนต่างด้าวเสียอีก ถ้าเราคิดว่าเก็บเงินไม่ได้ สุดท้ายเราก็จะเก็บเงินไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเราตั้งใจเก็บเงินแล้ว เราจะเก็บเงินได้อย่างแน่นอน
หลักการแรกของขั้นตอนการเก็บเงิน คือ ต้อง”จ่ายเงินให้ตนเองก่อน” คนส่วนใหญ่เวลาเงินเดือนออกมักจะใช้ไปเรื่อยๆเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ ซึ่งในความเป็นจริงพบว่าใช้หมดทุกทีจนไม่เหลือเงินเก็บเมื่อถึงสิ้นเดือน แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการโดยหักเงินเดือนก้อนหนึ่งเข้าบัญชีทุกเดือนก่อนที่จะนำไปใช้จ่ายโดยเงินที่เก็บนี้จะไม่นำไปใช้ เงินที่เหลือจากที่หักแล้วเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ทำให้มีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนเพราะตามหลักจิตวิทยาแล้ว ถ้าเราไม่รู้ว่ามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น ตัวอย่างเช่น สมมติเรารู้ว่าเดือนหน้าเราจะได้โบนัส เราจะเริ่มหาทางใช้เงินโบนัสนั้นตั้งแต่ยังไม่ได้รับมัน หลายคนใช้เงินโบนัสหมดตั้งแต่รับรู้ว่าจะได้เงินก้อนนั้น ดังนั้นถ้าเราหักเงินในแต่ละเดือนเก็บไว้แยกต่างหากและไม่คิดนำมาใช้ เราก็จะสามารถใช้เงินที่เหลือจากที่เก็บนั้นได้อย่างเพียงพอ
ข้อสอง คือ การตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หลายคนใช้เงินไปในแต่ละเดือนโดยที่ไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง พอถึงสิ้นเดือนเงินก็หมดต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตซื้อของโน้นนี่ ถ้าเราเริ่มบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันว่าใช้อะไรไปบ้าง จากนั้นนำมารวบรวมเพื่อมาเป็นหลักฐานว่าเราใช้เงินไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น ค่าเดินทาง ค่าบ้าน ค่าอาหารและอื่นๆ หลังจากนั้นให้พิจารณาว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของเรานั้นเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นหรือไม่ เช่น ค่ากาแฟ ค่าเสื้อผ้าชุดใหม่ ค่ารองเท้า ค่ากระเป๋า มือถือเครื่องใหม่ หลายๆอย่างเราอาจพบว่าสิ่งของที่เราซื้อมานั้นอาจจะไม่ได้ใช้หรือใช้เพียงไม่กี่ครั้งทั้งๆที่ของเก่ายังใช้ได้ นอกเหนือจากนั้นรายจ่ายบางอย่างอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนั้นลงไปได้อีกมาก สิ่งสำคัญคือแยกให้ออกระหว่างของที่จำเป็นและของที่ไม่สำคัญ
หลักการที่สาม คือ การตั้งเป้าหมายการออม หลายคนไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะไม่มีเป้าหมาย เพียงแค่คิดว่าอยากเก็บเงินแต่ไม่รู้ว่าจะเก็บให้ได้เท่าไหร่นั้นอาจจะไม่เพียงพอ เราอาจจะต้องตั้งเป้าหมายการออมว่าจะเก็บออมเงินให้ได้เท่าไหร่ในเวลาที่ระบุไว้ เช่นเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านบาทในเวลาสามปี จากนั้นจึงเริ่มทำตามขั้นตอนทั้งสองข้อที่กล่าวมาข้างต้น พนักงานออฟฟิศจำนวนมากมีรายได้มากแต่ไม่มีเป้าหมายการออมทำให้เก็บเงินไม่ได้ เป้าหมายนั้นควรจะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและนำมาตรวจสอบกับจำนวนเงินที่เราทำได้ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อพิจารณาว่าวิธีการที่เราใช้อยู่นั้นมีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองน้อยเกินไปหรือตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้อีกเป็นต้น
ถ้าดำเนินการทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วยังพบว่าในแต่ละเดือนยังไม่สามารถเก็บเงินได้อีก ถึงแม้จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปเกือบหมดแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ารายได้ของเราอาจจะน้อยเกินกว่าคุณภาพชีวิตที่เราต้องการ ถ้าเป็นเช่นนั้นการหางานใหม่ที่มีรายได้มากกว่าเดิมอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ จะเห็นว่าการเก็บเงินไม่ได้นั้นสำคัญที่สุดคือความคิดของเราเองเพราะสุดท้ายแล้วการบอกว่าเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเพียงข้ออ้างของตัวเราเท่านั้นเอง
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 4 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ตัวอย่างที่ผ่านมาในบทความที่แล้วส่วนใหญ่มักเป็นชีวิตคนทำงานออฟฟิศกินเงิน เดือนและเก็บหอมรอมริบและนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนในสิ่งที่มีความรู้เช่นหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ ครั้งนี้จะกล่าวถึงกลุ่มคนใช้แรงงานที่สามารถเก็บเงินและสร้างการลงทุนจน พนักงานออฟฟิศยังต้องทึ่งและอิจฉาในความขยันและมุ่งมั่นเลยทีเดียว
พนักงานประจำกินเงินเดือนส่วนใหญ่ทำงานมานานหลายปี จำนวนมากไม่มีเงินเก็บหรือถึงมีก็มีแค่เล็กน้อยเพียงพอให้อยู่ไปได้แค่ไม่ กี่เดือนถ้าไม่มีงานทำ ถ้าตกงานก็ต้องดิ้นรนหางานใหม่ มิฉะนั้นก็อาจจะต้องอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อไม่ให้เงินเก็บที่มีต้อง หมดลง เรียกได้ว่าไม่สามารถหยุดทำงานได้ถึงแม้จะเป็นงานที่ตนเองไม่ได้ชอบหรือไม่ ได้รักที่จะทำ เหตุผลหลักๆที่ไม่สามารถเก็บเงินได้ก็คือเงินเดือนน้อยและค่าครองชีพสูง ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของพนักงานออฟฟิศเท่านั้นก็เป็นไป ได้ ปัจจุบันเงินเดือนพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศส่วนใหญ่น่าจะรายได้เกินหนึ่ง หมื่นบาทขึ้นไปจนถึงหลายหมื่นบาทขึ้นกับประสบการณ์ทำงานและบริษัทที่ทำ งานอยู่ นอกเหนือจากนั้นยังมีสวัสดิการพนักงานอื่นๆอีกพอสมควรอย่างกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพหรือประกันสังคมเป็นต้น ถึงอย่างนั้นก็ตามหลายคนยังชักหน้าไม่ถึงหลังหรือใช้เงินเดือนชนเดือน สิ้นเดือนเหมือนจะสิ้นใจ รอว่าวันไหนจะถึงวันเงินเดือนออกสักที
อาจจะเป็นไปได้ว่าสังคมของคนทำงานออฟฟิศนั้นอาจต้องใช้ของที่มีความจำเป็น สูงเช่น สมาร์ตโฟนที่ต้องคอยติดต่อกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียหรือต้องไปกินกาแฟแก้ว ละร้อยกว่าบาทเป็นต้น ซึ่งถ้าเงินเดือนสูงๆคงไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับพนักงานออฟฟิศทั่วไปรายจ่ายที่มากเกินความจำเป็นทำให้ไม่มีเงิน เหลือเก็บ สุดท้ายก็กลายเป็นข้ออ้างว่าเก็บเงินไม่ได้สักที
ครั้งนี้จะกล่าวถึงผู้ใช้แรงงานท่านหนึ่งชื่อพัลลภ เขาเป็นแรงงานต่างด้าวมาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาหางานใช้แรงงานในประเทศ ไทย งานแรกที่เขาทำคืองานที่โรงงานอาหารทะเลโดยได้รับค่าจ้างเป็นรายวันและไม่ ได้มีสวัสดิการอื่นๆแต่อย่างใด งานที่ทำเป็นงานที่หนักและคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากทำ หลังจากทำงานมาสักระยะหนึ่งเขาพบว่าไม่มีเงินเหลือเก็บ เพราะรายได้ที่ได้มาต้องไปจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านรวมถึงค่าอาหารอีกวันละหลาย ร้อยบาท ยิ่งทำงานไป ยิ่งมองไม่เห็นอนาคต เขาจึงมองหางานใหม่ที่ทำให้เขาสามารถมีเงินเหลือเก็บได้
หลังจากลาออกจากโรงงานอาหารทะเลแล้ว พัลลภไปทำงานเป็นคนสวนของร้านขายต้นไม้ เขาตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ จัดสวน เก็บเศษใบใบหญ้า ดูแลต้นไม้ที่ชำไว้ หลังจากร้านเปิดก็ทำหน้าที่เฝ้าร้านและขายต้นไม้ไปด้วย เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เคยโกงเจ้าของร้านเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่มีโอกาสในการโกงสูงมาก เพราะต้องรับเงินสดจากการขายต้นไม้ทุกวัน นอกเหนือจากนั้นเขายังขยันขันแข็ง ทำงานโดยไม่เคยบ่น ไม่เคยขอค่าแรงเพิ่ม นอกเหนือจากนั้นเขายังไม่ติดอบายมุข ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวการคืน เขามุ่งมั่นทำงาน เงินเดือนที่ได้รับประจำเดือนละ 7 พันบาท เจ้าของร้านเห็นความตั้งใจและขยันซื่อสัตย์จึงให้ค่าคอมมิชชั่นจากการขาย ต้นไม้ให้อีกทุกเดือนเดือนละประมาณ 4-5 พันบาทรวมเป็นเงินที่ได้เดือนละหมื่นต้นๆ
ที่ร้านต้นไม้มีที่พักให้พนักงานที่เป็นแรงงานต่างด้าวรวมทั้งเลี้ยงอาหาร อีก 3 มื้อ เงินเดือนที่ได้พัลลภจึงเก็บเอาไว้โดยไม่ได้นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด โทรศัพท์ก็ใช้เท่าที่จำเป็นและเป็นรุ่นเก่าๆราคาไม่กี่ร้อยบาท หลังจากทำงานที่ร้านขายต้นไม้ได้ 6-7 ปี เขาสามารถเก็บเงินได้ถึงหนึ่งล้านบาท มาถึงตอนนี้พนักงานออฟฟิศคงสงสัยว่าเขาทำได้อย่างไร ทำไมเราเงินเดือนหลายหมื่นบาททำงานมาจะเป็นสิบปีแล้วถึงยังเก็บเงินไม่ได้ สักที
พัลลภได้เงินเดือนเดือนละ 12,000 บาท เขาเก็บเงินทั้งหมด ดังนั้นในหนึ่งปีเขาจะเก็บเงินได้ 12,000X12=144,000 บาทต่อปี ถ้าเก็บเงินเช่นนี้เป็นเวลา 7 ปีจะสามารถเก็บเงินได้ 144,000X7= 1,008,000 หรือครบหนึ่งล้านบาทพอดี ไม่ยากเลยเพียงแค่มีวินัยและความประหยัดอดออม
จะเห็นว่าถึงแม้จะเป็นคนใช้แรงงานเงินเดือนน้อยก็สามารถสร้างฐานะขึ้นมาได้ ดังนั้นพนักงงานออฟฟิศเงินเดือนหลายหมื่นบาทนั้น การบอกว่าเก็บเงินไม่ได้เพราะเงินเดือนน้อยเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง
-
Seattle
- Verified User
- โพสต์: 1119
- ผู้ติดตาม: 0
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 7 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
บทความหลายๆครั้งที่ผ่านมาจะเป็นตัวอย่างของคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไปที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เพียงแค่มีความตั้งใจจริงและทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเงินๆทองๆก็สามารถสร้างตัวเองจากที่ไม่มีอะไรจนมีอิสรภาพทางการเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรบริษัทที่ไม่ยอมซื้อรถซื้อบ้านแต่นั่งรถเมล์ไปทำงานจนเลิกทำงานได้ด้วยเงินปันผลจากการลงทุนในตลาดหุ้น หรือพยาบาลที่ทำงานราชการเงินเดือนน้อยนิดจนสามารถมีชีวิตอยู่ได้จากเงินปันผลเช่นเดียวกัน หรือพนักงานออฟฟิศที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จนทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับหลายสิบเท่าในแต่ละปี หรือแม้กระทั่งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานใช้แรงงานอย่างคนสวนที่คิดเก็บเงินจนสามารถมีธุรกิจของตนเองได้ในบ้านเกิดเป็นต้น
ดังนั้นพนักงานออฟฟิศทั้งหลายที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่ยังมีความหวังที่คิดว่าสักวันเราต้องทำให้ได้อย่างท่านอื่นๆที่กล่าวถึงนั้นอาจจะต้องบอกว่า ทุกท่านทำได้แน่นอน เพียงแต่ต้องอาศัยความขยัน ประหยัด อดทนต่อการได้รับผลลัพธ์จากสิ่งที่ลงทุนลงแรงลงไปอย่างไม่ย่อท้อ ทุกท่านที่กล่าวเป็นตัวอย่างมานั้นสามารถลงทุนจนเปลี่ยนชีวิตได้ด้วยหลักการดังต่อไปนี้
หนึ่ง มีเป้าหมาย
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นต้องเริ่มต้นด้วยเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายของเราอาจหมายถึงได้มีอิสรภาพทางการเงินด้วยจำนวนเงินหนึ่งภายในระยะเวลากี่ปี เช่น ต้องการมีรายได้จากเงินปันผลเดือนละ 1 แสนบาทภายใน 10 ปีเป็นต้น เป้าหมายที่ดีต้องเขียนออกมาอย่างชัดเจนระบุทั้งเงื่อนไขอย่างรายได้และเวลา ควรจะบันทึกลงในสมุดพกหรือกระดาษที่สามารถนำมาออกมาพิจารณาได้อยู่ตลอดเวลา คนจำนวนมากอยากร่ำรวยแต่ไม่มีเป้าหมายว่าจะรวยแค่ไหน มีเงินเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย หรือเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาเนื่องจากไม่ได้บันทึกไว้เป็นต้น
สอง ทำงานเก็บเงิน
ทุกท่านที่กล่าวถึงในบทความครั้งก่อนๆเป็นพนักงานกินเงินเดือนแทบทั้งสิ้น พนักงงานออฟฟิศจำนวนมากทำงานเดือนชนเดือนเพราะไม่มีเงินเก็บ ส่วนใหญ่อ้างว่าไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ในความเป็นจริงหลายคนเงินเดือนไม่มากนัก เช่น วิศวกรจบใหม่หรือพยาบาลหรือแม้แต่คนสวนที่เคยพูดถึง แต่เขาเหล่านั้นมีเป้าหมายในการเก็บเงินที่แน่นอน ที่สำคัญคือจ่ายให้ตนเองก่อนนั่นคือกันเงินออกมาจำนวนหนึ่งก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองก่อนเป็นจำนวนเงิน 30 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนและเข้าบัญชีไว้โดยบัญชีนี้จะไม่นำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด ส่วนเงินที่ใช้ในแต่ละเดือนจะใช้เพียงเงิน 70 เปอร์เซนต์ที่เหลือจากที่หักออกไปแล้วเท่านั้น ตามจิตวิทยาของมนุษย์ ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น บัญชีที่เก็บไว้นี้ก็เหมือนกันคือต้องบอกตนเองว่าเงินที่เก็บนั้นถือว่าไม่มีและนำมาใช้จ่ายไม่ได้ ส่วนจะกันเงินออกมาเป็นเงินค่าใช้จ่ายอะไรบ้างก็ให้ทำในส่วนที่เหลือเช่นเก็บเงินซื้อเสื้อผ้าหรือมือถือ หรือเก็บเงินเพื่อการท่องเที่ยวให้แยกบัญชีไว้ต่างหากจากเงินที่จ่ายเพื่อตัวเราเอง ถ้ายังทำไม่ได้หรือไม่มีเงินเก็บอาจจะต้องพิจารณาดูว่ารายจ่ายไหนเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นก็งดหรือเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีราคาลดลง เช่น กาแฟแก้วละร้อยอาจเปลี่ยนเป็นกาแฟที่ชงเองจะถูกกว่าเป็นต้น ถ้าจะมีอิสรภาพทางการเงินด้วยระยะเวลาที่ไม่นานนักควรจะเก็บเงินให้ได้ 30-50 เปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละเดือน
สาม นำเงินไปลงทุน
หลังจากที่เก็บเงินได้แล้ว สิ่งต่อไปคือการหาความรู้ในการลงทุนให้เชี่ยวชาญและนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ การลงทุนในช่วงแรกๆอาจจะไม่ง่ายนักเพราะประสบการณ์ยังน้อย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปความรู้ในการลงทุนที่มากขึ้นจะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ หลายคนมีเงินแต่ไปลงทุนในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่มีความรู้ เช่น เล่นหุ้นในตลาดหุ้นหรือซื้อคอนโดเก็งกำไรซึ่งการลงทุนที่ดีนั้นเราควรมีความรู้อย่างแท้จริง ถ้าคิดว่าตนเองไม่ถนัดในการลงทุนควรจะใช้มืออาชีพอย่างการลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งเป็นต้น
จะเห็นว่าการมีอิสรภาพทางการเงินจากการทำงานประจำนั้น ไม่ได้มาได้ง่ายๆเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หัวใจสำคัญนั้นรวมถึงความอดทนให้เห็นผลลัพธ์จากการลงทุนที่ใช้เวลาพอสมควรอีกด้วย
-
theenuch
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณ คุณ seattle
ที่ช่วยนำทุกตอนมาไว้รวมกันในกระทู้เดียวค่ะ