มหาสงครามค้าปลีก / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
มหาสงครามค้าปลีก / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
มหาสงครามค้าปลีก / โดย คนขายของ
ถ้ามีคนถามว่าบริษัทค้าปลีกไหนที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลก คุณจะนึกถึงบริษัทอะไร? ห้าง Walmart ที่ขายของเหมือน ห้างโลตัส บิ๊กซี บ้านเรา หรือ กิจการขายของตกแต่งบ้านอย่าง Home Depot ใช่หรือไม่? แต่คำตอบจากตัวเลขล่าสุดเมื่อกลางเดือนตุลาคมคงทำให้หลายคนแปลกใจ ในตอนนี้ AMAZON.COM กลายเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ากิจการสูงถึง 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการขายของออนไลน์ที่มียอดขายในปีที่แล้ว เพียง 20% ของ Walmart แถมยังขาดทุนด้วยมูลค่าสูงถึงขนาดนี้? บริษัทนี้มีอะไรดีซ่อนอยู่บ้าง? เราจะลองสำรวจ AMAZON (AMZN) เปรียบเทียบกับ Walmart (WMT) กัน
WMT ก่อตั้งเมื่อปี 1962 ใช้เวลา 24 ปีที่จะทำยอดขายทะลุ 10,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่ AMZN ก่อตั้งเมื่อปี 1994 ใช้เวลาเพียง 12 ปีในการบรรลุตัวเลขเดียวกัน ในตอนนี้ WMT มียอดขายต่อปีเกือบ 5แสนล้านเหรียญ ในขณะที่ตัวเลขของ AMZN อยู่ที่ราว 9หมื่นล้าน แต่ WMT ใช้พนักงานกว่า 2,200,000 คนทั่วโลกเพื่อทำยอดขายนี้ ในขณะที่ AMZN มีพนักงาน 154,000 คน ถ้าเราดูยอดขายต่อหัวของพนักงาน จะเห็นว่าของ AMZN สูงกว่า WMT เกือบสามเท่า นั่นแสดงว่าค่าใช้จ่ายในการขาย (SG&A) ของ AMZN น่าจะน้อยกว่า WMT ซึ่งควรทำให้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของ AMZN สูงกว่า WMT
อย่างไรก็ตามเมื่อเราหันมาดูอัตรากำไรจากการดำเนินงานของ AMZN เราพบว่าอยู่ที่ 0.8% แต่ WMT ทำได้ถึง 5.3% ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ทั้งนี้เพราะ AMZN เป็นบริษัทค้าปลีกกึ่งเทคโนโลยี ทำให้บริษัทแตกต่างจากบริษัทค้าปลีกทั่วไป เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาที่สูงราว 1 หมื่นล้านเหรียญต่อปี AMZN มีการขยายธุรกิจใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังออนไลน์ ธุรกิจขายอีบุ๊คส์ และ พัฒนา consumer electronics เช่นเครื่อง kindle และโทรศัพท์มือถือ ถ้า AMZN หยุดค่าใช้จ่าย R&D ในส่วนนี้แล้วหันมาเป็นผู้ค้าปลีกแบบ WMT อัตรากำไรจากการ ดำเนินงานจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 12% และตัวเลขขาดทุนสุทธิจะกลายมาเป็นกำไรสุทธิทันที
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม AMZN ยังไม่มีทีท่าจะลดค่าใช้จ่ายด้าน R&D ลงมาเพื่อทำตัวเลขกำไรให้สวยหรู ในทางกลับกัน บริษัทกลับทุ่มงบ R&D สูงขึ้นทุกปี จาก 450 ล้านเหรียญเมื่อปี 2005 มาเป็น 1 หมื่น ล้านเหรียญในตอนนี้ แม้มีการลงทุนใน R&D สูงแต่ดูเหมือนว่าการลงทุนของ AMZN นั้นไม่สูญเปล่า ยอดขายของ AMZN เติบโตแบบก้าวกระโดดมาตลอด โดยทุกๆสามปี ยอดขายจะโตขึ้นมาหนึ่งเท่าโดยตลอด ถ้ามองในแง่การเติบโตของยอดขายเราจะเห็นได้ว่า การเติบโตของ WMT ช้าลงไปมาก โดยสามปีที่ผ่านมายอดขายโตเฉลี่ยปีละราวๆ 3% และกำไรสุทธิแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย
เมื่อไม่นานนี้ AMZN ได้พัฒนา application ที่สามารถแสกนบาร์โค๊ตของสินค้าเสร็จแล้ว โปรแกรมจะแสดงราคาสินค้าที่ขายผ่านเว็ป amazon.com ขึ้นมาทันที มีหลายคนเอาไปใช้กับ ของที่ขายอยู่ในห้าง Walmart ทำให้บริษัทต้องประกาศว่าหากสินค้าใด amazon.com ขายถูกกว่า ทางบริษัทยินดีลดราคามาขายในราคานั้นทันที ซึ่งก็คงทำให้ WMT ต้องปวดหัวกับ มาร์จิ้นที่ถูกบีบให้ลดลง ซึ่งเป็นจากผลจากการพัฒนาของ AMZN โดยใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้การซื้อสินค้าทางออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย
WMT เป็นตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีต แต่พอบริษัทมีขนาดใหญ่ มากๆ การบริหารงานก็เริ่มขาดการริเริ่มสิ่งใหม่เหมือนเมื่อสมัยก่อนที่ WMT เป็นคนนำเทคโนโลยี มาใช้กับการบริหารสินค้าคงคลัง พักหลัง WMT ใช้กลยุทธ์ซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผลสูง เพื่อเอาใจผู้ถือหุ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเงินมหาศาลที่จ่ายไปนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้น WMT อาจดีใจในระยะสั้น แต่ในตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า ตลาดกลับให้ราคาผู้ที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่เคยหยุดอย่าง AMZN ซึ่งไม่เคยปันผล และไม่เคยซื้อหุ้นคืน แต่กลับทุ่มเงินไปกับการ พัฒนาความสามารถในการแข่งขันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ถ้าคุณซื้อหุ้น WMT เมื่อปี 2005 ผ่านมาสิบปีคุณจะได้กำไรเพียง 32% แต่หุ้น AMZN ในช่วงเวลาเดียวกันให้ผลตอบแทนถึง 12 เท่า ท่ามกลางสงครามค้าปลีกในอเมริกาที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ถึงแม้สงครามยังไม่จบ แต่ถ้าเราเลือกถูกข้าง ผลตอบแทนการลงทุนนั้นต่างกันอย่างที่เห็น
ถ้ามีคนถามว่าบริษัทค้าปลีกไหนที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลก คุณจะนึกถึงบริษัทอะไร? ห้าง Walmart ที่ขายของเหมือน ห้างโลตัส บิ๊กซี บ้านเรา หรือ กิจการขายของตกแต่งบ้านอย่าง Home Depot ใช่หรือไม่? แต่คำตอบจากตัวเลขล่าสุดเมื่อกลางเดือนตุลาคมคงทำให้หลายคนแปลกใจ ในตอนนี้ AMAZON.COM กลายเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ากิจการสูงถึง 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการขายของออนไลน์ที่มียอดขายในปีที่แล้ว เพียง 20% ของ Walmart แถมยังขาดทุนด้วยมูลค่าสูงถึงขนาดนี้? บริษัทนี้มีอะไรดีซ่อนอยู่บ้าง? เราจะลองสำรวจ AMAZON (AMZN) เปรียบเทียบกับ Walmart (WMT) กัน
WMT ก่อตั้งเมื่อปี 1962 ใช้เวลา 24 ปีที่จะทำยอดขายทะลุ 10,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่ AMZN ก่อตั้งเมื่อปี 1994 ใช้เวลาเพียง 12 ปีในการบรรลุตัวเลขเดียวกัน ในตอนนี้ WMT มียอดขายต่อปีเกือบ 5แสนล้านเหรียญ ในขณะที่ตัวเลขของ AMZN อยู่ที่ราว 9หมื่นล้าน แต่ WMT ใช้พนักงานกว่า 2,200,000 คนทั่วโลกเพื่อทำยอดขายนี้ ในขณะที่ AMZN มีพนักงาน 154,000 คน ถ้าเราดูยอดขายต่อหัวของพนักงาน จะเห็นว่าของ AMZN สูงกว่า WMT เกือบสามเท่า นั่นแสดงว่าค่าใช้จ่ายในการขาย (SG&A) ของ AMZN น่าจะน้อยกว่า WMT ซึ่งควรทำให้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของ AMZN สูงกว่า WMT
อย่างไรก็ตามเมื่อเราหันมาดูอัตรากำไรจากการดำเนินงานของ AMZN เราพบว่าอยู่ที่ 0.8% แต่ WMT ทำได้ถึง 5.3% ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ทั้งนี้เพราะ AMZN เป็นบริษัทค้าปลีกกึ่งเทคโนโลยี ทำให้บริษัทแตกต่างจากบริษัทค้าปลีกทั่วไป เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาที่สูงราว 1 หมื่นล้านเหรียญต่อปี AMZN มีการขยายธุรกิจใหม่ๆออกมาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังออนไลน์ ธุรกิจขายอีบุ๊คส์ และ พัฒนา consumer electronics เช่นเครื่อง kindle และโทรศัพท์มือถือ ถ้า AMZN หยุดค่าใช้จ่าย R&D ในส่วนนี้แล้วหันมาเป็นผู้ค้าปลีกแบบ WMT อัตรากำไรจากการ ดำเนินงานจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 12% และตัวเลขขาดทุนสุทธิจะกลายมาเป็นกำไรสุทธิทันที
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม AMZN ยังไม่มีทีท่าจะลดค่าใช้จ่ายด้าน R&D ลงมาเพื่อทำตัวเลขกำไรให้สวยหรู ในทางกลับกัน บริษัทกลับทุ่มงบ R&D สูงขึ้นทุกปี จาก 450 ล้านเหรียญเมื่อปี 2005 มาเป็น 1 หมื่น ล้านเหรียญในตอนนี้ แม้มีการลงทุนใน R&D สูงแต่ดูเหมือนว่าการลงทุนของ AMZN นั้นไม่สูญเปล่า ยอดขายของ AMZN เติบโตแบบก้าวกระโดดมาตลอด โดยทุกๆสามปี ยอดขายจะโตขึ้นมาหนึ่งเท่าโดยตลอด ถ้ามองในแง่การเติบโตของยอดขายเราจะเห็นได้ว่า การเติบโตของ WMT ช้าลงไปมาก โดยสามปีที่ผ่านมายอดขายโตเฉลี่ยปีละราวๆ 3% และกำไรสุทธิแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย
เมื่อไม่นานนี้ AMZN ได้พัฒนา application ที่สามารถแสกนบาร์โค๊ตของสินค้าเสร็จแล้ว โปรแกรมจะแสดงราคาสินค้าที่ขายผ่านเว็ป amazon.com ขึ้นมาทันที มีหลายคนเอาไปใช้กับ ของที่ขายอยู่ในห้าง Walmart ทำให้บริษัทต้องประกาศว่าหากสินค้าใด amazon.com ขายถูกกว่า ทางบริษัทยินดีลดราคามาขายในราคานั้นทันที ซึ่งก็คงทำให้ WMT ต้องปวดหัวกับ มาร์จิ้นที่ถูกบีบให้ลดลง ซึ่งเป็นจากผลจากการพัฒนาของ AMZN โดยใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้การซื้อสินค้าทางออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย
WMT เป็นตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีต แต่พอบริษัทมีขนาดใหญ่ มากๆ การบริหารงานก็เริ่มขาดการริเริ่มสิ่งใหม่เหมือนเมื่อสมัยก่อนที่ WMT เป็นคนนำเทคโนโลยี มาใช้กับการบริหารสินค้าคงคลัง พักหลัง WMT ใช้กลยุทธ์ซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผลสูง เพื่อเอาใจผู้ถือหุ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเงินมหาศาลที่จ่ายไปนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้น WMT อาจดีใจในระยะสั้น แต่ในตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า ตลาดกลับให้ราคาผู้ที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่เคยหยุดอย่าง AMZN ซึ่งไม่เคยปันผล และไม่เคยซื้อหุ้นคืน แต่กลับทุ่มเงินไปกับการ พัฒนาความสามารถในการแข่งขันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ถ้าคุณซื้อหุ้น WMT เมื่อปี 2005 ผ่านมาสิบปีคุณจะได้กำไรเพียง 32% แต่หุ้น AMZN ในช่วงเวลาเดียวกันให้ผลตอบแทนถึง 12 เท่า ท่ามกลางสงครามค้าปลีกในอเมริกาที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ถึงแม้สงครามยังไม่จบ แต่ถ้าเราเลือกถูกข้าง ผลตอบแทนการลงทุนนั้นต่างกันอย่างที่เห็น
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน