Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Stock lover
Verified User
โพสต์: 448
ผู้ติดตาม: 0

Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Eforl น่าถือยาวมั้ยครับแล้วในตลาดมีหุ้นมีกลุ่มhealthcareตัวไหนน่าสนใจบ้างนอกจากกลุ่มโรงบาล
ชอบศึกษาหุ้นเชิงวิชาการมาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
TBJTBT
Verified User
โพสต์: 404
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ
คำถามสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกดลบมากเลยครับ (แต่ผมไม่ได้กดนะ :D )
ตัวนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ตามใกล้ชิดด้วย ตัวธุรกิจก็กำลังอยู่ในกระแสเลย
โดยรวมๆผมว่าก็น่าสนใจดี แต่น่าถือยาวไหมผมคงตอบไม่ได้
ด้วยคุณ Stock lover ลองวิเคราะความน่าสนใจ แล้วมา discuss กันดีกว่าไหมครับ
ถามกันตรงๆแบบนี้ เชื่อว่าน่าจะไม่ได้คำตอบที่ตรงใจ และมีประโยชน์กับสมาชิกครับ
แล้วในตลาดมีหุ้นมีกลุ่มhealthcareตัวไหนน่าสนใจบ้างนอกจากกลุ่มโรงบาล
เท่าที่นึกออก ในตลาดตอนนี้ก็มีบริษัทลูกของ MODERN ที่ทำธุรกิจในกลุ่มนี้
ชื่อว่า modernform healthcare ครับ แต่ก็ยังมี Scale ที่เล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทแม่
เห็นผู้บริหารมีแผนจะนำบริษัทนี้เข้าตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน
Stock lover
Verified User
โพสต์: 448
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ภาพใหญ่มันน่าสนใจดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความงาม อุปกรการแพทย์
ชอบศึกษาหุ้นเชิงวิชาการมาก
JatuGodhand
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 628
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Stock lover เขียน:Eforl น่าถือยาวมั้ยครับแล้วในตลาดมีหุ้นมีกลุ่มhealthcareตัวไหนน่าสนใจบ้างนอกจากกลุ่มโรงบาล
EFORL ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และให้บริการและผลิตสื่อโฆษณาภายในอาคาร (In-store Media) โดยเฉพาะแถวอาคารจามจุรีสแคว์ ชื่อเดิม “บมจ.แอปโซลูท อิมแพค” หรือ AIM โดยบริษัทนี้ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาน่าจะตั้งแต่ปี 2552 จากนั้นก็ตลาดทุนตลอด 4 ปีรวดครับ โดยหลักๆ บริษัทพึ่งพิงรายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาสูงถึงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ รายได้ไม่แน่นอน เท่าที่จำได้ตอนนั้นน่าจะเป็นคุณปริญ ชนันทรานนท์ เป็นผู้ก่อตั้ง ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ตามกระแสข่าว ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรครับ ผมจัดไว้เป็น หุ้นเน่า list ที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับมันเลย ปล่อยให้นักเก็งกำไรกับนักแสวงโชคเค้าเล่นกัน

จนมาปลายปี 56 บริษัท E for L international ที่ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่นอกตลาดมา back door ในช่วงปลายปี 2556 และเปลี่ยนชื่อจาก AIM เป็น E for L AIM หรือ EFORL วิธีการเข้ามายังไง ใครตามอยู่คงจะพอทราบ แต่ผมคงไม่พูดถึง เพราะมันยาวครับ ผมเริ่มสนใจช่วงนั้น เพราะผมรู้จักบริษัทนี้ เค้ามาส่งนำยาตรวจเลือดในที่ทำงานผม เห็นโลโก้รถที่มาส่งมันคล้ายกับบริษัทหนึ่งที่ชื่อใหม่ๆ แปลกๆ เลยเริ่มลองศึกษาครับ

EFORL หลังเข้าตลาดมาก็ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่หลายอย่าง เพิ่มแบรนด์อุปกรณ์การแพทย์หลายตัว (เดิมก็ขายอยู่แล้วนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นเล็กๆ) เช่นจำหน่ายครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยี่ห้อ Hamilton, NIHON KOHDEN, GE, Olympus และปัจจุบันมีการประสานงานติดต่อแบรนด์สินค้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศมากกว่า 40 กว่ายี่ห้อ โดยมีเขตความรับผิดชอบทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย พวกนี้เป็นแบรนด์ดังครับ ใช้ในโรงเรียนแพทย์หรือ รพ ใหญ่ๆ เยอะ จนทำให้ปลายปี 2556 บริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 26.46 ล้านบาท หลังมีรายได้จากการจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 82 ล้านบาท

จากนั้น EFORL ได้ขายหุ้นทั้งหมดของบ.เอนโม ผู้ประกอบกิจการสื่อออนไลน์ และเริ่มลดสัดส่วนหรือไม่ทำอะไรเพิ่มเติ่มกับธุรกิจโฆษณาเลย เพราะไม่ทำรายได้ให้บริษัท...ตรงนี้ผมว่าเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า turn around ในความเห็นผมนะครับ จากนั้นใน งบต่อๆ มา บริษัทก็ดำเนินธุรกิจโดยมีกำไรมาตลอดครับ มีการพัฒนาการและแตกแขนกธุรกิจตลอดเวลา โดยการนำของคุณธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ผมสังเกตว่าคนๆ นี้พูดอะไรไว้ มักทำได้เสมอ ตรงนี้ส่วนตัวถือว่าเป็นจุดเด่นนะครับ ผมเฝ้าดูตลาดเวลาแกให้สัมภาษณ์ พูดไว้แล้วทำได้ ตอนแรกเลย แกบอกว่าจะทำให้บริษัทปันผลให้ได้ ตอนนั้นผมยังตลกเลย ขาดทุนซะบานขนาดนั้น เดี๋ยวนี้ปันได้แล้วจริงๆ ครับ ต่อมาบอกว่าจะซื้อวุฒิศักดิ์ อันนี้ยิ่งตลกใหญ่ บริษัทเล็กจิ๋ว ริอาจซื้อยักษ์ใหญ่ขนาด พันล้าน หมื่นล้าน แต่เค้าก็ทำได้ อ่านดูดีลผมอ่านหลายรอบก็ยังงง แม้ส่วนตัว ไม่ได้ชอบวุฒิศักดิ์มากมายนักและมองว่ามันเป็นเพียงวิศวกรรมทางการเงินเท่านั้น แต่ก็ทึ่งครับ ในความสามารถ ที่สำคัญ เค้าพูดและทำได้

อีกอย่างที่เคยบอกตอบเข้ามา EFORL ปี 2556 บอกว่า “3 ปีข้างหน้า (2557-2559) รายได้รวมต้องแตะ 3,000 ล้านบาท” ตอนนี้จะแตะ 4,000 ล้านแล้วนะครับ แม้อยากเป็นกำไรพิเศษบ้าง แต่ก็ไม่ผิดที่เคยพูดเอาไว้

หากมาดูตลาดอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของเมืองไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 400,000 ล้านบาท คิดเป็น 4 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ของประเทศ แบ่งเป็นธุรกิจอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ 10 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 40,000 ล้านบาทแสดงว่ายังเหลือช่องทางการเติบโตอีกมากครับ นอกจากนี้ผมยังเห็นการลงทุนช่องทางใหม่ๆ ทั้งธุรกิจความงาม สุขภาพ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่นครีมจากเมือกหอยทากก็น่าจะพอติดตามดูได้ คู่แข่งในตลาดที่ผมเห็นก็คงเป็น BJC ครับ แต่ธุรกิจของ BJC เค้ามีเยอะมาก พอร์ตในส่วนอุปกรณ์การแพทย์ถือว่าเล็กมากๆ หากเทียบกับตัวกิจการ ไม่แน่ใจว่าเจ้าของรู้หรือเปล่าว่ามีส่วนนี้อยู่ (แซวเล่นนะครับ พอดีเคยได้ยินตัวแทนบริษัทบ่นเชิงน้อยใจประมาณนี้อ่ะครับ)

ตอบคำถามว่าจะสามารถถือนานได้หรือเปล่า ผมว่าแล้วแต่มุมมองครับ หากคิดว่าธุรกิจหลักของบริษัทยังอยู่ในกระแส นั้นคือกระแสรักสุขภาพ คนสูงอายุมากขึ้น กระแสผู้หญิงครองโลก (ความสวยความงาม) และในธุรกิจนี้ยังไม่อิ่มตัว สามารถเติบโตได้อีก ก็คงพอถือนานได้ครับ ที่สำคัญผมว่าลองศึกษาตัวธุรกิจดูนะครับ แล้วลองดูว่าชอบตรงไหน ทุกธุรกิจผมว่ามีดีทุกตัวเพียงแต่ขึ้นกับว่าเราชอบตรงไหน มุมที่เราชอบ คนอื่นจากไม่ชอบก็ได้ ฉนั้นหุ้นดีไม่ดีผมคิดว่ามันขึ้นกับตัวเราครับ
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Luckhoon
29 มิถุนายน 2014 ·

"กำไร-ปันผล" อนาคตใหม่ EFORL

เศรษฐกิจผันผวนและความไม่แน่นอนทางการเมือง ถือเป็น “ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ” ของธุรกิจสื่อโฆษณา ความผันผวนเหล่านั้นได้ผลักดันให้ “บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม” หรือ EFORL ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และให้บริการและผลิตสื่อโฆษณาภายในอาคาร (In-store Media) ชื่อเดิม “บมจ.แอปโซลูท อิมแพค” หรือ AIM ตกอยู่ใน “มุมมืด” มาตั้งแต่ปีแรก (2552) ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2552-2555) บริษัทแสดงผลขาดทุน 54.96-124.51-51.26-65.43 ล้านบาท

ก่อน EFORL จะหันมาให้รุกธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในช่วงปลายปี 2556 การพึ่งพิงรายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาสูงถึงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็น “จุดตำนิ” ที่ทำให้บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนที่เหนือการควบคุม “ความเครียด” จึงค่อยๆก่อตัวขึ้นในสมองของ “ปริญ ชนันทรานนท์” ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2548

หลังบริษัท “ขาดทุนติดกัน 3 ปี” บมจ.อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น หรือ ADAM จึงตัดสินใจขายหุ้น AIM ทั้งหมด 428,214,100 หุ้น ก่อนจะประกาศเพิ่มทุนในเดือนก.ย.2555 จาก 280 ,000,000 บาท เป็น 280,000,900 บาท ต่อมาในเดือนมิ.ย.2556 บริษัทได้เพิ่มทุนเป็น1,380,002,025 บาท โดยจัดสรรให้กับบุคคลในวงจากัด และผู้ถือหุ้นเดิม ราคาขายต่อหุ้น 0.10 บาท

ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EFORL ออกแนวกระจัดกระจาย โดย 5 อันดับแรก คือ “ศุภชัย วัฒนาสุวิสุทธิ์” สัดส่วน 6.01เปอร์เซ็นต์ รองลงมาเป็น “พิชชุดา ชาน” จำนวน 5.68 เปอร์เซ็นต์ “ทัศนีย์ วงศ์มณีโรจน์” 4.89 เปอร์เซ็นต์ “พิสิฏฐ์ ภิสสาสุนทร” 4.89 เปอร์เซ็นต์ และ “จักรพงษ์ โลหะเจริญทรัพย์” 4.62 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลข ณ วันที่ 18 มี.ค.2557

ทันทีที่ EFORL ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมาทำจำหน่ายครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยี่ห้อ“Hamilton” และยี่ห้อ “NIHON KOHDEN” โดยมีเขตความรับผิดชอบทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย “แสงสว่างเริ่มสาดส่องมาที่ปลายอุโมงค์” โดยในปี 2556 บริษัทสามารถพลิกกลับมามี “กำไรสุทธิ” 26.46 ล้านบาท หลังมีรายได้จากการจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 82 ล้านบาท ล่าสุด EFORL ได้ขายหุ้นทั้งหมดของบ.เอนโม ผู้ประกอบกิจการสื่อออนไลน์ให้กับ "กิติพงษ์ ธรรมชุตาภรณ์" ในราคา 4.83 บาทต่อหุ้น

เมื่อ “ความสวย” ค่อยๆเคลื่อนตัวแทนที่ “ความขี้เหร่” ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทมี “กำไรสุทธิ” มากถึง 46.41 ล้านบาท หลังมีรายได้จากการขายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 194.85 ล้านบาท

“จากหุ้นไม่มีอนาคตกำลังจะกลายเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์” “ธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม เล่าว่าความเชื่อของตัวเองให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง

“ผมรู้จัก “ปริญ” มานานหลายสิบปี วันหนึ่งเขาเดินมาปรับทุกข์ด้วย หลังกุ้มใจที่ทำให้บริษัทต้องตกอยู่ในภาวะขาดทุนนานถึง 4 ปี ตอนนั้นเขาพูดว่า ต้องการหาธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเสริมรายได้ของบริษัท เขามีความมุ่งมั่นอยากคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นบ้าง” เพื่อนสนิทต่างวัยของ “ปริญ” (อายุ 54 ปี) เล่าถึงที่มาของการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจของ EFORL

“ชายวัย 51 ปี” เล่าต่อว่า ด้วยความที่เรานั่งเป็นกรรมการใน “บริษัท อี ฟอร์ แอล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ประกอบกับมีความสัมพันธ์ทางอ้อมกับเจ้าของบริษัทแห่งนี้ “ธีรวุทธิ์” ไม่ยอมระบุความสัมพันธ์ชัดเจน จึงตัดสินใจนำเรื่องดังกล่าวไปเสนอต่อผู้ถือหุ้นใหญ่

ตอนนั้นเราไปถามหุ้นใหญ่ว่า สนใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในลักษณะที่ไม่ต้องขายหุ้น IPO หรือไม่ หลังจากเกริ่นเรื่องนี้ไปไม่นาน เราใช้เวลาคุยกันต่ออีก 3-4 เดือน EFORLก็ประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนในวงจำกัด ต่อจากนั้นกระบวนการปรับโครงสร้างธุรกิจจึงเกิดขึ้น

“เมื่อธุรกิจกำลังรีเทิร์น ผู้ถือหุ้น EFORL ย่อมมีโอกาสได้รับเงินปันผล”

“ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” เล่าแผนธุรกิจสั้นๆในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (2557-2561) ว่า เราจะเน้นขยายการเติบโตในธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เป็นหลัก โดยจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆเข้ามา เพื่อดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น ทำไมต้องรุกหนักธุรกิจนี้ เขาตอบว่า “มาร์จิ้นสูงมาก”

ด้วยความที่ธุรกิจดังกล่าวมีทั้ง “ขาขึ้นและขาลง” บริษัทจึงจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ ล่าสุดอยู่ระหว่างศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจความงามและสุขภาพ ปลายปีนี้คงได้ข้อสรุป โดยบริษัทจะใช้กระแสเงินสดที่มีอยู่มาลงทุน (บริษัทมีกระแสเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่ 31 มี.ค.2557 ประมาณ 409.74 ล้านบาท)

“3 ปีข้างหน้า (2557-2559) รายได้รวมต้องแตะ 3,000 ล้านบาท”

“ธีรวุทธิ์” ขยายความต่อว่า ในปี 2557 รายได้จากการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ต้องยืนระดับ 1,500 ล้านบาท โดยเราจะพยายามจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์มากขึ้น ปัจจุบันมีการประสานงานติดต่อแบรนด์สินค้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศมากกว่า 30 ยี่ห้อ โดยจะเร่งดำเนินการขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้า ล่าสุดได้นำเข้าสินค้ามาแล้ว 14-15 ยี่ห้อ

ที่ผ่านมาบริษัทเน้นเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Hamilton GE และ Olympus เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังจะเพิ่มทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญมาเสริมทัพให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเชิงรุก ด้วยการเดินเข้าหาลูกค้าภายในประเทศที่เป็นกลุ่มโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน

“ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ เขาย้ำ เนื่องจากอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์เป็นสินค้าที่มีการเติบโตสอดคล้องกับธุรกิจด้านการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งเมืองไทยและภูมิภาคอาเซี่ยนยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”

เขาบอกว่า ปัจจุบันตลาดอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของเมืองไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 400,000 ล้านบาท คิดเป็น 4 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ของประเทศ แบ่งเป็นธุรกิจอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ 10 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 40,000 ล้านบาท

ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รวบรวมค่าเฉลี่ยอัตราการใช้เครื่องมือแพทย์ของประเทศที่เจริญแล้วไว้ระดับ 12 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP ประเทศ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยยังมีความต้องการอีกมาก ขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์

“ธีรวุทธิ์” พูดทิ้งท้ายว่า อยากเห็นด EFORL มีธุรกิจอยู่เหนือคู่แข่ง มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าอุตสาหกรรม และมีกระแสเงินสดคอยหล่อเลี้ยงต่อเนื่อง ที่สำคัญอยากให้บริษัทมีความเป็นสากลมากขึ้น

ส่วนในแง่ของการลงทุนอยากให้นักลงทุนถือหุ้น FORL“ระยะยาว” ไม่อยากให้มองเป็นการลงทุนสั้นๆ หรือเก็งกำไร เพราะธุรกิจของเราจะมีการเติบโตอย่างแน่นอน หากอุตสาหกรรมขยายตัว

“หากไม่มีอะไรผิดพลาดปี 2558 บริษัทจะย้ายการซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เมื่อย้ายไปแล้วราคาหุ้นคงดีขึ้น”

“ธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์” เล่าเรื่องลงทุนสั้นๆให้ฟังว่า เริ่มรู้จักตลาดหุ้นมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ ด้วยความที่อยู่ในแวดวงการเงินมาตลอด เพราะจบปริญญาตรี คณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท การบริหารการจัดการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ช่วงแรกของการลงทุนเน้นกลยุทธ์ “เก็งกำไร” ควักเงินลงทุนก้อนแรกจำไม่ได้ว่า จำนวนเท่าไหร่ แต่ลงทุนครั้งแรกในปี 2527 เพื่อซื้อ “กองทุนศรีภิญโญ” ช่วงนั้นตลาดหุ้น “บูม” มาก สาเหตุที่เลือกซื้อกองทุน เพราะว่าสมัยนั้นมีหุ้นให้เลือกน้อยไม่เหมือนปัจจุบัน

ลงทุนครานั้นได้กำไร “ร้อยเปอร์เซ็นต์” ส่วน “หุ้นรายตัว” ตัวแรกที่ลงทุน คือ หุ้น ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI ได้ผลตอบแทนคืนกลับมา “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เช่นกัน

เขาบอกว่า หลังจากมีงานประจำทำ วิธีการลงทุนเริ่มเปลี่ยนไป ปัจจุบันหันมาลงทุนแบบ “ระมัดระวัง” แบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 ลักษณะ คือ “ระยะสั้น-ยาว” โดยพอร์ต “ระยะยาว” มีสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เน้นลงทุนพันธบัตร และหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ส่วนพอร์ตลงทุนแบบ “ระยะสั้น” มีสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เน้นหุ้นรายตัวทั้งหมด ส่วนใหญ่จะถือแค่ 1-3 เดือน ลงทุนหาค่าขนม (หัวเราะ) อีก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจะให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีธุรกิจอยู่เหนือคู่แข่ง และอุตสาหกรรมไปต่อได้

Link: http://www.bangkokbiznews.com
JatuGodhand
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 628
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมชอบเก็บบทสัมภาษณ์ของ CEO ในบริษัทที่ผมสนใจ แล้วรอติดตามผมงานครับ เพื่อดูว่าจะมีแผนอะไร ที่สำคัญคือจะทำได้ตามแผนหรือเปล่า... :D
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
tanawindee
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 270
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบายเหตุเพราะ นักจัดรายการวิทยุช่วงก่อนปิดตลาดเย็นตะแบงเชียร์ตัวนี้ราวกับหุ้นในตลาดมีเพียงตัวเดียว ผลงานช่องนี้เคยบอก ajดี.จะไป10บาท. ณ.ราคา 2-3บาท มองเพลินๆในแง่ธรรมาภิบาลก็รู้ว่ามีประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่ิอนไหม?
JatuGodhand
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 628
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

tanawindee เขียน:ขอบายเหตุเพราะ นักจัดรายการวิทยุช่วงก่อนปิดตลาดเย็นตะแบงเชียร์ตัวนี้ราวกับหุ้นในตลาดมีเพียงตัวเดียว ผลงานช่องนี้เคยบอก ajดี.จะไป10บาท. ณ.ราคา 2-3บาท มองเพลินๆในแง่ธรรมาภิบาลก็รู้ว่ามีประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่ิอนไหม?
ดีครับผม..ผมว่าหุ้นที่เราจะถือได้นานเราต้องชอบด้วย หากเราไม่ชอบ ถือไปก็ไม่มีความสุข หุ้นตัวเดียวกันแต่ร้อยคนคงมองไม่เหมือนกันครับ เสน่ห์ของตลาดหุ้นมันอยู่ตรงนี้แหละครับ จริงๆ หุ้นตัวนี้ผมไม่ค่อยรู้หรอกครับว่ามันดังหรือมีแฟนคลับอยู่ ภรรยาผมที่ชอบเล่น FB บอกมาว่าหุ้นตัวนี้มีแฟนคลับ สักเดือนที่แล้วนี้เอง ถึงกับตั้งเป็น FB กันเลย และกระแสก็ถูกสร้างขึ้นเป็นระยะ คล้ายกับ AIM ก่อนหน้านี้ผมก็ศึกษา AIM พอควรครับ เพราะมีคนให้ช่วยดู จากนั้นผมก็เก็บไว้ใน list หุ้นเน่าที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับมัน หลังจาก E for L international เข้าไปเท็ค กลุ่มผู้บริหารเดิมของ AIM ยังอยู่ครับ ซึ่งเราๆ ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าหุ้นเล็กๆ ที่เคยมีประวัติการสร้างราคา มักจะได้รับความร่วมมือกับเจ้าของในระดับหนึ่ง ไม่งั้นมันทำราคาไม่ได้ หากหุ้นนั้นเคยมีประวัติการสร้างราคามาก่อนก็ในอยู่ห่างๆ หุ้นตัวนั้นเอาไว้ และต้องจับตาธรรมาภิบาลของบริษัทนั้น และผมก็มอง EFORL แบบนั้นครับ ศึกษาแล้ว CEO คนปัจจุบันก็มีความสัมพันธ์อันดีรู้จักกันมาก่อนกับกลุ่มผู้บริหารของ AIM เรายิ่งต้องตั้งคำถามเรื่องธรรมาภิบาลเลย

ส่วนตัวก็เพิ่งถือช่วงปลายปี 56 เองครับ ตอนนั้นแทบไม่มีข่าวอะไรเลยหรือมีแล้วผมไม่ทราบก็อาจเป็นไปได้ครับ เนื่องจากมีเวลาติดตาม social network น้อยมากๆ เหตุที่เข้าถือช้าเพราะใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้แหละครับ (ธรรมาภิบาล) รู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่การเข้า back door ก็แปลกๆ ต่อมาก็การซื้อวุฒิศักดิ์ ที่ผมอ่านแล้วอ่านอีกก็ยังงง แต่ที่รู้สึกได้ก็เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างที่เพื่อนสมาชิกรู้สึกนี่แหละครับ เราจะลงทุนทั้งทีเงินหายากคงต้องศึกษาเยอะหน่อย แต่ที่ลงทุนเพราะชอบรูปแบบธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบริษัทจริงๆ กอปรกับคำพูด CEO ที่ดูพูดแล้วทำได้ ทำให้มองข้ามตรงนี้ไป เลยเริ่มทะยอยสะสม ช่วงมีข่าวหุ้นขึ้น ซึ่งคิดว่าคงเป็นกลุ่มเดิมตั้งแต่เป็น AIM ก็จะไม่ยุ่งเพราะเดี๋ยวราคามันจะลงมาเอง และนิ่งนานเลย ช่วงนั้นก็สะสม ระหว่างนี้ก็รองบการเงินออกดูว่าบริษัทมีพัฒนาการทางธุรกิจอะไรบ้าง ถึงไหนแล้วทำแค่นี้ครับ และคงมีจุดมุ่งหมายไว้อยู่แล้วครับว่าเมื่อไหรหรือหากเกิดอะไรบ้างถึงจะขาย

ปล.ทุกอย่างเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับที่เอามาแชร์ มิได้มีเจตนากล่าวหาว่าบริษัทไหนหรือคนกลุ่มไหนมีพฤติกรรมการสร้างราคา และมิได้มีเจนตาสร้างกระแสหรือชี้นำการซื้อหุ้น ผมมีหุ้นจริงแต่เป็นรายโคตรย่อยมากๆ หุ้นวิ่งขึ้นจริงคงไม่กระทบพอร์ตอันน้อยนิดของผมครับ 555
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
Stock lover
Verified User
โพสต์: 448
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

Jatugodhand ศึกษายังไงทำไมรู้เยอะจังเรื่องธรรมมาภิบาลผมจะเน้นดูประวัติผู้บริหารโครงการในอดีต แล้วก็ดูว่าผู้บริหารถือหุินในบริษัทเยอะมั้ยติดอันดับเปล่า
ชอบศึกษาหุ้นเชิงวิชาการมาก
Stock lover
Verified User
โพสต์: 448
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมชอบหุ้นตัวนี้เพราะว่าผมเห็นภาพระยะยาวของมันอ่ะครับ ผู้บริหารก็มีหุ้นด้วย
ชอบศึกษาหุ้นเชิงวิชาการมาก
JatuGodhand
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 628
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

Stock lover เขียน:Jatugodhand ศึกษายังไงทำไมรู้เยอะจังเรื่องธรรมมาภิบาลผมจะเน้นดูประวัติผู้บริหารโครงการในอดีต แล้วก็ดูว่าผู้บริหารถือหุินในบริษัทเยอะมั้ยติดอันดับเปล่า
เรื่องธรรมภิบาลผมเดาเอาจากพฤติกรรมที่สังเกตได้ครับ จริงไม่มีอันนี้ก็ไม่รู้ แต่ผมจะดูว่าหุ้นเล็กๆ ที่มีประวัติการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ ไม่ไปกับผลประกอบการหรือมีการปล่อยข่าวต่างๆ เพื่อสร้างราคากับคนบางกลุ่ม (บางคนเรียกหุ้นปั่น) ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจไม่ใช่หรือไมใช่เจ้าของก็ได้ครับ และต้องเป็นหุ้นเล็กๆ ด้วยถึงจะพอมีเงินสร้างราคาได้ โดยส่วนใหญ่เจ้าของคงต้องให้ความร่วมมือด้วยระดับหนึ่ง หากเจ้าของไม่เล่นด้วย เกิดทำราคาสูงเวอร์ คนมีหุ้นเยอะสุดคนเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เกิดขาย เพราะยังไงหุ้นมันก็เน่าดูไม่มีอนาคตอยู่แล้ว อยากได้นักก็ขายให้เลย เอาหุ้นเน่าๆ ไป กลุ่นนักทำราคาคงขาดทุนบาน ฉนั้นการจะทำราคาหุ้น คงต้องให้เจ้าของรู้ด้วย อย่างน้อยก็ให้เฉยไว้ อย่าขาย จึงจะสามารถปั่นราคาได้

ในความเห็นผม ผมว่า AIM เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ แบบนี้ ดูกราฟย้อนหลังได้ครับ และกลุ่มผู้บริหารที่อยู่ในนี้ ผมก็จะอนุมานว่าคงมีเอี่ยว ซึ่งจริงๆ อาจไม่เกี่ยวก็ได้นะครับ แต่ก็จะเลี่ยงไปลงทุนตัวอื่น สบายใจกว่า จากนั้นผมค้นใช่ชื่อ CEO ของ EFORL และอ่านทุกอย่างที่อยู่ใน google แล้วทำบันทึกเอาไว้ สรุปเป็น short note ของตัวเอง จะมีทั้งประวัติการทำงานและผลงานในอดีต ความสัมพันธ์นั้นนี่ ก็มาพบบทสัมภาษณ์ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์กับ CEO เดิมของ AIM (ผมไม่ได้ว่า CEO ของ AIM ไม่มีธรรมภิบาลนะครับ เพียงแต่ผมมี criteria ว่าหุ้นที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมจะไม่ยุ่ง) โดยเมื่อก่อน CEO ของ EFORL ก็มีหุ้นส่วนอยู่ใน AIM อยู่บ้างซึ่งการเข้ามา back door ดูแล้วน่าจะเป็นลักษณะเต็มใจของเจ้าของเดิมมากกว่า และกลุ่มเดิมก็ลดบทบาทตัวเองลง คงถือแต่หุ้นอยู่ แต่ไม่ได้มีส่วนบริหาร ข้อมูลที่ผมได้อาจผิดก็ได้นะครับ ผมไม่มีวงในจริงๆ อ่าน google และวิเคราะห์เอง

จากนั้นมาดูการเคลื่อนที่ของราคา พฤติกรรมบ้างช่วงก็ดูคล้าย AIM เดิมมากๆ โดยเฉพาะช่วงที่จะไต่ถึง 2 บาท โดยตอนนั้นมีแค่ turn around กำไร เพิ่งเริ่ม แต่ขายฝันเยอะมาก บวกกับข่าววุฒิศักดิ์ซึ่งตอนนั้นมีแค่ข่าวเฉยๆ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะซื้อได้ยังไง แต่ราคาวิ่งไกลแล้ว

เรื่องธรรมาภิบาลในความเห็นของผม ผมคงไม่ลงหรือสรุปว่าใครมีหรือไม่มีธรรมภิบาลครับ เพราะบางครั้งที่เราไปบอกว่าเค้าไม่มีธรรมภิบาล ทั้งที่จริงแล้วเค้าตั้งใจทำงานอย่างสุจริต มันจะเป็นการกล่าวร้ายเปล่าๆ เพียงแต่ผมตั้งข้อสังเกตไว้ในใจเพื่อเป็นเกราะประกันความปลอดภัยของผมเองเท่านั้น หากใครเคยมีประวัติเหมือนที่ผมคิดไว้ก็คงเลี่ยงไปลงตัวอื่น เพราะหุ้นในตลาด 5-6 ร้อยกว่าตัว คงมีให้ลงทุนเยอะครับ

สรุปเรื่องธรรมาภิบาลผมไม่ได้รู้เยอะหรอกครับ และขอออกตัวว่าผมไม่ได้ว่าใครมีหรือไม่มีนะครับ สำหรับการหาข้อมูล ผมใช้ google, 56-1, ถามตัวแทนหรือ sell ของบริษัทที่รู้จัก เวลาเค้าไปเสนอสินค้าหรือออกร้านตามงานวิชาการทางการแพทย์ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงในแน่นอน และในความรู้สึกตัวเอง จากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์และเครื่องเวชภัณฑ์ของบริษัทในฐานะลูกค้า สุดท้ายเคยขับรถไปดูบริษัท เก็บข้อมูล (แอบๆ ไปคนเดียว) ที่อยู่แถวๆ สะพานปิ่นเกล้าครับ เป็นวิชาหาข้อมูลของหุ้นที่ผมจะลงทุนครับ ขาดแต่ visit บริษัทกับประชุมผู้ถือหุ้นนี่แหละที่ผมยังไม่เคยไป เพราะวิชาชีพผมไม่ค่อยมีเวลาว่างจริงๆ ครับ
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
JatuGodhand
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 628
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

แก้ไขนะครับ...สะพานซังฮี้ครับ ไม่ใช่สะพานปิ่นเกล้า ฝั่งขาเข้าจะเป็นโกดังเก็บสินค้า ฝั่งขาออกจะเป็น office แต่โกดังหรือ office บริษัทไม่ได้ใหญ่อะไรมาก คงเป็นลักษณะธุรกิจนั้นแหละครับ คือเดินสายขายของ ไม่ได้ stock ของ หาลูกค้าซื้อ ก็ค่อยสั่งเข้า พวก stock ไว้จะเป็นในส่วนของน้ำยาต่างๆ เล็กๆ น้อย แต่รู้สึกจะเป็นผลิตภัณฑ์ของ E for L international มากกว่าของ E for L AIM (อย่าเพิ่งงงนะครับ เรื่องมันยาวอยู่) ใครศึกษาได้ความว่าไงก็ลองๆ มาแชร์กันได้นะครับ
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
superpires
Verified User
โพสต์: 524
ผู้ติดตาม: 0

Re: Eforl น่าถือยาวมั้ยครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

JatuGodhand เขียน:แก้ไขนะครับ...สะพานซังฮี้ครับ ไม่ใช่สะพานปิ่นเกล้า ฝั่งขาเข้าจะเป็นโกดังเก็บสินค้า ฝั่งขาออกจะเป็น office แต่โกดังหรือ office บริษัทไม่ได้ใหญ่อะไรมาก คงเป็นลักษณะธุรกิจนั้นแหละครับ คือเดินสายขายของ ไม่ได้ stock ของ หาลูกค้าซื้อ ก็ค่อยสั่งเข้า พวก stock ไว้จะเป็นในส่วนของน้ำยาต่างๆ เล็กๆ น้อย แต่รู้สึกจะเป็นผลิตภัณฑ์ของ E for L international มากกว่าของ E for L AIM (อย่าเพิ่งงงนะครับ เรื่องมันยาวอยู่) ใครศึกษาได้ความว่าไงก็ลองๆ มาแชร์กันได้นะครับ
ขอบคุณครับ ที่แชร์อะไรดีๆ
โพสต์โพสต์