เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
ช่วงปลายปี 2010 จนถึงต้นปี 2011 หรือเมื่อประมาณ 4-5 ปี มาแล้ว มีการพูดถึงประเด็นเรื่องการ “สืบทอด” ตำแหน่งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในเบิร์กไชร แฮททาเวย์ ค่อนข้างมากเนื่องจากบัฟเฟตต์ก็เริ่มแก่ตัวลงและไม่มีใครรู้ว่าใครจะมาแทนเขา หนึ่งใน “ตัวเลือก” ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่ามีโอกาสสูงสุดก็คือ David Sokol ผู้บริหารของบริษัท MidAmerican Energy Holding บริษัทลูกของเบิร์กไชร์ที่ดูแลเรื่องของการลงทุนในธุรกิจพลังงาน และยังเป็นผู้บริหารของ Netjets บริษัทให้บริการเช่าใช้เครื่องบินของบัฟเฟตต์ด้วย นอกจากการเป็นผู้บริหารของบริษัทลูกที่มีขนาดใหญ่โตมากแล้ว โซโคลยังมีบทบาทในเบิร์กไชร์มาก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น “มือขวา” คนหนึ่งของบัฟเฟตต์ในการที่เขามักจะนำเสนอบริษัทหรือกิจการต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้บัฟเฟตต์พิจารณาซื้อ นอกจากนั้น เขายังช่วยบัฟเฟตต์แก้ปัญหาเวลาบริษัทลูก ๆ ในเครือมีปัญหาด้วย และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ โซโคลเองนั้นเป็นคน “บ้านเดียวกัน” กับบัฟเฟตต์ คือ เป็นคนที่เกิดที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา แถมเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกับบัฟเฟตต์ ในมุมมองของคนท้องถิ่นแล้ว เขาก็เป็น “หนึ่ง” รอง ๆ จากบัฟเฟตต์ สถานที่สำคัญหลายแห่ง รวมถึงสนามกีฬาที่จัดประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์ก็มีชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาทำกิจกรรม บริจาคและช่วยเหลือสังคมอย่างกว้างขวางเป็นที่รักและชื่นชมทั่วไปในเมืองบ้านเกิด อายุเขาก็ยังไม่มากคือเพียง 56 ปี ดังนั้น อนาคตของเขานั้นดูเหมือนว่าจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ”
แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เขาประกาศลาออกจากเบิร์กไชร์ในวันที่ 28 มีนาคม 2011 และต่อมาในเดือนเมษายนคณะกรรมการตรวจสอบของเบิร์กไชร์ก็ออกมาแถลงถึงผลการตรวจสอบที่แสดงว่าโซโคลมีความ “ไม่โปร่งใส” ในกรณีของการเทคโอเวอร์บริษัทผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่น Lubrizol ของเบิร์กไชร์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ โซคอลนั้นซื้อหุ้นของ Lubrizol ก่อนที่จะนำเสนอดีลให้กับบัฟเฟตต์ จำนวนเงินที่เขาซื้อประมาณ 10 ล้านเหรียญ และเมื่อการเทคโอเวอร์เกิดขึ้น เขาทำกำไรได้ประมาณ 3 ล้านเหรียญ โซโคลแถลงแก้ว่าเขาเองได้บอกกับบัฟเฟตต์ก่อนแล้วว่าเขามีหุ้นและมีก่อนที่จะนำเสนอดีลเทคโอเวอร์กับบัฟเฟตต์ ดังนั้นเขาไม่ผิด บัฟเฟตต์เองในตอนแรกก็พูดทำนองว่า โซโคลไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องนี้และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่โซโคลทำไม่น่าจะผิดกฎหมาย แต่ต่อมาภายหลัง บัฟเฟตต์ก็ยอมรับว่าเขาอาจจะไม่ได้สรุปหรือคิดเรื่องนี้ละเอียดพอ พูดง่าย ๆ บัฟเฟตต์เองก็คิดว่าโซโคลทำไม่ถูก อย่างไรก็ตามต่อมา กลต. ของสหรัฐก็เข้ามาตรวจสอบเรื่อง “การใช้ข้อมูลภายใน” ของโซโคลและก็สรุปว่าโซโคลไม่ผิด แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้ว เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบัฟเฟตต์กับโซโคล
ในวันประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของเบิร์กไชร์ปี 2011 บัฟเฟตต์พูดกับผู้ถือหุ้นว่าเขาทำผิดอย่างแรงที่ไม่ถามโซโคลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น Lubrizol ที่อธิบายและแก้ตัวไม่ได้ เพราะสิ่งที่โซโคลทำนั้นละเมิดกฎของการปฎิบัติงานที่ดีของเบิร์กไชร์และเรื่องของการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้น บัฟเฟตต์ยังพูดอีกว่าเขาจะไม่มีวันเข้าใจเลยว่าทำไมโซโคลทำสิ่งที่เขาทำ เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมโซโคลจึงไม่ปิดบังหรือใช้โนมินีเข้ามาซื้อหุ้น Lubrizol ถ้าเขาคิดว่าเขากำลังทำอะไรผิด เขาปล่อยข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของเขาอย่างเปิดเผย บัฟเฟตต์ยังพูดต่อว่า เขาไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมชื่อเสียงของโซโคลจึงถูกทำลายไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่เกี่ยวกับเงินเพียง 3 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่โซโคลเองนั้นเคยสมัครใจที่จะยกเงินค่าตอบแทนหรือโบนัสที่เขาควรจะได้จำนวนถึง 12.5 ล้านเหรียญให้กับเพื่อนร่วมงานคือ Greg Abel ที่บริษัท MidAmerican
ผมเองคิดว่าเรื่องการใช้ข้อมูลภายในเพื่อทำเงินนั้น มันคงจะเปรียบคล้าย ๆ กับการที่เราเดินไปตามทางเดินสาธารณะ แล้วเราไปเห็นเงินที่ตกหล่นอยู่ข้างทาง เราไม่รู้ว่าเป็นเงินของใคร และด้วย “สัญชาตญาณ” ซึ่งเป็นอารมณ์ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เราก็จะเก็บ เงินที่ได้จากการเก็บของตกหล่นนั้น ถ้าจำได้ตอนเป็นเด็ก เราจะรู้สึกดีใจมากทั้ง ๆ ที่มันอาจจะเป็นแค่เหรียญหรือเงินไม่กี่บาท เพราะมันได้มาฟรี แทบไม่ต้องออกแรงเลย เรารู้สึกว่าเป็นความโชคดี เราไม่คิดว่าเราไป “โกง” ใคร เราไม่ได้ทำผิด และถ้ามีใครมาอ้างว่าเป็นเงินของเขา เราก็มักจะคืนเงินไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตาม “ธรรมชาติ” แต่ในตลาดหุ้นนั้น กฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นที่ห้ามไม่ให้ใช้ “ข้อมูลภายใน” ที่เรารู้แต่คนอื่นไม่รู้มาซื้อขายหุ้นก็เพื่อที่จะทำให้ตลาดนั้นมีความยุติธรรมสำหรับทุกคน ดังนั้น คนที่ทำและถูกจับได้ก็ผิด แต่ถ้าถามว่าคนที่ถูกตัดสินว่าผิดในเรื่องนี้หมายความว่าเขามีพฤติกรรม “โกง” เป็นนิสัยหรือไม่ ผมก็คิดว่าไม่ใช่ และก็คงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ในกรณีของโซโคลนั้น ทางกฎหมายถือว่าไม่ผิดแม้ว่าทางเบิร์กไชร์จะ “รับไม่ได้” และสังคมเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับคำอธิบายของโซโคล ในโลกยุคปัจจุบันนั้น ถ้าคุณเป็นคนดังและยิ่งใหญ่ แม้แต่สิ่งที่อาจจะเล็กน้อยหรือไม่จริง แต่ถ้ามีคำถามถึงความโปร่งใสหรือความมีธรรมาภิบาล คนก็จะไม่ยอมรับและ “แสดงออก” อย่างแรง นี่ก็คงเป็น “ธรรมชาติ” ของคนอีกเช่นกัน
วันที่มีข่าวเรื่อง Insider’s Trading ของโซโคล หุ้นเบิร์กไชร์ตกลงไป 2% ซึ่งต้องถือว่าหนักพอสมควรเนื่องจากเป็นหุ้นตัวใหญ่มากที่ไม่ใคร่ผันผวน แต่หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็จางหายไป หุ้นเบิร์กไชร์ยังเหมือนเดิม ความ “น่าเชื่อถือ” ของเบิร์กไชร์ในด้านของ Governance ไม่ถูกกระทบ ถ้าจะถามว่ามีโอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้อีกไหม ผมก็คิดว่ามี โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารที่มีจำนวนมากทุกวันก็คงต้องมีบ้างที่จะเกิดความผิดพลาดทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ประเด็นสุดท้ายสำหรับนักลงทุนก็คือ เราจะทำอย่างไรถ้าเรามีหุ้นของบริษัทที่มีกรณีอินไซ้ด์ของผู้บริหารและในกรณีที่ยังไม่มีหุ้น หลายคนบอกว่าเราไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหุ้นเหล่านั้นเลยเพราะ ผู้บริหารคง “ไว้ใจไม่ได้แล้ว” และถ้าวอเร็น บัฟเฟตต์ เจอแบบนี้เขาก็คงจะขายหุ้นทิ้งแน่นอน ตัวอย่างเช่นกรณีของหุ้นเทสโก้ที่เกิดกรณีอื้อฉาวแต่งบัญชีซึ่งทำให้บัฟเฟตต์ขายหุ้นเทสโก้ทิ้งหมด
สำหรับคำตอบนี้ ผมเองคิดว่าการพิจารณาเรื่องของธรรมาภิบาลหรือ CG นั้นเราคงจะต้องดูระดับของความเลวร้ายด้วย กรณีของเทสโก้นั้น ผมคิดว่าผู้บริหารตั้งใจและวางแผนที่จะหลอกลวงผู้ถือหุ้นและคนทั่วไปเกี่ยวกับบริษัทโดยตรงและทำมานาน ในกรณีแบบนี้เราก็คงยอมรับยาก เหนือสิ่งอื่นใด บัฟเฟตต์เองอาจจะขายหุ้นทิ้งเพราะพื้นฐานของกิจการมากกว่าเรื่อง CG ด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาพบว่าผลการดำเนินงานของกิจการที่เขาคิดว่า OK นั้น จริง ๆ แย่กว่าที่รายงานมากเพราะคู่แข่งเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เทสโก้แย่ลงหนัก
ในกรณีที่ยังไม่มีหุ้นอยู่ เราควรที่จะเข้าไปซื้อหรือไม่โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นร่วงลงมาก ? ในกรณีนี้ก็อีกเช่นกัน เราคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ถ้าเรื่องไม่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น “ครั้งเดียว” และน่าจะ “แก้ไขได้” เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎ “ตายตัว” ว่าจะไม่เกี่ยวข้อง บัฟเฟตต์เองนั้น ครั้งหนึ่งก็เคยเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอเมริกันเอ้กซเพรสซึ่งเกิดเรื่องอื้อฉาวกรณี “น้ำมันสลัด” ที่มีการโกงกันอย่างมโหฬาร แต่บัฟเฟตต์เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงครั้งเดียวและแก้ไขได้ในขณะที่กิจการหลักของบริษัทยังดีและแข็งแกร่งมากแต่ราคาหุ้นตกลงไปมาก เขาเข้าไปซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กซเพรสแบบ “ตีแตก” ด้วยเงินเกือบครึ่งพอร์ตและทำกำไรมหาศาลจนกลายเป็น “ตำนาน” มาจนถึงทุกวันนี้
บทเรียนสุดท้ายสำหรับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนของผมก็คือ ชื่อเสียงนั้นสร้างยากและส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายสิบปี แต่เวลาที่มันถูกทำลายนั้น มักเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วข้ามคืน ดังนั้น เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย” ทั้งหมด การซื้อขายหุ้นของบริษัทที่ตนเป็นผู้บริหารหรือมีความเกี่ยวข้องควรจะต้องเลิกหมด พูดแบบเปรียบเทียบก็คือต้อง “เลิกเก็บเงินริมทาง” อย่างสิ้นเชิง
แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เขาประกาศลาออกจากเบิร์กไชร์ในวันที่ 28 มีนาคม 2011 และต่อมาในเดือนเมษายนคณะกรรมการตรวจสอบของเบิร์กไชร์ก็ออกมาแถลงถึงผลการตรวจสอบที่แสดงว่าโซโคลมีความ “ไม่โปร่งใส” ในกรณีของการเทคโอเวอร์บริษัทผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่น Lubrizol ของเบิร์กไชร์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ โซคอลนั้นซื้อหุ้นของ Lubrizol ก่อนที่จะนำเสนอดีลให้กับบัฟเฟตต์ จำนวนเงินที่เขาซื้อประมาณ 10 ล้านเหรียญ และเมื่อการเทคโอเวอร์เกิดขึ้น เขาทำกำไรได้ประมาณ 3 ล้านเหรียญ โซโคลแถลงแก้ว่าเขาเองได้บอกกับบัฟเฟตต์ก่อนแล้วว่าเขามีหุ้นและมีก่อนที่จะนำเสนอดีลเทคโอเวอร์กับบัฟเฟตต์ ดังนั้นเขาไม่ผิด บัฟเฟตต์เองในตอนแรกก็พูดทำนองว่า โซโคลไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องนี้และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่โซโคลทำไม่น่าจะผิดกฎหมาย แต่ต่อมาภายหลัง บัฟเฟตต์ก็ยอมรับว่าเขาอาจจะไม่ได้สรุปหรือคิดเรื่องนี้ละเอียดพอ พูดง่าย ๆ บัฟเฟตต์เองก็คิดว่าโซโคลทำไม่ถูก อย่างไรก็ตามต่อมา กลต. ของสหรัฐก็เข้ามาตรวจสอบเรื่อง “การใช้ข้อมูลภายใน” ของโซโคลและก็สรุปว่าโซโคลไม่ผิด แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้ว เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบัฟเฟตต์กับโซโคล
ในวันประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของเบิร์กไชร์ปี 2011 บัฟเฟตต์พูดกับผู้ถือหุ้นว่าเขาทำผิดอย่างแรงที่ไม่ถามโซโคลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น Lubrizol ที่อธิบายและแก้ตัวไม่ได้ เพราะสิ่งที่โซโคลทำนั้นละเมิดกฎของการปฎิบัติงานที่ดีของเบิร์กไชร์และเรื่องของการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้น บัฟเฟตต์ยังพูดอีกว่าเขาจะไม่มีวันเข้าใจเลยว่าทำไมโซโคลทำสิ่งที่เขาทำ เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมโซโคลจึงไม่ปิดบังหรือใช้โนมินีเข้ามาซื้อหุ้น Lubrizol ถ้าเขาคิดว่าเขากำลังทำอะไรผิด เขาปล่อยข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของเขาอย่างเปิดเผย บัฟเฟตต์ยังพูดต่อว่า เขาไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมชื่อเสียงของโซโคลจึงถูกทำลายไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่เกี่ยวกับเงินเพียง 3 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่โซโคลเองนั้นเคยสมัครใจที่จะยกเงินค่าตอบแทนหรือโบนัสที่เขาควรจะได้จำนวนถึง 12.5 ล้านเหรียญให้กับเพื่อนร่วมงานคือ Greg Abel ที่บริษัท MidAmerican
ผมเองคิดว่าเรื่องการใช้ข้อมูลภายในเพื่อทำเงินนั้น มันคงจะเปรียบคล้าย ๆ กับการที่เราเดินไปตามทางเดินสาธารณะ แล้วเราไปเห็นเงินที่ตกหล่นอยู่ข้างทาง เราไม่รู้ว่าเป็นเงินของใคร และด้วย “สัญชาตญาณ” ซึ่งเป็นอารมณ์ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เราก็จะเก็บ เงินที่ได้จากการเก็บของตกหล่นนั้น ถ้าจำได้ตอนเป็นเด็ก เราจะรู้สึกดีใจมากทั้ง ๆ ที่มันอาจจะเป็นแค่เหรียญหรือเงินไม่กี่บาท เพราะมันได้มาฟรี แทบไม่ต้องออกแรงเลย เรารู้สึกว่าเป็นความโชคดี เราไม่คิดว่าเราไป “โกง” ใคร เราไม่ได้ทำผิด และถ้ามีใครมาอ้างว่าเป็นเงินของเขา เราก็มักจะคืนเงินไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตาม “ธรรมชาติ” แต่ในตลาดหุ้นนั้น กฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นที่ห้ามไม่ให้ใช้ “ข้อมูลภายใน” ที่เรารู้แต่คนอื่นไม่รู้มาซื้อขายหุ้นก็เพื่อที่จะทำให้ตลาดนั้นมีความยุติธรรมสำหรับทุกคน ดังนั้น คนที่ทำและถูกจับได้ก็ผิด แต่ถ้าถามว่าคนที่ถูกตัดสินว่าผิดในเรื่องนี้หมายความว่าเขามีพฤติกรรม “โกง” เป็นนิสัยหรือไม่ ผมก็คิดว่าไม่ใช่ และก็คงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ในกรณีของโซโคลนั้น ทางกฎหมายถือว่าไม่ผิดแม้ว่าทางเบิร์กไชร์จะ “รับไม่ได้” และสังคมเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับคำอธิบายของโซโคล ในโลกยุคปัจจุบันนั้น ถ้าคุณเป็นคนดังและยิ่งใหญ่ แม้แต่สิ่งที่อาจจะเล็กน้อยหรือไม่จริง แต่ถ้ามีคำถามถึงความโปร่งใสหรือความมีธรรมาภิบาล คนก็จะไม่ยอมรับและ “แสดงออก” อย่างแรง นี่ก็คงเป็น “ธรรมชาติ” ของคนอีกเช่นกัน
วันที่มีข่าวเรื่อง Insider’s Trading ของโซโคล หุ้นเบิร์กไชร์ตกลงไป 2% ซึ่งต้องถือว่าหนักพอสมควรเนื่องจากเป็นหุ้นตัวใหญ่มากที่ไม่ใคร่ผันผวน แต่หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็จางหายไป หุ้นเบิร์กไชร์ยังเหมือนเดิม ความ “น่าเชื่อถือ” ของเบิร์กไชร์ในด้านของ Governance ไม่ถูกกระทบ ถ้าจะถามว่ามีโอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้อีกไหม ผมก็คิดว่ามี โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารที่มีจำนวนมากทุกวันก็คงต้องมีบ้างที่จะเกิดความผิดพลาดทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ประเด็นสุดท้ายสำหรับนักลงทุนก็คือ เราจะทำอย่างไรถ้าเรามีหุ้นของบริษัทที่มีกรณีอินไซ้ด์ของผู้บริหารและในกรณีที่ยังไม่มีหุ้น หลายคนบอกว่าเราไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหุ้นเหล่านั้นเลยเพราะ ผู้บริหารคง “ไว้ใจไม่ได้แล้ว” และถ้าวอเร็น บัฟเฟตต์ เจอแบบนี้เขาก็คงจะขายหุ้นทิ้งแน่นอน ตัวอย่างเช่นกรณีของหุ้นเทสโก้ที่เกิดกรณีอื้อฉาวแต่งบัญชีซึ่งทำให้บัฟเฟตต์ขายหุ้นเทสโก้ทิ้งหมด
สำหรับคำตอบนี้ ผมเองคิดว่าการพิจารณาเรื่องของธรรมาภิบาลหรือ CG นั้นเราคงจะต้องดูระดับของความเลวร้ายด้วย กรณีของเทสโก้นั้น ผมคิดว่าผู้บริหารตั้งใจและวางแผนที่จะหลอกลวงผู้ถือหุ้นและคนทั่วไปเกี่ยวกับบริษัทโดยตรงและทำมานาน ในกรณีแบบนี้เราก็คงยอมรับยาก เหนือสิ่งอื่นใด บัฟเฟตต์เองอาจจะขายหุ้นทิ้งเพราะพื้นฐานของกิจการมากกว่าเรื่อง CG ด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาพบว่าผลการดำเนินงานของกิจการที่เขาคิดว่า OK นั้น จริง ๆ แย่กว่าที่รายงานมากเพราะคู่แข่งเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เทสโก้แย่ลงหนัก
ในกรณีที่ยังไม่มีหุ้นอยู่ เราควรที่จะเข้าไปซื้อหรือไม่โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นร่วงลงมาก ? ในกรณีนี้ก็อีกเช่นกัน เราคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ถ้าเรื่องไม่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น “ครั้งเดียว” และน่าจะ “แก้ไขได้” เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎ “ตายตัว” ว่าจะไม่เกี่ยวข้อง บัฟเฟตต์เองนั้น ครั้งหนึ่งก็เคยเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอเมริกันเอ้กซเพรสซึ่งเกิดเรื่องอื้อฉาวกรณี “น้ำมันสลัด” ที่มีการโกงกันอย่างมโหฬาร แต่บัฟเฟตต์เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงครั้งเดียวและแก้ไขได้ในขณะที่กิจการหลักของบริษัทยังดีและแข็งแกร่งมากแต่ราคาหุ้นตกลงไปมาก เขาเข้าไปซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กซเพรสแบบ “ตีแตก” ด้วยเงินเกือบครึ่งพอร์ตและทำกำไรมหาศาลจนกลายเป็น “ตำนาน” มาจนถึงทุกวันนี้
บทเรียนสุดท้ายสำหรับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนของผมก็คือ ชื่อเสียงนั้นสร้างยากและส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายสิบปี แต่เวลาที่มันถูกทำลายนั้น มักเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วข้ามคืน ดังนั้น เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย” ทั้งหมด การซื้อขายหุ้นของบริษัทที่ตนเป็นผู้บริหารหรือมีความเกี่ยวข้องควรจะต้องเลิกหมด พูดแบบเปรียบเทียบก็คือต้อง “เลิกเก็บเงินริมทาง” อย่างสิ้นเชิง
-
- Verified User
- โพสต์: 428
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
เอเอฟพี – ชาวกรุงโตเกียวนำเงินสดที่มีผู้ทำสูญหายส่งตำรวจเป็นมูลค่ารวมถึง 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 900 ล้านบาทในปีที่แล้ว และ 3 ใน 4 ของเงินเหล่านั้นก็ได้กลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริง อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสัตย์ซื่อที่เป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นน่าทึ่งของชาวแดนอาทิตย์อุทัย
โฆษกตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว เปิดเผยว่า พลเมืองดีหลายต่อหลายคนได้นำกระเป๋าบรรจุเงินสดที่พวกเขาพบเจอเข้าโดยบังเอิญมาส่งให้ตำรวจช่วยตามหาเจ้าของ รวมเป็นวงเงินราว 3,340 ล้านเยน (ราว 918 ล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์ สปอร์ต นิปปอน ได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นผู้ซื่อตรงที่อุตส่าห์นำกระเป๋าอุปกรณ์กีฬาซึ่งภายในมีเงินสดถึง 155,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งตำรวจ ทั้งที่เงินจำนวนนี้มากพอที่เขาจะนำไปซื้อรถสปอร์ตหรู มาเซราติ แกรนตูริสโม เอ็มซี หรือไม่ก็อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ใจกลางกรุงโตเกียว
โฆษกตำรวจหญิง ระบุว่า เกือบร้อยละ 74 ของเงินหายที่มีผู้นำส่งตำรวจในปี 2014 ถูกคืนให้เจ้าของเดิม รวมไปถึงกระเป๋ากีฬาใบดังกล่าวด้วย
กฎหมายญี่ปุ่นอนุญาตให้ผู้ที่พบทรัพย์สินและนำส่งตำรวจมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นได้ หากเจ้าของที่แท้จริงไม่มาอ้างกรรมสิทธิ์และขอรับทรัพย์สินของตนคืนภายใน 3 เดือน แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะชาวญี่ปุ่นบางคนที่พบเงินหายกลับสละสิทธิ์ที่จะครอบครองของที่ไม่ใช่ของตน ทำให้ปีที่แล้วมีเงินหายถูกส่งเข้าคลังกรุงโตเกียวถึง 390 ล้านเยน
สื่อเมืองปลาดิบพร้อมใจกันตีแผ่ข้อมูลนี้ เพื่อยืนยันว่าญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ปลอดภัยมากเพียงใด โดยเฉพาะกรุงโตเกียวซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปี 2020
ความปลอดภัยของสังคมญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวเมืองปลาดิบเองก็ภาคภูมิใจมักถูกเล่าขานผ่านประสบการณ์ของชาวต่างชาติที่เคยทำกระเป๋าสตางค์หรือไม่ก็พาสปอร์ตหล่นหายในบาร์หรือแท็กซี่ญี่ปุ่น และสุดท้ายก็มีพลเมืองดีนำส่งคืนให้
โฆษกตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว เปิดเผยว่า พลเมืองดีหลายต่อหลายคนได้นำกระเป๋าบรรจุเงินสดที่พวกเขาพบเจอเข้าโดยบังเอิญมาส่งให้ตำรวจช่วยตามหาเจ้าของ รวมเป็นวงเงินราว 3,340 ล้านเยน (ราว 918 ล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา
หนังสือพิมพ์ สปอร์ต นิปปอน ได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นผู้ซื่อตรงที่อุตส่าห์นำกระเป๋าอุปกรณ์กีฬาซึ่งภายในมีเงินสดถึง 155,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งตำรวจ ทั้งที่เงินจำนวนนี้มากพอที่เขาจะนำไปซื้อรถสปอร์ตหรู มาเซราติ แกรนตูริสโม เอ็มซี หรือไม่ก็อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ใจกลางกรุงโตเกียว
โฆษกตำรวจหญิง ระบุว่า เกือบร้อยละ 74 ของเงินหายที่มีผู้นำส่งตำรวจในปี 2014 ถูกคืนให้เจ้าของเดิม รวมไปถึงกระเป๋ากีฬาใบดังกล่าวด้วย
กฎหมายญี่ปุ่นอนุญาตให้ผู้ที่พบทรัพย์สินและนำส่งตำรวจมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นได้ หากเจ้าของที่แท้จริงไม่มาอ้างกรรมสิทธิ์และขอรับทรัพย์สินของตนคืนภายใน 3 เดือน แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะชาวญี่ปุ่นบางคนที่พบเงินหายกลับสละสิทธิ์ที่จะครอบครองของที่ไม่ใช่ของตน ทำให้ปีที่แล้วมีเงินหายถูกส่งเข้าคลังกรุงโตเกียวถึง 390 ล้านเยน
สื่อเมืองปลาดิบพร้อมใจกันตีแผ่ข้อมูลนี้ เพื่อยืนยันว่าญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ปลอดภัยมากเพียงใด โดยเฉพาะกรุงโตเกียวซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปี 2020
ความปลอดภัยของสังคมญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวเมืองปลาดิบเองก็ภาคภูมิใจมักถูกเล่าขานผ่านประสบการณ์ของชาวต่างชาติที่เคยทำกระเป๋าสตางค์หรือไม่ก็พาสปอร์ตหล่นหายในบาร์หรือแท็กซี่ญี่ปุ่น และสุดท้ายก็มีพลเมืองดีนำส่งคืนให้
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ฟังย้อนหลัง ดร.นิเวศน์พูดถึงบทความครับ
รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน โดย จิตติมา ทวาเรศ
(7 ธค. 58)
-ฟังคำแนะนำถึงการเปิดใหม่ตลาดหุ้นย่างกุ้ง ประเทศพม่า และ บทความ "เก็บเงินริมทาง"
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-ร่วมวางแผนเงินออม กับ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
http://goo.gl/7bu1IG
รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน โดย จิตติมา ทวาเรศ
(7 ธค. 58)
-ฟังคำแนะนำถึงการเปิดใหม่ตลาดหุ้นย่างกุ้ง ประเทศพม่า และ บทความ "เก็บเงินริมทาง"
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-ร่วมวางแผนเงินออม กับ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
http://goo.gl/7bu1IG
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
-
- Verified User
- โพสต์: 428
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
บทความนี้ จะมีการพูดถึงบริษัทสามบริษัท คือ เบิร์กไชร์,อเมริกันเอ้กซเพรส และซีพีออล
เบิร์ไชร์ ซีพีออล คล้ายกัน คือผู้บริหาร ใช้ ข้อมูลภายในซื้อหุ้นที่จะถูกเทคโอเวอร์
ต่างกันตรงที่โซโคลซื้อหุ้นมาแล้วค่อยไปชวนบัฟเฟตต์เทคโอเวอร์ ในแง่กฏหมายเลยไม่ผิด
เพราะตอนซื้อยังไม่มีการเทคโอเวอร์และอาจจะไม่มีการเทคโอเวอร์เลยก็ได้
แต่ถ้ามองในแง่ความซื่อสัตย์ของโซโคลต่อเบิร์กไชร์ แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะสิ่งที่โซโคลทำ
ทำเพื่อผลประโยชน์ของโซโคล ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของเบิร์กไชร์ แบบนี้ต้องออก
ผมเดาว่า บัฟเฟตต์ ไม่คิดว่าโซโคล กำไรแค่ 3ล้านเหรียญกำไรมากกว่านั้นแน่นอนแต่โชว์จำนวนหุ้น
ที่ซื้อไว้ก่อนเพื่อให้หลุดจากข้อกฏหมายเรื่องอินไซเดอร์ เพราะถ้าผิดติดคุกแน่นอน ไม่โดนแค่ปรับ
ส่วนกรณี ซีพีออล ผบห. ผิดในเรื่องใช้อินไซเดอร์ในการซื้อขายหุ้นแน่นอน(ยอมรับผิดและเสียค่าปรับด้วย)
โซโคล ถูกกฏหมายแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อบัฟเฟตต์ ผบห.ซีพีออลทำผิดกฎหมาย แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าสัว
กรณีของอเมริกันเอ้กเพรส มีการโกงกันอย่างมหาศาล หุ้นลงไปลึกมาก(ถ้าลงน้อยก็คงไม่ซื้อ)
บัฟเฟตต์กล้าซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กเพรสเพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าเหตุการร้ายจบไปแล้ว(ผบห.ขี้โกงออกไปหมดแล้ว)
เบิร์กไชร์,อเมริกันเอ้กซเพรส ผบห. ที่ก่อเรื่องออกไปแล้ว ส่วนซีพีออล ผบห.ยังอยู๋
เบิร์ไชร์ ซีพีออล คล้ายกัน คือผู้บริหาร ใช้ ข้อมูลภายในซื้อหุ้นที่จะถูกเทคโอเวอร์
ต่างกันตรงที่โซโคลซื้อหุ้นมาแล้วค่อยไปชวนบัฟเฟตต์เทคโอเวอร์ ในแง่กฏหมายเลยไม่ผิด
เพราะตอนซื้อยังไม่มีการเทคโอเวอร์และอาจจะไม่มีการเทคโอเวอร์เลยก็ได้
แต่ถ้ามองในแง่ความซื่อสัตย์ของโซโคลต่อเบิร์กไชร์ แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะสิ่งที่โซโคลทำ
ทำเพื่อผลประโยชน์ของโซโคล ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของเบิร์กไชร์ แบบนี้ต้องออก
ผมเดาว่า บัฟเฟตต์ ไม่คิดว่าโซโคล กำไรแค่ 3ล้านเหรียญกำไรมากกว่านั้นแน่นอนแต่โชว์จำนวนหุ้น
ที่ซื้อไว้ก่อนเพื่อให้หลุดจากข้อกฏหมายเรื่องอินไซเดอร์ เพราะถ้าผิดติดคุกแน่นอน ไม่โดนแค่ปรับ
ส่วนกรณี ซีพีออล ผบห. ผิดในเรื่องใช้อินไซเดอร์ในการซื้อขายหุ้นแน่นอน(ยอมรับผิดและเสียค่าปรับด้วย)
โซโคล ถูกกฏหมายแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อบัฟเฟตต์ ผบห.ซีพีออลทำผิดกฎหมาย แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าสัว
กรณีของอเมริกันเอ้กเพรส มีการโกงกันอย่างมหาศาล หุ้นลงไปลึกมาก(ถ้าลงน้อยก็คงไม่ซื้อ)
บัฟเฟตต์กล้าซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กเพรสเพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าเหตุการร้ายจบไปแล้ว(ผบห.ขี้โกงออกไปหมดแล้ว)
เบิร์กไชร์,อเมริกันเอ้กซเพรส ผบห. ที่ก่อเรื่องออกไปแล้ว ส่วนซีพีออล ผบห.ยังอยู๋
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
กรณี นี้ ไม่รู้ว่า เป็น วิกฤตศรัทธาต่อบริษัท หรือต่อ บุคคล นะ
[/color]I DREAM FOR LIVING
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
แนบไฟล์
[/color]I DREAM FOR LIVING