แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
แชมป์ตลาดหุ้น / โดย คนขายของ
คุณคิดว่าดัชนีตลาดหุ้นประเทศไหนที่ดัชนีตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา? ถ้าหากเราตัดประเทศที่เงินเฟ้อสูงมากๆอย่างเวเนซูเอล่า ที่ดัชนีขึ้นมา 275% แต่เงินเฟ้อราว 800% และ ประเทศที่ตลาดหุ้นยังมีขนาดเล็กมากๆ บางประเทศออกไป เราจะประหลาดใจมากว่าประเทศที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดนั้นไม่ใช่ประเทศที่เป็นข่าวบ่อยๆ เช่น อเมริกา, จีน หรือ ญี่ปุ่น และก็ไม่ใช่ประเทศในตลาดเกิดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม แต่เป็นประเทศเดนมาร์ก ประเทศที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ปีนี้ดัชนี OMX Copenhagen 20 Index ขึ้นมา 34% ในขณะที่ประเทศขนาดใหญ่ในยุโรปอย่างเยอรมันนีดัชนีขึ้นมา 9.5% และ อังกฤษดัชนีติดลบ 7% จริงๆ แล้วตลาดหุ้นเดนมาร์กร้อนแรงมาตลอด ขึ้นจากจุดต่ำสุดตอนวิกฤตปี 2008 ถึง 4 เท่า เรียกว่าขึ้นมาพอๆกันกับตลาดหุ้นไทย และเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 10 ปี จาก 24 ประเทศพัฒนาแล้วที่รวบ รวมโดย Bloomberg
ประเทศเดนมาร์ก หรือที่คนไทยรู้จักฉายาในนาม “แดนโคนม” แท้ที่จริงแล้ว GDP ของเดนมาร์ก มาจากภาคการเกษตรเพียงแค่ 1.5% ตัวเลข GDP Growth ของเดนมาร์กในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อยู่ที่ราวๆ 0.5% ต่อปี แต่ทำไมดัชนีหุ้นถึงปรับตัวได้สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ต่างจากประเทศเกิดใหม่บางประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก แต่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหน? ผมลองศึกษากิจการที่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี OMX แล้วพบว่า เดนมาร์กมีบริษัท ชั้นนำของโลกอยู่พอสมควร แต่นั่นยังไม่มีน้ำหนักพอที่สนับสนุนความร้อนแรงของตลาดหุ้นเดนมาร์ก เมื่อเจาะลึกลงไปอีกผมพบว่า 30% ของบริษัทในดัชนี OMX เป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยาและ เทคโนโลยีชีวภาพ ประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักพอที่ผลักดันดัชนี OMX ให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
บริษัท Novo Nordisk เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษใหญ่ของเดนมาร์ก มีมูลค่ากิจการสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าบริษัท ปตท. ของไทยถึง 6 เท่า เป็นบริษัทยาที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน มีฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน และ บราซิล บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 83% และ มีกำไรสุทธิราวๆ 30% กำไรต่อหุ้นย้อนหลัง 5 ปีเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี และมี ROE สูงมากที่ 64% ในปี 2015 ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นมาถึง 50% ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผลักดันให้ OMX มีผลงานที่โดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป
เมื่อมาศึกษาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสุงสุด 10 บริษัทในตลาด NYSE และ NASDAQ ในปี 2015 พบว่าจาก 10 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด มีถึง 6 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นของ Eagle Pharmaceuticals เป็นบริษัทยาที่เน้นยาฉีดเป็นพิเศษ อยู่ในตลาด NASDAQ ตอนนี้มีมูลค่ากิจการ ราวๆ 56,000 ล้านบาท ราคาขึ้นมาจากตอนต้นปี 5 เท่า อีกบริษัทหนึ่ง Nymox Pharmaceutical เป็นบริษัทที่เน้นการคิดค้นยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นบริษัทที่เล็กมากๆ ในตลาด NASDAQ แต่ราคาหุ้นร้อนแรงมาก ขึ้นมาถึง 8.5 เท่าในปีนี้
Moody’s Investor Service ได้ออกรายงานในปีที่แล้วประมาณว่า ณ ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศ เท่านั้น คือ เยอรมัน, ญี่ปุ่น และ อิตาลี ที่มีผู้ที่อายุเกิน 65 ปีมากกว่า 20% ของประชากรในประเทศ แต่ตัวเลขนี้กำลังเพิ่มขึ้น โดยภายในปี 2020 จะมี 13 ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ ภายในปี 2030 จะมีถึง 34 ประเทศ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าตลาดถึงให้มูลค่าของบริษัทใน อุตสาหกรรมยา และ เทคโนโลยีชีวภาพในระดับที่สูงมาก
ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนก็ได้เห็นแนวโน้มแบบเดียวกันนี้ในประเทศไทย โดยหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ของไทยได้มีการปรับตัวขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ PE ของกลุ่มโรงพยาบาล ในเมืองไทยตอนนี้ มีเกินครึ่งที่ PE มากกว่า 30 เท่า เงินปันผลได้ราวๆ 1% นิดๆ ด้วยมูลค่าที่สูง ขนาดนี้ ผมคิดว่านักลงทุนไทยถ้าสนใจลงทุนในกลุ่มนี้จริงจัง ลองพิจารณาหุ้นระดับโลกหลายๆตัวใน กลุ่มนี้ดู เราอาจจะได้เจอบริษัทที่แข็งแกร่งกว่าในด้านคุณภาพ และยังถูกกว่าในด้านราคาก็เป็นได้
คุณคิดว่าดัชนีตลาดหุ้นประเทศไหนที่ดัชนีตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา? ถ้าหากเราตัดประเทศที่เงินเฟ้อสูงมากๆอย่างเวเนซูเอล่า ที่ดัชนีขึ้นมา 275% แต่เงินเฟ้อราว 800% และ ประเทศที่ตลาดหุ้นยังมีขนาดเล็กมากๆ บางประเทศออกไป เราจะประหลาดใจมากว่าประเทศที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดนั้นไม่ใช่ประเทศที่เป็นข่าวบ่อยๆ เช่น อเมริกา, จีน หรือ ญี่ปุ่น และก็ไม่ใช่ประเทศในตลาดเกิดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม แต่เป็นประเทศเดนมาร์ก ประเทศที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ปีนี้ดัชนี OMX Copenhagen 20 Index ขึ้นมา 34% ในขณะที่ประเทศขนาดใหญ่ในยุโรปอย่างเยอรมันนีดัชนีขึ้นมา 9.5% และ อังกฤษดัชนีติดลบ 7% จริงๆ แล้วตลาดหุ้นเดนมาร์กร้อนแรงมาตลอด ขึ้นจากจุดต่ำสุดตอนวิกฤตปี 2008 ถึง 4 เท่า เรียกว่าขึ้นมาพอๆกันกับตลาดหุ้นไทย และเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 10 ปี จาก 24 ประเทศพัฒนาแล้วที่รวบ รวมโดย Bloomberg
ประเทศเดนมาร์ก หรือที่คนไทยรู้จักฉายาในนาม “แดนโคนม” แท้ที่จริงแล้ว GDP ของเดนมาร์ก มาจากภาคการเกษตรเพียงแค่ 1.5% ตัวเลข GDP Growth ของเดนมาร์กในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อยู่ที่ราวๆ 0.5% ต่อปี แต่ทำไมดัชนีหุ้นถึงปรับตัวได้สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ต่างจากประเทศเกิดใหม่บางประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก แต่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหน? ผมลองศึกษากิจการที่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี OMX แล้วพบว่า เดนมาร์กมีบริษัท ชั้นนำของโลกอยู่พอสมควร แต่นั่นยังไม่มีน้ำหนักพอที่สนับสนุนความร้อนแรงของตลาดหุ้นเดนมาร์ก เมื่อเจาะลึกลงไปอีกผมพบว่า 30% ของบริษัทในดัชนี OMX เป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยาและ เทคโนโลยีชีวภาพ ประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักพอที่ผลักดันดัชนี OMX ให้สูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
บริษัท Novo Nordisk เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษใหญ่ของเดนมาร์ก มีมูลค่ากิจการสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าบริษัท ปตท. ของไทยถึง 6 เท่า เป็นบริษัทยาที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน มีฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน และ บราซิล บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 83% และ มีกำไรสุทธิราวๆ 30% กำไรต่อหุ้นย้อนหลัง 5 ปีเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี และมี ROE สูงมากที่ 64% ในปี 2015 ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นมาถึง 50% ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผลักดันให้ OMX มีผลงานที่โดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป
เมื่อมาศึกษาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสุงสุด 10 บริษัทในตลาด NYSE และ NASDAQ ในปี 2015 พบว่าจาก 10 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด มีถึง 6 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น หุ้นของ Eagle Pharmaceuticals เป็นบริษัทยาที่เน้นยาฉีดเป็นพิเศษ อยู่ในตลาด NASDAQ ตอนนี้มีมูลค่ากิจการ ราวๆ 56,000 ล้านบาท ราคาขึ้นมาจากตอนต้นปี 5 เท่า อีกบริษัทหนึ่ง Nymox Pharmaceutical เป็นบริษัทที่เน้นการคิดค้นยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นบริษัทที่เล็กมากๆ ในตลาด NASDAQ แต่ราคาหุ้นร้อนแรงมาก ขึ้นมาถึง 8.5 เท่าในปีนี้
Moody’s Investor Service ได้ออกรายงานในปีที่แล้วประมาณว่า ณ ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศ เท่านั้น คือ เยอรมัน, ญี่ปุ่น และ อิตาลี ที่มีผู้ที่อายุเกิน 65 ปีมากกว่า 20% ของประชากรในประเทศ แต่ตัวเลขนี้กำลังเพิ่มขึ้น โดยภายในปี 2020 จะมี 13 ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ ภายในปี 2030 จะมีถึง 34 ประเทศ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าตลาดถึงให้มูลค่าของบริษัทใน อุตสาหกรรมยา และ เทคโนโลยีชีวภาพในระดับที่สูงมาก
ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนก็ได้เห็นแนวโน้มแบบเดียวกันนี้ในประเทศไทย โดยหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ของไทยได้มีการปรับตัวขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ PE ของกลุ่มโรงพยาบาล ในเมืองไทยตอนนี้ มีเกินครึ่งที่ PE มากกว่า 30 เท่า เงินปันผลได้ราวๆ 1% นิดๆ ด้วยมูลค่าที่สูง ขนาดนี้ ผมคิดว่านักลงทุนไทยถ้าสนใจลงทุนในกลุ่มนี้จริงจัง ลองพิจารณาหุ้นระดับโลกหลายๆตัวใน กลุ่มนี้ดู เราอาจจะได้เจอบริษัทที่แข็งแกร่งกว่าในด้านคุณภาพ และยังถูกกว่าในด้านราคาก็เป็นได้
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 153
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
เห็นพี่คนขายของพูดถึงประเทศเดนมาร์กก็เลยอยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้จากประเทศเล็กๆ แห่งนี้แต่
ยิ่งใหญ่มากในหลายๆ ด้านดังนี้ครับ (ขอเกริ่นเล็กน้อยนะครับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ได้เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ
เดนมาร์ก เป็นเวลายาวๆ นานๆ ไปอยู่อย่างเก่งนานสุดก็ 2 สัปดาห์ ไปๆ มาๆ ก็เกือบ 10 ครั้ง เคยได้ทำงานร่วม
กับ บริษัทและคนเดนมาร์กอยู่หลายปี ไปเมืองนอกครั้งแรกกี็ที่นี่ ว่าแล้วเข้าเรื่องดีกว่า)
1. ที่ประเทศเดนมาร์กมีบริษัทระดับโลกอยู่หลายบริษัทครับเท่าที่ทราบก็มี Maersk, Ecco, Grundfos, LEGO ฯลฯ
2. เดนมาร์กมีศิลปินและนักกีฬาที่เรารู้จักกันดีก็คือ ไมเคิลเลินส์ทูร็อก, วงอควา, ปีเตอร์ชไมเคิล, คาโรไลน์ วอซเนียคกี ฯลฯ
3. จ่ายภาษีรายได้เกือบ 50% ถ้ายิ่งมีลูกมากภาษีก็จะลดลงเรื่อยๆ (เพราะประชากรน้อยมาก ถ้าอยู่เมืองเล็กๆ
ให้จินตนาการว่า เรากำลังอยู่ในเกมส์ resident evil) เมื่อภรรยาคุณคลอดลูกจะลางานได้ประมาณ 1 ปี และ
อาจมีการลาครึ่งวันหลังจาก 1 ปี (เคยมีผู้หญิงเดนมาร์กบอกกับผมว่า "ขอโทษนะเขาลืมขั้นตอนการทำงานไปแล้ว")
และถ้าคุณเกษียญและต้องไปพบแพทย์ ก็จะมี taxi มารับถึงบ้าน อ่อ..ค่าใช้จ่ายฟรีหมด
4. เวลาเข้างานก็อาจจะไม่ได้เจาะจงแค่ทำให้ครบวันละ 7 ชม. ก็พอ ไม่ต้องบันทึกเวลาเข้าออก หยุดเสาร์ อาทิตย์
พักร้อน ประมาณ 5 สัปดาห์ต่อปี อาจจะต้องแบ่งเป็น 2 ช่วง ซึ่งถ้าคุณป่วยและแพทย์ลงความเห็นว่าต่องหยุดล่ะก็
ลาได้ยาวเลย (ผมจำตัวเลขไม่ได้ครับว่าสูงสุดเท่าไหร่ เคยเห็นก็ 2-3 เดือน) ถ้าเครียดมากคุณก็สามารถขอย้าย
แผนกได้ และเมื่อไหร่ที่พยากรณ์อากาศบอกว่าอาจมีพายุหิมะรุนแรงในวันสัปดาห์นี้ คุณสามารถหยุดยาวทั้ง
สัปดาห์ได้เลย ไม่ถือว่าขาดงานให้ work@home เอา
5. เมื่อคุณซื้อน้ำเปล่าหรือเหล้าเบียร์ เขาจะคิดค่าขวด 1 โครนฯ (สกุลเงินเดนมาร์ก - 1DKK ~ 5 THB)
แต่ถ้าคุณเอาขวดไปคืนที่ตู้อัตโนมัติก็จะได้เงินคืน 1DKK (เคยไปเก็บขวดขายอยู่พักนึงครับ หาค่าขนม อิอิอิ)
6. ไปเดนมาร์กก็ต้องหลายครั้งเห็นตำรวจแค่ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 วันเอง (ตำรวจน้อยมาก เห็นวัวเยอะกว่าอีก)
เคยถามคนที่นั่นว่าทำไมแทบไม่เห็นตำรวจเลย เขาบอกว่าดีแล้วล่ะ ถ้าเห็นตามบ้านแปลว่ามีคนตายแน่ๆ
เขาล่ะไม่อยากเห็นเลย
7. ที่เดนมาร์กบัตรเครดิตฯ ของคนที่นั้นเขากดรหัสลับแทนการเซนต์ชื่อนะครับ ถ้าคุณเอาบัตรไปรูดก็ต้องเซนต์
ชื่อเหมือนจอนที่อยู่บ้านเราเลย
8. คนเดนมาร์กชอบออกกำลังกายครับ ขนาดอากาศหนาวประมาณ 7 องศา พวกยังฝึกเตะบอลกันกลางสนาม
อยู่เลยส่วนผมได้แต่นั่งดูอยู่ในอาคารมองตาปลิบๆ (พวกเขาไม่รู้จักความหนาวหรือไงฟร่ะ) ส่วนสาวๆ ที่นั่นก็
สวยบ้างไม่สวยบ้างคละเคล้ากันไป แต่ถ้าคุณจะจีบล่ะก็ต้องรับวัฒนธรรมเขาให้ได้นะครับ เช่น เอาขาพาดโต๊ะ
เสื้อผ้าต่างคนต่างซัก ไม่มีบริการทำให้ ไม่ได้ขี้เอาใจเหมือนกับสาวไทยนะ แชร์กันครึ่งๆ รับไม่ได้ก็เลิกกันไป
9. ผมได้เห็นโลโก้ dtac ที่เมืองหลวงของเดนมาร์กด้วยล่ะ และเคยลืมกระเป๋าโน้ตบุคไว้ แต่ก็ไม่หายได้คืน
ที่เมืองหลวงก็มีมุมมืดที่ไม่สะอาดและดูน่ากลัวเหมือนกันแต่ดีกว่าบ้านเราครับ
10. เพิ่งได้รู้ว่าในตู้ขายเครื่องดื่มนั้น มีโค้ก สไปร์ท แต่ไม่มีน้ำเขียว น้ำแดง นมถั่วเหลือง นมรสต่างๆ โยเกริต์
มีแค่ 2 รสชาติ มีกระทิงแดงและเบียร์ของไทยด้วยนะ (แอบปลื้มใจนิดๆ แต่ไม่ซืี้อดื่ม)
คงพอแค่นี้นะครับ นอกเรื่องซะเยอะเลย อิอิอิ แค่อยากเล่าสู่กันฟังครับว่าบ้านอื่นเมืองอื่นเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังไง
ก็ยังรักเมืองไทยถึงแม้จะไม่ดีเทียบเท่ากับในหลายๆ ประเทศที่เราชอบเอาไปเปรียบเทียบกัน สไตล์ใครสไตล์มันครับ
จะขออยู่และตายที่นี่ จะทำหน้าทีพลเมืองให้ดีที่สุดถ้าทุกคนทำได้ผมว่าประเทศเราก็จะเจริญได้ ผมเชื่อแบบนั้นครับ
ยิ่งใหญ่มากในหลายๆ ด้านดังนี้ครับ (ขอเกริ่นเล็กน้อยนะครับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ได้เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ
เดนมาร์ก เป็นเวลายาวๆ นานๆ ไปอยู่อย่างเก่งนานสุดก็ 2 สัปดาห์ ไปๆ มาๆ ก็เกือบ 10 ครั้ง เคยได้ทำงานร่วม
กับ บริษัทและคนเดนมาร์กอยู่หลายปี ไปเมืองนอกครั้งแรกกี็ที่นี่ ว่าแล้วเข้าเรื่องดีกว่า)
1. ที่ประเทศเดนมาร์กมีบริษัทระดับโลกอยู่หลายบริษัทครับเท่าที่ทราบก็มี Maersk, Ecco, Grundfos, LEGO ฯลฯ
2. เดนมาร์กมีศิลปินและนักกีฬาที่เรารู้จักกันดีก็คือ ไมเคิลเลินส์ทูร็อก, วงอควา, ปีเตอร์ชไมเคิล, คาโรไลน์ วอซเนียคกี ฯลฯ
3. จ่ายภาษีรายได้เกือบ 50% ถ้ายิ่งมีลูกมากภาษีก็จะลดลงเรื่อยๆ (เพราะประชากรน้อยมาก ถ้าอยู่เมืองเล็กๆ
ให้จินตนาการว่า เรากำลังอยู่ในเกมส์ resident evil) เมื่อภรรยาคุณคลอดลูกจะลางานได้ประมาณ 1 ปี และ
อาจมีการลาครึ่งวันหลังจาก 1 ปี (เคยมีผู้หญิงเดนมาร์กบอกกับผมว่า "ขอโทษนะเขาลืมขั้นตอนการทำงานไปแล้ว")
และถ้าคุณเกษียญและต้องไปพบแพทย์ ก็จะมี taxi มารับถึงบ้าน อ่อ..ค่าใช้จ่ายฟรีหมด
4. เวลาเข้างานก็อาจจะไม่ได้เจาะจงแค่ทำให้ครบวันละ 7 ชม. ก็พอ ไม่ต้องบันทึกเวลาเข้าออก หยุดเสาร์ อาทิตย์
พักร้อน ประมาณ 5 สัปดาห์ต่อปี อาจจะต้องแบ่งเป็น 2 ช่วง ซึ่งถ้าคุณป่วยและแพทย์ลงความเห็นว่าต่องหยุดล่ะก็
ลาได้ยาวเลย (ผมจำตัวเลขไม่ได้ครับว่าสูงสุดเท่าไหร่ เคยเห็นก็ 2-3 เดือน) ถ้าเครียดมากคุณก็สามารถขอย้าย
แผนกได้ และเมื่อไหร่ที่พยากรณ์อากาศบอกว่าอาจมีพายุหิมะรุนแรงในวันสัปดาห์นี้ คุณสามารถหยุดยาวทั้ง
สัปดาห์ได้เลย ไม่ถือว่าขาดงานให้ work@home เอา
5. เมื่อคุณซื้อน้ำเปล่าหรือเหล้าเบียร์ เขาจะคิดค่าขวด 1 โครนฯ (สกุลเงินเดนมาร์ก - 1DKK ~ 5 THB)
แต่ถ้าคุณเอาขวดไปคืนที่ตู้อัตโนมัติก็จะได้เงินคืน 1DKK (เคยไปเก็บขวดขายอยู่พักนึงครับ หาค่าขนม อิอิอิ)
6. ไปเดนมาร์กก็ต้องหลายครั้งเห็นตำรวจแค่ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 วันเอง (ตำรวจน้อยมาก เห็นวัวเยอะกว่าอีก)
เคยถามคนที่นั่นว่าทำไมแทบไม่เห็นตำรวจเลย เขาบอกว่าดีแล้วล่ะ ถ้าเห็นตามบ้านแปลว่ามีคนตายแน่ๆ
เขาล่ะไม่อยากเห็นเลย
7. ที่เดนมาร์กบัตรเครดิตฯ ของคนที่นั้นเขากดรหัสลับแทนการเซนต์ชื่อนะครับ ถ้าคุณเอาบัตรไปรูดก็ต้องเซนต์
ชื่อเหมือนจอนที่อยู่บ้านเราเลย
8. คนเดนมาร์กชอบออกกำลังกายครับ ขนาดอากาศหนาวประมาณ 7 องศา พวกยังฝึกเตะบอลกันกลางสนาม
อยู่เลยส่วนผมได้แต่นั่งดูอยู่ในอาคารมองตาปลิบๆ (พวกเขาไม่รู้จักความหนาวหรือไงฟร่ะ) ส่วนสาวๆ ที่นั่นก็
สวยบ้างไม่สวยบ้างคละเคล้ากันไป แต่ถ้าคุณจะจีบล่ะก็ต้องรับวัฒนธรรมเขาให้ได้นะครับ เช่น เอาขาพาดโต๊ะ
เสื้อผ้าต่างคนต่างซัก ไม่มีบริการทำให้ ไม่ได้ขี้เอาใจเหมือนกับสาวไทยนะ แชร์กันครึ่งๆ รับไม่ได้ก็เลิกกันไป
9. ผมได้เห็นโลโก้ dtac ที่เมืองหลวงของเดนมาร์กด้วยล่ะ และเคยลืมกระเป๋าโน้ตบุคไว้ แต่ก็ไม่หายได้คืน
ที่เมืองหลวงก็มีมุมมืดที่ไม่สะอาดและดูน่ากลัวเหมือนกันแต่ดีกว่าบ้านเราครับ
10. เพิ่งได้รู้ว่าในตู้ขายเครื่องดื่มนั้น มีโค้ก สไปร์ท แต่ไม่มีน้ำเขียว น้ำแดง นมถั่วเหลือง นมรสต่างๆ โยเกริต์
มีแค่ 2 รสชาติ มีกระทิงแดงและเบียร์ของไทยด้วยนะ (แอบปลื้มใจนิดๆ แต่ไม่ซืี้อดื่ม)
คงพอแค่นี้นะครับ นอกเรื่องซะเยอะเลย อิอิอิ แค่อยากเล่าสู่กันฟังครับว่าบ้านอื่นเมืองอื่นเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังไง
ก็ยังรักเมืองไทยถึงแม้จะไม่ดีเทียบเท่ากับในหลายๆ ประเทศที่เราชอบเอาไปเปรียบเทียบกัน สไตล์ใครสไตล์มันครับ
จะขออยู่และตายที่นี่ จะทำหน้าทีพลเมืองให้ดีที่สุดถ้าทุกคนทำได้ผมว่าประเทศเราก็จะเจริญได้ ผมเชื่อแบบนั้นครับ
มงคลชีวิต 38 ประการ
คือ บทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญ หรือ มี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี ทั้งหมด ๓๘ ประการ
คือ บทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญ หรือ มี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี ทั้งหมด ๓๘ ประการ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 4
คนขายของ เขียน:
บริษัท Novo Nordisk เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษใหญ่ของเดนมาร์ก มีมูลค่ากิจการสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าบริษัท ปตท. ของไทยถึง 6 เท่า เป็นบริษัทยาที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน มีฐานการผลิตอยู่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน และ บราซิล บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 83% และ มีกำไรสุทธิราวๆ 30% กำไรต่อหุ้นย้อนหลัง 5 ปีเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี และมี ROE สูงมากที่ 64% ในปี 2015 ราคาหุ้นของบริษัทขึ้นมาถึง 50% ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผลักดันให้ OMX มีผลงานที่โดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป
Novo Nordisk เป็นบ.ยาที่แม้จะไม่ใหญ่เท่าหลายบ.ในยุโรปและในอเมริกา แถมยาส่วนใหญ่จะเป็นยาเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่ผมว่ายาเบาหวานของบ.นี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มี "คูคลอง" ครับ
ปกติยาแต่ละตัว ถ้าหมดลิขสิทธิ์ บ.อื่นสามารถที่จะนำไปผลิตได้ แต่ยาของบ.นี้ส่วนใหญ่จะเป็นยาเบาหวานชนิดฉีด ซึ่งต้องมีวิธีการผลิตแบบจำเพาะ ซึ่งบ.เล็ก ๆ ไม่สามารถลอกเลียนแบบนำไปใช้ผลิตได้ถึงแม้ว่ายาจะหมดลิขสิทธิ์แล้วก็ตาม และถึงแม้จะพยายามทำให้ได้ก็อาจจะไม่คุ้มที่จะทำ หรือไม่มีความน่าเชื่อถือที่จะนำไปใช้ เพราะต้องมีความบริสุทธิ์ของยามากเพราะเป็นยาฉีด
เมื่อไม่นานมานี้บ.ยังผลิตยาเบาหวานชนิดฉีดตัวใหม่ที่ออกฤทธิ์ผ่านกลไกแบบใหม่ ราคาขายต่อเข็มค่อนข้างแพงมากสำหรับประเทศที่ประชากรมีรายได้น้อยครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 5
http://financials.morningstar.com/ratio ... ture=en-US
ผลประกอบการย้อนหลัง 10 ปีค่อนข้างดีทีเดียว
เพื่อนที่เป็นหมอบอกว่า insulin จริงๆแล้วมีหลายยี่ห้อ แต่ของ NVO ได้รับความนิยมในไทย (คิดว่าเป็นอันดับ 1 หรือ 2) เพราะ package ที่เสนอให้ดี
ผลประกอบการย้อนหลัง 10 ปีค่อนข้างดีทีเดียว
เพื่อนที่เป็นหมอบอกว่า insulin จริงๆแล้วมีหลายยี่ห้อ แต่ของ NVO ได้รับความนิยมในไทย (คิดว่าเป็นอันดับ 1 หรือ 2) เพราะ package ที่เสนอให้ดี
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 6
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 204
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์ตลาดหุ้น / คนขายของ
โพสต์ที่ 7
เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนประเทศเดนมาร์กมาเหมือนกัน เมืองเขาน่าอยู่มาก ดูสงบ ชีวิตประชาชนเเม้แต่ในโคเปนเฮเกนเอง วันทำงานยังดูไม่เร่งรีบ แสดงถึงความไม่เคร่งเครียดแต่เศรษฐกิจกับบริษัทต่างๆ กลับทำงานได้มีประสิทธิภาพ เห็นแล้วน่าทึ่งทีเดียวอาชญากรรมก็ต่ำ ขึ้นรถไฟไม่ต้องมีแผงกั้นแบบบ้านเรา อาศัยความเชื่อใจ