AGM 2560
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
AGM 2560
โพสต์ที่ 1
ช่วงนี้เป็นฤดูการประชุมประจำปีผู้ถือหุ้น
เลยขอเปิดกระทู้ให้ผู้ที่ไปประชุม มาอัปเดทข้อมูลในกระทู้กันครับ
ผมขอเริ่มจากการไปประชุมที่ ไทยคมมาครับ
ผมมาประชุม AGM ที่บริษัท ไทยคม เมื่อวานซืน
รายละเอียดของการประชุมสามารถดูการประชุมย้อนหลังได้จาก website ของบริษัทครับ เลยคิดเปลี่ยนแบบการรายงานการประชุม
เป็นการชมสินค้าของบริษัท และ มาเทียบกับ กลยุทธ์ที่กำหนดขึ้น จะได้เข้ามากขึ้น
ขอเกริ่นนำ ธุรกิจของไทยคมสักนิดสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาครับ
บริษัท ไทยคม ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจดาวเทียม และ บริการที่เกี่ยวเนื่อง บริษัทลูกในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไอพีสตาร์ ในประเทศต่างๆ
รวมถึง บริษัท ซีเอส ล๊อคอินโฟ จำกัดด้วย รายได้คิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
2. ธุรกิจอินเตอร์เน๊ตและสื่อ ผ่านบริษัทลูก จัดจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม รายได้คิดเป็น 26% ของรายได้ทั้งหมด
3. ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่น
กลยุทธ์ด้านธุรกิจ
1. กลยุทธ์ สำหรับรับบริการหลักด้านบรอดคาสต์ นำเสนอบริการคุณภาพเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีความคมชัดสูง และ เน้นขยายบริการไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้
บริการด้านบรอดแบรนด์ เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานแบนวิดธ์บนแพลตฟอร์มไอพีสตาร์ ในอินเดีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
2. กลยุทธ์สำหรับบริการทางนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และ การติดต่อสื่อสารทุกที่ ทุกเวลา บนทุกหน้าจอ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบดาวเทียมแบบเคลื่อนที่ทั้งในส่วนของการให้บริการทางอากาศและทางทะเล รวมถึงบริการส่งรายการโทรทัศน์หรือวีดีโอผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน๊ต โดยเน้นหน้าจอที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตใน 2 มิติ ทั้งเติบโตแนวราบ คือ เพิ่มจำนวนดาวเทียม และ การสร้างการเติบโตในแนวตั้ง คือ การขยายบริการลงในห่วงโซ่ธุรกิจ
ตัวอย่างของกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากการเยี่ยมชมบูธ ในงาน AGM ปีนี้
1.Digital Life box
ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เรียนรู้สู่ความสำเร็จ
แบบแรก เสนอให้กับกระทรวงไอซีที เป็น Solution ให้กับ ศูนย์ชุมชน เนื่องจาก wifi ไม่ได้เข้าถึงทุกที่ในประเทศ
ดังนั้น จึงเกิดsolutionนี้ โดย มีอุปกรณ์ จานดาวเทียม ,wifi router , play box แบบเฉพาะ
คนในชุมชนสำหรับดูข่าวสาร รายการต่างๆผ่านอุปกรณ์ที่นำมาต่อเช่น Tablet , TV
ได้ Demoเรียบร้อย ตอนนี้รอใบ PO จากกระทรวงไอซีที
แบบที่สอง เสนอให้กับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการรวบรวม คลิปการศึกษา ที่อยู่ใน Yutube มาเก็บไว้ในกล่อง
ซึ่งมี Harddisk ไว้สำหรับแต่โรงเรียนเปิดดู เนื่องจากเดิม แต่ละโรงเรียนอาจไม่มี Wifi หรือ สัญญาณไมเพียงพอ
สำหรับดูพร้อมๆกัน เลยคิด solution นี้เสนอกระทรวง และ การใช้งานในการดู วิชาเรียน สามารถดูพร้อมๆกันได้
หลายๆห้อง เนื่องจาก เนื้อหาได้ถูกเก็บไว้ใน Harddisk ของ โรงเรียนแล้ว
2. 4G-A Box
เป็นการขยายสัญญาณมือถือในที่จุดอับสัญญาณ
ตัวอย่างการใช้งานที่สำนักงาน ณ น้ำตก ทีลอซู
หรือติดไว้เป็น mobile ในรถ
3.บริษัท ได้จัดตั้ง Ipstar (อินเดีย) เมื่อ 19 มกราคม 59
ได้ผลิตตัว Modem รุ่นใหม่ ที่รับสัญญาณดีขึ้น คือ
Capricorn modem ใช้ร่วมกับ IPSTAR เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งานที่ Ground system ประเทศอินเดีย
4. บริษัทได้เปิดตัว บริการด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมบรอดแบรนด์ทางทะเล โดยมีบริษัท โอเชี่ยน ทรานส์ จำกัด
ผู้นำด้านธุรกิจทางทะเล เป็นลูกค้ารายแรกในการให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมทางทะเลแก่พนักงาน และ ลูกเรือ
ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน๊ตและอีเมลในช่วงออกปฏิบัติการทางทะเล
จากรูปเป็นชุดจานดาวเทียมเสริมสำหรับใช้งานสื่อสารบนเรือ
อยากให้ทุกบริษัท ได้จัดproductมา present ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเหมือน ไทยคม จะได้เข้าใจสินค้าและบริการมากขึ้น
เลยขอเปิดกระทู้ให้ผู้ที่ไปประชุม มาอัปเดทข้อมูลในกระทู้กันครับ
ผมขอเริ่มจากการไปประชุมที่ ไทยคมมาครับ
ผมมาประชุม AGM ที่บริษัท ไทยคม เมื่อวานซืน
รายละเอียดของการประชุมสามารถดูการประชุมย้อนหลังได้จาก website ของบริษัทครับ เลยคิดเปลี่ยนแบบการรายงานการประชุม
เป็นการชมสินค้าของบริษัท และ มาเทียบกับ กลยุทธ์ที่กำหนดขึ้น จะได้เข้ามากขึ้น
ขอเกริ่นนำ ธุรกิจของไทยคมสักนิดสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาครับ
บริษัท ไทยคม ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจดาวเทียม และ บริการที่เกี่ยวเนื่อง บริษัทลูกในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไอพีสตาร์ ในประเทศต่างๆ
รวมถึง บริษัท ซีเอส ล๊อคอินโฟ จำกัดด้วย รายได้คิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
2. ธุรกิจอินเตอร์เน๊ตและสื่อ ผ่านบริษัทลูก จัดจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม รายได้คิดเป็น 26% ของรายได้ทั้งหมด
3. ธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่น
กลยุทธ์ด้านธุรกิจ
1. กลยุทธ์ สำหรับรับบริการหลักด้านบรอดคาสต์ นำเสนอบริการคุณภาพเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ที่มีความคมชัดสูง และ เน้นขยายบริการไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชียใต้
บริการด้านบรอดแบรนด์ เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานแบนวิดธ์บนแพลตฟอร์มไอพีสตาร์ ในอินเดีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
2. กลยุทธ์สำหรับบริการทางนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และ การติดต่อสื่อสารทุกที่ ทุกเวลา บนทุกหน้าจอ โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบดาวเทียมแบบเคลื่อนที่ทั้งในส่วนของการให้บริการทางอากาศและทางทะเล รวมถึงบริการส่งรายการโทรทัศน์หรือวีดีโอผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน๊ต โดยเน้นหน้าจอที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตใน 2 มิติ ทั้งเติบโตแนวราบ คือ เพิ่มจำนวนดาวเทียม และ การสร้างการเติบโตในแนวตั้ง คือ การขยายบริการลงในห่วงโซ่ธุรกิจ
ตัวอย่างของกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากการเยี่ยมชมบูธ ในงาน AGM ปีนี้
1.Digital Life box
ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เรียนรู้สู่ความสำเร็จ
แบบแรก เสนอให้กับกระทรวงไอซีที เป็น Solution ให้กับ ศูนย์ชุมชน เนื่องจาก wifi ไม่ได้เข้าถึงทุกที่ในประเทศ
ดังนั้น จึงเกิดsolutionนี้ โดย มีอุปกรณ์ จานดาวเทียม ,wifi router , play box แบบเฉพาะ
คนในชุมชนสำหรับดูข่าวสาร รายการต่างๆผ่านอุปกรณ์ที่นำมาต่อเช่น Tablet , TV
ได้ Demoเรียบร้อย ตอนนี้รอใบ PO จากกระทรวงไอซีที
แบบที่สอง เสนอให้กับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการรวบรวม คลิปการศึกษา ที่อยู่ใน Yutube มาเก็บไว้ในกล่อง
ซึ่งมี Harddisk ไว้สำหรับแต่โรงเรียนเปิดดู เนื่องจากเดิม แต่ละโรงเรียนอาจไม่มี Wifi หรือ สัญญาณไมเพียงพอ
สำหรับดูพร้อมๆกัน เลยคิด solution นี้เสนอกระทรวง และ การใช้งานในการดู วิชาเรียน สามารถดูพร้อมๆกันได้
หลายๆห้อง เนื่องจาก เนื้อหาได้ถูกเก็บไว้ใน Harddisk ของ โรงเรียนแล้ว
2. 4G-A Box
เป็นการขยายสัญญาณมือถือในที่จุดอับสัญญาณ
ตัวอย่างการใช้งานที่สำนักงาน ณ น้ำตก ทีลอซู
หรือติดไว้เป็น mobile ในรถ
3.บริษัท ได้จัดตั้ง Ipstar (อินเดีย) เมื่อ 19 มกราคม 59
ได้ผลิตตัว Modem รุ่นใหม่ ที่รับสัญญาณดีขึ้น คือ
Capricorn modem ใช้ร่วมกับ IPSTAR เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน
ตัวอย่างการใช้งานที่ Ground system ประเทศอินเดีย
4. บริษัทได้เปิดตัว บริการด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมบรอดแบรนด์ทางทะเล โดยมีบริษัท โอเชี่ยน ทรานส์ จำกัด
ผู้นำด้านธุรกิจทางทะเล เป็นลูกค้ารายแรกในการให้บริการด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมทางทะเลแก่พนักงาน และ ลูกเรือ
ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน๊ตและอีเมลในช่วงออกปฏิบัติการทางทะเล
จากรูปเป็นชุดจานดาวเทียมเสริมสำหรับใช้งานสื่อสารบนเรือ
อยากให้ทุกบริษัท ได้จัดproductมา present ตอนประชุมผู้ถือหุ้นเหมือน ไทยคม จะได้เข้าใจสินค้าและบริการมากขึ้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 2
สรุปการประชุม AGM ประจำปี 2017 ิby น้อง Dojii
http://www.dojii.net/2017/03/thcom-agm-y2017.html#more
เหตุการณ์สำคัญในปี 2016
ในด้านลบ
- ความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ
- GMMB และ CTH ยุติการใช้บริการ หายไป 10 Transponders
- NBN ออสเตรเลีย ลดการใช้งานตามสัญญา
- ปรับค่าสัมปทานจากเดิมเป็นเพดานสูงสุด ที่ 22.5%
- ค่าเสื่อมราคาไทยคม 8 เริ่มเข้ามา
- IP Star ออสเตรเลีย เคลมค่าใช้จ่ายประกันความเสียหายของอุปกรณ์
ในด้านบวก
- มีการใช้งานเพิ่ม TC5 และ TC6 จำนวน 5 Transponders จากกลุ่ม Forever ในพม่า
- มีการใช้งาน TC8 จำนวน 4 Transponders จาก IPM
- TC4 มีการใช้งานเพิ่ม 140 MHz คิดเป็น 0.5% ของ IPSTAR
- ขายช่องสัญญาณ NBN LTSS ได้ลูกค้า 3,000 Subscribers
- ขาย IP Star ให้กับเรือของญี่ปุ่นได้อีก 4 ลำ
- ร่วมมือกับจีนเชื่อมดาวเทียมเคลื่อนที่
- ร่วมกับ Kantana ในการทำ 2nd Screen
แผนธุรกิจปี 2017
- Utilization ดาวเทียมปัจจุบันอยู่ที่ 56 - 57% ปีนี้จะพยายามเพิ่ม Utilization
- ขยายตลาดในกลุ่มอาเซียน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา เพื่อทดแทน GMMB และ CTH (ไม่สามารถแทนได้ทั้งหมด)
- พัฒนา Platform ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
- ตลาดแอฟริกาแม้มีศักยภาพสูงแต่การแข่งขันก็สูง ปัจจุบันได้พันธมิตรช่วยในการเพิ่มการขาย
- สัญญากับ NBN จะสิ้นสุดในปีนี้ บริษัทได้ทำการเปลี่ยนตัวเองจากการขาย Wholesale มาเป็นขาย Retail จะขยายฐานลูกค้า NBN LTSS จาก 3,000 เป็น 30,000 Subscribers ให้ได้ภายในปีนี้ (ไม่สามารถทดแทนรายได้จาก NBN ได้ทั้งหมด)
- สัญญากับ TOT สิ้นสุดลง พยายามขยายโครงข่ายดาวเทียมกับ AIS แต่คงไม่มากพอ
- เสนอความร่วมมือกับโครงการภาครัฐ
- ร่วมมือกับ CAT สำหรับดาวเทียมดวงต่อไป
- เร่งขาย Bandwidth ที่อินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ ปัจจุบันมีความคืบหน้าประมาณ 80%
การขยายธุรกิจ
- เพิ่มจำนวนดาวเทียมในอนาคต
- ขยายบริการลงไปในห่วงโซ่ธุรกิจ
- ลงทุนในธุรกิจใหม่ อาจเป็นการควบรวมกิจการไปยังธุรกิจอื่นโดยร่วมมือกับบริษัทแม่คือ INTUCH
ประเทศอินเดียยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ ความต้องการยังมีอยู่มากโดยอินเดียยังไม่สามารถส่งดาวเทียมให้เพียงพอกับความต้องการที่มีได้
ต้นทุนหลักของธุรกิจดาวเทียม 50% มาจากค่าเสื่อมราคา อีก 25% มาจากค่าสัมปทาน
การลงทุนดาวเทียมดวงใหม่ในอนาคตต้องมีลูกค้าแน่นอนแล้ว
TC9 พยายามเจรจากับภาครัฐให้สำเร็จ เพื่อให้สามารถส่งดาวเทียมขึ้นไปในตำแหน่งเดิมเนื่องจากลูกค้าไม่อยากหันจานเพราะจะมีค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยน แต่ลูกค้าก็มีกำหนดระยะเวลาจำกัด
ภายในสิ้นปีนี้เป้าหมายของ TC8 จะต้องได้ Utilization 50%
Panda Project จะทยอยรับรู้รายได้เป็นรายปี
http://www.dojii.net/2017/03/thcom-agm-y2017.html#more
เหตุการณ์สำคัญในปี 2016
ในด้านลบ
- ความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ
- GMMB และ CTH ยุติการใช้บริการ หายไป 10 Transponders
- NBN ออสเตรเลีย ลดการใช้งานตามสัญญา
- ปรับค่าสัมปทานจากเดิมเป็นเพดานสูงสุด ที่ 22.5%
- ค่าเสื่อมราคาไทยคม 8 เริ่มเข้ามา
- IP Star ออสเตรเลีย เคลมค่าใช้จ่ายประกันความเสียหายของอุปกรณ์
ในด้านบวก
- มีการใช้งานเพิ่ม TC5 และ TC6 จำนวน 5 Transponders จากกลุ่ม Forever ในพม่า
- มีการใช้งาน TC8 จำนวน 4 Transponders จาก IPM
- TC4 มีการใช้งานเพิ่ม 140 MHz คิดเป็น 0.5% ของ IPSTAR
- ขายช่องสัญญาณ NBN LTSS ได้ลูกค้า 3,000 Subscribers
- ขาย IP Star ให้กับเรือของญี่ปุ่นได้อีก 4 ลำ
- ร่วมมือกับจีนเชื่อมดาวเทียมเคลื่อนที่
- ร่วมกับ Kantana ในการทำ 2nd Screen
แผนธุรกิจปี 2017
- Utilization ดาวเทียมปัจจุบันอยู่ที่ 56 - 57% ปีนี้จะพยายามเพิ่ม Utilization
- ขยายตลาดในกลุ่มอาเซียน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา เพื่อทดแทน GMMB และ CTH (ไม่สามารถแทนได้ทั้งหมด)
- พัฒนา Platform ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
- ตลาดแอฟริกาแม้มีศักยภาพสูงแต่การแข่งขันก็สูง ปัจจุบันได้พันธมิตรช่วยในการเพิ่มการขาย
- สัญญากับ NBN จะสิ้นสุดในปีนี้ บริษัทได้ทำการเปลี่ยนตัวเองจากการขาย Wholesale มาเป็นขาย Retail จะขยายฐานลูกค้า NBN LTSS จาก 3,000 เป็น 30,000 Subscribers ให้ได้ภายในปีนี้ (ไม่สามารถทดแทนรายได้จาก NBN ได้ทั้งหมด)
- สัญญากับ TOT สิ้นสุดลง พยายามขยายโครงข่ายดาวเทียมกับ AIS แต่คงไม่มากพอ
- เสนอความร่วมมือกับโครงการภาครัฐ
- ร่วมมือกับ CAT สำหรับดาวเทียมดวงต่อไป
- เร่งขาย Bandwidth ที่อินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ ปัจจุบันมีความคืบหน้าประมาณ 80%
การขยายธุรกิจ
- เพิ่มจำนวนดาวเทียมในอนาคต
- ขยายบริการลงไปในห่วงโซ่ธุรกิจ
- ลงทุนในธุรกิจใหม่ อาจเป็นการควบรวมกิจการไปยังธุรกิจอื่นโดยร่วมมือกับบริษัทแม่คือ INTUCH
ประเทศอินเดียยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ ความต้องการยังมีอยู่มากโดยอินเดียยังไม่สามารถส่งดาวเทียมให้เพียงพอกับความต้องการที่มีได้
ต้นทุนหลักของธุรกิจดาวเทียม 50% มาจากค่าเสื่อมราคา อีก 25% มาจากค่าสัมปทาน
การลงทุนดาวเทียมดวงใหม่ในอนาคตต้องมีลูกค้าแน่นอนแล้ว
TC9 พยายามเจรจากับภาครัฐให้สำเร็จ เพื่อให้สามารถส่งดาวเทียมขึ้นไปในตำแหน่งเดิมเนื่องจากลูกค้าไม่อยากหันจานเพราะจะมีค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยน แต่ลูกค้าก็มีกำหนดระยะเวลาจำกัด
ภายในสิ้นปีนี้เป้าหมายของ TC8 จะต้องได้ Utilization 50%
Panda Project จะทยอยรับรู้รายได้เป็นรายปี
- theerasak24
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 621
- ผู้ติดตาม: 0
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 4
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลา ให้ข้อมูล นะครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 5
ลุงขวดไปประชุมWIIK เลยขอที่สรุปมาฝากเพื่อนๆครับ
วันนี้3/4/60 ไปAGM หุ้น WIIK ผลิตท่อHDPEสำหรับท่อน้ำประปา และมีบริษัทลูกดำเนินการจำหน่ายน้ำประปาในนิคมอุตสาหกรรมและเกาะกลางทะเล. จะมีโครงการแบบนี้อีกหลายโครงการ. จากที่ประชุมต้องการเงินอีกหกร้อยกว่าล้านเลยต้องขอที่ประชุมอนุมัติให้สามารถออกหุ้นกู้วงเงินพันล้านบาท. ผมประชุมบริษัทนี้เป็นปีที่สองแล้ว. ปีนี้เจอพวกสมาคม thaivi ใส่เสื้อสมาคมมาหลายคนและหลังประชุมเห็นรูมถามCEOคุณวิบูลย์ใหญ่เลย แสดงว่ามีกลุ่มนี้สนใจหุ้นตัวนี้มากพอควร. เมื่อปีที่แล้วผมเคยpostในthaiviว่าน่าจะเป็นหุ้นturnaround ได้ตัวหนึ่ง. และปีนี้ก็เป็นปีที่สองที่จ่ายปันผลมาให้. ถือหุ้นแล้วมีปันผลก็เป็นสิ่งดี. แต่จะดีกว่าถ้ากิจการจะเติบโตไปเรื่อยๆ. ในที่ประชุมทางCEOคาดว่าน่าจะเติบโตได้10%. และหุ้นกู้ที่ออกแล้วนำเงินมาบริหารจะให้ IRR 12% ซึ่งทั้งคู่ผมว่าน้อยไปนะ. แต่สิ่งที่เห็นคืออนาคตที่มั่นคงพอควร. ก็ต้องตามดูกันต่อไป
วันนี้3/4/60 ไปAGM หุ้น WIIK ผลิตท่อHDPEสำหรับท่อน้ำประปา และมีบริษัทลูกดำเนินการจำหน่ายน้ำประปาในนิคมอุตสาหกรรมและเกาะกลางทะเล. จะมีโครงการแบบนี้อีกหลายโครงการ. จากที่ประชุมต้องการเงินอีกหกร้อยกว่าล้านเลยต้องขอที่ประชุมอนุมัติให้สามารถออกหุ้นกู้วงเงินพันล้านบาท. ผมประชุมบริษัทนี้เป็นปีที่สองแล้ว. ปีนี้เจอพวกสมาคม thaivi ใส่เสื้อสมาคมมาหลายคนและหลังประชุมเห็นรูมถามCEOคุณวิบูลย์ใหญ่เลย แสดงว่ามีกลุ่มนี้สนใจหุ้นตัวนี้มากพอควร. เมื่อปีที่แล้วผมเคยpostในthaiviว่าน่าจะเป็นหุ้นturnaround ได้ตัวหนึ่ง. และปีนี้ก็เป็นปีที่สองที่จ่ายปันผลมาให้. ถือหุ้นแล้วมีปันผลก็เป็นสิ่งดี. แต่จะดีกว่าถ้ากิจการจะเติบโตไปเรื่อยๆ. ในที่ประชุมทางCEOคาดว่าน่าจะเติบโตได้10%. และหุ้นกู้ที่ออกแล้วนำเงินมาบริหารจะให้ IRR 12% ซึ่งทั้งคู่ผมว่าน้อยไปนะ. แต่สิ่งที่เห็นคืออนาคตที่มั่นคงพอควร. ก็ต้องตามดูกันต่อไป
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 6
AGM KBANK 3 Apr 17
วันนี้มาประชุมที่ธนาคารกสิกรไทย โดยรวมของงานประชุมจัดได้ค่อนข้างดี
มีรถตู้มารับผู้ถือหุ้นที่ KBANK พหลโยธินที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่มาก่อน
เพื่อมาส่งที่สำนักงานใหญ่ ราษฎรบูรณะ
ตอนลงทะเบียน ก็มอบของชำร่วยให้เลย ไม่ต้องเดินไปรับที่โต๊ะ แต่ถ้าใครต้องการ
รายงานประจำปีเป็นเล่มต้องเดินไปรับอีกโต๊ะ
มีสถานที่ให้ผู้ถือหุ้นนั่งพักเยอะ รวมถึงใครอยากมานั่งนอกห้องประชุมก็มีถ่ายทอด
สดมาที่ห้องรับรองด้วย เห็นผู้ถือหุ้นหลายคนไปยืนถ่ายรูปวิวของตึกและสะพานแขวนกัน
รวมถึงบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ปีนี้กรรมการ 3 ท่านออกจากตำแหน่ง
2ท่านแรก เกษียณอายุ 72 ปี คือ ศ ดร ยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ และ ศ ดร ไพรัช ธัชยพงษ์
ซึ่ง ศ ดร ไพรัช เคยเป็นอธิการบดี ของ สจล เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตอนที่ผมเรียนวิศวอยู่
ส่วนท่านสุดท้ายคือ คุณ ธีรนันท์ ศรีหงส์ ซึ่งพ้นจากการเป็นกรรมการเพราะลาออก
คุณบัณฑูร(ปั้น) ให้แต่ละท่านพูดก่อนจะหมดวาระการเป็นกรรมการ หลังเลิกประชุม
กรรมการแต่ละคนเข้ามาพูดคุย ล่ำลากัน ดูแล้ว กรรมการแต่ละท่านมีความผูกพันกับองค์กรมาก
กรรมการใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ คุณ ชนินทธ์ โทณวณิก เป็นกรรมการอิสระของธนาคาร
คุณปั้น ได้พูดถึงการขอเป็นธนาคารท้องถิ่นที่จีนใกล้จะได้แล้วเป็นรายที่สอง
พยายามมา8ปี ปัจจุบันธนาคารกสิกรมีสำนักงานตัวแทนที่ประเทศจีน 3 แห่ง
ถ้าได้อนุมัติช่วงกลางปี ก็เป็นธนาคารท้องถิ่นเหมือนกับธนาคารกรุงเทพ
ส่วนตลาดในCLMV ก็อยากไปตั้งธนาคารท้องถิ่นด้วย แต่ต้องศึกษาดูในแต่ละประเทศอีกที
คำถามที่น่าสนใจในวาระ อื่นๆ
Q: อยากให้คุณปั้นอธิบายถึงการตั้งสำรองหนี้ในปีที่แล้ว และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร
A: ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จะเจอการสำรองหนี้เสีย เป็นเรื่องปกติ
เชื่อว่าตัวเลขที่กันสำรองไว้ จะสามารถทานกระแสเฉื่อยจนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มเติบโต
แต่เชื่อว่าการลงทุนภาครัฐมากมายจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต
ส่วนมาตราฐานทางการเงินเข้มงวดขึ้น ตัวเลขสะท้อนความเป็นจริง
ธนาคารกสิกรไทย ค่อนข้างconservative ไม่ปล่อยสินเช่าง่ายๆ
ข้อมูลเสริมจาก สำนักข่าวอินโฟเควสท์
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ ถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารในปี 60 ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มการขยายตัวในกรอบจำกัด และมีการแข่งขันในรูปแบบใหม่ ท่ามกลางตลาดการแข่งขันที่กว้างขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก ดังนั้น ธนาคารก็ได้กำหนดกลยุทธ์ โดยมุ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถในการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำเอาเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรและธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน และการยกระดับคุณภาพการขายและการบริการ ซึ่งธนาคารจะดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าบรรษัท ,กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ และกลุ่มลูกค้าบุคคล
ส่วนกลยุทธ์ธุรกิจข้ามประเทศ จะมุ่งเน้นขยายการให้บริการเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนของลูกค้า ผ่านทางสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศ การให้บริการผ่านระบบดิจิทัล และการเชื่อมต่อกับธนาคารพันธมิตร (Partner bank) ในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารหลักของลูกค้าสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ และการชำระเงินข้ามประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+3 ได้แก่ ประเทศไทย,เมียนมา,มาเลเซีย,อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ,สิงคโปร์ ,เวียดนาม ,สปป.ลาว ,กัมพูชา และบรูไน รวมถึง จีน,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการไปลงทุนยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการชำระเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการยกระดับสาขาในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เป็นธนาคารท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารกสิกรไทยในประเทศจีน ได้ในช่วงกลางปีนี้
นอกจากนี้ประเมินทิศทางธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 60 เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อมีโอกาสขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน จากการลงทุนภาครัฐ และเอกชน ตลอดจนการปลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือนบางส่วน จากการสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้รายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัญหาคุณภาพหนี้ของธนาคารพาณิชย์ยังมีแนวโน้มลดลง หลังเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่เริ่มกลับสู่ทิศทางขาขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝาก และตั๋วแลกเงิน (LTD+B/E) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นแรงกดดันต่อการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย และทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากปีก่อน
ส่วนแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ คงต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยเฉพาะการเปิดให้บริการโครงการพร้อมเพย์ และการเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นใหม่ๆ อย่างกลุ่มธุรกรรมการชำระเงิน
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 60 คาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวได้ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากนโยบายที่ให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะมีผลต่อบรรยากาศการค้าโลก อีกทั้งยังมีเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความไม่แน่นอนจากฝั่งสหภาพยุโรป โดยเฉพาะการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร และการเลือกตั้งของหลายประเทศในยูโรโซน ซึ่งอาจจะทำให้นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกในปี 60 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากทิศทางในปี 59 มากนัก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับเปลี่ยนขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางแห่งอื่นๆทั่วโลก อาจจะมีลักษณะที่ผ่อนปรนไปตลอดทั้งปี แม้ว่าทิศทางเงินเฟ้อของบางประเทศจะเริ่มทยอยขยับขึ้น ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม
ด้านประเทศไทยในปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3% ซึ่งจะเป็นการเติบโตได้อย่างสมดุลมากขึ้น จากการส่งออกที่น่าจะได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ขณะเดียวกันการลงทุนของภาคเอกชนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการเชื่อมโยงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ
ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินของไทย คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับที่ 1.50% ตลอดปี 60 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็น่าจะมีแรงหนุนจากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดตลอดทั้งปี
นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า การลาออกจากตำแหน่งของนายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ของ KBANK และประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส- เทคโนโลยีกรุ๊ป (KBTG) จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการนำเอาเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่สำคัญของ KBTG จะสามารถพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม KBTG เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธนาคาร สู่การเป็นธนาคารแห่งอนาคตแบบดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจเทคโนโลยี (Business-Technology) และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศพร้อมนำพาให้ธนาคารสามารถรับมือในทุกมิติจากการเปลี่ยนแปลง (Disruption
Force)
วันนี้มาประชุมที่ธนาคารกสิกรไทย โดยรวมของงานประชุมจัดได้ค่อนข้างดี
มีรถตู้มารับผู้ถือหุ้นที่ KBANK พหลโยธินที่เคยเป็นสำนักงานใหญ่มาก่อน
เพื่อมาส่งที่สำนักงานใหญ่ ราษฎรบูรณะ
ตอนลงทะเบียน ก็มอบของชำร่วยให้เลย ไม่ต้องเดินไปรับที่โต๊ะ แต่ถ้าใครต้องการ
รายงานประจำปีเป็นเล่มต้องเดินไปรับอีกโต๊ะ
มีสถานที่ให้ผู้ถือหุ้นนั่งพักเยอะ รวมถึงใครอยากมานั่งนอกห้องประชุมก็มีถ่ายทอด
สดมาที่ห้องรับรองด้วย เห็นผู้ถือหุ้นหลายคนไปยืนถ่ายรูปวิวของตึกและสะพานแขวนกัน
รวมถึงบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ปีนี้กรรมการ 3 ท่านออกจากตำแหน่ง
2ท่านแรก เกษียณอายุ 72 ปี คือ ศ ดร ยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ และ ศ ดร ไพรัช ธัชยพงษ์
ซึ่ง ศ ดร ไพรัช เคยเป็นอธิการบดี ของ สจล เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตอนที่ผมเรียนวิศวอยู่
ส่วนท่านสุดท้ายคือ คุณ ธีรนันท์ ศรีหงส์ ซึ่งพ้นจากการเป็นกรรมการเพราะลาออก
คุณบัณฑูร(ปั้น) ให้แต่ละท่านพูดก่อนจะหมดวาระการเป็นกรรมการ หลังเลิกประชุม
กรรมการแต่ละคนเข้ามาพูดคุย ล่ำลากัน ดูแล้ว กรรมการแต่ละท่านมีความผูกพันกับองค์กรมาก
กรรมการใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ คุณ ชนินทธ์ โทณวณิก เป็นกรรมการอิสระของธนาคาร
คุณปั้น ได้พูดถึงการขอเป็นธนาคารท้องถิ่นที่จีนใกล้จะได้แล้วเป็นรายที่สอง
พยายามมา8ปี ปัจจุบันธนาคารกสิกรมีสำนักงานตัวแทนที่ประเทศจีน 3 แห่ง
ถ้าได้อนุมัติช่วงกลางปี ก็เป็นธนาคารท้องถิ่นเหมือนกับธนาคารกรุงเทพ
ส่วนตลาดในCLMV ก็อยากไปตั้งธนาคารท้องถิ่นด้วย แต่ต้องศึกษาดูในแต่ละประเทศอีกที
คำถามที่น่าสนใจในวาระ อื่นๆ
Q: อยากให้คุณปั้นอธิบายถึงการตั้งสำรองหนี้ในปีที่แล้ว และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร
A: ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จะเจอการสำรองหนี้เสีย เป็นเรื่องปกติ
เชื่อว่าตัวเลขที่กันสำรองไว้ จะสามารถทานกระแสเฉื่อยจนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มเติบโต
แต่เชื่อว่าการลงทุนภาครัฐมากมายจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต
ส่วนมาตราฐานทางการเงินเข้มงวดขึ้น ตัวเลขสะท้อนความเป็นจริง
ธนาคารกสิกรไทย ค่อนข้างconservative ไม่ปล่อยสินเช่าง่ายๆ
ข้อมูลเสริมจาก สำนักข่าวอินโฟเควสท์
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันนี้ ถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารในปี 60 ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มการขยายตัวในกรอบจำกัด และมีการแข่งขันในรูปแบบใหม่ ท่ามกลางตลาดการแข่งขันที่กว้างขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก ดังนั้น ธนาคารก็ได้กำหนดกลยุทธ์ โดยมุ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถในการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำเอาเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรและธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน และการยกระดับคุณภาพการขายและการบริการ ซึ่งธนาคารจะดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าบรรษัท ,กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ และกลุ่มลูกค้าบุคคล
ส่วนกลยุทธ์ธุรกิจข้ามประเทศ จะมุ่งเน้นขยายการให้บริการเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนของลูกค้า ผ่านทางสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศ การให้บริการผ่านระบบดิจิทัล และการเชื่อมต่อกับธนาคารพันธมิตร (Partner bank) ในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารหลักของลูกค้าสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ และการชำระเงินข้ามประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+3 ได้แก่ ประเทศไทย,เมียนมา,มาเลเซีย,อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ,สิงคโปร์ ,เวียดนาม ,สปป.ลาว ,กัมพูชา และบรูไน รวมถึง จีน,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการไปลงทุนยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการชำระเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการยกระดับสาขาในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เป็นธนาคารท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารกสิกรไทยในประเทศจีน ได้ในช่วงกลางปีนี้
นอกจากนี้ประเมินทิศทางธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 60 เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อมีโอกาสขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน จากการลงทุนภาครัฐ และเอกชน ตลอดจนการปลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือนบางส่วน จากการสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้รายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัญหาคุณภาพหนี้ของธนาคารพาณิชย์ยังมีแนวโน้มลดลง หลังเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่เริ่มกลับสู่ทิศทางขาขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝาก และตั๋วแลกเงิน (LTD+B/E) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นแรงกดดันต่อการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย และทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากปีก่อน
ส่วนแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ คงต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยเฉพาะการเปิดให้บริการโครงการพร้อมเพย์ และการเข้ามาแข่งขันของผู้เล่นใหม่ๆ อย่างกลุ่มธุรกรรมการชำระเงิน
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 60 คาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวได้ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากนโยบายที่ให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะมีผลต่อบรรยากาศการค้าโลก อีกทั้งยังมีเรื่องของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความไม่แน่นอนจากฝั่งสหภาพยุโรป โดยเฉพาะการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร และการเลือกตั้งของหลายประเทศในยูโรโซน ซึ่งอาจจะทำให้นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกในปี 60 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากทิศทางในปี 59 มากนัก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับเปลี่ยนขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางแห่งอื่นๆทั่วโลก อาจจะมีลักษณะที่ผ่อนปรนไปตลอดทั้งปี แม้ว่าทิศทางเงินเฟ้อของบางประเทศจะเริ่มทยอยขยับขึ้น ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม
ด้านประเทศไทยในปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3% ซึ่งจะเป็นการเติบโตได้อย่างสมดุลมากขึ้น จากการส่งออกที่น่าจะได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ขณะเดียวกันการลงทุนของภาคเอกชนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการเชื่อมโยงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ
ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินของไทย คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับที่ 1.50% ตลอดปี 60 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็น่าจะมีแรงหนุนจากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดตลอดทั้งปี
นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า การลาออกจากตำแหน่งของนายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ของ KBANK และประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส- เทคโนโลยีกรุ๊ป (KBTG) จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการนำเอาเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่สำคัญของ KBTG จะสามารถพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม KBTG เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธนาคาร สู่การเป็นธนาคารแห่งอนาคตแบบดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจเทคโนโลยี (Business-Technology) และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศพร้อมนำพาให้ธนาคารสามารถรับมือในทุกมิติจากการเปลี่ยนแปลง (Disruption
Force)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 7
AGM BANPU
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 สำหรับธุรกิจถ่านหิน บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณการขายถ่านหินอยู่ที่ราว 47 ล้านตัน จาก 44.5 ล้านตันในปีก่อน แบ่งเป็น การขายจากเหมืองในอินโดนีเชีย 25.5 ล้านตัน ,ออสเตรเลีย 12.5 ล้านตัน และจีนราว 9-10 ล้านตัน ซึ่งสูงจากเดิมที่คาดว่าปีนี้จะมีปริมาณขายใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นไปตามแนวโน้มราคาถ่านหินที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากปี 59 ที่ราคาขายถ่านหินของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 51.5 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ขณะที่เชื่อว่าทิศทางของราคาถ่านหินจากนี้ไป ทั้งปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ถ่านหินน่าจะปรับตัวสมดุลกันมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินมีเสถียรภาพมากขึ้น และน่าจะหนุนให้รายได้ของบริษัทในปีนี้เติบโตกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทได้ขายถ่านหินล่วงหน้า จากเหมืองอินโดนีเซียไปแล้ว 61% และยังเหลืออีก 39% ที่ยังไม่ได้ขาย ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูจังหวะราคาขายที่เหมาะสม ส่วนในประเทศออสเตรเลีย ได้ขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้ว 89% เหลืออีก 11% ที่ยังไม่ได้ขาย
พร้อมกันนี้การดำเนินงานอื่น ๆ ของธุรกิจถ่านหิน บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิตอย่างต่อเนื่อง , พัฒนาระบบการขนส่ง โดยการพัฒนาถนนที่ใช้ในการขนส่ง บริหารการขนส่งโดยรถไฟ ปรับปรุงเครื่องจักรลำเลียงถ่านหิน และปรับปรุงการขนส่งทางเรือ, พัฒนาการดำเนินการขาย จากการพัฒนาสินค้า และการขยายฐานลูกค้า ซึ่งบริษัทจะขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลกำไรในทุกสัดส่วนของการผลิต จากการบริหารการซื้อถ่านหินในแหล่งอื่น และบริหารต้นทุนราคาน้ำมัน
สำหรับการลงทุนของธุรกิจถ่านหิน บริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน หรือเข้าซื้อเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ ในประเทศอินโดนีเชีย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และก็อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อเหมืองถ่านหิน ในประเทศออสเตรเลียเพิ่มเติมอีก
นางสมฤดี กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทวางเป้าหมายในปี 68 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 เมกะวัตต์ และจะมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,930 เมกะวัตต์
โดยแผนการดำเนินงานในธุรกิจพลังงาน ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง มณฑลซานซี ประเทศจีน กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการดำเนินงานไปแล้วราว 35% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 61 และน่าจะสามารถรับรู้กำไรเข้ามาได้ในช่วงปลายปีหน้า
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมืออยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ โดยได้จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) แล้ว 103.6 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 97 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการจัดหาเงินทุนไว้แล้ว โดยยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ,เวียดนาม ,ลาว และจีน ประกอบกับยังมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานลม ในแถบเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
ด้านธุรกิจ Oil & Gas ที่ปัจจุบันมีอยู่ 2 โครงการ ในสหรัฐฯ คาดว่าในปีนี้ จะได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นางสมฤดี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงแผนการดำเนินงาน 5 ปี (ปี 59-63) ไว้ตามเดิม โดยมองว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 70% เป็นไปตามการผลิต และราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง และธุรกิจพลังงาน คาดว่าในปี 63 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2,580 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% ขณะที่ธุรกิจ Oil & Gas จะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติเห็นด้วย และอนุมัติให้บริษัทออกและขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะเป็นสกุลเงินบาท หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ตามสมควร เพื่อทดแทนมติวงเงินหุ้นกู้เดิม ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้ ก็ต่อเมื่อมีความต้องการใช้เงิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็จะมีการออกหุ้นกู้ปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ
Cr:Infoquest
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 สำหรับธุรกิจถ่านหิน บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณการขายถ่านหินอยู่ที่ราว 47 ล้านตัน จาก 44.5 ล้านตันในปีก่อน แบ่งเป็น การขายจากเหมืองในอินโดนีเชีย 25.5 ล้านตัน ,ออสเตรเลีย 12.5 ล้านตัน และจีนราว 9-10 ล้านตัน ซึ่งสูงจากเดิมที่คาดว่าปีนี้จะมีปริมาณขายใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นไปตามแนวโน้มราคาถ่านหินที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากปี 59 ที่ราคาขายถ่านหินของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 51.5 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ขณะที่เชื่อว่าทิศทางของราคาถ่านหินจากนี้ไป ทั้งปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ถ่านหินน่าจะปรับตัวสมดุลกันมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินมีเสถียรภาพมากขึ้น และน่าจะหนุนให้รายได้ของบริษัทในปีนี้เติบโตกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทได้ขายถ่านหินล่วงหน้า จากเหมืองอินโดนีเซียไปแล้ว 61% และยังเหลืออีก 39% ที่ยังไม่ได้ขาย ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูจังหวะราคาขายที่เหมาะสม ส่วนในประเทศออสเตรเลีย ได้ขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้ว 89% เหลืออีก 11% ที่ยังไม่ได้ขาย
พร้อมกันนี้การดำเนินงานอื่น ๆ ของธุรกิจถ่านหิน บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิตอย่างต่อเนื่อง , พัฒนาระบบการขนส่ง โดยการพัฒนาถนนที่ใช้ในการขนส่ง บริหารการขนส่งโดยรถไฟ ปรับปรุงเครื่องจักรลำเลียงถ่านหิน และปรับปรุงการขนส่งทางเรือ, พัฒนาการดำเนินการขาย จากการพัฒนาสินค้า และการขยายฐานลูกค้า ซึ่งบริษัทจะขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลกำไรในทุกสัดส่วนของการผลิต จากการบริหารการซื้อถ่านหินในแหล่งอื่น และบริหารต้นทุนราคาน้ำมัน
สำหรับการลงทุนของธุรกิจถ่านหิน บริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน หรือเข้าซื้อเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ ในประเทศอินโดนีเชีย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และก็อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อเหมืองถ่านหิน ในประเทศออสเตรเลียเพิ่มเติมอีก
นางสมฤดี กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทวางเป้าหมายในปี 68 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 เมกะวัตต์ และจะมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,930 เมกะวัตต์
โดยแผนการดำเนินงานในธุรกิจพลังงาน ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง มณฑลซานซี ประเทศจีน กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการดำเนินงานไปแล้วราว 35% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 61 และน่าจะสามารถรับรู้กำไรเข้ามาได้ในช่วงปลายปีหน้า
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมืออยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ โดยได้จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) แล้ว 103.6 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 97 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการจัดหาเงินทุนไว้แล้ว โดยยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ,เวียดนาม ,ลาว และจีน ประกอบกับยังมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานลม ในแถบเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
ด้านธุรกิจ Oil & Gas ที่ปัจจุบันมีอยู่ 2 โครงการ ในสหรัฐฯ คาดว่าในปีนี้ จะได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นางสมฤดี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงแผนการดำเนินงาน 5 ปี (ปี 59-63) ไว้ตามเดิม โดยมองว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 70% เป็นไปตามการผลิต และราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง และธุรกิจพลังงาน คาดว่าในปี 63 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2,580 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% ขณะที่ธุรกิจ Oil & Gas จะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติเห็นด้วย และอนุมัติให้บริษัทออกและขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะเป็นสกุลเงินบาท หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ตามสมควร เพื่อทดแทนมติวงเงินหุ้นกู้เดิม ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้ ก็ต่อเมื่อมีความต้องการใช้เงิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็จะมีการออกหุ้นกู้ปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ
Cr:Infoquest
-
- Verified User
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 8
สรุปการประชุม AGM ประจำปี 2017
http://www.dojii.net/2017/04/col-agm-y2017.html#more
ผลงานปี 2016
รายได้รวมเติบโต 8.8%
รายได้จากการขายเติบโต 8.0%
Gross Profit เติบโต 9.9% ในขณะที่ Net Profit ลดลง 2.4% เป็นผลมาจากการขาดทุนในธุรกิจ Online
สัดส่วนรายได้จากการขายมาจากธุรกิจ OFM 60% ธุรกิจ B2S 36% และธุรกิจ Online 4%
สิ้นปี 2016 ธุรกิจ OFM มีสาขารวมทั้งสิ้น 64 สาขา จับกลุ่มตลาด SOHO (Small Office Home Office) มากขึ้น มีการร่วมออกบูธในงานบ้านและสวนแฟร์ ในส่วนของ Own Brand ทั้ง One และ Furradec ยังทำได้ดี
ธุรกิจ B2S ปี 2016 บุกตลาดต่างประเทศ (เวียดนาม) ร้าน B2S ในเวียดนามเป็นการรวม OFM และ B2S เข้าด้วยกัน B2S เวียดนามหมายถึง Business to School เปิด Soft Opening สาขาแรกที่โฮจิมินห์ไปแล้ว เปิดจริงเดือนหน้า
สำหรับสาขาในประเทศไทยมีการปรับ format สาขา เริ่มทำ format school สำหรับสาขาใกล้โรงเรียน
แผนงานปี 2017
มี 4 Strategies
1. พัฒนาตัวเองเป็น 3rd party logistic เมื่อคลังใหม่เสร็จจะมีความสามารถของคลังเหลือให้บริการ Out Source ได้ คลังใหม่ใช้ Robot ทันสมัยที่สุดใน Asian มีพื้นที่มากว่าคลังเก่าประมาณ 30% แต่สามารถรองรับยอดขายได้มากกว่า 3 เท่า (พื้นที่คลังเก่า 15,000 ตร.ม. พื้นที่คลังใหม่ 20,000 ตร.ม.) คิดว่ามี Capacity เหลือพอในการบริการ logistic ให้กับคนอื่นแบบครบวงจรทั้งรับฝากสินค้า จัดส่ง จนกระทั่งเก็บเงินให้กับลูกค้า
2. พัฒนา format franchise ร้านเฟรนไชส์จะสามารถขายของได้เหมือนกับ OFM ทำให้สามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น ถ้า Model นี้สำเร็จในประเทศไทย จะเอา Model นี้ขยายทั่วเอเชีย ปัจจุบันกำลังทำให้ร้าน OFM เล็กลงแต่ยอดขายต่อตารางเมตรไม่ลดลง
3. พัฒนา OFM ให้เป็น B2B Platform ต่อไป OFM จะขายทุกอย่างที่ธุรกิจต้องการ อาจรวมไปถึงพวกไขควง เพราะปัจจุบันมีลูกค้าโรงงานเป็นหมื่นแห่ง
4. แปลงตัวเองจาก Office Supply เป็น The Total Business Solution Provider ถ้าองค์กรต้องการอะไรเรามีให้หมดทุกอย่าง หากบริษัทอยากทำแฟ้มที่เป็นโลโก้ของตัวเอง OFM จะทำให้ได้
ธุรกิจ Online
เนื่องจากอุตสาหกรรม Online เปลี่ยนแปลงเร็วและแข่งขันรุนแรง บริษัทไม่อยากแข่งขาดทุน จึงคิดว่าจะตัดธุรกิจ Online (CGO) ให้กับทาง Central Group
สเกลของ COL เล็กเกินไปที่จะแข่งกับคู่แข่ง Online ระดับโลก การกลับมา Focus ในธุรกิจที่ชำนาญน่าจะดีกว่า
หากดูผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2015 ถ้าไม่รวมขาดทุนจากธุรกิจ Online กำไรจะเพิ่มจาก 394 ล้านบาท เป็น 579 ล้านบาท (47%) ในขณะที่ปี 2016 หากไม่มีขาดทุนใน Online กำไรจะเพิ่มจาก 384 ล้านบาท เป็น 714 ล้านบาท (86%)
ธุรกิจ Online จากนี้ไปจะ Focus เฉพาะตลาดองค์กร ตลาด Online กับ B2B ยังไม่ค่อยมีคู่แข่ง จะทำให้บริษัทเป็น Destination ของภาคองค์กร
แผนงานคือจะเลิกทำธุรกิจ Online ทั้งหมดในเครือ Central เหลือเพียงธุรกิจ Online ที่เกี่ยวข้องกับ OFM และ B2S
คลังสินค้าใหม่น่าจะเปิดใช้งานได้ประมาณกลางปีหน้า สำหรับเฟรนไชส์คาดว่าจะเปิดช่วงใกล้ๆ กับคลังสินค้า ช่วงแรกของการเปิดตัวตั้งเป้า 100 เฟรนไชส์ โดยรูปแบบเฟรนไชส์จะเป็น OFM ก่อน
Market Place ที่เคยอยู่ในแผนจะไม่ทำแล้ว
สภาวะตลาดเครื่องเขียนเวียดนามเหมือนของไทยเมื่อ 25 ปีที่แล้ว แต่เวียดนามมีการเติบโตสูงและยังโตได้อีกอย่างน้อย 10 ปีต่อเนื่อง
เวียดนามค่อนข้างชอบสินค้าไทยแต่ไม่ค่อยชอบสินค้าจีน อาจมีผลกับ Own Brand บางตัวที่นำเข้าจากจีน
ยังไม่มี Modern Trade Office Supply ในเวียดนาม เชื่อว่าศักยภาพของ OFM น่าจะแข็งแรงที่สุด
ปีนี้จะเปิด B2S เพิ่มอีก 1 สาขา ที่โฮจิมินห์
จุดคุ้มทุน B2S เวียดนามน่าจะประมาณ 3 ปี Supplier ในเวียดนามส่วนใหญ่เป็น Supplier ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว
Meb ทำกำไรได้ดี มีกำไร 8 - 9% จะเข้าตลาดหรือไม่ขอดูอีกที แต่ยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก
ธุรกิจ Online จะตัดขายในระดับไหน CGO อย่างเดียวหรือ CGO + Synergy ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
เป้าหมายรายได้ Online (ที่เหลือ) ในปี 2021 อยู่ที่มากกว่า 5,000 ล้านบาท ขายสินค้ามากกว่า 150,000 SKUs ปัจจุบันรายได้ Online ของ OFM อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ตลาด B2B เฉพาะในประเทศใหญ่กว่า B2C 2 - 3 เท่า การแข่งขันต่ำ และเป็นตลาดที่ OFM ชำนาญ
ลูกค้าของ OFM เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 80% ของบริษัทจดทะเบียน โฟกัสที่จะเข้าไปใหม่คือ ธุรกิจ SME ซึ่งมีเป็นล้านราย
ปีนี้คาดว่าสามารถเติบโตทาง Online ประมาณ 50% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมีน้อยมาก เป็นการเติบโตตามตลาด Organic Growth
แผนการขายธุรกิจ Online (CGO) เร็วสุดประมาณไตรมาส 2 ช้าสุดไม่เกินไตรมาส 3
หลังคลังสินค้าใหม่เสร็จจะย้ายจากคลังเก่าไปใช้คลังใหม่ทั้งหมด ส่วนคลังเก่าจะ Renovate หรือทำอย่างไรค่อยพิจารณาอีกที
ธุรกิจส่งของให้ เริ่มทำแล้วร่วมกับ Kerry ส่วน B2B Platform ใหม่น่าจะเริ่มได้กลางปีหน้า
ยอดขาย Meb ปี 2559 อยู่ที่ 267 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท
2-3 ปีที่ผ่านมา สามารถเปลี่ยน B2S จากธุรกิจขาลงมาเป็น Cash Cow ต่อไปพยายามเปลี่ยนให้เป็น Star อัตราการทำกำไรของ B2S (เกือบ 10%) ดีกว่า OFM (ประมาณ 6%) แต่การเติบโตยังไม่ดี
B2S สาขาเปิดใหม่ใช้พื้นที่เล็กลง พยายามทำให้ยอดขายต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้น
ระยะเวลาคืนทุน East Ville ประมาณ 6 ปี
Trend Online ยังคงเป็น Omni Channel
ธุรกิจ Logistic ที่จะทำยังไม่มีคู่แข่งตรงๆ ที่ทำเหมือนกัน OFM จะทำหน้าที่เป็น Hub ของ Logistic
Link สำหรับเอกสารประกอบการประชุม COL AGM 2017
http://col.listedcompany.com/misc/prese ... gm2017.pdf
http://www.dojii.net/2017/04/col-agm-y2017.html#more
ผลงานปี 2016
รายได้รวมเติบโต 8.8%
รายได้จากการขายเติบโต 8.0%
Gross Profit เติบโต 9.9% ในขณะที่ Net Profit ลดลง 2.4% เป็นผลมาจากการขาดทุนในธุรกิจ Online
สัดส่วนรายได้จากการขายมาจากธุรกิจ OFM 60% ธุรกิจ B2S 36% และธุรกิจ Online 4%
สิ้นปี 2016 ธุรกิจ OFM มีสาขารวมทั้งสิ้น 64 สาขา จับกลุ่มตลาด SOHO (Small Office Home Office) มากขึ้น มีการร่วมออกบูธในงานบ้านและสวนแฟร์ ในส่วนของ Own Brand ทั้ง One และ Furradec ยังทำได้ดี
ธุรกิจ B2S ปี 2016 บุกตลาดต่างประเทศ (เวียดนาม) ร้าน B2S ในเวียดนามเป็นการรวม OFM และ B2S เข้าด้วยกัน B2S เวียดนามหมายถึง Business to School เปิด Soft Opening สาขาแรกที่โฮจิมินห์ไปแล้ว เปิดจริงเดือนหน้า
สำหรับสาขาในประเทศไทยมีการปรับ format สาขา เริ่มทำ format school สำหรับสาขาใกล้โรงเรียน
แผนงานปี 2017
มี 4 Strategies
1. พัฒนาตัวเองเป็น 3rd party logistic เมื่อคลังใหม่เสร็จจะมีความสามารถของคลังเหลือให้บริการ Out Source ได้ คลังใหม่ใช้ Robot ทันสมัยที่สุดใน Asian มีพื้นที่มากว่าคลังเก่าประมาณ 30% แต่สามารถรองรับยอดขายได้มากกว่า 3 เท่า (พื้นที่คลังเก่า 15,000 ตร.ม. พื้นที่คลังใหม่ 20,000 ตร.ม.) คิดว่ามี Capacity เหลือพอในการบริการ logistic ให้กับคนอื่นแบบครบวงจรทั้งรับฝากสินค้า จัดส่ง จนกระทั่งเก็บเงินให้กับลูกค้า
2. พัฒนา format franchise ร้านเฟรนไชส์จะสามารถขายของได้เหมือนกับ OFM ทำให้สามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น ถ้า Model นี้สำเร็จในประเทศไทย จะเอา Model นี้ขยายทั่วเอเชีย ปัจจุบันกำลังทำให้ร้าน OFM เล็กลงแต่ยอดขายต่อตารางเมตรไม่ลดลง
3. พัฒนา OFM ให้เป็น B2B Platform ต่อไป OFM จะขายทุกอย่างที่ธุรกิจต้องการ อาจรวมไปถึงพวกไขควง เพราะปัจจุบันมีลูกค้าโรงงานเป็นหมื่นแห่ง
4. แปลงตัวเองจาก Office Supply เป็น The Total Business Solution Provider ถ้าองค์กรต้องการอะไรเรามีให้หมดทุกอย่าง หากบริษัทอยากทำแฟ้มที่เป็นโลโก้ของตัวเอง OFM จะทำให้ได้
ธุรกิจ Online
เนื่องจากอุตสาหกรรม Online เปลี่ยนแปลงเร็วและแข่งขันรุนแรง บริษัทไม่อยากแข่งขาดทุน จึงคิดว่าจะตัดธุรกิจ Online (CGO) ให้กับทาง Central Group
สเกลของ COL เล็กเกินไปที่จะแข่งกับคู่แข่ง Online ระดับโลก การกลับมา Focus ในธุรกิจที่ชำนาญน่าจะดีกว่า
หากดูผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2015 ถ้าไม่รวมขาดทุนจากธุรกิจ Online กำไรจะเพิ่มจาก 394 ล้านบาท เป็น 579 ล้านบาท (47%) ในขณะที่ปี 2016 หากไม่มีขาดทุนใน Online กำไรจะเพิ่มจาก 384 ล้านบาท เป็น 714 ล้านบาท (86%)
ธุรกิจ Online จากนี้ไปจะ Focus เฉพาะตลาดองค์กร ตลาด Online กับ B2B ยังไม่ค่อยมีคู่แข่ง จะทำให้บริษัทเป็น Destination ของภาคองค์กร
แผนงานคือจะเลิกทำธุรกิจ Online ทั้งหมดในเครือ Central เหลือเพียงธุรกิจ Online ที่เกี่ยวข้องกับ OFM และ B2S
คลังสินค้าใหม่น่าจะเปิดใช้งานได้ประมาณกลางปีหน้า สำหรับเฟรนไชส์คาดว่าจะเปิดช่วงใกล้ๆ กับคลังสินค้า ช่วงแรกของการเปิดตัวตั้งเป้า 100 เฟรนไชส์ โดยรูปแบบเฟรนไชส์จะเป็น OFM ก่อน
Market Place ที่เคยอยู่ในแผนจะไม่ทำแล้ว
สภาวะตลาดเครื่องเขียนเวียดนามเหมือนของไทยเมื่อ 25 ปีที่แล้ว แต่เวียดนามมีการเติบโตสูงและยังโตได้อีกอย่างน้อย 10 ปีต่อเนื่อง
เวียดนามค่อนข้างชอบสินค้าไทยแต่ไม่ค่อยชอบสินค้าจีน อาจมีผลกับ Own Brand บางตัวที่นำเข้าจากจีน
ยังไม่มี Modern Trade Office Supply ในเวียดนาม เชื่อว่าศักยภาพของ OFM น่าจะแข็งแรงที่สุด
ปีนี้จะเปิด B2S เพิ่มอีก 1 สาขา ที่โฮจิมินห์
จุดคุ้มทุน B2S เวียดนามน่าจะประมาณ 3 ปี Supplier ในเวียดนามส่วนใหญ่เป็น Supplier ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว
Meb ทำกำไรได้ดี มีกำไร 8 - 9% จะเข้าตลาดหรือไม่ขอดูอีกที แต่ยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก
ธุรกิจ Online จะตัดขายในระดับไหน CGO อย่างเดียวหรือ CGO + Synergy ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
เป้าหมายรายได้ Online (ที่เหลือ) ในปี 2021 อยู่ที่มากกว่า 5,000 ล้านบาท ขายสินค้ามากกว่า 150,000 SKUs ปัจจุบันรายได้ Online ของ OFM อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ตลาด B2B เฉพาะในประเทศใหญ่กว่า B2C 2 - 3 เท่า การแข่งขันต่ำ และเป็นตลาดที่ OFM ชำนาญ
ลูกค้าของ OFM เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 80% ของบริษัทจดทะเบียน โฟกัสที่จะเข้าไปใหม่คือ ธุรกิจ SME ซึ่งมีเป็นล้านราย
ปีนี้คาดว่าสามารถเติบโตทาง Online ประมาณ 50% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมีน้อยมาก เป็นการเติบโตตามตลาด Organic Growth
แผนการขายธุรกิจ Online (CGO) เร็วสุดประมาณไตรมาส 2 ช้าสุดไม่เกินไตรมาส 3
หลังคลังสินค้าใหม่เสร็จจะย้ายจากคลังเก่าไปใช้คลังใหม่ทั้งหมด ส่วนคลังเก่าจะ Renovate หรือทำอย่างไรค่อยพิจารณาอีกที
ธุรกิจส่งของให้ เริ่มทำแล้วร่วมกับ Kerry ส่วน B2B Platform ใหม่น่าจะเริ่มได้กลางปีหน้า
ยอดขาย Meb ปี 2559 อยู่ที่ 267 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท
2-3 ปีที่ผ่านมา สามารถเปลี่ยน B2S จากธุรกิจขาลงมาเป็น Cash Cow ต่อไปพยายามเปลี่ยนให้เป็น Star อัตราการทำกำไรของ B2S (เกือบ 10%) ดีกว่า OFM (ประมาณ 6%) แต่การเติบโตยังไม่ดี
B2S สาขาเปิดใหม่ใช้พื้นที่เล็กลง พยายามทำให้ยอดขายต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้น
ระยะเวลาคืนทุน East Ville ประมาณ 6 ปี
Trend Online ยังคงเป็น Omni Channel
ธุรกิจ Logistic ที่จะทำยังไม่มีคู่แข่งตรงๆ ที่ทำเหมือนกัน OFM จะทำหน้าที่เป็น Hub ของ Logistic
Link สำหรับเอกสารประกอบการประชุม COL AGM 2017
http://col.listedcompany.com/misc/prese ... gm2017.pdf
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 9
ขอบใจน้องนัทครับ ขอเสริมของลุงขวด
วันนี้5/4/60ได้ไปAGMหุ้นCOLนับว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดีที่ถูกทางห้างเซ็นทรัลซื้อกิจการจนต้องเปลี่ยนชื่อจากOfficeMateเป็นCentral.on.LineหรือCOL.....จากกิจการที่ไม่สามารถจะสู้กับรายใหญ่ในส่วนของ...ธุรกิจon-lineได้....ราคาหุ้นก็ลงตกต่ำมาเรื่อยๆ....วันนี้ประกาศในที่ประชุมว่า...จะเลิกธุรกิจแห่งอนาคตนี้เสียแล้ว......แต่เขายังมีสิ่งที่จะพัฒนาในปีใหม่และต่อไปที่มั่นคง...โดยแบ่งเป็น
1.พัฒนาคลังสินค้าที่ได้เริ่มไปแล้วและจะเสร็จในปีหน้า...มีการจัดฝากสินค้า..จัดซื้อ..และจัดส่งในการธุรกิจต่างๆในอนาคต
2.จะมีFranchise..ในส่วนของธุรกิจที่ทำอยู่..โดยจะหาลูกค้าร้านเครื่องเขียนที่มีอยู่แล้ว...หรือที่อยากจะทำในอนาคตร่วมกัน...ซึ่งCOL..จะได้ในส่วนของFranchiseนี้
3.มุ่งฐานธุรกิจ....on.line.....B2B..ในรูปแบบใหม่
4.เป็นจุดศูนย์กลางในธุรกิจนี้..และขยายไปในประเทศเพื่อนบ้าน..COLas..the.region"s.leading.business.solution.center
ทุกผู้บิรหารก็หวังจะพัฒนาธุรกิจตนให้ก้าวไปด้วยกันทั้งนั้น...แต่จะถึงจุดหมายที่ต้องการหรือไม่..ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ดีนะที่เขายอมรับสภาพว่าเป็นบริษัทเล็กสู้กับบริษัทยักใหญ่ไม่ได้...นับเป็นผู้บริหารที่กล้าตัดสินใจ....ถ้าหักในส่วนที่เสียไปใน.on.line.business..ปีที่ผ่านมาจะต้องได้กำไรถึง714ล้านบาท..แทนที่ได้ประกาศไปที่กำไรสุทธิ 384 ล้านบาท..ใครสนใจก็ตามดู VDO การประชุมครั้งนี้ที่จะบันทึกในเวปไซด์ของเขาต่อไป
วันนี้5/4/60ได้ไปAGMหุ้นCOLนับว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดีที่ถูกทางห้างเซ็นทรัลซื้อกิจการจนต้องเปลี่ยนชื่อจากOfficeMateเป็นCentral.on.LineหรือCOL.....จากกิจการที่ไม่สามารถจะสู้กับรายใหญ่ในส่วนของ...ธุรกิจon-lineได้....ราคาหุ้นก็ลงตกต่ำมาเรื่อยๆ....วันนี้ประกาศในที่ประชุมว่า...จะเลิกธุรกิจแห่งอนาคตนี้เสียแล้ว......แต่เขายังมีสิ่งที่จะพัฒนาในปีใหม่และต่อไปที่มั่นคง...โดยแบ่งเป็น
1.พัฒนาคลังสินค้าที่ได้เริ่มไปแล้วและจะเสร็จในปีหน้า...มีการจัดฝากสินค้า..จัดซื้อ..และจัดส่งในการธุรกิจต่างๆในอนาคต
2.จะมีFranchise..ในส่วนของธุรกิจที่ทำอยู่..โดยจะหาลูกค้าร้านเครื่องเขียนที่มีอยู่แล้ว...หรือที่อยากจะทำในอนาคตร่วมกัน...ซึ่งCOL..จะได้ในส่วนของFranchiseนี้
3.มุ่งฐานธุรกิจ....on.line.....B2B..ในรูปแบบใหม่
4.เป็นจุดศูนย์กลางในธุรกิจนี้..และขยายไปในประเทศเพื่อนบ้าน..COLas..the.region"s.leading.business.solution.center
ทุกผู้บิรหารก็หวังจะพัฒนาธุรกิจตนให้ก้าวไปด้วยกันทั้งนั้น...แต่จะถึงจุดหมายที่ต้องการหรือไม่..ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ดีนะที่เขายอมรับสภาพว่าเป็นบริษัทเล็กสู้กับบริษัทยักใหญ่ไม่ได้...นับเป็นผู้บริหารที่กล้าตัดสินใจ....ถ้าหักในส่วนที่เสียไปใน.on.line.business..ปีที่ผ่านมาจะต้องได้กำไรถึง714ล้านบาท..แทนที่ได้ประกาศไปที่กำไรสุทธิ 384 ล้านบาท..ใครสนใจก็ตามดู VDO การประชุมครั้งนี้ที่จะบันทึกในเวปไซด์ของเขาต่อไป
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณน้องdojiiมากๆครับdojii เขียน:สรุปการประชุม AGM ประจำปี 2017
http://www.dojii.net/2017/04/col-agm-y2017.html#more
ผลงานปี 2016
รายได้รวมเติบโต 8.8%
รายได้จากการขายเติบโต 8.0%
Gross Profit เติบโต 9.9% ในขณะที่ Net Profit ลดลง 2.4% เป็นผลมาจากการขาดทุนในธุรกิจ Online
สัดส่วนรายได้จากการขายมาจากธุรกิจ OFM 60% ธุรกิจ B2S 36% และธุรกิจ Online 4%
สิ้นปี 2016 ธุรกิจ OFM มีสาขารวมทั้งสิ้น 64 สาขา จับกลุ่มตลาด SOHO (Small Office Home Office) มากขึ้น มีการร่วมออกบูธในงานบ้านและสวนแฟร์ ในส่วนของ Own Brand ทั้ง One และ Furradec ยังทำได้ดี
ธุรกิจ B2S ปี 2016 บุกตลาดต่างประเทศ (เวียดนาม) ร้าน B2S ในเวียดนามเป็นการรวม OFM และ B2S เข้าด้วยกัน B2S เวียดนามหมายถึง Business to School เปิด Soft Opening สาขาแรกที่โฮจิมินห์ไปแล้ว เปิดจริงเดือนหน้า
สำหรับสาขาในประเทศไทยมีการปรับ format สาขา เริ่มทำ format school สำหรับสาขาใกล้โรงเรียน
แผนงานปี 2017
มี 4 Strategies
1. พัฒนาตัวเองเป็น 3rd party logistic เมื่อคลังใหม่เสร็จจะมีความสามารถของคลังเหลือให้บริการ Out Source ได้ คลังใหม่ใช้ Robot ทันสมัยที่สุดใน Asian มีพื้นที่มากว่าคลังเก่าประมาณ 30% แต่สามารถรองรับยอดขายได้มากกว่า 3 เท่า (พื้นที่คลังเก่า 15,000 ตร.ม. พื้นที่คลังใหม่ 20,000 ตร.ม.) คิดว่ามี Capacity เหลือพอในการบริการ logistic ให้กับคนอื่นแบบครบวงจรทั้งรับฝากสินค้า จัดส่ง จนกระทั่งเก็บเงินให้กับลูกค้า
2. พัฒนา format franchise ร้านเฟรนไชส์จะสามารถขายของได้เหมือนกับ OFM ทำให้สามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น ถ้า Model นี้สำเร็จในประเทศไทย จะเอา Model นี้ขยายทั่วเอเชีย ปัจจุบันกำลังทำให้ร้าน OFM เล็กลงแต่ยอดขายต่อตารางเมตรไม่ลดลง
3. พัฒนา OFM ให้เป็น B2B Platform ต่อไป OFM จะขายทุกอย่างที่ธุรกิจต้องการ อาจรวมไปถึงพวกไขควง เพราะปัจจุบันมีลูกค้าโรงงานเป็นหมื่นแห่ง
4. แปลงตัวเองจาก Office Supply เป็น The Total Business Solution Provider ถ้าองค์กรต้องการอะไรเรามีให้หมดทุกอย่าง หากบริษัทอยากทำแฟ้มที่เป็นโลโก้ของตัวเอง OFM จะทำให้ได้
ธุรกิจ Online
เนื่องจากอุตสาหกรรม Online เปลี่ยนแปลงเร็วและแข่งขันรุนแรง บริษัทไม่อยากแข่งขาดทุน จึงคิดว่าจะตัดธุรกิจ Online (CGO) ให้กับทาง Central Group
สเกลของ COL เล็กเกินไปที่จะแข่งกับคู่แข่ง Online ระดับโลก การกลับมา Focus ในธุรกิจที่ชำนาญน่าจะดีกว่า
หากดูผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2015 ถ้าไม่รวมขาดทุนจากธุรกิจ Online กำไรจะเพิ่มจาก 394 ล้านบาท เป็น 579 ล้านบาท (47%) ในขณะที่ปี 2016 หากไม่มีขาดทุนใน Online กำไรจะเพิ่มจาก 384 ล้านบาท เป็น 714 ล้านบาท (86%)
ธุรกิจ Online จากนี้ไปจะ Focus เฉพาะตลาดองค์กร ตลาด Online กับ B2B ยังไม่ค่อยมีคู่แข่ง จะทำให้บริษัทเป็น Destination ของภาคองค์กร
แผนงานคือจะเลิกทำธุรกิจ Online ทั้งหมดในเครือ Central เหลือเพียงธุรกิจ Online ที่เกี่ยวข้องกับ OFM และ B2S
คลังสินค้าใหม่น่าจะเปิดใช้งานได้ประมาณกลางปีหน้า สำหรับเฟรนไชส์คาดว่าจะเปิดช่วงใกล้ๆ กับคลังสินค้า ช่วงแรกของการเปิดตัวตั้งเป้า 100 เฟรนไชส์ โดยรูปแบบเฟรนไชส์จะเป็น OFM ก่อน
Market Place ที่เคยอยู่ในแผนจะไม่ทำแล้ว
สภาวะตลาดเครื่องเขียนเวียดนามเหมือนของไทยเมื่อ 25 ปีที่แล้ว แต่เวียดนามมีการเติบโตสูงและยังโตได้อีกอย่างน้อย 10 ปีต่อเนื่อง
เวียดนามค่อนข้างชอบสินค้าไทยแต่ไม่ค่อยชอบสินค้าจีน อาจมีผลกับ Own Brand บางตัวที่นำเข้าจากจีน
ยังไม่มี Modern Trade Office Supply ในเวียดนาม เชื่อว่าศักยภาพของ OFM น่าจะแข็งแรงที่สุด
ปีนี้จะเปิด B2S เพิ่มอีก 1 สาขา ที่โฮจิมินห์
จุดคุ้มทุน B2S เวียดนามน่าจะประมาณ 3 ปี Supplier ในเวียดนามส่วนใหญ่เป็น Supplier ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว
Meb ทำกำไรได้ดี มีกำไร 8 - 9% จะเข้าตลาดหรือไม่ขอดูอีกที แต่ยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก
ธุรกิจ Online จะตัดขายในระดับไหน CGO อย่างเดียวหรือ CGO + Synergy ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
เป้าหมายรายได้ Online (ที่เหลือ) ในปี 2021 อยู่ที่มากกว่า 5,000 ล้านบาท ขายสินค้ามากกว่า 150,000 SKUs ปัจจุบันรายได้ Online ของ OFM อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ตลาด B2B เฉพาะในประเทศใหญ่กว่า B2C 2 - 3 เท่า การแข่งขันต่ำ และเป็นตลาดที่ OFM ชำนาญ
ลูกค้าของ OFM เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 80% ของบริษัทจดทะเบียน โฟกัสที่จะเข้าไปใหม่คือ ธุรกิจ SME ซึ่งมีเป็นล้านราย
ปีนี้คาดว่าสามารถเติบโตทาง Online ประมาณ 50% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมีน้อยมาก เป็นการเติบโตตามตลาด Organic Growth
แผนการขายธุรกิจ Online (CGO) เร็วสุดประมาณไตรมาส 2 ช้าสุดไม่เกินไตรมาส 3
หลังคลังสินค้าใหม่เสร็จจะย้ายจากคลังเก่าไปใช้คลังใหม่ทั้งหมด ส่วนคลังเก่าจะ Renovate หรือทำอย่างไรค่อยพิจารณาอีกที
ธุรกิจส่งของให้ เริ่มทำแล้วร่วมกับ Kerry ส่วน B2B Platform ใหม่น่าจะเริ่มได้กลางปีหน้า
ยอดขาย Meb ปี 2559 อยู่ที่ 267 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท
2-3 ปีที่ผ่านมา สามารถเปลี่ยน B2S จากธุรกิจขาลงมาเป็น Cash Cow ต่อไปพยายามเปลี่ยนให้เป็น Star อัตราการทำกำไรของ B2S (เกือบ 10%) ดีกว่า OFM (ประมาณ 6%) แต่การเติบโตยังไม่ดี
B2S สาขาเปิดใหม่ใช้พื้นที่เล็กลง พยายามทำให้ยอดขายต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้น
ระยะเวลาคืนทุน East Ville ประมาณ 6 ปี
Trend Online ยังคงเป็น Omni Channel
ธุรกิจ Logistic ที่จะทำยังไม่มีคู่แข่งตรงๆ ที่ทำเหมือนกัน OFM จะทำหน้าที่เป็น Hub ของ Logistic
Link สำหรับเอกสารประกอบการประชุม COL AGM 2017
http://col.listedcompany.com/misc/prese ... gm2017.pdf
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 11
สรุปประชุมผู้ถือหุ้น WORKPOINT และ ข้อคิดดีๆจากคุณ ปัญญา นิรันดร์กุล / โดย เพจลงทุนแมน
เมื่อวานนี้ผมได้ไปประชุมผู้ถือหุ้น WORKPOINT มา มีคนถามคุณปัญญา นิรันดร์กุล ท่านประธานกรรมการบริษัท ว่าเรตติ้งของรายการ The Mask Singer ซีซั่น 2 จะดังเหมือนซีซั่นแรกไหม คำตอบของคุณปัญญาทำให้ได้ข้อคิดดีๆหลายเรื่อง วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟัง
เรตติ้งเดือนมีนาคมของ WORKPOINT ในทุกช่วงเวลาอยู่อันดับ 3 รองจากช่อง 7 และช่อง 3 แต่สำหรับ ช่วง primetime ช่อง WORKPOINT ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศแล้ว โดยรายการ The Mask Singer มีเรตติ้งถึง 13.87
แต่ในเรื่องออนไลน์ WORKPOINT ถือเป็นอันดับ 1 ของวงการมาระยะหนึ่งแล้ว มียอดสมาชิกใน Youtube ถึง 6 ล้านคน ทิ้งห่างช่องอื่นอยู่พอสมควร ในปี 2016 มียอดคนดูใน Youtube รวมกัน 2,200 ล้านวิว และ มีระยะเวลารวมกัน 22,280 ล้านนาที โดยยอดวิวมากสุดคือ เพลงมือปืน ของหน้ากากทุเรียน 73 ล้านวิว
ส่วนในเฟซบุ๊ค มีคนติดตามมากถึง 8.4 ล้านคนเป็นอันดับ 1 ของประเทศเช่นกัน โดยเพจเฟซบุ๊คของ WORKPOINT มียอดคนติดตามเพิ่มมากสุดในประเทศติดต่อกันมาหลายเดือน ที่น่าสนใจคือ ทุกๆครั้งที่เพจ WORKPOINT โพสท์ข้อความในเฟซบุ๊ค จะมีคนดู 2 ล้าน ถึง 12 ล้านคน และมียอด Engagement มากกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน (Engagement คือ จำนวนของคน ไลค์ คอมเม้นท์ และ แชร์ รวมกัน)
มีคนในที่ประชุมถามเรื่องต้นทุนของรายการ The Mask Singer ว่าสูงกว่ารายการอื่นไหม คุณปัญญายอมรับว่ารายการนี้มีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งคอสตูมและโปรดักชั่น แต่เขาเสริมว่าถ้าอยากได้ของดีก็ต้องใช้ทุนสูง ยุคนี้เป็นยุคของการใช้เครื่องมือหลายอย่างผสมกัน ทั้งเงินทุน การตลาด การรู้กลุ่มเป้าหมาย ถ้าทำแล้วรายการออกมาดี คนชอบ มันก็จะย้อนกลับไปที่เรตติ้งที่ดี และทำให้รายได้โฆษณามากกว่าต้นทุนในที่สุด
และมีคนกังวลเรื่องเรตติ้งของ The Mask Singer ซีซั่น 2 ว่าจะดังเหมือนซีซั่นแรกไหม คุณปัญญาตอบว่า “ถ้าโลกนี้สามารถคาดเดาได้ทุกอย่าง ก็คงไม่ใช่โลก” สิ่งที่ WORKPOINT จะทำ คือทำให้ดีที่สุด เป้าหมายอาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องการตอบสนองความต้องการของคนดูเป็นหลัก อย่าง The Mask Singer ซีซั่นแรกเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่ารายการจะนิยมถึงขนาดนี้ คุณปัญญาเปรียบเทียบว่าเขาก็ไม่รู้หรอกว่าบนยอดเขาจะมีอยู่เท่าไร แค่ตั้งเป้าว่าต้องปีนขึ้นยอดเขาให้ได้ ตอนแรกอาจคาดหวังไว้แค่ 1,000 บนยอดเขา แต่พอไปถึงยอดเขาแล้วกลับได้ 10,000 หรือ 100,000
มีอีกคำถามที่น่าสนใจถามว่า คุณปัญญา และคุณประภาสชอบหน้ากากไหนในรายการ The Mask Singer มากที่สุด
คุณปัญญาตอบว่า ความสนุกของรายการนี้คือการไม่ให้คนดูรู้ทุกอย่าง การมีความลับคือเสน่ห์ของรายการนี้ และสำหรับคำตอบของคำถามนี้ก็คือความลับ (หลังจากนั้นทุกคนในห้องประชุมก็ปรบมือ)
หลังจากร่วมประชุม ผมรู้สึกชื่นชมความคิดความอ่านของคุณปัญญาที่ค่อนข้างลึกซึ้งและเข้าใจธุรกิจมาก
แต่ที่น่าแปลกใจคือบริษัทที่ทำรายการที่มีคนดูเป็นล้านคน กลับมีผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมบริษัทนี้เพียง 90 คน
ปล. บทความนี้มีเจตนาที่จะเล่ามุมมองของผู้ผลิตรายการที่ฮอตสุดในประเทศตอนนี้ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหุ้นแต่อย่างใด ผู้อ่านควรประเมินเองว่าหุ้นตัวนี้มีราคาเหมาะสมที่จะลงทุนหรือไม่
cr. fb fanpage ลงทุนแมน
เมื่อวานนี้ผมได้ไปประชุมผู้ถือหุ้น WORKPOINT มา มีคนถามคุณปัญญา นิรันดร์กุล ท่านประธานกรรมการบริษัท ว่าเรตติ้งของรายการ The Mask Singer ซีซั่น 2 จะดังเหมือนซีซั่นแรกไหม คำตอบของคุณปัญญาทำให้ได้ข้อคิดดีๆหลายเรื่อง วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟัง
เรตติ้งเดือนมีนาคมของ WORKPOINT ในทุกช่วงเวลาอยู่อันดับ 3 รองจากช่อง 7 และช่อง 3 แต่สำหรับ ช่วง primetime ช่อง WORKPOINT ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศแล้ว โดยรายการ The Mask Singer มีเรตติ้งถึง 13.87
แต่ในเรื่องออนไลน์ WORKPOINT ถือเป็นอันดับ 1 ของวงการมาระยะหนึ่งแล้ว มียอดสมาชิกใน Youtube ถึง 6 ล้านคน ทิ้งห่างช่องอื่นอยู่พอสมควร ในปี 2016 มียอดคนดูใน Youtube รวมกัน 2,200 ล้านวิว และ มีระยะเวลารวมกัน 22,280 ล้านนาที โดยยอดวิวมากสุดคือ เพลงมือปืน ของหน้ากากทุเรียน 73 ล้านวิว
ส่วนในเฟซบุ๊ค มีคนติดตามมากถึง 8.4 ล้านคนเป็นอันดับ 1 ของประเทศเช่นกัน โดยเพจเฟซบุ๊คของ WORKPOINT มียอดคนติดตามเพิ่มมากสุดในประเทศติดต่อกันมาหลายเดือน ที่น่าสนใจคือ ทุกๆครั้งที่เพจ WORKPOINT โพสท์ข้อความในเฟซบุ๊ค จะมีคนดู 2 ล้าน ถึง 12 ล้านคน และมียอด Engagement มากกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน (Engagement คือ จำนวนของคน ไลค์ คอมเม้นท์ และ แชร์ รวมกัน)
มีคนในที่ประชุมถามเรื่องต้นทุนของรายการ The Mask Singer ว่าสูงกว่ารายการอื่นไหม คุณปัญญายอมรับว่ารายการนี้มีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งคอสตูมและโปรดักชั่น แต่เขาเสริมว่าถ้าอยากได้ของดีก็ต้องใช้ทุนสูง ยุคนี้เป็นยุคของการใช้เครื่องมือหลายอย่างผสมกัน ทั้งเงินทุน การตลาด การรู้กลุ่มเป้าหมาย ถ้าทำแล้วรายการออกมาดี คนชอบ มันก็จะย้อนกลับไปที่เรตติ้งที่ดี และทำให้รายได้โฆษณามากกว่าต้นทุนในที่สุด
และมีคนกังวลเรื่องเรตติ้งของ The Mask Singer ซีซั่น 2 ว่าจะดังเหมือนซีซั่นแรกไหม คุณปัญญาตอบว่า “ถ้าโลกนี้สามารถคาดเดาได้ทุกอย่าง ก็คงไม่ใช่โลก” สิ่งที่ WORKPOINT จะทำ คือทำให้ดีที่สุด เป้าหมายอาจจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องการตอบสนองความต้องการของคนดูเป็นหลัก อย่าง The Mask Singer ซีซั่นแรกเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่ารายการจะนิยมถึงขนาดนี้ คุณปัญญาเปรียบเทียบว่าเขาก็ไม่รู้หรอกว่าบนยอดเขาจะมีอยู่เท่าไร แค่ตั้งเป้าว่าต้องปีนขึ้นยอดเขาให้ได้ ตอนแรกอาจคาดหวังไว้แค่ 1,000 บนยอดเขา แต่พอไปถึงยอดเขาแล้วกลับได้ 10,000 หรือ 100,000
มีอีกคำถามที่น่าสนใจถามว่า คุณปัญญา และคุณประภาสชอบหน้ากากไหนในรายการ The Mask Singer มากที่สุด
คุณปัญญาตอบว่า ความสนุกของรายการนี้คือการไม่ให้คนดูรู้ทุกอย่าง การมีความลับคือเสน่ห์ของรายการนี้ และสำหรับคำตอบของคำถามนี้ก็คือความลับ (หลังจากนั้นทุกคนในห้องประชุมก็ปรบมือ)
หลังจากร่วมประชุม ผมรู้สึกชื่นชมความคิดความอ่านของคุณปัญญาที่ค่อนข้างลึกซึ้งและเข้าใจธุรกิจมาก
แต่ที่น่าแปลกใจคือบริษัทที่ทำรายการที่มีคนดูเป็นล้านคน กลับมีผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมบริษัทนี้เพียง 90 คน
ปล. บทความนี้มีเจตนาที่จะเล่ามุมมองของผู้ผลิตรายการที่ฮอตสุดในประเทศตอนนี้ ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหุ้นแต่อย่างใด ผู้อ่านควรประเมินเองว่าหุ้นตัวนี้มีราคาเหมาะสมที่จะลงทุนหรือไม่
cr. fb fanpage ลงทุนแมน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 12
AGM BKD by Tigereye
AGM BKD .....
- กรณีบ้านราชประสงค์ บ.มีการตั้งสำรองเรียบร้อยหมดแล้วครับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว เงินก้อนนี้เป็นเงิน ค่าประกันงานที่ตกแต่งคลับเฮ้าท์ให้ทางโครงการ ครับ ยอดเงิน 3ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยทยอยคืนจากเจ้าของโครงการครับ
- กรณีเหตุการณ์การตั้งสำรองหนี้สูญก้อนใหญ่ เมื่อปี2559 ที่เกิดกับโครงการหน่วยงานของรัฐโครงการหนึ่ง (ประมาณ75ล้านบาท) ขณะนี้ BKD ได้ส่งมอบงานเรียบร้อยแล้วครับ อยู่ในชั้นตอน ทำเรื่องเบิกเงิน ถ้าเบิกเงินได้เมื่อไหร่ก็กลับรายการหนี้สูญครับ ทาง ผบห ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุดครับ ผบห ยืนยันว่าจะรอบครอบขึ้น จะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกครับ
- ที่ดิน กรุงเทพกรีฑา ทำสัญญาขายตามสัญญา คือโอนในวันที่ 7/4/2560 มีวางมัดจำไว้แล้ว 90 กว่าล้าน ( กำไรจากที่แปลงนี้น่าจะประมาณ350 ล้านบาท +/- ครับ) ส่วนจะมีปันผลพิเศษหรือไม่
ผบห ตอบว่า ขอผ่านที่ประชุมก่อนโดย ผบห อิงผลประโยชน์สูงสุดของ ผถห เป็นหลักในการพิจารณาอยู่แล้ว
-แบ็คล๊อต ขณะนี้ ประมาณ1500 ล้าน และได้งานชิพหมงแลนด์ที่กัมพูชามาเพิ่มในโครงการแรก เฟส2-3อีก ประมาณ160ล้าน ( โครงการเค้าอยากให้เร่งส่งภายในQ2 )รายได้ที่ขายให้โครงการนี้ รับเป็นสกุลเงินไทย งานแบ็คล๊อตเกือบทั้งหมด รับรู้ปี 2560
เพื่อนๆ ท่านใด มีเพิ่มเติมประเด็นไหน รบกวนเพิ่มเติมด้วยนะครับ เพราะว่ระที่1-2ผมเข้าประชุมไม่ทันครับ
AGM BKD .....
- กรณีบ้านราชประสงค์ บ.มีการตั้งสำรองเรียบร้อยหมดแล้วครับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว เงินก้อนนี้เป็นเงิน ค่าประกันงานที่ตกแต่งคลับเฮ้าท์ให้ทางโครงการ ครับ ยอดเงิน 3ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยทยอยคืนจากเจ้าของโครงการครับ
- กรณีเหตุการณ์การตั้งสำรองหนี้สูญก้อนใหญ่ เมื่อปี2559 ที่เกิดกับโครงการหน่วยงานของรัฐโครงการหนึ่ง (ประมาณ75ล้านบาท) ขณะนี้ BKD ได้ส่งมอบงานเรียบร้อยแล้วครับ อยู่ในชั้นตอน ทำเรื่องเบิกเงิน ถ้าเบิกเงินได้เมื่อไหร่ก็กลับรายการหนี้สูญครับ ทาง ผบห ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ แต่จะเร่งให้เร็วที่สุดครับ ผบห ยืนยันว่าจะรอบครอบขึ้น จะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกครับ
- ที่ดิน กรุงเทพกรีฑา ทำสัญญาขายตามสัญญา คือโอนในวันที่ 7/4/2560 มีวางมัดจำไว้แล้ว 90 กว่าล้าน ( กำไรจากที่แปลงนี้น่าจะประมาณ350 ล้านบาท +/- ครับ) ส่วนจะมีปันผลพิเศษหรือไม่
ผบห ตอบว่า ขอผ่านที่ประชุมก่อนโดย ผบห อิงผลประโยชน์สูงสุดของ ผถห เป็นหลักในการพิจารณาอยู่แล้ว
-แบ็คล๊อต ขณะนี้ ประมาณ1500 ล้าน และได้งานชิพหมงแลนด์ที่กัมพูชามาเพิ่มในโครงการแรก เฟส2-3อีก ประมาณ160ล้าน ( โครงการเค้าอยากให้เร่งส่งภายในQ2 )รายได้ที่ขายให้โครงการนี้ รับเป็นสกุลเงินไทย งานแบ็คล๊อตเกือบทั้งหมด รับรู้ปี 2560
เพื่อนๆ ท่านใด มีเพิ่มเติมประเด็นไหน รบกวนเพิ่มเติมด้วยนะครับ เพราะว่ระที่1-2ผมเข้าประชุมไม่ทันครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 13
บทความAGM BKD โดยน้อง Tkunanusont
Update เพิ่มโดยน้อ
AGM BKD ก่อนหน้าโดยคุณ Tkunanusont
อัพเดทเท่าที่จำได้ครับ โดย คุณ Loby
1. Current backlog 1415 ล้านบาท (รวมงานล่าสุด ร.พ.รามา ต้องเสร็จและเปิดในปีนี้) แบ่งตามการรับรู้ Q1-38%, Q2-31%, Q3-20%, Q4-10%
2. เงินตั้งสำรองที่เก็บเงินไม่ได้ เป็นงานราชภัฏอุดร ราว 70 ล้านบาท (มีจ่ายเข้ามาแล้วในเดือนก่อนประมาณ 10 ล้าน ส่วนที่เหลือได้ครบแน่ในไตรมาส 2) อีก 3 ล้านกว่าเป็นงานของบ.บ้านราชประสงค์อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยในศาล และเพิ่มเติมว่าปีนี้จะไม่มีการตั้งสำรองแบบนี้อีก และปัญหาเกิดจากงานราชภัฏทำสัญญาการจ่ายเงินไม่ชัดเจน ทำให้เก็บเงินไม่ได้ตามความสำเร็จของงาน ต้องรองานจบถึงจะได้เงินส่วนที่เหลือ แต่จะเก็บได้ครบแน่ และจะไม่รับงานแบบนี้อีกแล้ว
3. เงินค่าขายที่ดินงวดที่เหลือ จะจ่ายเข้ามา วันที่ 7 เม.ย.นี้แน่นอน ทั้งที่ตอนแรกทาง bkd ต่อรองขอให้จ่ายเร็วขึ้น แต่ทางผู้ซื้อให้เหตุผลว่า ซินแสบอกให้เป็นวันที่ 7 วันเดียวเท่านั้น และก่อน 9 โมงเช้าที่กรมที่ดินด้วย ส่วนเหตุผลที่ทาง bkd ขายที่ดินได้น้อยกว่าที่เคยบอกไว้แรกๆว่ามีคนเคยมาติดต่อซื้อจริงราว 600 กว่าล้าน ปรากฏว่ามี บ.ยักษ์ใหญ่ในตลาดแห่งหนึ่ง ขายที่ดินในบริเวณเดียวกันแบบล็อตใหญ่ 700 กว่าไร่ ในราคาตร.ว. ละ3หมื่นกว่า ทำให้ bkd ต้องรับตัดสินใจขายที่ราคานั้น ก่อนที่ราคาตลาดจะถูกปรับลงตาม
4. งานในกัมพูชา เฟสแรกทำงานจบแล้ว แต่อาจมีเพิ่มอีก 160 ล้าน และยังเหลืออีก 4 เฟส มูลค่าทั้งหมด5 เฟส ประมาณพันล้านบาท ซึ่งเซ็นMOUกับทางชิปหมงไว้ ห้ามรับงานของบ.ที่อื่น ถ้าจะไปต่างประเทศคงต้องเป็นประเทศพม่า เวียดนาม ซึ่งอุตสาหกรรมอสังหา เติบโตมาก
5. ปีนี้เป้าหมาย เน้นการทำกำไร มากกว่าการเติบโตของรายได้ที่ปกติตั้งเป้าปีละ 20% เนื่องจากเดิมเป็นtarget ที่บ.วางไว้ตั้งแต่เข้าตลาดว่า จะทำให้ได้ภายใน5ปีหลังเข้าตลาด ซึ่งจากยอดรายได้ปีล่าสุด (1368ล้าน) ก็ทำได้ดีกว่าเป้าหมายมาตลอด จนปีนี้คิดว่าควรหันมาโฟกัสการทำกำไรมากกว่า เพราะปัจจุบัน ทางบ.ก็เป็นอันดับ 1 ในวงการอยู่แล้ว (ผบห. บอกว่า market share 22%) จะคัดเลือกงานมากขึ้น ถ้าไม่คุ้ม ก็ไม่ทำ
6. ปีนี้นอกจาก current backlog ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้งานโรงแรมเครือMarriott โดยกลุ่มเสี่ยเจริญ เนื่องจากมีแผนเปิดใหม่อีก 20 แห่ง มูลค่าโครงการ 33,000 ล้าน (ในจำนวนนี้ 25% เป็นงานตกแต่งภายใน)
7. บ.ย่อย (บีเคดี เรียล เอสเตท) ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ก็มีผู้สนใจติดต่อขอซื้อมาบ้าง ตั้งใจจะรอจนกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเปิดให้บริการ ค่อยดูทิศทางอีกที ระหว่างนี้กำลังพูดคุยกับบ.รับเหมาก่อสร้าง รายหนึ่งที่ได้รับงานก่อสร้างสถานีบริเวณนั้น เพื่อทำเป็นพ.ท.ให้เช่าสำหรับ site คนงานก่อสร้าง
ผิดถูกตกหล่นขออภัยครับ
Update เพิ่มโดยน้อ
AGM BKD ก่อนหน้าโดยคุณ Tkunanusont
อัพเดทเท่าที่จำได้ครับ โดย คุณ Loby
1. Current backlog 1415 ล้านบาท (รวมงานล่าสุด ร.พ.รามา ต้องเสร็จและเปิดในปีนี้) แบ่งตามการรับรู้ Q1-38%, Q2-31%, Q3-20%, Q4-10%
2. เงินตั้งสำรองที่เก็บเงินไม่ได้ เป็นงานราชภัฏอุดร ราว 70 ล้านบาท (มีจ่ายเข้ามาแล้วในเดือนก่อนประมาณ 10 ล้าน ส่วนที่เหลือได้ครบแน่ในไตรมาส 2) อีก 3 ล้านกว่าเป็นงานของบ.บ้านราชประสงค์อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยในศาล และเพิ่มเติมว่าปีนี้จะไม่มีการตั้งสำรองแบบนี้อีก และปัญหาเกิดจากงานราชภัฏทำสัญญาการจ่ายเงินไม่ชัดเจน ทำให้เก็บเงินไม่ได้ตามความสำเร็จของงาน ต้องรองานจบถึงจะได้เงินส่วนที่เหลือ แต่จะเก็บได้ครบแน่ และจะไม่รับงานแบบนี้อีกแล้ว
3. เงินค่าขายที่ดินงวดที่เหลือ จะจ่ายเข้ามา วันที่ 7 เม.ย.นี้แน่นอน ทั้งที่ตอนแรกทาง bkd ต่อรองขอให้จ่ายเร็วขึ้น แต่ทางผู้ซื้อให้เหตุผลว่า ซินแสบอกให้เป็นวันที่ 7 วันเดียวเท่านั้น และก่อน 9 โมงเช้าที่กรมที่ดินด้วย ส่วนเหตุผลที่ทาง bkd ขายที่ดินได้น้อยกว่าที่เคยบอกไว้แรกๆว่ามีคนเคยมาติดต่อซื้อจริงราว 600 กว่าล้าน ปรากฏว่ามี บ.ยักษ์ใหญ่ในตลาดแห่งหนึ่ง ขายที่ดินในบริเวณเดียวกันแบบล็อตใหญ่ 700 กว่าไร่ ในราคาตร.ว. ละ3หมื่นกว่า ทำให้ bkd ต้องรับตัดสินใจขายที่ราคานั้น ก่อนที่ราคาตลาดจะถูกปรับลงตาม
4. งานในกัมพูชา เฟสแรกทำงานจบแล้ว แต่อาจมีเพิ่มอีก 160 ล้าน และยังเหลืออีก 4 เฟส มูลค่าทั้งหมด5 เฟส ประมาณพันล้านบาท ซึ่งเซ็นMOUกับทางชิปหมงไว้ ห้ามรับงานของบ.ที่อื่น ถ้าจะไปต่างประเทศคงต้องเป็นประเทศพม่า เวียดนาม ซึ่งอุตสาหกรรมอสังหา เติบโตมาก
5. ปีนี้เป้าหมาย เน้นการทำกำไร มากกว่าการเติบโตของรายได้ที่ปกติตั้งเป้าปีละ 20% เนื่องจากเดิมเป็นtarget ที่บ.วางไว้ตั้งแต่เข้าตลาดว่า จะทำให้ได้ภายใน5ปีหลังเข้าตลาด ซึ่งจากยอดรายได้ปีล่าสุด (1368ล้าน) ก็ทำได้ดีกว่าเป้าหมายมาตลอด จนปีนี้คิดว่าควรหันมาโฟกัสการทำกำไรมากกว่า เพราะปัจจุบัน ทางบ.ก็เป็นอันดับ 1 ในวงการอยู่แล้ว (ผบห. บอกว่า market share 22%) จะคัดเลือกงานมากขึ้น ถ้าไม่คุ้ม ก็ไม่ทำ
6. ปีนี้นอกจาก current backlog ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้งานโรงแรมเครือMarriott โดยกลุ่มเสี่ยเจริญ เนื่องจากมีแผนเปิดใหม่อีก 20 แห่ง มูลค่าโครงการ 33,000 ล้าน (ในจำนวนนี้ 25% เป็นงานตกแต่งภายใน)
7. บ.ย่อย (บีเคดี เรียล เอสเตท) ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ก็มีผู้สนใจติดต่อขอซื้อมาบ้าง ตั้งใจจะรอจนกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเปิดให้บริการ ค่อยดูทิศทางอีกที ระหว่างนี้กำลังพูดคุยกับบ.รับเหมาก่อสร้าง รายหนึ่งที่ได้รับงานก่อสร้างสถานีบริเวณนั้น เพื่อทำเป็นพ.ท.ให้เช่าสำหรับ site คนงานก่อสร้าง
ผิดถูกตกหล่นขออภัยครับ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1441
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ พี่อมร
โครงการดีๆ ของพี่อมร ต้องช่วยๆ กันครับ
เอาไว้ผมไป agm ที่ไหน ผมจะมาข่วยแชร์สรุป agm ในนี้บ้างครับ
โครงการดีๆ ของพี่อมร ต้องช่วยๆ กันครับ
เอาไว้ผมไป agm ที่ไหน ผมจะมาข่วยแชร์สรุป agm ในนี้บ้างครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 15
AGM SVOA 10 Apr 17
ผลการดำเนินงาน
งบเฉพาะกิจการ
รายได้ ลดลง 0.9% จาก 5,204.5 ลบ เป็น 5,156.2 ลบ
กำไรขั้นต้น ลดลงจาก 460 เหลือ 397 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลงจาก 94 เหลือ 23 ลบ
งบการเงินรวม
รายได้ ลดลง 1.7% จาก 6,812 ลบ เป็น 6,698 ลบ
กำไรขั้นต้น ลดลงจาก 775 เหลือ 717 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลงจาก 124 เหลือ 72 ลบ
Update ในแต่ละบริษัท
คุณฐิติกร MD SVOA ได้พูดถึง ส่วน Distribution channel ว่า ตลาด IT ปรับตัวลง
ในส่วนของ PC, NB ,Tablet ลดลง ส่วนตลาดเครื่องพิมพ์ และ วัสดุสิ้นเปลือง Growth น้อยกว่า 1%
แต่ PC ในส่วนของเกม ยังเติบโตในระดับ 2 Digit
ดังนั้นในภาพรวม เรามี GP ต่ำลง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก
1. การแข่งขันที่สูงขึ้น
2. การบริหารสินค้าคงคลัง สินค้าปกติจะขายดีในช่วง Q3-Q4
แต่มีเหตุการณ์ไม่ปกติในเดือน ตค ทำให้ส่วน Distribution รายรับรวมลดลง ,GP ก็ต่ำลงด้วย
ส่วนคุณอดิศร MD Data one asia
ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ cloud / data center ว่า
มีทั้งวิกฤตและโอกาส ในช่วงที่ พบว่า มีการhack ตู้ATM ซึ่งถือเป็นวิกฤต แต่ธนาคารให้โอกาสแก่ Dataone
ให้ทำsolution ครบวงจร รวมถึง ตู้ATMด้วย
ส่วน Private cloud มีทำให้ทั้ง Bank , Non-Bank
ส่วน Fin tech , Bank ตระหนักถึงการถูกโจมตีทั้งทาง Internet , Social
ถือเป็นโอกาสที่ ธนาคารมอง Digital Banking ดังนั้น Core ที่ไม่ใช่ Digital
จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็น Digital Bankingได้
แต่ธนาคารก็เผชิญกับการตัดสินใจในตัวโครงการมากขึ้น ต้องมองหลายด้าน
สะท้อนในงบการเงินของบริษัท การรับรู้รายได้ช้าลง การตรวจรับงานก็ช้าลง
ขั้นตอนมากขึ้น ทำให้มีประเด็นในการส่งงบ หรือ รับรู้รายได้
Cloud ในส่วนของCloudขนาดใหญ่ เราสู้กับ ผู้เล่น interไม่ได้
แต่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่อนุญาตให้ข้อมูลไปเก็บไว้ในต่างประเทศ
ถือเป็นการ protect ผู้เล่น local
เรากำลัง transform ให้ทันกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง
คนอื่นก็มาเปลี่ยนแปลงเอง เราอยู่ในวงการไอที เราได้เปรียบในการ catch up
ข่าวสาร เทคโนโลยี และ transform ต่อไป
ผลการดำเนินงาน
งบเฉพาะกิจการ
รายได้ ลดลง 0.9% จาก 5,204.5 ลบ เป็น 5,156.2 ลบ
กำไรขั้นต้น ลดลงจาก 460 เหลือ 397 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลงจาก 94 เหลือ 23 ลบ
งบการเงินรวม
รายได้ ลดลง 1.7% จาก 6,812 ลบ เป็น 6,698 ลบ
กำไรขั้นต้น ลดลงจาก 775 เหลือ 717 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลงจาก 124 เหลือ 72 ลบ
Update ในแต่ละบริษัท
คุณฐิติกร MD SVOA ได้พูดถึง ส่วน Distribution channel ว่า ตลาด IT ปรับตัวลง
ในส่วนของ PC, NB ,Tablet ลดลง ส่วนตลาดเครื่องพิมพ์ และ วัสดุสิ้นเปลือง Growth น้อยกว่า 1%
แต่ PC ในส่วนของเกม ยังเติบโตในระดับ 2 Digit
ดังนั้นในภาพรวม เรามี GP ต่ำลง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก
1. การแข่งขันที่สูงขึ้น
2. การบริหารสินค้าคงคลัง สินค้าปกติจะขายดีในช่วง Q3-Q4
แต่มีเหตุการณ์ไม่ปกติในเดือน ตค ทำให้ส่วน Distribution รายรับรวมลดลง ,GP ก็ต่ำลงด้วย
ส่วนคุณอดิศร MD Data one asia
ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ cloud / data center ว่า
มีทั้งวิกฤตและโอกาส ในช่วงที่ พบว่า มีการhack ตู้ATM ซึ่งถือเป็นวิกฤต แต่ธนาคารให้โอกาสแก่ Dataone
ให้ทำsolution ครบวงจร รวมถึง ตู้ATMด้วย
ส่วน Private cloud มีทำให้ทั้ง Bank , Non-Bank
ส่วน Fin tech , Bank ตระหนักถึงการถูกโจมตีทั้งทาง Internet , Social
ถือเป็นโอกาสที่ ธนาคารมอง Digital Banking ดังนั้น Core ที่ไม่ใช่ Digital
จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็น Digital Bankingได้
แต่ธนาคารก็เผชิญกับการตัดสินใจในตัวโครงการมากขึ้น ต้องมองหลายด้าน
สะท้อนในงบการเงินของบริษัท การรับรู้รายได้ช้าลง การตรวจรับงานก็ช้าลง
ขั้นตอนมากขึ้น ทำให้มีประเด็นในการส่งงบ หรือ รับรู้รายได้
Cloud ในส่วนของCloudขนาดใหญ่ เราสู้กับ ผู้เล่น interไม่ได้
แต่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่อนุญาตให้ข้อมูลไปเก็บไว้ในต่างประเทศ
ถือเป็นการ protect ผู้เล่น local
เรากำลัง transform ให้ทันกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง
คนอื่นก็มาเปลี่ยนแปลงเอง เราอยู่ในวงการไอที เราได้เปรียบในการ catch up
ข่าวสาร เทคโนโลยี และ transform ต่อไป
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 17
ขอนำAGM SNC ของลุงขวดมาลงครับ
วันนี้ได้ไปประชุมใหญ่หุ้น SNC เป็นหุ้นที่ถือยาวมากกว่า 10 ปีเพราะชอบในการบริหารของ ดร สมชัย ไทยสงวนวรกุล และชอบธุรกิจที่เขาทำส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจเครื่องปรับอากาศ มีบริษัทย่อยหลายบริษัท บ้างก็สำเร็จ บ้างก็ยังขาดทุนอยู่ทำให้เป็นตัวถ่วงในธุรกิจ ตอนนี้จะรุกไปทำพลังงานทดแทนจากขยะผลิตไฟฟ้าที่ ยะลา นับว่าเป็นอีกก้าวหน้าที่น่าจะดีเป็นการลงทุนที่ไม่เกี่ยวกับฤดูกาล ผู้บริหารทุกท่านขยันทำงาน ปีที่แล้วมีการควบรวมกิจการให้อยู่ในกลุ่มที่ระยอง ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปีที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ คณะกรรมการเลยขอลดค่าตอบแทน นับว่าเป็นตัวอย่างอันดี บริษัทอยู่ในภาวะที่ค่อย ๆ พื้นตัวเรื่อย ๆ รอวันที่จะรุ่งเรืองอีกแต่จะใช้เวลาอีกหลายปีหรือไม่ก็ต้องติดตามกันดูต่อไป ผมชอบบริษัทนี้ เพราะคงไม่ลงทุนอะไรเพิ่มอีก การบริหารเงินเก่ง สามารถทำให้ cash cycle ติดลบได้ มีวิสัยทัศน์ยาว ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงมากระดับ 32 บาทในปี 2554 และลงมาตลอดมาตั้งตัวได้เมื่อ 2 ปีก่อนค่อย ๆ ขยับขึ้น สิ่งดีสำหรับบริษัทนี้คือปันผลในอันตราที่สูงพอควร ถือหุ้นที่มีผู้บิรหารที่ดี ประหยัด และมีประสิทธิภาพก็จะนำพาบริษัทให้ก้าวหน้าได้เป็นแน่ และอีกอย่างเป็นตัวอย่างที่ดีคือจะมา opp day วันแรก ๆ แทบทุกไตรมาส เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของเรา — รู้สึกขอบคุณ
วันนี้ได้ไปประชุมใหญ่หุ้น SNC เป็นหุ้นที่ถือยาวมากกว่า 10 ปีเพราะชอบในการบริหารของ ดร สมชัย ไทยสงวนวรกุล และชอบธุรกิจที่เขาทำส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจเครื่องปรับอากาศ มีบริษัทย่อยหลายบริษัท บ้างก็สำเร็จ บ้างก็ยังขาดทุนอยู่ทำให้เป็นตัวถ่วงในธุรกิจ ตอนนี้จะรุกไปทำพลังงานทดแทนจากขยะผลิตไฟฟ้าที่ ยะลา นับว่าเป็นอีกก้าวหน้าที่น่าจะดีเป็นการลงทุนที่ไม่เกี่ยวกับฤดูกาล ผู้บริหารทุกท่านขยันทำงาน ปีที่แล้วมีการควบรวมกิจการให้อยู่ในกลุ่มที่ระยอง ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปีที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ คณะกรรมการเลยขอลดค่าตอบแทน นับว่าเป็นตัวอย่างอันดี บริษัทอยู่ในภาวะที่ค่อย ๆ พื้นตัวเรื่อย ๆ รอวันที่จะรุ่งเรืองอีกแต่จะใช้เวลาอีกหลายปีหรือไม่ก็ต้องติดตามกันดูต่อไป ผมชอบบริษัทนี้ เพราะคงไม่ลงทุนอะไรเพิ่มอีก การบริหารเงินเก่ง สามารถทำให้ cash cycle ติดลบได้ มีวิสัยทัศน์ยาว ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงมากระดับ 32 บาทในปี 2554 และลงมาตลอดมาตั้งตัวได้เมื่อ 2 ปีก่อนค่อย ๆ ขยับขึ้น สิ่งดีสำหรับบริษัทนี้คือปันผลในอันตราที่สูงพอควร ถือหุ้นที่มีผู้บิรหารที่ดี ประหยัด และมีประสิทธิภาพก็จะนำพาบริษัทให้ก้าวหน้าได้เป็นแน่ และอีกอย่างเป็นตัวอย่างที่ดีคือจะมา opp day วันแรก ๆ แทบทุกไตรมาส เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของเรา — รู้สึกขอบคุณ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 18
AGM BDMS 12 Apr 17
ดูจากผู้บริหาร ส่วนใหญ่มากกว่า 60 ปี โดยเฉพาะ ประธานกรรมการบริษัท
นพ อรุณ เผ่าสวัสดิ์ อายุ 79 ปี แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง และ พูดจาดีมากครับ
และ คณะกรรมการเป็นนายแพทย์มากกว่า 50% ของกรรมการทั้งหมด
รู้สึกมั่นใจในผู้บริหารมากขึ้น
คุณหมอประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ มาอัปเดทข้อมูลบริษัท
เครือข่าย
ภายในประเทศ 42 แห่ง
ประเทศกัมพูชา 2 แห่ง รวม 44 แห่ง 7,865 เตียง
และ อีก 4 รพ อยู่ระหว่างก่อสร้าง ขนาด 550 เตียง
รวม 48 แห่ง 8,415 เตียง
รายได้ 14% เป็นรายได้จาก Medical Tourist
เป็นรายได้ที่ต้องรักษาไว้
บวกกับ ศูนย์ สุขภาพครบวงจร (BDMS Wellness Clinic)
ส่วนกลุ่มคนไข้ อาหรับ จะรองรับด้วยรพ ใหม่ที่กำลังก่อสร้าง
และจะเปิดได้ปลายปี
อันดับของกลุ่มรพ ขนาดใหญ่ BDMS เป็นอันดับ5 ของโลก ( Market cap & จำนวนเตียง )
BDMS ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการสู่ศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Centers of Excellence)
โดยครอบคลุมการรักษาทุกโรคตามคุณภาพมาตราฐานสากล
ได้แก่ รพ 9 แห่ง สามารถรักษาได้ทุกโรค เทียบเคียงกับรพ ต่างประเทศ
กระจายไปทั่วประเทศ เช่น BDMS สนญ เชียงใหม่ อุดร พัทยา ภูเก็ต พนมเปญ
รพ พญาไท2 และ สมิติเวท สุขุมวิท และ ศรีนครินทร์
เรามีศูนย์กระดูกและข้อ โดยร่วมมือกับ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ และ ศักยภาพ รพที่เยอรมนี
และ รพ เด็ก สมิติเวท ร่วมมือกับ รพ ทากัตสึกิ ญี่ปุ่น ด้านกุมารเวชและห้องอภิบาลทารกแรกเกิด
Sky ICU ( เฮอร์ริคอปเตอร์ ) มี 2 ลำ โดยลำที่สองเล็กหน่อย ลงพื้นที่แคบได้
ศูนย์สุขภาพครบวงจร (BDMS Wellness Clinic)
พยายามทำเป็น รพ 3 ดาว รองรับ Wellness clinic
โดนคัดเลือก แพทย์จากต่างประเทศมาให้บริการคนไข้
ซื้อเครื่องสแกนเครื่องที่สอง สำหรับตรวจเช็คสภาพคนไข้ได้ทั้งตัว
Alarm center มีศูนย์ขนย้ายผู้ป่วย ใช้ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ที่ตรงเข้าไปรักษาระหว่างทางที่ขนย้าย
รพ และ โรงงานผลิตยา แห่งใหม่ ได้แก่
1. รพ เปาโล เกษตร เป็น รพ เก่า เดิมคือ รพ เมโย ควบรวมเสร็จประมาณ มกราคม 60
2.โรงงานแห่งใหม่ ของ สหแพทย์เภสัช เปิดที่สินสาคร เมื่อ 2 Nov 16
มีการวิจัย ว่าใช้น้ำเกลือมีการติดเชื้อ เสียชีวิตได้จากโรคติดเชื้อ ดังนั้น
ผลิตยาใหม่แทนน้ำเกลือเพื่อลดอาการติดเชื้อ
รพ ที่กำลังก่อสร้าง
1.Phoenix Project ยังไม่ได้ตั้งชื่อ
ขนาด 220 เตียง ใกล้สนญ คาดเปิดปี 61
2.International Hospital ขนาด 100 เตียง ใกล้ สนญ คาดเปิดปี 62
3.รพ กรุงเทพสุราษฏร์ ขนาด 150 เตียง เปิดภายในปี 60
4.รพ กรุงเทพเชียงราย
รางวัล และ กิจกรรม
ได้รางวัลมากมาย เช่น Large Capitalization from Asiamoney , รางวัลคุณภาพจากงานวิจัยดีเด่น
สนับสนุนการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง BDMS Bangkok Marathon 2016
ยังมีจัดโครงการช่วยเหลือคนพิการ โดยสร้างอาชีพให้คนพิการ
วาระที่ 3 งบการเงิน
โดย คุณ ศรีภพ สารสาส กรรมการอิสระ
รายได้ เพิ่มขึ้นจาก 63,907 ไป 69,126 ลบ เพิ่มขึ้น 8%
กำไรสุทธิก่อนรายการไม่ปกติ ตัดขายเงินลงทุนออก 7,812 ลบ เป็น 8,178 ลบ เพิ่มขึ้น 5%
สินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 4%
หนี้สิน เพิ่มขึ้น 3%
รายได้เกิดขึ้นจาก
1.การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
2.การส่งต่อคนไข้
3.การเพิ่มขึ้นจากเคสความยากของคนไข้
4.การเพิ่มขึ้นของราคายา
Q: ส่วนที่เกี่ยวกับ CG หน้า 98 มีการมุ่งเน้นทางการแพทย์ แต่คำถามคือด้านอื่นมีนโยบายอย่างไร
ข้อ 12 หน้า 99 นโยบายคุ้มครองผู้ได้เสียทั้งหมดใช่ไหม
และข้อสุดท้าย ผู้ได้เสียมีเฉพาะพนักงาน ส่วนอื่นเช่นคู่ค้า ตกหล่นหรือเปล่า
A: เป็นคำถามเชิงนโยบาย ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง ให้ตอบในวาระ8
วาระที่ 4
จัดสรรเงินปันผลในงวดนี้ 0.19 บาท จ่ายวันที่ 26 เมษายน 17
รายได้ค่ารักษาพยาบาล โต8.3%
รายได้รวม โต 8.2%
กำไรสุทธิที่เป็นของบริษัท โต 12.1%
การพิจารณาผลตอบแทนให้กรรมการขึ้นการเพิ่มขึ้นของรายได้
Q : 1.ค่าสอบบัญชีไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่ปี 60 น่าจะเป็นวงเงิน ที่แน่นอนใช่ไหม
ข้อที่2 ขอบเขตการตรวจสอบ เป็นการตรวจทานบัญชีในราคาเพิ่มขึ้น 150,000 บาทใช่ไหม
A: ค่าตรวจสอบบัญชีเป็นตัวเลขแน่นนอน และ ค่าที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าตรวจทาน
เนื่องจากติดกิจธุระเลยอยู่แค่วาระ8 เลยขอจบสรุปAGM แต่เพียงเท่านี้
ดูจากผู้บริหาร ส่วนใหญ่มากกว่า 60 ปี โดยเฉพาะ ประธานกรรมการบริษัท
นพ อรุณ เผ่าสวัสดิ์ อายุ 79 ปี แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง และ พูดจาดีมากครับ
และ คณะกรรมการเป็นนายแพทย์มากกว่า 50% ของกรรมการทั้งหมด
รู้สึกมั่นใจในผู้บริหารมากขึ้น
คุณหมอประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ มาอัปเดทข้อมูลบริษัท
เครือข่าย
ภายในประเทศ 42 แห่ง
ประเทศกัมพูชา 2 แห่ง รวม 44 แห่ง 7,865 เตียง
และ อีก 4 รพ อยู่ระหว่างก่อสร้าง ขนาด 550 เตียง
รวม 48 แห่ง 8,415 เตียง
รายได้ 14% เป็นรายได้จาก Medical Tourist
เป็นรายได้ที่ต้องรักษาไว้
บวกกับ ศูนย์ สุขภาพครบวงจร (BDMS Wellness Clinic)
ส่วนกลุ่มคนไข้ อาหรับ จะรองรับด้วยรพ ใหม่ที่กำลังก่อสร้าง
และจะเปิดได้ปลายปี
อันดับของกลุ่มรพ ขนาดใหญ่ BDMS เป็นอันดับ5 ของโลก ( Market cap & จำนวนเตียง )
BDMS ยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการสู่ศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Centers of Excellence)
โดยครอบคลุมการรักษาทุกโรคตามคุณภาพมาตราฐานสากล
ได้แก่ รพ 9 แห่ง สามารถรักษาได้ทุกโรค เทียบเคียงกับรพ ต่างประเทศ
กระจายไปทั่วประเทศ เช่น BDMS สนญ เชียงใหม่ อุดร พัทยา ภูเก็ต พนมเปญ
รพ พญาไท2 และ สมิติเวท สุขุมวิท และ ศรีนครินทร์
เรามีศูนย์กระดูกและข้อ โดยร่วมมือกับ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ และ ศักยภาพ รพที่เยอรมนี
และ รพ เด็ก สมิติเวท ร่วมมือกับ รพ ทากัตสึกิ ญี่ปุ่น ด้านกุมารเวชและห้องอภิบาลทารกแรกเกิด
Sky ICU ( เฮอร์ริคอปเตอร์ ) มี 2 ลำ โดยลำที่สองเล็กหน่อย ลงพื้นที่แคบได้
ศูนย์สุขภาพครบวงจร (BDMS Wellness Clinic)
พยายามทำเป็น รพ 3 ดาว รองรับ Wellness clinic
โดนคัดเลือก แพทย์จากต่างประเทศมาให้บริการคนไข้
ซื้อเครื่องสแกนเครื่องที่สอง สำหรับตรวจเช็คสภาพคนไข้ได้ทั้งตัว
Alarm center มีศูนย์ขนย้ายผู้ป่วย ใช้ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ที่ตรงเข้าไปรักษาระหว่างทางที่ขนย้าย
รพ และ โรงงานผลิตยา แห่งใหม่ ได้แก่
1. รพ เปาโล เกษตร เป็น รพ เก่า เดิมคือ รพ เมโย ควบรวมเสร็จประมาณ มกราคม 60
2.โรงงานแห่งใหม่ ของ สหแพทย์เภสัช เปิดที่สินสาคร เมื่อ 2 Nov 16
มีการวิจัย ว่าใช้น้ำเกลือมีการติดเชื้อ เสียชีวิตได้จากโรคติดเชื้อ ดังนั้น
ผลิตยาใหม่แทนน้ำเกลือเพื่อลดอาการติดเชื้อ
รพ ที่กำลังก่อสร้าง
1.Phoenix Project ยังไม่ได้ตั้งชื่อ
ขนาด 220 เตียง ใกล้สนญ คาดเปิดปี 61
2.International Hospital ขนาด 100 เตียง ใกล้ สนญ คาดเปิดปี 62
3.รพ กรุงเทพสุราษฏร์ ขนาด 150 เตียง เปิดภายในปี 60
4.รพ กรุงเทพเชียงราย
รางวัล และ กิจกรรม
ได้รางวัลมากมาย เช่น Large Capitalization from Asiamoney , รางวัลคุณภาพจากงานวิจัยดีเด่น
สนับสนุนการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง BDMS Bangkok Marathon 2016
ยังมีจัดโครงการช่วยเหลือคนพิการ โดยสร้างอาชีพให้คนพิการ
วาระที่ 3 งบการเงิน
โดย คุณ ศรีภพ สารสาส กรรมการอิสระ
รายได้ เพิ่มขึ้นจาก 63,907 ไป 69,126 ลบ เพิ่มขึ้น 8%
กำไรสุทธิก่อนรายการไม่ปกติ ตัดขายเงินลงทุนออก 7,812 ลบ เป็น 8,178 ลบ เพิ่มขึ้น 5%
สินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 4%
หนี้สิน เพิ่มขึ้น 3%
รายได้เกิดขึ้นจาก
1.การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
2.การส่งต่อคนไข้
3.การเพิ่มขึ้นจากเคสความยากของคนไข้
4.การเพิ่มขึ้นของราคายา
Q: ส่วนที่เกี่ยวกับ CG หน้า 98 มีการมุ่งเน้นทางการแพทย์ แต่คำถามคือด้านอื่นมีนโยบายอย่างไร
ข้อ 12 หน้า 99 นโยบายคุ้มครองผู้ได้เสียทั้งหมดใช่ไหม
และข้อสุดท้าย ผู้ได้เสียมีเฉพาะพนักงาน ส่วนอื่นเช่นคู่ค้า ตกหล่นหรือเปล่า
A: เป็นคำถามเชิงนโยบาย ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง ให้ตอบในวาระ8
วาระที่ 4
จัดสรรเงินปันผลในงวดนี้ 0.19 บาท จ่ายวันที่ 26 เมษายน 17
รายได้ค่ารักษาพยาบาล โต8.3%
รายได้รวม โต 8.2%
กำไรสุทธิที่เป็นของบริษัท โต 12.1%
การพิจารณาผลตอบแทนให้กรรมการขึ้นการเพิ่มขึ้นของรายได้
Q : 1.ค่าสอบบัญชีไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่ปี 60 น่าจะเป็นวงเงิน ที่แน่นอนใช่ไหม
ข้อที่2 ขอบเขตการตรวจสอบ เป็นการตรวจทานบัญชีในราคาเพิ่มขึ้น 150,000 บาทใช่ไหม
A: ค่าตรวจสอบบัญชีเป็นตัวเลขแน่นนอน และ ค่าที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าตรวจทาน
เนื่องจากติดกิจธุระเลยอยู่แค่วาระ8 เลยขอจบสรุปAGM แต่เพียงเท่านี้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 19
AGM IRPC by ลุงขวด
วันที่ 4/4/60 ได้ไปประชุมหุ้นผลผลิตจากน้ำมัน มีโรงกลั่น ปิโตเคมี เป็นหลัก. คือ. IRPC. ซึ่งเดิมชื่อ. TPI ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหุ้น PTT ไปแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าเป็นกิจการที่มั่นคงค่อยๆ เติบโตไปเรื่อย ๆ. นิสัยผมชอบหุ้นเล็กและกลางมากกว่า. แต่ที่ซื้อหุ้นนี้เพราะเห็นการเติบโตถึงแม้จะค่อยๆขยับ และมีปันผลระดับกว่า 4% ก็พอใจแล้ว มีการต้อนรับนักลงทุนดีมากแถมมีบูธแสดงสินค้าจากผลผลิตของเขามาแสดงด้วย มีนโยบายเติบโตแบบโครงการปีนเขา everest เป็นหุ้นลงทุนยาวได้ตัวหนึ่ง
ขอบคุณลุงขวดครับ
วันที่ 4/4/60 ได้ไปประชุมหุ้นผลผลิตจากน้ำมัน มีโรงกลั่น ปิโตเคมี เป็นหลัก. คือ. IRPC. ซึ่งเดิมชื่อ. TPI ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหุ้น PTT ไปแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าเป็นกิจการที่มั่นคงค่อยๆ เติบโตไปเรื่อย ๆ. นิสัยผมชอบหุ้นเล็กและกลางมากกว่า. แต่ที่ซื้อหุ้นนี้เพราะเห็นการเติบโตถึงแม้จะค่อยๆขยับ และมีปันผลระดับกว่า 4% ก็พอใจแล้ว มีการต้อนรับนักลงทุนดีมากแถมมีบูธแสดงสินค้าจากผลผลิตของเขามาแสดงด้วย มีนโยบายเติบโตแบบโครงการปีนเขา everest เป็นหุ้นลงทุนยาวได้ตัวหนึ่ง
ขอบคุณลุงขวดครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 20
AGM BKD ก่อนหน้า
ขอแก้ไข สรุปโดย คุณ Loby และ คุณ Tigereyeครับ
1. Current backlog 1415 ล้านบาท (รวมงานล่าสุด ร.พ.รามา ต้องเสร็จและเปิดในปีนี้) แบ่งตามการรับรู้ Q1-38%, Q2-31%, Q3-20%, Q4-10%
2. เงินตั้งสำรองที่เก็บเงินไม่ได้ เป็นงานราชภัฏอุดร ราว 70 ล้านบาท (มีจ่ายเข้ามาแล้วในเดือนก่อนประมาณ 10 ล้าน ส่วนที่เหลือได้ครบแน่ในไตรมาส 2) อีก 3 ล้านกว่าเป็นงานของบ.บ้านราชประสงค์อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยในศาล และเพิ่มเติมว่าปีนี้จะไม่มีการตั้งสำรองแบบนี้อีก และปัญหาเกิดจากงานราชภัฏทำสัญญาการจ่ายเงินไม่ชัดเจน ทำให้เก็บเงินไม่ได้ตามความสำเร็จของงาน ต้องรองานจบถึงจะได้เงินส่วนที่เหลือ แต่จะเก็บได้ครบแน่ และจะไม่รับงานแบบนี้อีกแล้ว
3. เงินค่าขายที่ดินงวดที่เหลือ จะจ่ายเข้ามา วันที่ 7 เม.ย.นี้แน่นอน ทั้งที่ตอนแรกทาง bkd ต่อรองขอให้จ่ายเร็วขึ้น แต่ทางผู้ซื้อให้เหตุผลว่า ซินแสบอกให้เป็นวันที่ 7 วันเดียวเท่านั้น และก่อน 9 โมงเช้าที่กรมที่ดินด้วย ส่วนเหตุผลที่ทาง bkd ขายที่ดินได้น้อยกว่าที่เคยบอกไว้แรกๆว่ามีคนเคยมาติดต่อซื้อจริงราว 600 กว่าล้าน ปรากฏว่ามี บ.ยักษ์ใหญ่ในตลาดแห่งหนึ่ง ขายที่ดินในบริเวณเดียวกันแบบล็อตใหญ่ 700 กว่าไร่ ในราคาตร.ว. ละ3หมื่นกว่า ทำให้ bkd ต้องรับตัดสินใจขายที่ราคานั้น ก่อนที่ราคาตลาดจะถูกปรับลงตาม
4. งานในกัมพูชา เฟสแรกทำงานจบแล้ว แต่อาจมีเพิ่มอีก 160 ล้าน และยังเหลืออีก 4 เฟส มูลค่าทั้งหมด5 เฟส ประมาณพันล้านบาท ซึ่งเซ็นMOUกับทางชิปหมงไว้ ห้ามรับงานของบ.ที่อื่น ถ้าจะไปต่างประเทศคงต้องเป็นประเทศพม่า เวียดนาม ซึ่งอุตสาหกรรมอสังหา เติบโตมาก
5. ปีนี้เป้าหมาย เน้นการทำกำไร มากกว่าการเติบโตของรายได้ที่ปกติตั้งเป้าปีละ 20% เนื่องจากเดิมเป็นtarget ที่บ.วางไว้ตั้งแต่เข้าตลาดว่า จะทำให้ได้ภายใน5ปีหลังเข้าตลาด ซึ่งจากยอดรายได้ปีล่าสุด (1368ล้าน) ก็ทำได้ดีกว่าเป้าหมายมาตลอด จนปีนี้คิดว่าควรหันมาโฟกัสการทำกำไรมากกว่า เพราะปัจจุบัน ทางบ.ก็เป็นอันดับ 1 ในวงการอยู่แล้ว (ผบห. บอกว่า market share 22%) จะคัดเลือกงานมากขึ้น ถ้าไม่คุ้ม ก็ไม่ทำ
6. ปีนี้นอกจาก current backlog ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้งานโรงแรมเครือMarriott โดยกลุ่มเสี่ยเจริญ เนื่องจากมีแผนเปิดใหม่อีก 20 แห่ง มูลค่าโครงการ 33,000 ล้าน (ในจำนวนนี้ 25% เป็นงานตกแต่งภายใน)
7. บ.ย่อย (บีเคดี เรียล เอสเตท) ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ก็มีผู้สนใจติดต่อขอซื้อมาบ้าง ตั้งใจจะรอจนกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเปิดให้บริการ ค่อยดูทิศทางอีกที ระหว่างนี้กำลังพูดคุยกับบ.รับเหมาก่อสร้าง รายหนึ่งที่ได้รับงานก่อสร้างสถานีบริเวณนั้น เพื่อทำเป็นพ.ท.ให้เช่าสำหรับ site คนงานก่อสร้าง
ผิดถูกตกหล่นขออภัยครับ
ขอแก้ไข สรุปโดย คุณ Loby และ คุณ Tigereyeครับ
1. Current backlog 1415 ล้านบาท (รวมงานล่าสุด ร.พ.รามา ต้องเสร็จและเปิดในปีนี้) แบ่งตามการรับรู้ Q1-38%, Q2-31%, Q3-20%, Q4-10%
2. เงินตั้งสำรองที่เก็บเงินไม่ได้ เป็นงานราชภัฏอุดร ราว 70 ล้านบาท (มีจ่ายเข้ามาแล้วในเดือนก่อนประมาณ 10 ล้าน ส่วนที่เหลือได้ครบแน่ในไตรมาส 2) อีก 3 ล้านกว่าเป็นงานของบ.บ้านราชประสงค์อยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยในศาล และเพิ่มเติมว่าปีนี้จะไม่มีการตั้งสำรองแบบนี้อีก และปัญหาเกิดจากงานราชภัฏทำสัญญาการจ่ายเงินไม่ชัดเจน ทำให้เก็บเงินไม่ได้ตามความสำเร็จของงาน ต้องรองานจบถึงจะได้เงินส่วนที่เหลือ แต่จะเก็บได้ครบแน่ และจะไม่รับงานแบบนี้อีกแล้ว
3. เงินค่าขายที่ดินงวดที่เหลือ จะจ่ายเข้ามา วันที่ 7 เม.ย.นี้แน่นอน ทั้งที่ตอนแรกทาง bkd ต่อรองขอให้จ่ายเร็วขึ้น แต่ทางผู้ซื้อให้เหตุผลว่า ซินแสบอกให้เป็นวันที่ 7 วันเดียวเท่านั้น และก่อน 9 โมงเช้าที่กรมที่ดินด้วย ส่วนเหตุผลที่ทาง bkd ขายที่ดินได้น้อยกว่าที่เคยบอกไว้แรกๆว่ามีคนเคยมาติดต่อซื้อจริงราว 600 กว่าล้าน ปรากฏว่ามี บ.ยักษ์ใหญ่ในตลาดแห่งหนึ่ง ขายที่ดินในบริเวณเดียวกันแบบล็อตใหญ่ 700 กว่าไร่ ในราคาตร.ว. ละ3หมื่นกว่า ทำให้ bkd ต้องรับตัดสินใจขายที่ราคานั้น ก่อนที่ราคาตลาดจะถูกปรับลงตาม
4. งานในกัมพูชา เฟสแรกทำงานจบแล้ว แต่อาจมีเพิ่มอีก 160 ล้าน และยังเหลืออีก 4 เฟส มูลค่าทั้งหมด5 เฟส ประมาณพันล้านบาท ซึ่งเซ็นMOUกับทางชิปหมงไว้ ห้ามรับงานของบ.ที่อื่น ถ้าจะไปต่างประเทศคงต้องเป็นประเทศพม่า เวียดนาม ซึ่งอุตสาหกรรมอสังหา เติบโตมาก
5. ปีนี้เป้าหมาย เน้นการทำกำไร มากกว่าการเติบโตของรายได้ที่ปกติตั้งเป้าปีละ 20% เนื่องจากเดิมเป็นtarget ที่บ.วางไว้ตั้งแต่เข้าตลาดว่า จะทำให้ได้ภายใน5ปีหลังเข้าตลาด ซึ่งจากยอดรายได้ปีล่าสุด (1368ล้าน) ก็ทำได้ดีกว่าเป้าหมายมาตลอด จนปีนี้คิดว่าควรหันมาโฟกัสการทำกำไรมากกว่า เพราะปัจจุบัน ทางบ.ก็เป็นอันดับ 1 ในวงการอยู่แล้ว (ผบห. บอกว่า market share 22%) จะคัดเลือกงานมากขึ้น ถ้าไม่คุ้ม ก็ไม่ทำ
6. ปีนี้นอกจาก current backlog ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้งานโรงแรมเครือMarriott โดยกลุ่มเสี่ยเจริญ เนื่องจากมีแผนเปิดใหม่อีก 20 แห่ง มูลค่าโครงการ 33,000 ล้าน (ในจำนวนนี้ 25% เป็นงานตกแต่งภายใน)
7. บ.ย่อย (บีเคดี เรียล เอสเตท) ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ก็มีผู้สนใจติดต่อขอซื้อมาบ้าง ตั้งใจจะรอจนกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวจะเปิดให้บริการ ค่อยดูทิศทางอีกที ระหว่างนี้กำลังพูดคุยกับบ.รับเหมาก่อสร้าง รายหนึ่งที่ได้รับงานก่อสร้างสถานีบริเวณนั้น เพื่อทำเป็นพ.ท.ให้เช่าสำหรับ site คนงานก่อสร้าง
ผิดถูกตกหล่นขออภัยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 21
AGM SCB by fantazywara
ไทยพาณิชย์ทุ่มสร้างบิ๊กดาต้า เริ่มใช้งานในอีก2เดือน
12/04/2017
ไทยพาณิชย์ซุ่มเงียบ ทุ่มสร้างบิ๊กดาต้า เริ่มใช้งานได้ใน 1-2 เดือนนี้ หวังให้บริการเจาะใจลูกค้า ขยายฐาน
นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทคโนโลยีหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญและทุ่มเทการพัฒนาก่อนเป็นลำดับแรก คือ บิ๊กดาต้า (Big Data) โดยจะนำมาใช้ปรับเปลี่ยนโมเดลกระบวนการทำงานของธนาคารทั้งหมด สามารถเริ่มนำมาใช้งานได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และจะใช้บิ๊กดาต้าใหม่แบบเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ การนำบิ๊กดาต้ามาใช้ดังกล่าวสอดรับทิศทางการทำงานในปีนี้ คือ การเข้าถึงลูกค้า มุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มความผูกพันกับลูกค้าเดิมให้มากขึ้น โดยฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นเป้าหมายคือ ลูกค้าบริหารความมั่งคั่ง (เวลธ์) ที่ธนาคารยังไม่มีฐานลูกค้ามากนัก เน้นเจาะลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดกลางที่มีความมั่งคั่ง ให้มาใช้บริการเวลธ์ครบวงจร ส่วนลูกค้าเดิมที่ส่วนใหญ่ใช้บริการธนาคารน้อย เช่น ลูกค้าสินเชื่อบ้าน กลุ่มนี้ธนาคาร จะเข้าไปทำความรู้จักลูกค้าให้มากขึ้น และพยายามนำเสนอในสิ่งที่ลูกค้า ต้องการ
"ฐานลูกค้าไทยพาณิชย์มี 10 ล้านราย ใหญ่มาก แต่ใช้จริงนิดเดียว อย่างสินเชื่อบ้านกู้ครั้งเดียวแล้วไม่เจอกันอีกเลย จากนี้ไปบิ๊กดาต้าจะทำให้เรารู้จักลูกค้ามากขึ้น สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ลูกค้า เช่น กู้ซ่อมแซมบ้านเพิ่มเติมไหม หรือรู้ว่ามีลูกเข้าโรงเรียน ต้องการใช้เงินไหม ข้อมูลเหล่านี้จะมาจากทั้งฐานข้อมูลภายในของแบงก์ และข้อมูลจากโซเชียลมีเดียด้วย" นายอาทิตย์ กล่าว
นายอาทิตย์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ที่ธนาคารพาณิชย์มีความสำคัญลดน้อยถอยลง ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์จำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของธนาคารไม่ใช่การเพิ่มรายได้ เพราะอนาคตไม่รู้ว่าธนาคารจะสร้างรายได้มากเหมือนที่ผ่านมาได้อีกต่อไปหรือไม่ แต่เป้าหมายหลักคือต้องการให้ธนาคารยังมีความสำคัญกับลูกค้า และไทยพาณิชย์คือธนาคารที่ลูกค้าเลือก
วันเดียวกัน ที่ประชุมสามัญ ผู้ถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 5.50 บาท เท่ากับปี 2558 รวมเป็นเงิน 18,696 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลเท่ากับร้อยละ 39.3 ของกำไรสุทธิในปี 2559 ที่มีมูลค่า 47,612 ล้านบาท นับเป็นกำไรสุทธิที่สูงที่สุดในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ในปี 2559
ไทยพาณิชย์ทุ่มสร้างบิ๊กดาต้า เริ่มใช้งานในอีก2เดือน
12/04/2017
ไทยพาณิชย์ซุ่มเงียบ ทุ่มสร้างบิ๊กดาต้า เริ่มใช้งานได้ใน 1-2 เดือนนี้ หวังให้บริการเจาะใจลูกค้า ขยายฐาน
นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทคโนโลยีหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญและทุ่มเทการพัฒนาก่อนเป็นลำดับแรก คือ บิ๊กดาต้า (Big Data) โดยจะนำมาใช้ปรับเปลี่ยนโมเดลกระบวนการทำงานของธนาคารทั้งหมด สามารถเริ่มนำมาใช้งานได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และจะใช้บิ๊กดาต้าใหม่แบบเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ การนำบิ๊กดาต้ามาใช้ดังกล่าวสอดรับทิศทางการทำงานในปีนี้ คือ การเข้าถึงลูกค้า มุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มความผูกพันกับลูกค้าเดิมให้มากขึ้น โดยฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นเป้าหมายคือ ลูกค้าบริหารความมั่งคั่ง (เวลธ์) ที่ธนาคารยังไม่มีฐานลูกค้ามากนัก เน้นเจาะลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดกลางที่มีความมั่งคั่ง ให้มาใช้บริการเวลธ์ครบวงจร ส่วนลูกค้าเดิมที่ส่วนใหญ่ใช้บริการธนาคารน้อย เช่น ลูกค้าสินเชื่อบ้าน กลุ่มนี้ธนาคาร จะเข้าไปทำความรู้จักลูกค้าให้มากขึ้น และพยายามนำเสนอในสิ่งที่ลูกค้า ต้องการ
"ฐานลูกค้าไทยพาณิชย์มี 10 ล้านราย ใหญ่มาก แต่ใช้จริงนิดเดียว อย่างสินเชื่อบ้านกู้ครั้งเดียวแล้วไม่เจอกันอีกเลย จากนี้ไปบิ๊กดาต้าจะทำให้เรารู้จักลูกค้ามากขึ้น สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ลูกค้า เช่น กู้ซ่อมแซมบ้านเพิ่มเติมไหม หรือรู้ว่ามีลูกเข้าโรงเรียน ต้องการใช้เงินไหม ข้อมูลเหล่านี้จะมาจากทั้งฐานข้อมูลภายในของแบงก์ และข้อมูลจากโซเชียลมีเดียด้วย" นายอาทิตย์ กล่าว
นายอาทิตย์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ที่ธนาคารพาณิชย์มีความสำคัญลดน้อยถอยลง ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์จำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของธนาคารไม่ใช่การเพิ่มรายได้ เพราะอนาคตไม่รู้ว่าธนาคารจะสร้างรายได้มากเหมือนที่ผ่านมาได้อีกต่อไปหรือไม่ แต่เป้าหมายหลักคือต้องการให้ธนาคารยังมีความสำคัญกับลูกค้า และไทยพาณิชย์คือธนาคารที่ลูกค้าเลือก
วันเดียวกัน ที่ประชุมสามัญ ผู้ถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 5.50 บาท เท่ากับปี 2558 รวมเป็นเงิน 18,696 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลเท่ากับร้อยละ 39.3 ของกำไรสุทธิในปี 2559 ที่มีมูลค่า 47,612 ล้านบาท นับเป็นกำไรสุทธิที่สูงที่สุดในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ในปี 2559
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 22
วันที่ 11/4/60 ช่วงเช้าลุงขวดได้ไป AGM หุ้น AIT
หุ้นกิจการแห่งอนาคตที่คนรุ่นใหม่ต้องศึกษาและติดตาม ดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ตกลง ลดลงทั้งกำไรและยอดขาย ทางผู้บริหารบอกว่า งานส่วนใหญ่เป็นโครงการรัฐบาลซึ่งหยุดชะงักเนื่องจากการเมืองที่ปั่นป่วน ทางผู้บริหารแจ้งว่า ปี 2559 น่าจะเป็นปีที่ต่ำสุด และปีใหม่นี้ มีงานในมือและงานประมูลรวมทั้งงานใหม่จะมีเพิ่มขึ้น เป้าหมายรายได้น่าจะได้ถึง 5000 ล้านบาท ก็ต้องติดตามกันต่อไป ผมก็คิดตามเขาและเชื่อเขาว่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นหุ้นปันผลที่สูงในระดับหนึ่ง ผู้บริหารมีธรรมาภิบาลดี การเงินไม่น่าห่วง ผมชอบกิจการเขาส่วนใหญ่นะครับ เพราะต้องใช้อุปกรณ์และการติดต่อสมัยใหม่ ที่รวดเร็ว และต้องปรับตัวอยู่เสมอ เห็นว่ามีการร่วมทุนทำ data center เก็บข้อมูลกับ itel เป้าหมายปี 2560
1. สาย System Integrator (SI) เป็นระบบ ICT เดียว
2. สาย Cloud Implementor เขาฝากอะไรไว้บนก้อนเฆษหนอ
3. สาย Data Virtualization (DV) เอาข้อมูลมาใช้ประโยชน์
4. สาย Security สร้างความปลอดภัยในระบบ
5. Internet of Things เรื่องนี้พูดกันมากเมื่อปีที่แล้ว และก็ต้องพูกกันต่อ ๆ ไป อีกหลายปี สำหรับคนรุ่นใหม่ที่จำเป็นต้องเรียนรู้
6. Software สร้างโปรแกรมต่างๆเพื่อลดค่าใช้จ่ายและสร้างงานในมีประสิทธิภาพ
หุ้นแห่งอนาคตที่ต้องพัฒนาตนเองและโลกสมัยใหม่ ที่เราต้องตามให้ทัน
ขอบคุณลุงขวดครับ
หุ้นกิจการแห่งอนาคตที่คนรุ่นใหม่ต้องศึกษาและติดตาม ดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ตกลง ลดลงทั้งกำไรและยอดขาย ทางผู้บริหารบอกว่า งานส่วนใหญ่เป็นโครงการรัฐบาลซึ่งหยุดชะงักเนื่องจากการเมืองที่ปั่นป่วน ทางผู้บริหารแจ้งว่า ปี 2559 น่าจะเป็นปีที่ต่ำสุด และปีใหม่นี้ มีงานในมือและงานประมูลรวมทั้งงานใหม่จะมีเพิ่มขึ้น เป้าหมายรายได้น่าจะได้ถึง 5000 ล้านบาท ก็ต้องติดตามกันต่อไป ผมก็คิดตามเขาและเชื่อเขาว่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นหุ้นปันผลที่สูงในระดับหนึ่ง ผู้บริหารมีธรรมาภิบาลดี การเงินไม่น่าห่วง ผมชอบกิจการเขาส่วนใหญ่นะครับ เพราะต้องใช้อุปกรณ์และการติดต่อสมัยใหม่ ที่รวดเร็ว และต้องปรับตัวอยู่เสมอ เห็นว่ามีการร่วมทุนทำ data center เก็บข้อมูลกับ itel เป้าหมายปี 2560
1. สาย System Integrator (SI) เป็นระบบ ICT เดียว
2. สาย Cloud Implementor เขาฝากอะไรไว้บนก้อนเฆษหนอ
3. สาย Data Virtualization (DV) เอาข้อมูลมาใช้ประโยชน์
4. สาย Security สร้างความปลอดภัยในระบบ
5. Internet of Things เรื่องนี้พูดกันมากเมื่อปีที่แล้ว และก็ต้องพูกกันต่อ ๆ ไป อีกหลายปี สำหรับคนรุ่นใหม่ที่จำเป็นต้องเรียนรู้
6. Software สร้างโปรแกรมต่างๆเพื่อลดค่าใช้จ่ายและสร้างงานในมีประสิทธิภาพ
หุ้นแห่งอนาคตที่ต้องพัฒนาตนเองและโลกสมัยใหม่ ที่เราต้องตามให้ทัน
ขอบคุณลุงขวดครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 23
AGM SAT by ลุงขวด
วันนี้ 18-4-60พึ่งกลับจากประชุมหุ้น. SAT ในธุรกิจรถยนต์เป็นผู้ผลิตเพลารถยนต์เป็นส่วนใหญ่. ผมสนใจธุรกิจด้านนี้เพราะญี่ปุ่นยึดเราเป็นฐานผลิต. มีรถกระบะเป็นตัวส่งออกที่ช่วยประเทศได้. ธุรกิจด้านนี้ตกไปหลายปีเนื่องจากการสร้างdemand เทียมในนโยบายรถคันแรก. เขาคาดการว่าครึ่งปีแรกยังไม่ดี แต่ครึ่งปีหลังจะโตขึ้นได้ เป้าหมายผลิตปีนี้จำนวน2 ล้านคันจะได้เห็นหรือเปล่าก็ตามกันดู. แต่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ตามเป้านะ. ผมชอบบริษัทนี้เพราะผลิตหลายส่วนให้รถการเกษตร รถแทรกเตอร์ kubota เพราะเขาเลือกไทยเป็นแหล่งผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกด้วย. น่าเป็นหุ้นที่ลงทุนได้เพราะปันผลปีละ 2. ครั้ง ในอัตราเกือบ 4% ถ้าลงทุนในราคาปัจจุบัน. ผมเคยไปชมโรงงานเขาเมื่อหลายปีก่อน ได้เห็นการบริหารแบบ 3 สมบูรณ์ตามที่เขาวางไว้. ผมพึ่งสะสมเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เพราะราคาหุ้นลงมามากทีเดียว. จำได้ว่าเมื่อปี 2553 มีขายเจาะจงที่ 21.80 บาท. ก็ลองคิดกันเองว่าจะลงทุนกับเขาได้หรือเปล่า. ส่วนผมหลวมตัวไปแล้วครับ. วันนี้ได้คุยกับลูกสาวคนเก่งของเขา คุณแพท ซึ่งช่วยบริหารอยู่. ผมคงถือรับปันผลไปอีกหลายปี. เขามีพูดถึงการส่งออกไปอินโดนิเชียบางส่วนด้วย เป็นการเปิดทางอีกส่วนหนึ่ง และพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งผมอยากให้เกิดเร็วๆ. ก็คอยดูกันต่อไป. การมีรถไฟฟ้าช่วยลดการใช้น้ำมันและมลภาวะโลกร้อนขึ้น. ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วครับ
วันนี้ 18-4-60พึ่งกลับจากประชุมหุ้น. SAT ในธุรกิจรถยนต์เป็นผู้ผลิตเพลารถยนต์เป็นส่วนใหญ่. ผมสนใจธุรกิจด้านนี้เพราะญี่ปุ่นยึดเราเป็นฐานผลิต. มีรถกระบะเป็นตัวส่งออกที่ช่วยประเทศได้. ธุรกิจด้านนี้ตกไปหลายปีเนื่องจากการสร้างdemand เทียมในนโยบายรถคันแรก. เขาคาดการว่าครึ่งปีแรกยังไม่ดี แต่ครึ่งปีหลังจะโตขึ้นได้ เป้าหมายผลิตปีนี้จำนวน2 ล้านคันจะได้เห็นหรือเปล่าก็ตามกันดู. แต่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ตามเป้านะ. ผมชอบบริษัทนี้เพราะผลิตหลายส่วนให้รถการเกษตร รถแทรกเตอร์ kubota เพราะเขาเลือกไทยเป็นแหล่งผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกด้วย. น่าเป็นหุ้นที่ลงทุนได้เพราะปันผลปีละ 2. ครั้ง ในอัตราเกือบ 4% ถ้าลงทุนในราคาปัจจุบัน. ผมเคยไปชมโรงงานเขาเมื่อหลายปีก่อน ได้เห็นการบริหารแบบ 3 สมบูรณ์ตามที่เขาวางไว้. ผมพึ่งสะสมเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เพราะราคาหุ้นลงมามากทีเดียว. จำได้ว่าเมื่อปี 2553 มีขายเจาะจงที่ 21.80 บาท. ก็ลองคิดกันเองว่าจะลงทุนกับเขาได้หรือเปล่า. ส่วนผมหลวมตัวไปแล้วครับ. วันนี้ได้คุยกับลูกสาวคนเก่งของเขา คุณแพท ซึ่งช่วยบริหารอยู่. ผมคงถือรับปันผลไปอีกหลายปี. เขามีพูดถึงการส่งออกไปอินโดนิเชียบางส่วนด้วย เป็นการเปิดทางอีกส่วนหนึ่ง และพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งผมอยากให้เกิดเร็วๆ. ก็คอยดูกันต่อไป. การมีรถไฟฟ้าช่วยลดการใช้น้ำมันและมลภาวะโลกร้อนขึ้น. ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 25
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -18 เม.ย. 60 16:49 น.
AGM BA
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ให้ข้อมูลในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 60 โดย BA ตั้งเป้าอัตราบรรทุกผู้โดยสาร ปีนี้มากกว่า 70% และคาดจำนวนผู้โดยสารโต 12% หลังขยายเส้นทางบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบินมากขึ้น เผยอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาสนามบินใหม่ 2 แห่ง ทั้งในและตปท. คาดได้ข้อสรุป เร็วๆนี้
-ตั้งเป้าอัตราการขนส่งผู้โดยสาร(Load factor)ปีนี้มากกว่า 70% จากปีก่อน 69.2% เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเพิ่มเส้นทางบินใหม่ 5 เส้นทาง และเพิ่มความถี่เที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับความนิยม 8 เส้นทาง รวมถึงจะร่วมกับสายการบินพันธมิตรใหม่อีก 4 ราย จากปัจจุบันมีพันธมิตร 22 ราย โดยในไตรมาสแรกบริษัทมีอัตราการขนส่งผู้โดยสารมากกว่า 70% แล้ว
-ส่วนผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสาร ที่ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน ที่มียอดผู้โดยสารทั้งหมด 5.6 ล้านคน
-บริษัทมีแผนสร้างโรงซ่อมอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินสุโขทัยภายในปีนี้
-บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาสนามบินแห่งใหม่ 2 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศอย่างละแห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสนามบินที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน 3 แห่ง
-ปัจจุบันมีเงินที่เหลือจาก IPO อยู่ที่ประมาณ 7,711 ล้านบาท โดยในระยะต่อไปจะใช้ขยายฝูงบิน 5,500 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องอากาศยาน 626 ล้านบาท ก่อสร้างอากาศยานสุวรรณภูมิ 900 ล้านบาท และปรับปรุงสนามบินสมุย 661 ล้านบาท
AGM BA
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ให้ข้อมูลในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 60 โดย BA ตั้งเป้าอัตราบรรทุกผู้โดยสาร ปีนี้มากกว่า 70% และคาดจำนวนผู้โดยสารโต 12% หลังขยายเส้นทางบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบินมากขึ้น เผยอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาสนามบินใหม่ 2 แห่ง ทั้งในและตปท. คาดได้ข้อสรุป เร็วๆนี้
-ตั้งเป้าอัตราการขนส่งผู้โดยสาร(Load factor)ปีนี้มากกว่า 70% จากปีก่อน 69.2% เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเพิ่มเส้นทางบินใหม่ 5 เส้นทาง และเพิ่มความถี่เที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับความนิยม 8 เส้นทาง รวมถึงจะร่วมกับสายการบินพันธมิตรใหม่อีก 4 ราย จากปัจจุบันมีพันธมิตร 22 ราย โดยในไตรมาสแรกบริษัทมีอัตราการขนส่งผู้โดยสารมากกว่า 70% แล้ว
-ส่วนผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสาร ที่ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน ที่มียอดผู้โดยสารทั้งหมด 5.6 ล้านคน
-บริษัทมีแผนสร้างโรงซ่อมอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินสุโขทัยภายในปีนี้
-บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาสนามบินแห่งใหม่ 2 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศอย่างละแห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสนามบินที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน 3 แห่ง
-ปัจจุบันมีเงินที่เหลือจาก IPO อยู่ที่ประมาณ 7,711 ล้านบาท โดยในระยะต่อไปจะใช้ขยายฝูงบิน 5,500 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องอากาศยาน 626 ล้านบาท ก่อสร้างอากาศยานสุวรรณภูมิ 900 ล้านบาท และปรับปรุงสนามบินสมุย 661 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 253
- ผู้ติดตาม: 0
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 26
ประชุม TACC วันที่ 19 เมษา
คำถามที่มีคนถามมากที่สุด และผู้บริหารตื่นมาก็ได้รับแต่คำถามนี้คือ กลัวว่า 7-11 จะเข้ามาทำน้ำโถกดและกาแฟและชาเอง ผู้บริหารชี้แจงว่า ขณะนี้ร่วมทำงานกับ 7-11 โดยได้รับเกียรติเป็น Key Strategic Partner และไม่ใช่ว่าทุกอย่างอย่าง 7-11 จะทำเองได้คนเดียว เพราะต้องคำนึงถึงการเติบโตของ SME ด้วย
บริษัทได้แบ่งภาพการเติบโตของรายได้ให้เห็นเป็น 2 ส่วน คือ 7/11 และ Non 7/11 ปัจจุบันสัดส่วน 88:12 จะมีเป้าหมายใน 3 ปี มีสัดส่วน 65:35 โดยประมาณ
1. ใน 7/11 จะมี 4 ขา คือ เครื่องดื่มโถกด / โดนัท / เครื่องเขียน / เครื่องสำอาง
สำหรับโดนัท ก็ไปได้ดี เพราะ ออกโปรคู่กับเครื่องดื่มไปเรื่อย ๆ จะมีรสชาติใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ
เครื่องเขียน ได้รับสิทธิ์จาก ซานริโอ จะจำหน่ายถูกกว่าของเซ็นทรัล เพราะเซ็นทรัลอิมพอร์ตมา แต่ของเราทำเอง จะขายได้ถูกกว่า และซานริโออยากเห็นสินค้าของตัวเองกระจายให้พบเห็นง่ายในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
เครื่องสำอางยังไม่ดีเพราะสินค้ายังมีราคาแพง และต้องมีสินค้าให้ทดลอง เลยคิดว่ายังไม่เหมาะ
2. Non 7/11 จะมีสินค้าจำหน่ายใน กัมพูชา / ออสเตรเลีย / จีน / ไทย
เมื่อต้นปีเพิ่งมีเครื่องดื่มชูกำลัง เข้าไป / ในจีน ก็ใช้เวลาขอ อ.ย. เครื่องดื่มทุเรียน เป็นเวลา 2 ปี ตอนนี้ได้แล้ว ยังตั้งเป้าไม่มาก ไม่อยากให้คาดหวังสูงมากเกินไปในตอนนี้ / ส่วนไทย ก็เริ่มมีแบร์ดนของตัวเองแล้ว
มีผู้ถือหุ้นถามว่า บริษัทมีอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างไรไหม ผู้บริหารตอบว่า ก็มีอุปสรรคธุรกิจทั่วไป ตามหลัก 5 Force และบริษัทก็มีกลยุทธในการแก้ไขปัญหาตามเหตุ
ขาดตกบกพร่องไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ มือใหม่หัดเขียน อดใจรอ VDO การประชุม คงได้ชม เร็ว ๆ นี้
คำถามที่มีคนถามมากที่สุด และผู้บริหารตื่นมาก็ได้รับแต่คำถามนี้คือ กลัวว่า 7-11 จะเข้ามาทำน้ำโถกดและกาแฟและชาเอง ผู้บริหารชี้แจงว่า ขณะนี้ร่วมทำงานกับ 7-11 โดยได้รับเกียรติเป็น Key Strategic Partner และไม่ใช่ว่าทุกอย่างอย่าง 7-11 จะทำเองได้คนเดียว เพราะต้องคำนึงถึงการเติบโตของ SME ด้วย
บริษัทได้แบ่งภาพการเติบโตของรายได้ให้เห็นเป็น 2 ส่วน คือ 7/11 และ Non 7/11 ปัจจุบันสัดส่วน 88:12 จะมีเป้าหมายใน 3 ปี มีสัดส่วน 65:35 โดยประมาณ
1. ใน 7/11 จะมี 4 ขา คือ เครื่องดื่มโถกด / โดนัท / เครื่องเขียน / เครื่องสำอาง
สำหรับโดนัท ก็ไปได้ดี เพราะ ออกโปรคู่กับเครื่องดื่มไปเรื่อย ๆ จะมีรสชาติใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ
เครื่องเขียน ได้รับสิทธิ์จาก ซานริโอ จะจำหน่ายถูกกว่าของเซ็นทรัล เพราะเซ็นทรัลอิมพอร์ตมา แต่ของเราทำเอง จะขายได้ถูกกว่า และซานริโออยากเห็นสินค้าของตัวเองกระจายให้พบเห็นง่ายในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
เครื่องสำอางยังไม่ดีเพราะสินค้ายังมีราคาแพง และต้องมีสินค้าให้ทดลอง เลยคิดว่ายังไม่เหมาะ
2. Non 7/11 จะมีสินค้าจำหน่ายใน กัมพูชา / ออสเตรเลีย / จีน / ไทย
เมื่อต้นปีเพิ่งมีเครื่องดื่มชูกำลัง เข้าไป / ในจีน ก็ใช้เวลาขอ อ.ย. เครื่องดื่มทุเรียน เป็นเวลา 2 ปี ตอนนี้ได้แล้ว ยังตั้งเป้าไม่มาก ไม่อยากให้คาดหวังสูงมากเกินไปในตอนนี้ / ส่วนไทย ก็เริ่มมีแบร์ดนของตัวเองแล้ว
มีผู้ถือหุ้นถามว่า บริษัทมีอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างไรไหม ผู้บริหารตอบว่า ก็มีอุปสรรคธุรกิจทั่วไป ตามหลัก 5 Force และบริษัทก็มีกลยุทธในการแก้ไขปัญหาตามเหตุ
ขาดตกบกพร่องไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ มือใหม่หัดเขียน อดใจรอ VDO การประชุม คงได้ชม เร็ว ๆ นี้
-
- Verified User
- โพสต์: 339
- ผู้ติดตาม: 0
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 27
สรุปการประชุม AGM CPALL ประจำปี 2017
http://www.dojii.net/2017/04/cpall-agm-y2017.html#more
ผลงานปี 2559
รายได้เติบโต 11.3% กำไรเติบโต 21.9%
สัดส่วนรายได้มาจากร้าน 7-Eleven และบริษัทย่อย 64% มาจาก Makro 36% ในขณะที่ EBIT มาจาก 7-Eleven และบริษัทย่อย 75% มาจาก Makro 25%
มีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2559 ทั้งสิ้น 9,542 สาขา เป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 4,245 สาขา ต่างจังหวัด 5,297 สาขา
เป็นสาขาของบริษัทเอง 4,205 สาขา เฟรนด์ไชส์ 5,337 สาขา อยู่ในทำเลปกติ 8,210 สาขา ในปั๊ม ปตท. 1,332 สาขา ทั้งปี 2559 เปิดสาขาเพิ่มขึ้น 710 สาขา
ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา 78,706 บาท / วัน SSSG +2.4% ยอดซื้อต่อราย 65 บาท จำนวนลูกค้าเข้าร้าน 1,216 คน / วัน
Gross Profit Margin 21.9% EBIT Margin 6.3% Net Margin 3.7% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 18.5% วงจรเงินสด -41.6 วัน D/E ตามงบการเงินรวม 2.6 เท่า
แผนลงทุนปี 2560
เปิดร้านสาขาใหม่ประมาณ 700 สาขา มีเป้าหมายในการเปิดร้าน 7-Eleven ให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564
งบประมาณการลงทุนรวม 9,500 - 10,000 ล้านบาท เป็นการเปิดร้านสาขาใหม่ 3,400 - 3,500 ล้านบาท การปรับปรุงร้านสาขาเดิม 2,300 - 2,400 ล้านบาท การลงทุนในโครงการใหม่ บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 3,000 - 3,100 ล้านบาท การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 800 - 900 ล้านบาท
บริษัทเพิ่งเริ่มขยายสาขาปีละ 700 สาขา ใน 1 - 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้มีการเซ็น MOU กับแสนสิริ และ LPN สำหรับการเปิดร้านในคอนโด สามารถหาทำเลใหม่ๆ ได้
เงินลงทุน 9,000 - 10,000 ล้านบาท / ปี เป็นการใช้เงินลงทุนที่ได้จากการดำเนินกิจการในปีนั้นๆ
Margin ที่ผ่านมาลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากการควบรวม Makro ซึ่งเป็นกิจการที่มี Margin ต่ำกว่า อีกส่วนเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี แต่ตัวเลข Margin ปี 2559 ที่ผ่านมาก็เริ่มดีขึ้น
แผนการกระจายหุ้น Makro ยังคงอยู่แต่ไม่รีบร้อน ยังรอโอกาสในการขายที่ดีที่สุดไม่ขาดทุน
http://www.dojii.net/2017/04/cpall-agm-y2017.html#more
ผลงานปี 2559
รายได้เติบโต 11.3% กำไรเติบโต 21.9%
สัดส่วนรายได้มาจากร้าน 7-Eleven และบริษัทย่อย 64% มาจาก Makro 36% ในขณะที่ EBIT มาจาก 7-Eleven และบริษัทย่อย 75% มาจาก Makro 25%
มีจำนวนสาขา ณ สิ้นปี 2559 ทั้งสิ้น 9,542 สาขา เป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 4,245 สาขา ต่างจังหวัด 5,297 สาขา
เป็นสาขาของบริษัทเอง 4,205 สาขา เฟรนด์ไชส์ 5,337 สาขา อยู่ในทำเลปกติ 8,210 สาขา ในปั๊ม ปตท. 1,332 สาขา ทั้งปี 2559 เปิดสาขาเพิ่มขึ้น 710 สาขา
ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา 78,706 บาท / วัน SSSG +2.4% ยอดซื้อต่อราย 65 บาท จำนวนลูกค้าเข้าร้าน 1,216 คน / วัน
Gross Profit Margin 21.9% EBIT Margin 6.3% Net Margin 3.7% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 18.5% วงจรเงินสด -41.6 วัน D/E ตามงบการเงินรวม 2.6 เท่า
แผนลงทุนปี 2560
เปิดร้านสาขาใหม่ประมาณ 700 สาขา มีเป้าหมายในการเปิดร้าน 7-Eleven ให้ครบ 13,000 สาขาภายในปี 2564
งบประมาณการลงทุนรวม 9,500 - 10,000 ล้านบาท เป็นการเปิดร้านสาขาใหม่ 3,400 - 3,500 ล้านบาท การปรับปรุงร้านสาขาเดิม 2,300 - 2,400 ล้านบาท การลงทุนในโครงการใหม่ บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 3,000 - 3,100 ล้านบาท การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 800 - 900 ล้านบาท
บริษัทเพิ่งเริ่มขยายสาขาปีละ 700 สาขา ใน 1 - 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้มีการเซ็น MOU กับแสนสิริ และ LPN สำหรับการเปิดร้านในคอนโด สามารถหาทำเลใหม่ๆ ได้
เงินลงทุน 9,000 - 10,000 ล้านบาท / ปี เป็นการใช้เงินลงทุนที่ได้จากการดำเนินกิจการในปีนั้นๆ
Margin ที่ผ่านมาลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลจากการควบรวม Makro ซึ่งเป็นกิจการที่มี Margin ต่ำกว่า อีกส่วนเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี แต่ตัวเลข Margin ปี 2559 ที่ผ่านมาก็เริ่มดีขึ้น
แผนการกระจายหุ้น Makro ยังคงอยู่แต่ไม่รีบร้อน ยังรอโอกาสในการขายที่ดีที่สุดไม่ขาดทุน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 28
AGM CPALL
วันนี้มาประชุม บริษัท CPALL ที่อาคารปัญญาภิวัฒน์ แจ้งวัฒนะ
ที่นี่เลี้ยงดูผู้ถือหุ้นดีพอควร มีทั้งซาลาเปา ขนมจีบ ขนมปัง 1 กล่อง และ เครื่องดื่มร้อนหรือเย็น สบายไปหนึ่งมื้อ
ยังมีมุมให้นักลงทุนเล่นเกม ฝึกให้ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยนำถุงผ้าไป
ใส่ของที่ซื้อที่ ร้าน 7-11 นอกจากนี้ ยังมีสินค้าราคาพิเศษมาขายให้กับนักลงทุนหลายอย่าง
ระหว่างที่นั่งทาน โชคดีได้พบกับคุณ ประภาคาร ภราดลภิบาล เจ้าของสำนักพิมพ์
Wing media มีหนังสือของนักเขียนดังๆ เช่น
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ หนังสือ คัมภีร์วีไอ
คุณ ธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอ หนังสือ เคล็ดไม่ลับการลงทุน
คุณ ชัชวนันท์ สันธิเดช คุณ สุภศักดิ์ จุลละศร เขียน วัดพลังหุ้น ล่าสุด เจาะลึก P/E เป็นต้น
ที่จำคุณ ประภาคารได้ เพราะ เป็นผู้รวบรวมกลยุทธ์ในการลงทุนของดร นิเวศน์ ออกมาสองเล่ม เช่น ลงทุนอย่าง ดร นิเวศน์ ถือเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มนึง ยังแนะนำหลายคนอ่านเล่มนี้เลย
งานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา คุณประภาคาร ไปเปิดบูธ ในงานด้วย ปรากฏว่า มีคนมาอุดหนุนพอสมควร
อาจเป็นคอหนังสือด้วยกัน เลยคุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ
หลังจากนั้นผมก็ขอตัวไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ลงทุนสัมพันธ์ เกี่ยวกับงานของทางสมาคมไทยวีไอ ยังเจอ มาริโอ้ กานต์ อุปนายกสมาคมไทยวีไอที่มาประชุมเหมือนกัน
รู้สึกงานนี้ จะรวมคนเก่งด้านการลงทุนมาประชุมกันอย่างครับครั่ง
เนื้อหาด้านล่าง ผมนำมาจาก Infoquest รายงานข่าวตอนสัมภาษณ์ผู้บริหารตอนประชุม AGM
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 60 บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน
ขณะที่บริษัทยังคงแผนการขายหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ออกบางส่วนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มฟรีโฟลตให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปริมาณที่เหมาะสม เชื่อว่ามีโอกาสจะดำเนินการต่อไป แต่ไม่มีความจำเป็นต้องรีบตัดสินใจขาย โดยจะรอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
"แผนขายหุ้น MAKRO กลับสู่ตลาดยังอยู่ในแผน ยังไม่ได้ตัดสินใจขายเมื่อไร เพราะเราลงทุนระยะยาว เราจะรอการขายหุ้นที่ให้ผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น CPALL เราไม่รีบร้อน"นายเกรียงชัย กล่าว
นายเกรียงชัย ยังกล่าวว่า ในปี 60 บริษัทมีแผนขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-11 อีก 700 สาขา และมีแผนเปิดสาขาใหม่ปีละ 700 สาขาในช่วงปี 60-64 หรือ ประมาณ 3,500 สาขาจะทำมห้สิ้นปี 64 มีสาขาเป็น 13,000 สาขา จากสิ้นปี 59 มีจำนวน 9,542 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มวางแผนขยายสาขาปีละ 700 สาขามาได้ 1-2 ปีแล้ว โดยการเปิดสาขาใหม่จะพิจารณาอัตราเติบโต และคุณภาพสาขาที่เน้นทำเลที่สนองตอบความต้องการลูกค้าได้ต่อเนื่อง และได้ร่สมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านบริษัทได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ในการเปิดสาขาร้าน 7-11 ในคอนโดมิเนียม
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับโรงพยาบาล สถานที่ราชการ รวมถึงการขยายสาขาภายในสถานีบริการน้ำมันของ บมจ.ปตท (PTT) และอีกทั้งการยนายโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคตจะทำให้โอกาสในการขยายสาขาตามที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งการเปิดสาขาแบบ Stand alone
ปัจจุบัน สัดส่วนสาขาในกรุงเทพและปริมณฑลคิดเป็น 45% ส่วนสาขาในต่างจังหวัดมีสัดส่วน 55%
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมลงทุนศูนย์กระจายสินค้าใหม่ในพื้นที่ภาคอีส่นและเหนือ ทีจะรองรับสาขาใหม่ที่จะเกิดขึ้น
นายเกรียงชัย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 9,500-10,000 ล้านบาท โดยใช้ในการเปิดสาขาใหม่ 3,400-3,600 ล้านบาท การประบปรุงร้านเดิม 2,300-2,400 ล้านบาท โครงการใหม่, บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 3,000-3,100 ล้านบาท รวมทั้งลงทุนในสินทรัพย์และระบบสารสนเทศ 800-900 ล้านบาท
"การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะกระทบหรือเป็นประโยชน์ต่อ CPALL คงต้องติดตามดู ขณะนี้ยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่ก็ติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับธุรกิจบริการของ Grab Bike และ ไลน์แมน" นายเกรียงชัย กล่าว
Cr:Infoquest
วันนี้มาประชุม บริษัท CPALL ที่อาคารปัญญาภิวัฒน์ แจ้งวัฒนะ
ที่นี่เลี้ยงดูผู้ถือหุ้นดีพอควร มีทั้งซาลาเปา ขนมจีบ ขนมปัง 1 กล่อง และ เครื่องดื่มร้อนหรือเย็น สบายไปหนึ่งมื้อ
ยังมีมุมให้นักลงทุนเล่นเกม ฝึกให้ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยนำถุงผ้าไป
ใส่ของที่ซื้อที่ ร้าน 7-11 นอกจากนี้ ยังมีสินค้าราคาพิเศษมาขายให้กับนักลงทุนหลายอย่าง
ระหว่างที่นั่งทาน โชคดีได้พบกับคุณ ประภาคาร ภราดลภิบาล เจ้าของสำนักพิมพ์
Wing media มีหนังสือของนักเขียนดังๆ เช่น
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ หนังสือ คัมภีร์วีไอ
คุณ ธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอ หนังสือ เคล็ดไม่ลับการลงทุน
คุณ ชัชวนันท์ สันธิเดช คุณ สุภศักดิ์ จุลละศร เขียน วัดพลังหุ้น ล่าสุด เจาะลึก P/E เป็นต้น
ที่จำคุณ ประภาคารได้ เพราะ เป็นผู้รวบรวมกลยุทธ์ในการลงทุนของดร นิเวศน์ ออกมาสองเล่ม เช่น ลงทุนอย่าง ดร นิเวศน์ ถือเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มนึง ยังแนะนำหลายคนอ่านเล่มนี้เลย
งานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา คุณประภาคาร ไปเปิดบูธ ในงานด้วย ปรากฏว่า มีคนมาอุดหนุนพอสมควร
อาจเป็นคอหนังสือด้วยกัน เลยคุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ
หลังจากนั้นผมก็ขอตัวไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ลงทุนสัมพันธ์ เกี่ยวกับงานของทางสมาคมไทยวีไอ ยังเจอ มาริโอ้ กานต์ อุปนายกสมาคมไทยวีไอที่มาประชุมเหมือนกัน
รู้สึกงานนี้ จะรวมคนเก่งด้านการลงทุนมาประชุมกันอย่างครับครั่ง
เนื้อหาด้านล่าง ผมนำมาจาก Infoquest รายงานข่าวตอนสัมภาษณ์ผู้บริหารตอนประชุม AGM
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 60 บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน
ขณะที่บริษัทยังคงแผนการขายหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) ออกบางส่วนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มฟรีโฟลตให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปริมาณที่เหมาะสม เชื่อว่ามีโอกาสจะดำเนินการต่อไป แต่ไม่มีความจำเป็นต้องรีบตัดสินใจขาย โดยจะรอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
"แผนขายหุ้น MAKRO กลับสู่ตลาดยังอยู่ในแผน ยังไม่ได้ตัดสินใจขายเมื่อไร เพราะเราลงทุนระยะยาว เราจะรอการขายหุ้นที่ให้ผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น CPALL เราไม่รีบร้อน"นายเกรียงชัย กล่าว
นายเกรียงชัย ยังกล่าวว่า ในปี 60 บริษัทมีแผนขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-11 อีก 700 สาขา และมีแผนเปิดสาขาใหม่ปีละ 700 สาขาในช่วงปี 60-64 หรือ ประมาณ 3,500 สาขาจะทำมห้สิ้นปี 64 มีสาขาเป็น 13,000 สาขา จากสิ้นปี 59 มีจำนวน 9,542 สาขา
ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มวางแผนขยายสาขาปีละ 700 สาขามาได้ 1-2 ปีแล้ว โดยการเปิดสาขาใหม่จะพิจารณาอัตราเติบโต และคุณภาพสาขาที่เน้นทำเลที่สนองตอบความต้องการลูกค้าได้ต่อเนื่อง และได้ร่สมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านบริษัทได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ในการเปิดสาขาร้าน 7-11 ในคอนโดมิเนียม
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับโรงพยาบาล สถานที่ราชการ รวมถึงการขยายสาขาภายในสถานีบริการน้ำมันของ บมจ.ปตท (PTT) และอีกทั้งการยนายโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคตจะทำให้โอกาสในการขยายสาขาตามที่อยู่อาศัยในแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งการเปิดสาขาแบบ Stand alone
ปัจจุบัน สัดส่วนสาขาในกรุงเทพและปริมณฑลคิดเป็น 45% ส่วนสาขาในต่างจังหวัดมีสัดส่วน 55%
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมลงทุนศูนย์กระจายสินค้าใหม่ในพื้นที่ภาคอีส่นและเหนือ ทีจะรองรับสาขาใหม่ที่จะเกิดขึ้น
นายเกรียงชัย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 9,500-10,000 ล้านบาท โดยใช้ในการเปิดสาขาใหม่ 3,400-3,600 ล้านบาท การประบปรุงร้านเดิม 2,300-2,400 ล้านบาท โครงการใหม่, บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 3,000-3,100 ล้านบาท รวมทั้งลงทุนในสินทรัพย์และระบบสารสนเทศ 800-900 ล้านบาท
"การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะกระทบหรือเป็นประโยชน์ต่อ CPALL คงต้องติดตามดู ขณะนี้ยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่ก็ติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับธุรกิจบริการของ Grab Bike และ ไลน์แมน" นายเกรียงชัย กล่าว
Cr:Infoquest
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 29
AGM SE-ED 20 APR 17
วันนี้มาประชุมไม่ทัน ผ่านไป 2 วาระแล้ว ครั้งนี้ย้ายห้องประชุมไปอีกห้อง เพราะ
ห้องเดิมเวลาพูดเสียงจะดังออกนอกอาคาร รู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างเครียดเล็กน้อย
อาจมาจาก กำไรของปีที่แล้ว ลดลงอย่างมาก และยังมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินกู้
ที่ยืมมาสร้าง warehouse เมื่อปีที่แล้ว ค่าที่ดิน 300 ล้านบาท และ ที่เหลือเป็นค่าก่อสร้าง
หนี้ผ่อนทั้งหมด 7 ปี วงเงินกู้ 2 ชุด ๆละ 250 ล้านบาท
Q: ผู้ถือหุ้นสอบถาม ผู้ตรวจบัญชีว่า ค่าตรวจบัญชี 1 ล้านบาท นอกจากตรวจบัญชี
และรายงานสรรพากรแล้ว มีอะไรที่อยากบอกกับผู้ถือหุ้นบ้าง
A: ผู้ตรวจสอบบัญชีแจ้งว่า ดูจากงบการเงิน สินค้าคงคลัง ค่อนข้างเยอะ ต้องพยายาม
ลดปริมาณลง และ หมุนให้เร็วขึ้น
Q: ผมได้สอบถามคุณทนงเกี่ยวกับ inventory ของ book , non book
ว่าอย่างไหนต้องซื้อมาบ้าง อย่างไหนที่ฝากขาย
A: คุณทนงตอบว่า ถ้าเป็นbook เป็นฝากขายหมด ยกเว้น หนังสือต่างประเทศที่ต้องสั่งเข้ามา
แต่ถ้าเป็น non book ก็มีทั้งฝากขาย และ ซื้อเข้ามาเป็นstock
ตัวเลขสินค้าคงเหลือ หมายถึงรายการที่สั่งซื้อเข้ามาและยังขายไม่ได้
Q: ถามเรื่องงบการเงิน ว่ารายได้อื่นคืออะไร
รายได้ ดอกเบี้ย เงินปันผล ได้รับจากตราสารอะไรบ้าง
A: รายได้อื่นๆ มาจาก กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยบริษัททำ forward ค่าเงินปอนด์ตอนสั่งซื้อหนังสือ
ต่างประเทศมา ไม่มีความเสี่ยง เพราะ ได้ตั้งราคาขายจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ซื้อ บวกกำไรแล้ว
ส่วน รายได้ ดอกเบี้ยมาจาก การพักเงินไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือ พันธบัตรระยะสั้น
รายได้ค่าธรรมเนียมการศึกษา เป็นรายได้จาก โรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นค่าเทอม ของ อนุบาล จนถึง ม 6
วาระที่ 5 มีการเพิ่มเงื่อนไขในการจ่ายปันผล จากเดิม จ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรงบเดี่ยว
เพิ่มเป็น อาจพิจารณาจ่ายหรือไม่ก็ได้ ขึ้นกับความเหมาะสม และ ความจำเป็นในการลงทุน
คราวนี้ปันผล 0.01 บาทต่อหุ้น ค่าใช้จ่ายในการจ่ายปันผล ของ นักลงทุนบางคน อาจมากกว่าเงินปันผล
ที่ได้รับ เลยเพิ่มข้อความนี้เข้ามา แต่ก็คนคัดค้านไม่เห็นด้วย คิดเป็น 1.8 ล้านเสียง แต่เสียงส่วนใหญ่ 98% เห็นด้วย
วาระนี้เลยผ่าน ส่วนวาระเลือกกรรมการ และ กำหนดผลตอบแทนกรรมการ และ ผู้ตรวจสอบบัญชี ผ่านหมด
วันนี้มาประชุมไม่ทัน ผ่านไป 2 วาระแล้ว ครั้งนี้ย้ายห้องประชุมไปอีกห้อง เพราะ
ห้องเดิมเวลาพูดเสียงจะดังออกนอกอาคาร รู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างเครียดเล็กน้อย
อาจมาจาก กำไรของปีที่แล้ว ลดลงอย่างมาก และยังมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินกู้
ที่ยืมมาสร้าง warehouse เมื่อปีที่แล้ว ค่าที่ดิน 300 ล้านบาท และ ที่เหลือเป็นค่าก่อสร้าง
หนี้ผ่อนทั้งหมด 7 ปี วงเงินกู้ 2 ชุด ๆละ 250 ล้านบาท
Q: ผู้ถือหุ้นสอบถาม ผู้ตรวจบัญชีว่า ค่าตรวจบัญชี 1 ล้านบาท นอกจากตรวจบัญชี
และรายงานสรรพากรแล้ว มีอะไรที่อยากบอกกับผู้ถือหุ้นบ้าง
A: ผู้ตรวจสอบบัญชีแจ้งว่า ดูจากงบการเงิน สินค้าคงคลัง ค่อนข้างเยอะ ต้องพยายาม
ลดปริมาณลง และ หมุนให้เร็วขึ้น
Q: ผมได้สอบถามคุณทนงเกี่ยวกับ inventory ของ book , non book
ว่าอย่างไหนต้องซื้อมาบ้าง อย่างไหนที่ฝากขาย
A: คุณทนงตอบว่า ถ้าเป็นbook เป็นฝากขายหมด ยกเว้น หนังสือต่างประเทศที่ต้องสั่งเข้ามา
แต่ถ้าเป็น non book ก็มีทั้งฝากขาย และ ซื้อเข้ามาเป็นstock
ตัวเลขสินค้าคงเหลือ หมายถึงรายการที่สั่งซื้อเข้ามาและยังขายไม่ได้
Q: ถามเรื่องงบการเงิน ว่ารายได้อื่นคืออะไร
รายได้ ดอกเบี้ย เงินปันผล ได้รับจากตราสารอะไรบ้าง
A: รายได้อื่นๆ มาจาก กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยบริษัททำ forward ค่าเงินปอนด์ตอนสั่งซื้อหนังสือ
ต่างประเทศมา ไม่มีความเสี่ยง เพราะ ได้ตั้งราคาขายจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ซื้อ บวกกำไรแล้ว
ส่วน รายได้ ดอกเบี้ยมาจาก การพักเงินไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือ พันธบัตรระยะสั้น
รายได้ค่าธรรมเนียมการศึกษา เป็นรายได้จาก โรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นค่าเทอม ของ อนุบาล จนถึง ม 6
วาระที่ 5 มีการเพิ่มเงื่อนไขในการจ่ายปันผล จากเดิม จ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรงบเดี่ยว
เพิ่มเป็น อาจพิจารณาจ่ายหรือไม่ก็ได้ ขึ้นกับความเหมาะสม และ ความจำเป็นในการลงทุน
คราวนี้ปันผล 0.01 บาทต่อหุ้น ค่าใช้จ่ายในการจ่ายปันผล ของ นักลงทุนบางคน อาจมากกว่าเงินปันผล
ที่ได้รับ เลยเพิ่มข้อความนี้เข้ามา แต่ก็คนคัดค้านไม่เห็นด้วย คิดเป็น 1.8 ล้านเสียง แต่เสียงส่วนใหญ่ 98% เห็นด้วย
วาระนี้เลยผ่าน ส่วนวาระเลือกกรรมการ และ กำหนดผลตอบแทนกรรมการ และ ผู้ตรวจสอบบัญชี ผ่านหมด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: AGM 2560
โพสต์ที่ 30
AGM TWPC
การประชุมปีนี้ บริษัทครบรอบ 70 ปี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นาย โฮ เรน ฮวา บอกว่า อีก 5 ปีจะพูดไทยในที่ประชุม
ก่อนการประชุม บริษัทได้มีการแนะนำสินค้าของบริษัทโดยมาทำเป็นอาหาร หรือ ของว่างให้ลองชิม ดูได้แก่
กุ้งอบวุ้นเส้น ผัดไทยกุ้งสด เป็นต้น รสชาติดีทีเดียว
ตอนนี้มีแนะนำสินค้าใหม่ คือ กิเลน ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กที่จะออกสู่ตลาด
ช่วงแรกของการประชุม ได้พูดถึง performance ของปีที่แล้ว ในส่วนธุรกิจแป้ง และ ธุรกิจ อาหาร
ดูรายละเอียดจาก slide ใน FB ได้ครับ
หลังจากนั้นมาเข้าสู่ช่วงคำถามคำตอบ
Q: ปีที่แล้ว แล้งหนักมาก เลยอยากทราบว่าส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ และ อีกคำถามคือ การควบคุมข้าวโพดของจีน
มีผลดีต่อราคามันสำปะหลัง หรือไม่
A: คุณอำนาจมาตอบคำถาม
สำหรับ มันสำปะหลัง จะให้ผลผลิตดี ถ้าไม่แล้งมากเกินไป และ ไม่ชอบฝนตกเยอะด้วย
ปีที่แล้ว ฝนตกมาในช่วง มิย และ กค ทำให้ผลผลิตกลับมาดีมากกว่าที่คาดไว้
ส่วนคำถามที่ 2 จีนระบายข้าวโพดออกสู่ตลาดมาก ทำให้ใช้วุ้นเส้น มันสำปะหลังลดลง
แป้งมีผลกระทบเรื่องราคาบ้าง ตอนราคาข้าวโพดถูก ก็จะมีลูกค้าเอามาเปรียบเทียบเพื่อต่อรองราคา
ในกรณีที่เป็นสินค้าทดแทนกันได้
Q: Net profit มากขึ้น มาจากการขายที่ดินส่วนนึง และ กำไรจากหัวมันราคาลดลง
อยากทราบว่า มีการเปลี่ยนไปผลิตสินค้า high margin ยอดขายเป็นสัดส่วนเท่าไหร่
และ margin เหวี่ยงอยู่ในช่วงไหน ในอดีตที่ผ่านมา
A: GP ในอดีตประมาณ 15-20% อาจมีความผันผวนหลายปัจจัย เช่น อุปทาน หรือ ราคามันสำปะหลัง
ในฝั่งบริหาร จะทำให้คง GP ได้ สองวิธีคือ
1. การควบคุมกระบวนการผลิต การแปรรูป
2. ทำงานให้ดีขึ้น จัดหาวัตถุดิบให้มีป้อนโรงงานสม่ำเสมอ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น จำนวนวันผลิตมากขึ้น
ส่วนข้อ2 แต่ละproduct มี GP ไม่เท่ากัน
1.แป้งมันสำปะหลัง 15-20%
2.High value product 20-25%
3.Food product > 30%
Q: อยากให้update ธุรกิจในเขมร
A: ธุรกิจในเขมร ปีนี้มีเปิดโรงงาน ช่วงแรกผลิตมันเส้น หลังจากนี้อีก 3-5 ปี จะผลิตมันสำปะหลัง
ความได้เปรียบในเรื่องวัตถุดิบ ส่วนที่เวียดนาม จะเน้นส่งออก ธุรกิจอาหารที่เปิดที่เวียดนาม เป็นตลาดส่งออก
วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว ในช่วง มิย - กค จะมีการขยายการผลิตโดยเพิ่มจาก 100 เป็น 140-150 ล้านตันต่อวัน
Q: Farmer Business Model ได้นำไปใช้ที่จีน เวียดนาม หรือ เขมร หรือไม่
A: ด้วย mobile technology เครือข่ายเกษตรกร ทำให้เกิดความยั่งยืน สามารถทำให้ทุกคนในพื้นที่
Win-win เกษตรกรได้รับประโยชน์ก็ดี
Q: กำลังซื้อที่พม่า และ ลาว รวมถึงปริมาณหัวมัน เป็นอย่างไรบ้าง อยากให้เล่าถึงสถานการณ์ที่นั่นด้วย
A: ทั้งสองแห่ง เราดูที่ ศักยภาพของผู้บริโภค และ มองในแง่ส่งออกไปที่นั่นได้มากน้อยแค่ไหน
ในพม่า ลาว จะพบสินค้าเราใน modern trade เรา Export ผ่านชายแดน หรือ จีน ต้องดูยาวๆอีก 5-10 ปี
แต่ช่วง 3-5 ปี จะเน้นทำตลาดใน เวียดนาม และ กัมพูชา เพราะส่งของจากไทย ถูกกว่า ส่งไปลาว
จบการสรุป AGM แต่เพียงเท่านี้ครับ
การประชุมปีนี้ บริษัทครบรอบ 70 ปี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นาย โฮ เรน ฮวา บอกว่า อีก 5 ปีจะพูดไทยในที่ประชุม
ก่อนการประชุม บริษัทได้มีการแนะนำสินค้าของบริษัทโดยมาทำเป็นอาหาร หรือ ของว่างให้ลองชิม ดูได้แก่
กุ้งอบวุ้นเส้น ผัดไทยกุ้งสด เป็นต้น รสชาติดีทีเดียว
ตอนนี้มีแนะนำสินค้าใหม่ คือ กิเลน ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กที่จะออกสู่ตลาด
ช่วงแรกของการประชุม ได้พูดถึง performance ของปีที่แล้ว ในส่วนธุรกิจแป้ง และ ธุรกิจ อาหาร
ดูรายละเอียดจาก slide ใน FB ได้ครับ
หลังจากนั้นมาเข้าสู่ช่วงคำถามคำตอบ
Q: ปีที่แล้ว แล้งหนักมาก เลยอยากทราบว่าส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ และ อีกคำถามคือ การควบคุมข้าวโพดของจีน
มีผลดีต่อราคามันสำปะหลัง หรือไม่
A: คุณอำนาจมาตอบคำถาม
สำหรับ มันสำปะหลัง จะให้ผลผลิตดี ถ้าไม่แล้งมากเกินไป และ ไม่ชอบฝนตกเยอะด้วย
ปีที่แล้ว ฝนตกมาในช่วง มิย และ กค ทำให้ผลผลิตกลับมาดีมากกว่าที่คาดไว้
ส่วนคำถามที่ 2 จีนระบายข้าวโพดออกสู่ตลาดมาก ทำให้ใช้วุ้นเส้น มันสำปะหลังลดลง
แป้งมีผลกระทบเรื่องราคาบ้าง ตอนราคาข้าวโพดถูก ก็จะมีลูกค้าเอามาเปรียบเทียบเพื่อต่อรองราคา
ในกรณีที่เป็นสินค้าทดแทนกันได้
Q: Net profit มากขึ้น มาจากการขายที่ดินส่วนนึง และ กำไรจากหัวมันราคาลดลง
อยากทราบว่า มีการเปลี่ยนไปผลิตสินค้า high margin ยอดขายเป็นสัดส่วนเท่าไหร่
และ margin เหวี่ยงอยู่ในช่วงไหน ในอดีตที่ผ่านมา
A: GP ในอดีตประมาณ 15-20% อาจมีความผันผวนหลายปัจจัย เช่น อุปทาน หรือ ราคามันสำปะหลัง
ในฝั่งบริหาร จะทำให้คง GP ได้ สองวิธีคือ
1. การควบคุมกระบวนการผลิต การแปรรูป
2. ทำงานให้ดีขึ้น จัดหาวัตถุดิบให้มีป้อนโรงงานสม่ำเสมอ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น จำนวนวันผลิตมากขึ้น
ส่วนข้อ2 แต่ละproduct มี GP ไม่เท่ากัน
1.แป้งมันสำปะหลัง 15-20%
2.High value product 20-25%
3.Food product > 30%
Q: อยากให้update ธุรกิจในเขมร
A: ธุรกิจในเขมร ปีนี้มีเปิดโรงงาน ช่วงแรกผลิตมันเส้น หลังจากนี้อีก 3-5 ปี จะผลิตมันสำปะหลัง
ความได้เปรียบในเรื่องวัตถุดิบ ส่วนที่เวียดนาม จะเน้นส่งออก ธุรกิจอาหารที่เปิดที่เวียดนาม เป็นตลาดส่งออก
วุ้นเส้นและเส้นก๋วยเตี๋ยว ในช่วง มิย - กค จะมีการขยายการผลิตโดยเพิ่มจาก 100 เป็น 140-150 ล้านตันต่อวัน
Q: Farmer Business Model ได้นำไปใช้ที่จีน เวียดนาม หรือ เขมร หรือไม่
A: ด้วย mobile technology เครือข่ายเกษตรกร ทำให้เกิดความยั่งยืน สามารถทำให้ทุกคนในพื้นที่
Win-win เกษตรกรได้รับประโยชน์ก็ดี
Q: กำลังซื้อที่พม่า และ ลาว รวมถึงปริมาณหัวมัน เป็นอย่างไรบ้าง อยากให้เล่าถึงสถานการณ์ที่นั่นด้วย
A: ทั้งสองแห่ง เราดูที่ ศักยภาพของผู้บริโภค และ มองในแง่ส่งออกไปที่นั่นได้มากน้อยแค่ไหน
ในพม่า ลาว จะพบสินค้าเราใน modern trade เรา Export ผ่านชายแดน หรือ จีน ต้องดูยาวๆอีก 5-10 ปี
แต่ช่วง 3-5 ปี จะเน้นทำตลาดใน เวียดนาม และ กัมพูชา เพราะส่งของจากไทย ถูกกว่า ส่งไปลาว
จบการสรุป AGM แต่เพียงเท่านี้ครับ