เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Pekko
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 676
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 751

โพสต์

ดำ เขียน:ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แล้วคุณ picatos คิดว่าอะไรเป็นเหตุให้คนเราหันมาสนใจธรรมะครับ ผมสังเกตว่ามันแทบจะเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับว่าต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนเอง
ผมชอบคำถามของคุณดำมาก ผมไม่ใช่คุณ picatos แต่ขออนุญาตตอบนะครับ

เหตุผลที่ผมสนใจธรรมะ เพราะ ทุกขัง ครับ
และผมเชื่อสนิทใจว่าคนที่สนใจศาสนาพุทธแบบมีปัญญา สนใจพระพุทธศาสนา คือ ไตรลักษณ์ครับ ซึ่งก็แล้วแต่จริต บางคนเห็นอนิจจังชัด บางคนเห็นทุกขังชัด บางคนเห็นอนัตตาชัด หรือบางคนอาจจะเห็นชัดทั้ง 3

ซึ่งในท้ายสุดก็จะพบความจริง 4 ประการ อริยสัจ 4 ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ นิโรธ ความดับทุกข์ คือต้องดับที่สมุทัย ทุกข์จึงดับ และมรรค ข้อปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้ถึงปัญญาญาณแก้อวิชชา ให้เข้าถึงการดับสนิทแห่งทุกข์

ไตรสิกขา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ คือ มรรค 8 คือ หัวใจพระพุทธศาสนา (เรื่องคุณวิเศษนั้น คือ ของแถม) เหมือนที่พระสุภัททะ(อรหันต์องค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนชีพอยู่) ที่ดั้นด้นเข้าเฝ้าถามพระพุทธองค์ครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 752

โพสต์

Pekko เขียน:
ดำ เขียน:ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แล้วคุณ picatos คิดว่าอะไรเป็นเหตุให้คนเราหันมาสนใจธรรมะครับ ผมสังเกตว่ามันแทบจะเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับว่าต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนเอง
ผมชอบคำถามของคุณดำมาก ผมไม่ใช่คุณ picatos แต่ขออนุญาตตอบนะครับ

เหตุผลที่ผมสนใจธรรมะ เพราะ ทุกขัง ครับ
และผมเชื่อสนิทใจว่าคนที่สนใจศาสนาพุทธแบบมีปัญญา สนใจพระพุทธศาสนา คือ ไตรลักษณ์ครับ ซึ่งก็แล้วแต่จริต บางคนเห็นอนิจจังชัด บางคนเห็นทุกขังชัด บางคนเห็นอนัตตาชัด หรือบางคนอาจจะเห็นชัดทั้ง 3

ซึ่งในท้ายสุดก็จะพบความจริง 4 ประการ อริยสัจ 4 ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ นิโรธ ความดับทุกข์ คือต้องดับที่สมุทัย ทุกข์จึงดับ และมรรค ข้อปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้ถึงปัญญาญาณแก้อวิชชา ให้เข้าถึงการดับสนิทแห่งทุกข์

ไตรสิกขา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ คือ มรรค 8 คือ หัวใจพระพุทธศาสนา (เรื่องคุณวิเศษนั้น คือ ของแถม) เหมือนที่พระสุภัททะ(อรหันต์องค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนชีพอยู่) ที่ดั้นด้นเข้าเฝ้าถามพระพุทธองค์ครับ
คุณ Pekko พูดถึงการเห็นไตรลักษณ์ที่ชัดแตกต่างกันแล้วแต่จริต อันนี้นี่เป็นสิ่งที่ผมช่วงหนึ่งสนใจศึกษามาก ได้มีโอกาสศึกษาจากตำรา จากประสบการณ์ และการปฏิบัติของตัวเองบ้าง ก็รู้สึกได้ว่า เป็นองค์ความรู้ที่กว้างขวางและลึกซึ้งมาก ซึ่งผมมีความใคร่อยากจะศึกษาเพิ่มเติมเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด อย่างตัวผมเองจะเห็นไตรลักษณ์ผ่านทางอนัตตาชัด ส่วนภรรยาผมจะเห็นทุกขังชัด และได้มีโอกาสเคยคุยกับคนที่เห็นไตรลักษณ์ผ่านอนิจจัง พบว่าแต่ละคนมีสภาวะธรรมระหว่างการปฏิบัติแตกต่างกันมาก นิสัย จริต การใช้ชีวิต ทัศนคติต่อการมองโลกก็แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมากสำหรับผม ปฏิบัติก็ปฏิบัติเหมือนกัน แต่สิ่งที่เข้าไปรู้กลับแตกต่างกันพอสมควร ซึ่งผมอยากศึกษาเรื่องนี้เพิ่ม เพื่อจะได้เข้าใจถึงเหตุปัจจัย ทางดำเนิน ตลอดจนปฏิปทาของผู้ปฏิบัติในสายต่างๆ เพิ่ม

คุณ Pekko พอจะแนะนำตำรา คัมภีร์ อรรถกถา เทศนา ตลอดจนพระสูตรที่เกี่ยวข้องให้ผมไปศึกษาเพิ่มเติมได้ไหมครับ?
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 753

โพสต์

ผมว่าตลาดหุ้นนี่ ไตรลักษณ์ครบรสเลยครับ
ทั้งไม่เที่ยง ขึ้นๆ ลงๆ (หมายถึงทั้งในแง่ธุรกิจและราคาหุ้น)
ทั้งรู้สึกทุกข์ สุข สลับกันไป
ทั้งควบคุมไม่ได้ หุ้นดีบางทีก็ลง หุ้นไม่ดีบางทีก็ขึ้น

สุดท้าย จิตใจเราเองในระหว่างที่ลงทุนไปเรื่อยๆ นี่ล่ะครับ เห็นชัดเจนที่สุดเลย :D
Pekko
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 676
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 754

โพสต์

picatos เขียน:คุณ Pekko พอจะแนะนำตำรา คัมภีร์ อรรถกถา เทศนา ตลอดจนพระสูตรที่เกี่ยวข้องให้ผมไปศึกษาเพิ่มเติมได้ไหมครับ?
ผมไม่มีความรู้ด้านนี้ครับ รอท่านอื่นมาช่วยแนะนำดีกว่าครับ

คนเห็นอนิจจังเป็นส่วนมาก เห็นทุกขังน้อย และยิ่งเห็นอนัตตาน้อยลงอีก (อาจจะเกี่ยวกับเรื่องภาวนมยปัญญา) ดังนั้นการปฏิบัติจึงแตกต่างกัน แต่ก็ไม่เกินขอบเขตกายและใจเราครับ

คุณ picatos ลองถือแนวปฏิบัติของท่านหลวงตามหาบัวดูนะครับ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าท่านเห็นอนัตตาเป็นหลัก ส่วนคุณวิเศษของแถมก็ขึ้นอยู่กับจริตที่เห็นชนิดของไตรลักษณ์ครับ

ปล. ผมอาจจะไม่มาตอบแล้วนะครับ เนื่องจากช่วง2 ปีหลัง ผมติดเรื่องทางโลกซะส่วนมาก ทางด้านธรรมถดถอยลง(ด้วยข้ออ้างเดิมๆ คือ ไม่มีเวลาครับ)
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ameeyss
Verified User
โพสต์: 0
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 755

โพสต์

ขอบคุณคุณ Pekko สำหรับคำแนะนำครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
wpong
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1356
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 756

โพสต์

คุณ Picatos ลองฟัง youtube ลำดับสายแห่งปัญญา หรือความจริงทั้งหลาย เริ่มจากนาที่ที่ 9:45 ดูครับ

ท่านพุทธทาส ไล่เรียง ธรรม ตั้งแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จน กระทั่งถึง อตัมมยตา ให้ฟังครับ

https://www.youtube.com/watch?v=GzDniLNnUWc
wilai
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 334
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 757

โพสต์

ผมฝึก รู้สึกตัว ตามแนวหลวงพ่อเทียนครับ โดยฟังจาก อ. เขมานันทะ
ในยูทูป เห็นว่าน่าสนใจดี

มีหลายตอนที่ ศ. ดร. นพ. คงศักดิ์ ตันไพจิตร เป็นผู้ซักถาม
เน้นอยู่เรื่องเดียวคือ ความรู้สึกตัว ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 758

โพสต์

ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดบุญญาวาส ชลบุรี 3 คืน เลยขอโอกาสนำประสบการณ์ที่ได้รับมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนฟังครับ การปฏิบัติที่วัดบุญญาวาสซึ่งเป็นสายของหลวงพ่อชา ก็จะเน้นการให้ฝึกภาวนาเอง โดยแต่ล่ะคนจะเข้าพักภายในกุฏิที่อยู่กลางป่าเพียงลำพัง กุฏิแต่ล่ะหลังห่างกันประมาณร้อยเมตร แต่ด้วยเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่หนาแน่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ตอนกลางคืนจะมืดสนิท บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบและสัตว์ป่า

กิจวัตรหลักๆนั้นให้เน้นการภาวนาที่กุฏิของตัวเอง โดยตอนเช้าให้ออกมาช่วยกวาดลานวัด และช่วยจัดอาหารบนศาลาฉัน เย็นๆก็ร่วมกันกวาดลานวัด และมีน้ำปานะให้หากใครต้องการดื่มก็สามารถไปดื่มได้ที่ห้องครัว และวันพระถึงจะมีสวดมนต์รวมที่ศาลาใหญ่ โดยมีพระอาจารย์อัครเดช เมตตาเทศนาธรรมะเพื่อเป็นอุบายในการปฏิบัติด้วยครับ

ผมลองสอบถามกับเพื่อนๆที่มาพักภาวนาที่นี่เทียบกับที่อื่น พบว่าที่นี่กุฏิถือว่าให้ความสะดวกมาก ถึงแม้จะไม่มีไฟฟ้า แต่หากเทียบกับวัดป่าแห่งอื่น บางแห่งจะเป็นแค่กุฏิยกสูงและมีแค่จีวรกั้นกันลมได้นิดหน่อยเท่านั้น ที่นี่ห้องน้ำถือว่าดีมาก บางหลังเป็นห้องน้ำในตัว บางหลังสร้างห่างจากกุฏิออกไปนิดหน่อย

แต่สำหรับผมยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เพราะปฏิบัติเองที่บ้านมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปปฏิบัติในสถานที่สัปปายะกลางป่า ไม่มีไฟฟ้า แวดล้อมไปด้วยสัตว์ป่า เลยเตรียมตัวมานานพอสมควร กว่าจะพร้อมที่จะออกไปภาวนาที่วัด เพราะพยายามที่จะรบกวนวัดให้น้อยที่สุดในการใช้ข้าวของต่างๆของสงฆ์

ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าเหนือคาดมากครับ กลับมาหายโง่ หายขี้เกียจเลย ยอมรับว่าหากไม่ได้ไปลองภาวนาในป่า คงยังโง่ไปอีกนาน รู้เลยว่าผู้ที่ไปบำเพ็ญเพียรคือผู้ที่มีความมุ่งมั่นและมีความเพียรมากๆจริงๆครับ ครั้งนี้ได้ยุงเป็นอาจารย์ กินก็ยุงรุม นั่งก็ยุงรุม เข้าห้องน้ำก็ยุงรุม กวาดใบไม้ก็ยุงรุม อยู่เฉยๆยุงก็รุม ต้องเดินภาวนาจึงพอไหว หรือไม่ก็ต้องนั่งสมาธิในกลด ไม่สามารถมีเวลานั่งเล่นได้เลย ต้องทำความเพียรตลอดเวลา อยู่ในห้องก็ไม่ได้ไม่มีไฟฟ้า ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว

กลับมาหายโง่ มีทางคอนกรีตให้เดินสบายๆ แต่ชอบไปทางที่ต้องฝ่าดงหนาม คือสบายแล้วขี้เกียจภาวนา ต้องไปลำบากถึงภาวนา เห็นทุกข์ เห็นเวทนา เห็นกรรมฐานจากการได้เรียนรู้ด้วยตนเอง หลังจากกลับมารีบมาฝึกเองที่บ้าน ไม่ขี้เกียจอีกเลยครับ นั่งภาวนาเห็นเวทนาชัด ฟังเทปครูอาจารย์จิตก็นิ่งไหลตามธรรมไม่วอกแวก ในป่ามืดๆเต็มไปด้วยสัตว์ สิ่งที่มองไม่เห็นไม่กลัว ไปกลัวทุกข์แทน เห็นตัวตนของตัวเองแล้วก็คราวนี้นั่นเองครับ

กลับมาครั้งนี้รู้สึกได้เลยว่าจิตตั้งมั่นมากกว่าเดิม มีความเพียรและหายขี้เกียจเลยครับ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้เข้าใจว่าเป็นจริตของตัวเอง ส่วนเพื่อนๆคนอื่นอาจได้เจอในรูปแบบอื่นๆที่แตกต่างกันไปครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4366
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 759

โพสต์

อนุโมทนาครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 760

โพสต์

ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่จาม เรื่องทานบารมี แล้วอัศจรรย์ใจมากเลยครับ ท่านเล่าเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เกิดจากการให้ทาน ส่วนใหญ่นั้นมาจากการได้ทำทานกับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น

เมื่อเรื่องของพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้เร่งเดินทางมาเฝ้าเพื่อดูลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ พราหมณ์ดูจนครบแต่ติดใจอยู่ 2 แห่งเพราะเป็นจุดซ้อนเร้น เลยยังลังเลและสงสัยอยู่ พระพุทธเจ้าทราบอุปนิสัยนั้น เลยใช้พุทรานุภาพให้พราหมณ์มองเห็น ลิ้น และ องคชาติ ของพระองค์เพียงคนเดียว พราหมณ์จึงหมดความสงสัยและบรรลุโสดาบันในที่สุด และพระพุทธเจ้าทรงบวชให้และได้บรรลุธรรมในเวลาต่อมา

ฟังแล้วเห็นถึงพระมหากรุณาที่คุณขององค์สมเด็จพระบรมครูอันหาที่ประมาณมิได้ และยังได้เห็นถึงบุญวาสนาและจริต นิสัย ของแต่ล่ะคนนั้นแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆครับ

ที่ยกมาให้เพื่อนๆทุกคนได้รับฟังกันในวันนี้ เพียงแค่อยากให้ทุกคนได้เห็นว่า การปฏิบัติแม้จะยากลำบากเพียงไร แต่หากเราได้บำเพ็ญมาดีแล้ว สุดท้ายวันหนึ่ง เราก็จะบรรลุธรรมได้เองครับ เป็นกำลังใจให้กับทุกคนเช่นกันครับ
(ใครเคยที่ฟังแล้วก็ขออภัยด้วยนะครับ)
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
เด็กใหม่ไฟแรง
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1575
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 761

โพสต์

อนุโมทนาด้วยครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1123
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 762

โพสต์

เล่าธรรมะแบบชิวๆขำๆมั่งครับ

วันก่อน ผมไปทานข้าวกับแม่ ระหว่างทานข้าวแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่ไปเจอเพื่อนเก่ามา เค้าเป็นหมอ เค้าบอกว่าเคยสอนผมเรียนจินตคณิตตอนเด็กๆ ผมตอนนั้นเก่งมากกก ใครๆก็ชื่นชม(ตอนเด็กผมเรียนเก่งมาก) แล้วแม่ก็พูดต่อไปประมาณว่า แต่ตอนนี้ผมไม่เก่งแล้ว ไม่ฉลาดเหมือนก่อน เพราะทำอะไรไม่สำเร็จเท่าคนอื่นเค้า ประมาณว่า เดี๋ยวนี้ผมโง่แล้ว

พอฟังปุ๊ป ในใจก็เริ่มหงุดหงิด เถียงแม่ไปหน่อยๆ แถมยังคิดในใจตลอด เชอะะ เราเก่งกว่าเดิมอีกตังหาก เราเจอสัจธรรมบลาๆๆๆ เราเก่งกว่าคนไหนๆ ชั้นมาเร็วกว่าคนไหนๆ บลาๆๆๆๆ คิดอย่างงั้น หงุดหงิดอย่างงั้นอยู่สักพัก

พอสติมาปุ๊ป แค่นั้นแหละ...

"เออจริงด้วย แม่พูดไม่ผิดเลยทีเดียว เรานี่มันยังโง่อยู่จริงๆ 5555"
:D :D :D :D

ธรรมะสวัสดี :D
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
Dech
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4940
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 763

โพสต์

Dech เขียน:วันนี้มาแนะนำหนังสือและครูบาอาจารย์อีกรูปครับ สำหรับคนกรุงเทพ ที่ไม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ไกลๆ

ท่านอยู่ใกล้ๆ ติดขอบกรุงเทพเลยครับ หลวงปู่เจือ สุภโร ท่านอยู่แถวศรีสมาน ใกล้โรบินสันสาขาศรีสมาน
เลยเมืองทองธานีไปนิดเดียวครับ
ท่านเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี วัดอโศการาม สมุทรปราการ

ปกติท่านอยู่สำนักสงฆ์เล็กๆ แถวๆ ศรีสมานที่นี่แหละครับ ถ้าไม่อยู่ที่นี่ ส่วนมากท่านก็ไปที่วัดอโศการามครับ

ส่วนหนังสือเล่มนี้ ลูกศิษย์ท่านทำแจกไว้ครับ
ไฟล์แนป รวมกัณฑ์เทศน์หลวงปู่เจือ สุภโร.jpg ไม่มีอยู่แล้ว
ปกติท่านสอน อานาปานสติควบคู่กับดูกสินท้องฟ้า ก็คือกสินสีขาวกับกสินแสงสว่างนั่นแหละครับ
อย่างในหนังสือท่านบอกว่า

อานาปานสติกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐาน 4 มีอยู่สี่ข้อ
1. มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ปกติเราไม่รู้ลมเข้าออก ก็ให้นึกถึงเบาๆ ก็จะรู้ว่ามีเข้าออกอยู่ รู้ไปนานๆ
ก็เห็นลมชัดขึ้น
2. หายใจเข้ายาวเข้าสั้น ข้อนี้ไม่ต้องตั้งใจทำ ทำข้อที่หนึ่ง ข้อสองก็จะชัดขึ้นมาเอง
3. เมื่อเห็นชัดแล้ว ก็ให้เห็นลมทั้งปวงหกกอง ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลดพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปทั่วกาย และลมหายใจเข้าออก ที่เห็นมาตั้งแต่ข้อแรกอยู่แล้ว
4. หายใจเข้าศึกษาอยู่ซึ่งกายสังขารอันระงับอยู่ ข้อนี้ก็คือระวังอย่าให้ลมหายใจมันหาย เพราะตอนนี้ลมมันละเอียดมากแล้ว

ตรงนี้ท่านบอกว่าว่าอาศัยนิมิตจากกสินเข้าช่วย คือเมื่อเห็นนิมิตของกสิน สมาธิของเราจะทรงอยู่ได้
เพราะนิมิตเป็นที่อาศัยของสมาธิ ถ้าเราเผลอไปนิมิตหาย ก็นึกขึ้นมาใหม่ ก็จะเห็นอีก
ทำให้สมาธิของเราเจริญได้เร็ว ถ้าไม่ใช้นิมิต ไม่ใช้กสินช่วย มันก็ยาก ถ้าใช้ช่วยมันก็ง่าย

สุดท้าย พอลมหายใจเข้าลมหายใจออกเราชัด เห็นลมทั่ว ก็จะเห็นกายทั้งเป็นภายในทั้งเป็นภายนอก

รวมทั้งภายในทั้งภายนอก ในที่นี่หมายความว่า เมื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่อย่างนี้
โพธิปักขิยธรรมเจ็ดหมวดก็เกิดขึ้นพร้อมกัน
สติปัฏฐาน ๔ ก็ทำหน้าที่ของตน ให้ปัญญามันเจริญแก่กล้าขึ้นจนถึงวิปัสสนาเกิดขึ้น
พอวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ละไม่ปล่อย กรรมฐานที่ทำต่อไปก็จะบรรลุมรรคผล
เป็นโสดา สกิทาคา อานาคา อรหันต์ไปตามลำดับ

ก็ลองหาโอกาสไปกราบและสอบถามท่านดูนะครับ
หลวงปู่ท่านอายุมากแล้ว ก็ยังแข็งแรง พูดคุยบอกสอนธรรมได้อยู่ครับ
แต่ก็ชรา เหนื่อยไปตามอายุท่านครับ
ที่อยู่ก็ตามแผนที่ครับ
ไฟล์แนป รวมกัณฑ์เทศน์ปกหลัง หลวงปู่เจือ สุภโร.jpg ไม่มีอยู่แล้ว
หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีแจกที่สำนักสงฆ์อยู่นะครับ
ไฟล์แนป แผนที่หลวงปู่เจือ สุภโร2.jpg ไม่มีอยู่แล้ว
ประกาศ แจ้งข่าว หลวงปู่เจือ สุภโร ละสังขารครับ
วันนี้ วันวิสาขบูชา งดสวดอภิธรรม 1 วันครับ

แต่สามารถเข้าไปกราบสรีระองค์หลวงปู่ที่ศาลาได้นะครับ
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ คณะสงฆ์วัดอโศการามจะประกาศให้ทราบอีกครั้งครับ
เมื่อประกาศแล้ว ผมจะมาแจ้งให้ทราบอีีกครั้งครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4940
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 764

โพสต์

วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ.....ขอแจ้งกำหนดการบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่เจือ สุภโร ระหว่างวันที่ ๙ - ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม

เวลา ๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรม (สวดทุกวันถึง ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐)

วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

เวลา ๑๕.๐๐ น พิธีเคลื่อนสรีระสังขารองค์หลวงปู่เข้าสู่มณฑลพิธีเมรุชั่วคราว ณ ลานหน้าวิหารสุทธิธรรมรังสี

วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐

เวลา ๑๗.๐๐ น. ถวายเพลิงสรีระสังขารองค์หลวงปู่เจือ สุภโร

****ร่วมบุญบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่ ธ. ไทยพาณิชย์ / สาขาเทสโก้ โลตัส บางปู 407-952043-9

ชื่อบัญชี น.ส.กนกพร ภิญญธนาบัตร/ นางกัญญรัตน์ เทียนสุวรรณ เพื่องานบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่เจือ สุภโร

****จองเจ้าภาพสวดฯ และจองโรงทาน สอบถามเพิ่มเติมที่ คุณหน่อย 089-439-4447
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4940
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 765

โพสต์

วันพฤหัสที่ ๑๑ พ.ค ขอเชิญร่วมฟังธรรมจาก "หลวงปู่สมศักดิ์ ปณฺฑิโต แห่งวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์"
ในงานบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่เจือ สุภโร

เวลา ๑๘.๓๐ น. ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4940
ผู้ติดตาม: 1

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 766

โพสต์

(วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พ.ค.)....ขอเชิญร่วมฟังธรรมจาก "พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล แห่งวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จ.สุรินทร์" ในงานบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่เจือ สุภโร

เวลา ๑๘.๓๐ น. ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๐ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ....ขอแจ้งกำหนดการถวายเพลิงสรีระสังขารของหลวงปู่เจือ สุภโร ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยกำหนดการมีดังนี้

๐ วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

๐๗.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าพระภิกษุ สามเณร

๑๕.๐๐ น. พิธีเคลื่อนสรีระสังขาร “หลวงปู่เจือ สุภโร” ไปยังมณฑลพิธี ณ เมรุชั่วคราว วัดอโศการาม

๑๘.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา

๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรม

๒๐.๐๐ น. สวดมนต์ค่ำ, แสดงพระธรรมเทศนา, ภาวนา

๐ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐

๐๗.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าพระภิกษุ สามเณร

๑๕.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์

๑๖.๐๐ น. พ่อแม่ครูอาจาย์ ๖๙ รูป สวดมาติกา, บังสุกุล

- ทอดผ้าไตรบังสุกุล

- พิจารณาผ้าบังสุกุล

๑๗.๐๐ น. พิธีถวายเพลิงสรีระสังขาร

๐ วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐

๐๖.๓๐ น. พิธีเก็บอัฐิ

๐๗.๓๐ น. พระภิกษุสงฆ์ ๑๐ รูป

- สวดพระพุทธมนต์
- ถวายภัตตาหารเช้าพระภิกษุ สามเณร
- พระสงฆ์อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี

****ร่วมบุญบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่ ธ. ไทยพาณิชย์ / สาขาเทสโก้ โลตัส บางปู 407-952043-9

ชื่อบัญชี น.ส.กนกพร ภิญญธนาบัตร/ นางกัญญรัตน์ เทียนสุวรรณ เพื่องานบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่เจือ สุภโร

****สอบถามเพิ่มเติมสำนักงานวัดอโศการาม 02-389-2299, 081-924-6162, 081-148-9285

หรือ คุณกนกพร 081-824-8660

ติดต่อโรงทานที่ คุณนุช 094-854-1421
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
satit
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 289
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 767

โพสต์

ถ้าความตายมาเคาะถึงประตูบ้านเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร ฝากบทความของหมอสันต์มาให้อ่านครับ
http://visitdrsant.blogspot.com/2017/06/blog-post.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 768

โพสต์

เมื่อตอนสมัยเด็ก ชอบเข้าวัด ทำบุญตลอด แต่ก็ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก หรือทำตามๆกันมา เจอพระดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว หากเราไม่แน่ใจว่าจะเจอพระดีหรือเปล่า เราสามารถใช้คำอธิฐาน เพื่อให้บุญนั้นมีอานิสงค์มากได้ตามทานที่เราได้ถวายไปแล้วครับ

หลังจากได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำแล้ว นับแต่นั้นมา เลยได้อุบายในการทำบุญให้ได้อานิสงค์มาก เพราะจริงๆแล้ว ทรัพย์นั้นเป็นของหายาก การให้ทานหรือทำบุญ คนส่วนใหญ่ย่อมหวังในอานิสงค์เพื่อความเป็นสุขแห่งตน

หลวงพ่อท่านให้อุบายว่า เวลาอธิฐาน ในกรณีนี้ ให้อธิฐานว่า “ขอถวายทานนี้แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงมาตามลำดับชั้น จนถึงพระภิกษุผู้ที่มารับบิณฑบาต หรือ ที่เราได้ทำบุญในครั้งนี้" (เป็นสังฆทานโดยย่อ และจริงๆแล้วข้อความของหลวงพ่อจะ สละสลวยกว่านี้นะครับ)

หลังจากนั้น เวลาทำทานหากไม่แน่ใจในเนื้อนาบุญ ผมก็จะใช้วิธีนี้มาโดยตลอด จนวันนี้ได้เจอพระอรรถคาถา เลยอยากนำมาแชร์ๆให้ทุกท่าน เผื่อจะได้ใช้หรือเป็นข้อมูลเพื่อแบ่งปันครับ

“ ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน”

หรือ

“ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูบุคคลผู้มีผ้ากาสายพันคอ เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก ชนทั้งหลายให้ทานในคนผู้ทุศีล ผู้มีธรรมอันลามกเหล่านั้น อุทิศสงฆ์ อานนท์ ในกาลนั้น เรากล่าวว่า ทักษิณาไปแล้วในสงฆ์ มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้.”


หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านเทศนาธรรมไว้ว่า “ การทำสมาธิภาวนาเป็นของยากก็จริง แต่จะเหนือความพยายามของเราไปไม่ได้ ถ้าเป็นของทำง่ายๆมันก็ไม่ได้บุญมาก ที่ท่านกล่าวว่าทำกฐินร้อยกอง ก็ไม่เท่าภาวนาลงครั้งหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว แต่เราจะทิ้งการให้ทานไปไม่ได้อีกล่ะ ถ้าหากมีภพมีชาติหน้าก็จะกลายเป็นคนจนทรัพย์ หาด้วยน้ำพักน้ำแรง เกือบจะตายก็ไม่ได้ เพราะอานิสงค์ทานไม่ชูส่ง”
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Walk_To_Sunshine
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 104
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 769

โพสต์

ขออนุญาตโพสต์ในกระทู้นี้นะครับ

ขอลาบวชในพรรษานี้ครับ

กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ที่ข้าพเจ้า ได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใดใน THAIVI แห่งนี้
ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ทุกการกระทำ

ขอให้ชาว THAIVI ทุกท่าน ได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เพื่อความเจริญในธรรมะในพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ _/\_

Note : เดิมทีตั้งใจไว้ว่าพอร์ตถึง 10 ล้านเมื่อไรละค่อยบวชครับ
แต่ก็ผ่านครึ่งทางมานานและติดค้างอยู่กลางทางหลายปีแล้ว
ครั้นจะรอให้ถึงเป้าหมาย ก็อาจจะไม่แน่ว่าจะต้องรอไปอีกกี่ปี

ยามนี้มีโอกาสก็ขอลองสักครั้งดูครับ

จริงๆคิดแบบปุถุชนว่า การบวชนี่เหมือนจะไปลำบากเกินไปหรือเปล่า
กินก็น้อย นอนก็น้อย แถมนอนพื้นปวดหลังอีก ก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่าครับ
นั่งสมาธิไม่ถึง 3 นาทีก็ปวดหลัง หลังงอ ปวดขา คิดนู่นนี่ กระวนกระวายไปเรื่อยๆ กระเจิงหมด :)

เป็นฆราวาสสบายกว่า แต่โอกาสศึกษาและปฏิบัติน้อยกว่าเพราะวินัยและความเพียรไม่พอครับ
หรือแค่ถือศีล 5 เป็นพื้นฐาน ก็เป็นเข็มทิศที่มุ่งตรงสู่เป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ก็พอมั้ย อาจไม่ต้องถึงชาตินี้
ตั้งทิศให้ถูกต้อง แล้วหวังเอาว่าชาติหน้าถัดไปคงถึงเข้าสักชาติ แบบนี้จะโอไหม >>> อันนี้ก็คิดเองเออเองครับ

ก็หวังว่าการได้บวชครั้งนี้ จะได้รับคำตอบในสิ่งที่สงสัยเบื้องต้นนี้
และหวังว่าจะได้ปฏิบัติถึงสมาธิเบื้องต้นเป็นอย่างน้อย
ได้มีสัมมาทิฏฐิเพื่อก้าวต่อไปครับ

_/\_ สาธุครับ
satit
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 289
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 770

โพสต์

ขออนุโมทนาด้วยครับ เห็นด้วยครับที่ตัดสินใจเลยเมื่อใจพร้อม ร่างกายพร้อมก็บวชเลยไม่ต้องรอเรื่องวัตถุทางโลกแล้ว ผมกลับคิดว่าการบวชจะช่วยเสริมให้กลับมาด้วยสติ และปัญญาที่อาจทำให้พอร์ตเกินที่ตั้งใจไว้ด้วยซ้ำและใจที่รู้เท่าทันกิเลสของตัวเองอีกต่างหาก
Green prince
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 518
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 771

โพสต์

อนุโมทนาบุญกับคุณ Walk_To_Sunshine สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ :D
katin
Verified User
โพสต์: 222
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 772

โพสต์

ขออนุโมทนาบุญกับคุณ Walk_To_Sunshine ด้วยนะครับ

สาธุ สาธุ สาธุ
tanoppan
Verified User
โพสต์: 135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 773

โพสต์

พุทธทาสภิกขุ
ตุลาการิกธรรม พ.ศ. ๒๕๑๒

:arrow: มองในตัวคน ว่าคน คน หนึ่งนี้ มันมีอะไร
สภาวะธรรมในชีวิตประจำวันนี้คืออะไร
คือการปรุงแต่งทางจิตใจที่มีอยู่เรื่อย.

:arrow: ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจคำว่าร่างกาย จิตใจ
การกระทบทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นประจำวัน
แล้วมันปรุงเป็นความรู้สึกในทางจิตใจอยู่เรื่อย
รู้จักตัวธรรมชาติประจำวันในคนอย่างนี้ก่อน.

:arrow: ทีนี้มันก็เป็นไปตามกฎที่ว่าถ้าปรุงอย่างนี้
(คือผิดทาง) มันจะเกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัว;
ถ้าปรุงอย่างนี้ (คือถูกทาง) มันจะไม่เกิดความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว
แต่เห็นแก่ธรรม;
นั่นแหละคือตัวกฎธรรมชาติที่มีอยู่อย่างแน่นอนในคนเราว่า
ถ้าคิดอย่างนี้ มันจะเกิดตัวกู–ของกู
ถ้าคิดอีกทางหนึ่ง มันจะไม่เกิดตัวกู–ของกู.

:arrow: ตัวกู–ของกู นี้หมายถึงกิเลสเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว
และเป็นต้นตอของความทุกข์ทั้งหมดในสังคม
หรือในตัวคนทุกคนก็ตาม.

:arrow: นี้ถ้าว่าความคิดมันปรุงแต่งจิตไปในทางผิดเกิดเป็นกิเลส
เกิดเป็นตัวกู–ของกู มันก็มีการปฏิบัติที่ไปตามแบบของตัวกู–ของกู
อย่างดี ก็เรียกว่าปฏิบัติอย่างบุญ
อย่างเลว ก็เรียกว่าปฏิบัติอย่างบาป
มันก็ได้สุข ได้ทุกข์.
ทีนี้ ถ้าว่าเมื่อปรุงแต่งแล้ว มันไม่เกิดตัวกู–ของกู
มันเกิดสติปัญญาแทน
อย่างนี้มันก็เป็นไปในทางธรรมะ
ในทางศาสนาคือเหนือบาป เหนือบุญขึ้นมา
แล้วผลของมันก็คือมีจิตใจอยู่เหนือสุข–เหนือทุกข์.

:arrow: นี่ พอจะวัดตัวเองได้ทุกคนว่า เรานี้
มันยังอยู่ในระดับที่ว่าจะต้องบุญบาป สุขทุกข์ เสมอไป
ไม่เคยเหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์;

:arrow: แต่ทั้งนี้มิใช่หมายความว่ามันไม่มี หากแต่ว่าเรายังไม่รู้จัก ยังไม่ถึง
ฉะนั้น ขอให้สังเกตความรู้สึกคิดนึกประจำวัน
ความรู้สึกคิดนึกที่เกิดขึ้น
เพราะตาเห็นรูป เพราะหูได้ยินเสียง
เพราะจมูกได้กลิ่น ฯลฯ อะไรนี้
ฉะนั้นคน ที่ไม่รู้อะไร จะต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่าตัวกู–ของกู
แล้วเห็นแก่ตัว อยากทำดีก็ทำดี
อยากทำชั่วก็ทำชั่ว
แล้วผลของมันก็คือสุขและทุกข์.

:arrow: ทีนี้ถ้าเป็นคนที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอริยเจ้า
คือรู้พุทธศาสนาอย่างนี้
รู้จักวิธีควบคุมความคิดอย่างนี้แล้ว
ก็ควบคุมความคิดไม่ให้เกิดตัวกู–ของกู
แต่เกิดสติปัญญาแทนขึ้นมาทุกครั้ง

:arrow: เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียงก็ตาม มันทำให้เกิดความฉลาด
รู้ว่าอันนี้ไปหลงมันไม่ได้; เมื่อไม่เกิดตัวกู–ของกู
ไม่หลงมันแล้ว การปฏิบัติหรือการกระทำ
ก็กระทำไปในทางที่ไม่หลง ไม่เป็นทาสของกิเลส.
การปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่า “อริยมรรค”
มันยิ่งไปกว่าบุญและบาป คือเหนือกว่าบุญหรือบาป
ฉะนั้นผลของมันจึงเป็นนิพพาน
เป็นไปในทางนิพพานที่ถูกต้อง คือเหนือสุขเหนือทุกข์;

:arrow: ความสงบที่แท้จริงต้องอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์.
การที่ต้องดื่มสุขอยู่เสมอ ท่านลองคิดดูเถอะ
หรือการที่ต้องเสวยทุกข์ ก็ลองคิดดูเถอะ
มันไม่ไหวทั้งนั้น มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยทั้งนั้น :!:
ไม่ใช่ความพักผ่อน. :idea:

:arrow: นี้ก็เป็นแง่ที่สำคัญที่สุด ที่มนุษย์จะต้องรู้จัก
เพราะว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์ได้หลง
ในความเอร็ดอร่อยของความสุขทางฝ่ายวัตถุ
บูชาสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
นี่เป็นเหตุให้เกิดลัทธิต่าง ๆ ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา
เพราะว่าพวกนายทุนก็บูชาวัตถุ
พวกชนกรรมาชีพก็บูชาวัตถุ
แล้วมันก็ยื้อแย่งกัน รบกัน
ปัญหาของโลกจึงแก้ไม่ได้
เพราะทุกคนบูชาวัตถุ
ทั้งพวกนายทุน และชนกรรมาชีพ.

:arrow: เพราะว่าคน มักเป็นไปอย่างธรรมดาสามัญ
เมื่อมีการกระทบทางตา ทางหูแล้ว
ก็ปรุงแต่งเป็นตัวกู–ของกู
แล้วก็ทำไปตามความต้องการของกิเลสตัณหา
แล้วก็ได้ความเดือดร้อน ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม

:arrow: ถ้ามันเกิดเลี้ยววกไปในทางไม่เกิดตัวกู–ของกู
แต่เกิดสติปัญญา กำจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้
การกระทำนั้น ก็เป็นไปในทางที่จะ
อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์.
:arrow: :idea:
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 774

โพสต์

ขอแชร์เกี่ยวกับการทำบุญช่วงเข้าพรรษาปีนี้นะครับ
เข้าพรรษาปีนี้ ได้มีโอกาสขึ้นไปทำบุญที่อุดรธานี ด้วยความตั้งใจส่วนตัว อยากไปฟังธรรมจากหลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย เพื่อนำมาใช้เป็นหลักใจในการภาวนา แต่ก็ทำใจไว้เหมือนกันครับเพราะองค์ท่าน จะไม่ค่อยเทศน์ พูดไม่กี่ประโยค แล้วก็ให้ญาติโยมกลับไปภาวนาเอง.

รอบนี้ไปนานมากเลยได้ไปวัดถ้ำสหายเกือบทุกวัน มีวันหนึ่งญาติโยมคงอยากฟังธรรมมาก เลยขอให้หลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อเลยได้โอกาสอธิบายเรื่องการเข้าพรรษา ท่านว่า ญาติโยมมีแต่พาเทียนมาเข้าพรรษา แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าพรรษา ส่งแต่เทียนมาจำพรรษาแทน อย่างนี้มันก็เกิดประโยชน์น้อยกว่าการตั้งใจฝึกปฏิบัติหลักใจของตน..

องค์ท่านเล่าว่า สาเหตุที่หลวงปู่ชอบ อาจารย์ของท่านไม่ค่อยเทศน์ เพราะท่านเคยกล่าวว่า “เหมือนเอาก้อนทองคำ ไปถูกับพื้นดิน ไม่มีประโยชน์อันใดเลย” ตอนที่หลวงปู่ชอบฝึกหัดภาวนา นั่งสมาธิจนเหงื่อไหลเป็นทางลงไปข้อศอก หยดติ๋งๆ องค์ท่านทำถึงขนาดนั้นในการฝึกตน แต่ก็มีส่วนน้อยที่จะทำแบบท่าน…

และแล้วโอกาสก็มาถึง วันหนึ่งอยู่ดีๆองค์หลวงปู่ก็เล่าประวัติขององค์ท่านสมัยออกฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ครั้งนี้เป็นชั่วโมงเลยครับ เกี่ยวกับประวัติขององค์ท่าน เมื่อครั้งสมัยเป็นวัยรุ่นองค์ท่านเล่าว่า ไม่เคยสนใจเรื่องศาสนาเลย ไม่รู้หรอกนะว่าเขามีไว้ทำไมกัน แต่ใครจะเข้าวัดทำบุญท่านก็ไม่เคยห้ามหรือมีข้อรังเกียจเพราะเป็นเรื่องของแต่ล่ะคนไป จนวันหนึ่งอยู่ดีๆก็รู้สึกอยากจะบวชขึ้นมาเอง วันหนึ่งขณะนั่งทานอาหารกับครอบครัวอยู่ เลยพูดเรื่องอยากจะบวชให้พี่สาวฟัง พี่สาวชี้หน้ากลางวงอาหารเลยว่า “อย่างแกนั่นหรือจะบวชได้ จะคอยดู” องค์ท่านเลยลุกออกไปแล้วไปนั่งพิงข้างฝาบ้านใกล้ๆบริเวณที่ทานอาหารนั้น ในใจไม่รู้สึกโกรธพี่สาวเลย แต่ใจกลับเบาสบาย ตัวตนหายไปหมด เหมือนนั่งอยู่บนก้อนเมฆ องค์ท่านว่า สมัยนั้นไม่รู้หรอกนะว่า อาการอย่างนั้นคืออะไร เพราะวัดไม่เข้า สมาธิไม่รู้จัก พุทโธไม่เคยได้ยิน….

ท่านจึงไปวัดหาหลวงปู่อ่อน และขอบวช หลวงปู่อ่อนเลยให้ท่านเตรียมฝึกขานนาคก่อนบวชให้ได้ก่อน ส่วนวันและเวลาค่อยกำหนดอีกที องค์ท่านเล่าว่า พอไปถึงตอนกลางคืนขึ้นไปนอนบนศาลาหลังเล็กๆที่เณรจัดไว้ให้ พอล้มตัวลงจะนอน อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลเป็นทางยาวอาบสองแก้ม องค์ท่านพิจารณาน้ำตาที่ไหลนั้น ไหลไปไกลจากโลกและพิภพนี้ เกิดเป็นแสงสว่างไสวเหลือที่จะประมาณ อัศจรรย์ใจเป็นที่สุด แม้แต่ขณะนั้นเององค์ท่านก็ไม่รู้หรอกว่า นั่นคืออะไร…..

เมื่อบวชเสร็จ หลวงปู่อ่อนพิจารณาดูแล้วเห็นว่า จะต้องนำไปฝากกับอาจารย์อีกองค์หนึ่งเพื่อฝึกกรรมฐาน ท่านจึงแจ้งหลวงพ่อจันทร์เรียนให้เตรียมตัว คืนนั้นเององค์ท่านเล่าว่า เกิดความฝันอันประหลาด ฝันว่ากำลังสะพายบาตรมุ่งไปหาครูอาจารย์ ขณะเดินไปนั้นมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ องค์ท่านเห็นเรือลำหนึ่งอยู่ใกล้ฝั่งพอให้พายข้ามไปได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่า เมื่อไปถึงอีกฝั่งแล้วใครเล่าจะนำเรือลำนั้นกลับมาส่ง จึงตัดสินใจเดินข้ามแม่น้ำไปด้วยตนเอง น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวท่วมไปถึงคอ ในขณะนั้นเองก็มีมือของพระองค์หนึ่งดึงท่านขึ้นจากน้ำ พร้อมกับหันแขนด้านหนึ่งให้เห็นรอยสักที่อยู่บนแขนนั้นให้ท่านดู ท่านจดจำใบหน้าและรอยสักของอาจารย์องค์นั้นได้อย่างดี ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาจากความฝัน”……

เมื่อท่านออกเดินทางเพื่อไปหาอาจารย์ องค์ท่านก็พบว่า พระอาจารย์ในความฝันนั้นก็คือ หลวงปู่ชอบ นั่นเอง…….

ผมขอเล่าแค่นี้นะครับ เพราะค่อนข้างยาวและบางช่วงจะมีเรื่องอัศจรรย์ที่องค์หลวงปู่ท่านได้พบเจอมาเอง ในขณะที่ศึกษาพระกรรมฐานกับหลวงปู่ชอบ จนองค์ท่านบอกว่าลงใจ และเชื่อมั่นในพระศาสนาจริงๆก็คราวนี้นั่นเองครับ

ครั้งนี้ที่ไปได้กรรมฐาน 2 จากองค์หลวงปู่ (จากที่ฟังมาหลายๆวัน) คือ อย่ากลัวความตาย การฝึกปฏิบัติให้สละความตายไปเสีย พร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อการฝึกปฏิบัตินั้น สุดท้ายจะได้บรรลุธรรมในที่สุด และอีกเรื่องคือ ความเพียร องค์ท่านกล่าวว่า “การงานแม้ยากลำบากสักแค่ไหน ก็ยังฝืนทนทำจนสำเร็จ ส่วนการภาวนานั้นง่ายนิดเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะการงานที่ยากลำบากกว่า เรายังทำได้เลย”


หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคน บ้างนะครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Thai VI Officer
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1840
ผู้ติดตาม: 8

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 775

โพสต์

เนื่องด้วยในกระทู้นี้ มีการกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมะ ซึ่งสามารถอ่านเป็นความรู้ และยังสามารถฝึกปฏิบัติได้จริง

ทีมงานจึงขออนุญาตนำกระทู้มาแชร์กัให้เพื่อนๆ อ่านกันนะค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านนะค่ะ :)

(เนื้อหาจะอยู่กลางๆ เพจนะค่ะ)

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=61215
ขอบคุณสมาชิก: satit ที่ได้แนะนำทีมงานเพื่อขอให้นำข้อมูลเพื่อแบ่งปันต่อค่ะ
ขอแสดงความนับถือ
สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
ภาพประจำตัวสมาชิก
wpong
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1356
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 776

โพสต์

ฟังพระพุทธเจ้า วิสัชนา เรื่องทาน แก่พระสารีบุตร น่าจะช่วยพวกเราได้รับอานิสงส์ จากการทำทาน ในประเภทที่ต้องไม่ต้องเวียนกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก


[๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคครา
ใกล้จัมปานคร ครั้งนั้นแล อุบาสกชาวเมืองจัมปามากด้วยกัน เข้าไปหาท่าน
พระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าว
กะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาค พวกกระผมได้ฟังมานานแล้ว ขอได้โปรดเถิด พวกกระผมพึงได้ฟัง
ธรรมีกถาของพระผู้มีพระภาค ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายพึงมาในวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายพึงได้ฟังธรรมีกถาใน
สำนักพระผู้มีพระภาคแน่นอน อุบาสกชาวเมืองจัมปารับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว
ลุกจากที่นั่ง อภิวาทกระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ต่อมา ถึงวันอุโบสถ อุบาสก
ชาวเมืองจัมปาพากันเข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร
ข้างหนึ่ง ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรพร้อมด้วยอุบาสกชาวเมืองจัมปา เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานเช่นนั้นนั่นแล
ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมีหรือหนอแล
และทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
พึงมีหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร ทานเช่นนั้นนั่นแล
ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก พึงมี และทาน
เช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พึงมี ฯ
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทาน
เช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก
อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนใน
โลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกร
สารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทาน
เห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่
แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร ส่วนบุคคลบางคน
ในโลกนี้ ไม่มีหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน
ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แล้วให้ทาน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้พึงให้ทาน
เห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มี
จิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป
แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทาน
นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้น
กรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็
ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา
มารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้
จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว
ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า
เราหุงหากินได้ สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะ
ไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี
วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือ
ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้น
ฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
จักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี ฯลฯ
และภคุฤาษี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิด
ความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
แห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็น
ใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อ
เราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็น
เครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้
ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน
ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เรา
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสีย
ประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วย
คิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี
วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาช-
*ฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและ
โสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดูกร
สารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบาง
คนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/v.ph ... 340&Z=1436
sukit2020
Verified User
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 777

โพสต์

โควิดอยู่หรือไป ใจก็มีสติ
ธรรมะรับอรุณจากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล
บรรยายหลังทำวัตรเช้า วัดป่าสุคะโต วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓

"สิ่งสำคัญ คือฝึกใจให้มีสติ มีความรู้สึกตัว รักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์ ไปตามสิ่งที่มากระทบกาย กระทบใจ เรียกว่า มีสติรู้ทัน เจอทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ รู้ทุกข์แต่ไม่เป็นผู้ทุกข์"

"การปฎิบัติคือ การเจริญสติ ฝึกรู้กายเวลาเคลื่อนไหว รู้อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน แปรงฟัน ล้างหน้าก็รู้สึกตัว รู้เวทนาที่เกิดขึ้น เช่น กายสดชื่น ใจสบาย ก็ให้รู้ เผลอคิดปรุงแต่งกังวลใจขึ้นมาก็ให้รู้ เรียกว่ารู้ใจ รู้ทันอารมณ์ หรือ เผลอคิดจนเครียดจนวิตก ก็ให้รู้ว่าเครียด กลัวก็ให้รู้ว่ากลัว หงุดหงิดก็ให้รู้ทัน แค่รู้ทันเฉยๆ อย่าไปเสียใจว่าทำไมใจไม่สงบซักที อย่าโมโหว่าทำไมใจฟุ้งเหลือเกิน (เป็นกับดักของนักปฏิบัติที่มักหงุดหงิด โกรธ เครียดตัวเอง คาดหวังว่าใจต้องสงบ)"

"เป้าหมายของการปฏิบัติ คือเพื่อฝึกสติ ความรู้สึกตัว รู้ทันทุกการกระทำของกาย รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ เช่น คิด รู้สึก แค่รู้ซื่อๆไม่ยึดติด ไม่ผลักไส ไม่ว่าจะทุกข์ หรือสุข เท่าเทียมกัน คือ แค่รู้ แค่เห็น เฉยๆ วางใจเป็นกลาง แบบไม่ยินดียินร้าย (ถ้าเผลอยินดียินร้าย ก็ให้รู้ทัน) เจอสุข เจอทุกข์ เจอสิ่งที่พอใจ เจอสิ่งที่ไม่พอใจ ได้ลาภ ได้ความสงบ ให้เห็นว่าทุกสิ่งเป็นธรรมดา ต้องวางใจให้เป็น ดูแลใจให้เป็นปกติ รู้ทันทุกการกระเพื่อมของใจ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีสติ ปัญญา"

"... นี่แหละคืองานของเราที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะมีโควิดระบาดหรือไม่ การมีสติ มีปัญญา ทำให้เราอยู่กับทั้งทุกข์และสุขได้ ด้วยใจที่เป็นปกติสุข"


โควิดอยู่หรือไป ใจก็มีสติ
https://www.youtube.com/watch?v=9DTVtfLWtqw
sukit2020
Verified User
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 778

โพสต์

หมอสันต์ : (EP.2) รักษาโรคเครียดด้วยตนเอง


29 เมษายน 2563
Ep2. โรคเครียด (vdo หมอสันต์: ชุดรักษาโรคด้วยตัวเอง)

สวัสดีครับ ผม สันต์ ใจยอดศิลป์ นะครับ

เทปนี้เป็นเทป2 หรือ Ep2 ของซีรีส์ รักษาโรคด้วยตัวเอง โดยหมอสันต์

วันนี้เราจะคุยเรื่องการรักษาโรคเครียดด้วยตัวเอง เรื่องเดียวเลย

นิยามของโรคเครียด

โรคเครียด หรือความเครียด ในมุมมองของการแพทย์ก็คือการที่ร่างกายสนองตอบต่อสิ่งคุกคาม ร่างกายมีระบบประสาทอัตโนมัติไว้ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เมื่อรับรู้ว่ามีสิ่งคุกคามต่อชีวิตเข้ามา ระบบประสาทอัตโนมัติก็จะสั่งการสนองตอบในลักษณะเตรียมพร้อมจะสู้หรือจะหนี เช่นหลอดเลือดหดตัว กล้ามเนื้อเกร็งตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดเพิ่มขึ้น เลือดข้นและหนืดขึ้น น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น แต่ระบบที่ไม่จำเป็นต่อภาวะฉุกเฉินจะถูกเบรคไว้ เช่นระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธ์ ระบบภูมิคุ้มกัน จะทำงานลดลง

สาเหตุของโรคเครียด

สาเหตุของโรคเครียดในมุมมองทางการแพทย์ก็คือ "สิ่งคุกคาม"หรือ "สิ่งเร้า (stimulus)" ซึ่งก็คือสถานะการณ์รอบตัว สมัยที่เราเป็นมนุษย์ถ้ำ สาเหตุของความเครียดก็คือเสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่จะจับเรากินหรือทำร้ายเรา ทั้งหมดนั้นมาแล้วเดี๋ยวเดียวก็ไป แต่สมัยนี้สาเหตุของความเครียดรอบตัวอันได้แก่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนรอบข้างสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ รถติด ตกงาน ที่มีงานอยู่ก็หาเงินไม่ได้มากอย่างใจ ทั้งหมดนี้มาแล้วมักอ้อยอิ่งอยู่ในรูปของความคิดลบในใจ ไม่ไปไหนสักที ชีวิตคนเราสมัยนี้จึงตกอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง โดยสาเหตุก็คือ "ความคิด" ของเจ้าตัวนั่นแหละ

ผลเสียของความเครียด

เนื่องจากความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดเรื้อรัง มีผลต่อระบบของร่างกายกว้างขวาง จึงทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ทุกโรค นับตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันเลือดสูง โรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันตนเอง หรือแม้แต่โรคอุบัติเหตุ

การรักษาโรคเครียด

แนวทางการรักษาโรคเครียดในทางการแพทย์ก็คือการจัดการต้นเหตุคือสิ่งคุกคามภายนอกหรือสิ่งเร้าไม่ให้เข้ามากระทบตัวเรา แต่แนวทางนี้มันไม่เวอร์ค ยกตัวอย่างเช่นถ้าเครียดเพราะเมียบ่น จะเอาตะกร้อไปครอบปากภรรยาได้ไหมละ คือการไปมุ่งแก้ปัญหาที่ข้างนอกมันทำในชีวิตจริงไม่ได้ การแพทย์แผนปัจจุบันจึงไม่มีวิธีรักษาโรคเครียดที่ได้ผล..จบข่าว

ที่ผมจะคุยกับท่านวันนี้ก็คือการรักษาโรคเครียดด้วยวิธี "วางความคิด" ซึ่งไม่ใช่วิธีรักษาโรคเครียดตามแบบของแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีวิชาวางความคิด เป็นการคุยกันจากประสบการณ์ตัวผมเอง ที่ทดลองเอาวิธีวางความคิดหลากหลายรูปแบบที่มีสอนกันในรูปของศาสนาต่างๆบ้าง ลัทธิความเชื่อบ้าง เอามาทดลองปฏิบัติ อันไหนไม่ได้ผลก็ทิ้งไป อันไหนได้ผลก็เก็บไว้ใช้ บางอันก็ปรับแต่งให้มันเหมาะกับตัวเองมากขึ้น นอกจากจะพูดถึงวิธีหรือเครื่องมือแล้ว วันนี้เรายังจะทดลองใช้เครื่องมือนั้นๆไปด้วย ทีละชิ้น ทีละชิ้น ในหนึ่งชั่วโมงที่คุยกันนี้ เอาให้ได้ทั้งเครื่องมือและการทดลองใช้เครื่องมือ ม้วนเดียวจบ

องค์ประกอบของชีวิต

ก่อนที่จะคุยกันลึกลงไปถึงเครื่องมือแต่ละชิ้นซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนี่แหละ เรามาพูดถึงว่าชีวิตนี้ประกอบขึ้นจากอะไรบ้างก่อนนะ วิชาแพทย์แผนปัจจุบันแบ่งชีวิตออกเป็นสองส่วนคือ ร่างกาย(body) กับ ใจ (mind) ในวิชาจิตเวชอาจแบบใจออกอย่างหลวมๆเป็นอีกสองส่วนคือ ความคิด (thought) กับอารมณ์ (emotion)

ศาสนาที่วิเคราะห์องค์ประกอบของชีวิตซับซ้อนที่สุดก็คือฮินดูซึ่งอธิบายว่าชีวิตประกอบขึ้นจาก 7 องค์ประกอบ ต่อมาศาสนาพุทธเอามาลดลงเหลือ 5 องค์ประกอบ ได้แก่
(1) ร่างกาย
(2) ความรู้สึก คำบาลีใช้คำว่า เวทนา หรือ feeling (วันนี้ผมจะขอใช้สองคำคือเวทนากับความรู้สึกควบคู่กันไปเพราะเกรงว่าหากใช้คำว่าความรู้สึกคำเดียวท่านจะไปสับสนกับคำว่าความรู้ตัวซึ่งเป็นของคนละสิ่งกัน
(3) ความจำ
(4) ความคิด
(5) ความรู้ตัว (consciousness)

เพื่อความง่ายในการใช้งาน ผมเองขอลดลงเหลือ 3 องค์ประกอบ คือชีวิตประกอบด้วย (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) ความรู้ตัว

ทั้งหมดนี้ตัวการที่ทำให้เกิดเป็นโรคเครียดมีตัวเดียว คือ "ความคิด"

กลไกการเกิดของความคิด

วิชาแพทย์ไม่รู้หรอกว่าความคิดเกิดขึ้นจากไหนเกิดอย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อมีความคิดเกิดขึ้นก็มีไฟฟ้าเกิดขึ้นในเนื้อสมองบางส่วน จึงเดาเอาว่าความคิดเกิดจากการทำงานของเซลสมอง เดาเอานะ ของจริงเป็นอย่างไรไม่รู้

ผู้ที่อธิบายกลไกการเกิดความคิดไว้อย่างละเอียดที่สุดคือพระพุทธเจ้า ซึ่งอธิบายกลไกการเกิดความคิดว่าเกิดเป็นขั้นตอนโดยผมขออธิบายเป็นภาษาของผมเอง ดังนี้

ขั้นที่ 1. จะต้องมีองค์ประกอบที่จะเกิดความคิดอยู่ครบถ้วนพร้อมหน้าก่อน คือต้องมีสามอย่างนี้ก่อน
(1) มีความรู้ตัว
(2) มีภาษา ซึ่งใช้บอกรูปร่าง บอกชื่อ และเล่าเรื่องราว ของสิ่งต่างๆที่เข้ามาสู่การรับรู้ได้ทันที
(3) มีประตูรับรู้สิ่งเร้าหรืออายตนะ ซึ่งมีอยู่ 6 ประตู คือตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง และใจ

ขั้นที่ 2. เมื่อสัญญาณสิ่งเร้าผ่านเข้ามาทางอายตนะ สัญญาณนั้นจะถูกแปลงเป็นภาษาให้ค่าและความหมายทันทีในเวลารวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ แล้วจะเกิดการรับรู้ (perception) สิ่งเร้าในรูปของภาษา

ขั้นที่ 3. การรับรู้สิ่งเร้าจะก่อให้เกิดเวทนา (ความรู้สึกหรือ feeling) ขึ้นบนร่างกายหรือในใจ เวทนาบนร่างกายก็เช่นความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งเกร็งหรือเจ็บปวด เวทนาในใจก็เป็นความรู้สึกอึดอัดหรือไม่ชอบ และความรู้สึกสบายหรือชอบ

ขั้นที่ 4. เกิดความคิดที่ 1 ขึ้นมาต่อยอดเวทนา คือถ้าชอบก็เป็นความคิดอยากได้ ถ้าไม่ชอบก็เป็นความคิดอยากหนี

ขั้นที่ 5. เกิดความคิดที่ 2, 3, 4 ... ถูกปรุงขึ้นมาต่อยอดความคิดที่ 1 เช่นความกลัวเป็นความคิดที่ต่อยอดความอยากหนี ความหวังเป็นความคิดต่อยอดความอยากได้ เป็นต้น

ความซับซ้อนของขั้นตอนนี้คือความคิดที่ปรุงขึ้นมาใหม่นี้ มันทำตัวเป็นสิ่งเร้าใหม่ ที่เข้ามากระตุ้นกลไกการเกิดความคิดครั้งใหม่ ทำให้วงจรการเกิดความคิดนี้หมุนต่อไปได้ไม่รู้จบ ทำให้เราจมอยู่ในความคิดไม่รู้จบ

กลไกการดับของความคิด

นอกจากอธิบายกลไกการเกิดของความคิดแล้ว ยังอธิบายกลไกการดับของความคิดด้วยตรรกะง่ายๆเลยว่าเมื่อต้นเหตุที่ก่อความคิดนั้นขึ้นดับไป ความคิดนั้นก็ดับตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเวทนาหรือความรู้สึกชอบไม่ชอบหมดไป ความคิดอยากได้อยากหนีก็หมดไปด้วย หรือเช่นเมื่อความคิดอยากหนีหมดไป ความกลัวก็หมดไปด้วย เป็นต้น

ไฮไลท์สำคัญอีกอันหนึ่งของพระพุทธเจ้าคือได้พูดถึงธรรมชาติของเวทนา (feeling) ก็ดี หรือความคิดก็ดี ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็จะดำรงอยู่เพียงชั่วคราวแล้วก็ดับไปเองเสมอ เปรียบเหมือนศาลาริมทางที่มีคนแวะมานั่งแล้วก็ไป ไม่มีใครกางมุ้งนอนที่ศาลาที่พักริมทางตลอดวันตลอดคืน ไม่มี ดังนั้นเมื่อเกิดเวทนาหรือความรู้สึกทางกายหรือใจขึ้นแล้ว หากเราเฝ้าสังเกตจนเห็นมันดับไปเอง ความคิดที่จะมาเกิดต่อยอดก็ไม่เกิดขึ้น

ดังนั้นในการจะวางความคิดให้สำเร็จ ต้องฝึกเป็นคนไวต่อเวทนา (sensible) คือรู้ทันทีที่มีเวทนาหรือความรู้สึกบนร่างกายหรือในใจเกิดขึ้น แล้วเฝ้าสังเกตจนเวทนานั้นดับไป ความคิดต่อยอดก็จะไม่เกิดขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อความคิดที่ 1 เกิดขึ้นแล้วก็เฝ้าสังเกตดูจนความคิดที่ 1 ดับไป ความคิดต่อยอดที่ 2, 3, 4 ... ก็จะไม่เกิดขึ้น การฝึกตัวเองแบบนี้ จะทำให้รู้ตัวทุกครั้งที่มีเวทนาเกิดขึ้นและบล็อกความคิดได้ทันก่อนที่ความคิดจะมีโอกาสได้เกิดขึ้น

เครื่องมือช่วยวางความคิด

ผมพอจะสรุปจากประสบการณ์ตัวเองในการทดลองวางความคิด เครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยวางความคิด มีดังนี้

เครื่องมือ 1. การดึงความสนใจ (attention)

ความสนใจเป็นเสมือนแขนของความรู้ตัว เราเอาความสนใจไปจ่อไว้ที่สิ่งไหน สิ่งนั้นก็จะสำคัญขึ้นมาทันที ถ้าเราปล่อยความสนใจของเราไปตามอัธยาศัย มันก็จะไปคลุกอยู่กับความคิด ไปให้พลังงานแก่ความคิด ทำให้ความคิดกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราจึงต้องหมั่นถอยความสนใจออกมาจากความคิด ใหม่อาจเอาความสนใจมาจ่อไว้ที่ไหนสักแห่ง เช่นจ่อไว้ที่ลมหายใจ ทิ้งความคิดไปเสีย ไม่ไปสนใจคิดอะไรต่อยอด ในที่สุดความคิดที่เกิดขึ้นแล้วก็จะฝ่อหายไปเอง

ทดลองดู เอ้า ท่านลองถอยความสนใจออกจากความคิดมาสนใจลมหายใจ สนใจว่าลมกำลังเข้ามาสู่ตัว กำลังออกไปจากตัว สนใจอยู่อย่างนี้สักพักแล้วลองกลับไปดูความคิดว่าเมื่อกี้เราคิดอะไรอยู่ ปรากฎว่าไม่มีแล้ว เมื่อเราถอยความสนใจออกมา ความคิดจะหมดพลังงาน แล้วก็จะฝ่อหายไป

เครื่องมือ 2. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (relaxation)

วิธีหนึ่งที่จะลดความคิดได้แบบเนียนๆคือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพราะความคิดเป็นสิ่งที่ปรากฎเป็นธรรมชาติสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระในใจ อีกด้านหนึ่งเป็นอาการบนร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกร็งกล้ามเนื้อร่างกาย

เอ้า ทดลองดู ลองกำมือขวา ชูกำปั้นขึ้นมาก่อน บีบกำปั้นให้แน่น รับรู้ความเกร็งของกล้ามเนืื้อแขน เอาอีกมือจับดูจะพบว่าแขนแข็งโป้ก แล้วคลายกำปั้น สั่งให้กล้ามเนื้อแขนคลายตัว คลายลงไปอีก คลายลงไปอีก คราวนี้เอาอีกมือมาจับแขนดูจะพบว่าแขนนุ่มเพราะผ่อนคลาย

ลองดูอีกแบบ คราวนี้จะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วตัว ให้ท่านนั่งตัวตรงยืดหลังขึ้นอย่าให้งอ หลับตา หายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด กลั้นไว้สักครู่นับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วค่อยๆปล่อยหรือผ่อนลมหายใจออกไปทางจมูกเบาๆช้าๆ พร้อมกับสั่งให้ร่างกายผ่อนคลาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ให้ผ่อนคลาย ทำอย่างนี้ หมายถึงหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ ผ่อนคลาย ทำสักสามครั้ง ก็จะรู้สึกว่าความคิดที่ค้างคาอยู่เมื่อกี้ตอนนี้หายไปหมดแล้ว เพราะการผ่อนคลายร่างกาย คือการวางความคิดลงไปด้วย

สั่งให้ผ่อนคลายแล้ว กล้ามเนื้อจะผ่อนคลายจริงหรือเปล่าต้องตามไปดู จุดที่จะดูได้ง่ายที่สุดก็คือบนใบหน้าของเรานี่เอง ถ้าเราผ่อนคลาย เราจะยิ้มได้ ลองยิ้มดู ถ้ายิ้มไม่ได้ก็ยังไม่ผ่อนคลาย ยิ้มนิดๆแบบพระพุทธรูปก็ได้ ยิ้มให้เป็นอาจิณ ยิ้มทุกลมหายใจเข้าออก

เครื่องมือ 3. การสังเกตลมหายใจ (breathing)

ก็คือการเอาเครื่องมือแรกคือการดึงความสนใจใช้มันดึงความสนใจออกมาจากความคิด เอาความสนใจมาจดจ่อตามดูลมหายใจ ให้รู้ว่าตัวเองกำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก แล้วก็เอาเครื่องมือ 2. มาร่วมด้วย คือผ่อนคลายร่างกาย หายใจเข้าเต็มปอด รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออก รู้ว่าหายใจออกและสั่งให้ร่างกายผ่อนคลาย ยิ้ม รับรู้ความผ่อนคลายไปด้วย เป็นไซเคิ้ล แบบว่า หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลาย ยิ้ม

เครื่องมือ 4. การสังเกตความรู้สึกบนร่างกาย (body scan)

คราวนี้ทิ้งลมหายใจไปก่อนนะ แต่ยังดึงความสนใจอยู่ เอาความสนใจมาลาดตระเวณรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย

ก่อนอื่นมารู้จักความรู้สึกบนผิวกายก่อน คุณยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา แล้วเอามืออีกข้างลูบแขนเบาๆอย่างนี้ ลูบอย่าให้ฝ่ามือหรือนิ้วมือแตะถูกผิวหนัง ให้แตะอย่างมากแค่ขน แล้วเอาความสนใจจดจ่อรับรู้ความรู้สึกที่ผิวหนังบนแขน รับรู้ความรู้สึกขนลุก ความรู้สึกซู่ซ่า เมื่อลูบฝ่ามือผ่านไป

คราวนี้ลองทำแบบฝึกหัดที่สอง คุณทำมือเป็นอุ้งแบบนี้ วางไว้บนตัก สบายๆ หลับตา คราวนี้คุณเอาความสนใจจดจ่อรับรู้ความรู้สึกที่อุ้งมือสองข้างนี้ มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นก็รับรู้หมด จะเป็นความรู้สึกอุ่น ร้อน ลมพัดผ่าน ความรู้สึกจิ๊ดๆเหมือนมีเข็มจิ้ม ความรู้สึกวูบวาบ ผ่าวๆ ความรู้สึกเหน็บๆชาๆ ความรู้สึกอะไรก็ได้ รับรู้หมด

บางคนอาจไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ให้ผ่อนคลายร่างกายลงไปก่อน ผ่อนคลาย ยิ้ม แล้วรับรู้ความรู้สึกบนฝ่ามือ เอาเครื่องมือการหายใจเข้ามาร่วมด้วยก็ได้ หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลาย ยิ้ม รับรู้ความรู้สึกบนฝ่ามือ

เมื่อรับรู้ความรู้สึกบนฝ่ามือเป็นแล้ว คราวนี้ลองกวาดความสนใจไปทั่วร่างกาย กวาดไปทีละส่วน กวาดไปถึงไหนก็รับรู้ความรู้สึกบนผิวหนังที่นั่น เริ่มตั้งแต่ตรงรูจมูกก่อนก็ได้ เพราะมีความรู้สึกลมผ่านเข้าออกให้รับรู้อยู่แล้ว แล้วก็แผ่ขยายพื้นที่ไปรับรู้รอบๆปาก จมูก แก้ม ตา คิ้ว หน้าผาก จนรับรู้ความรู้สึกได้ทั่วใบหน้า แล้วก็กวาดความสนใจต่อไปอีก ไปรับรู้หนังศีรษะตอนบน ตอนข้าง ท้ายทอย คราวนี้ไปทั่วตัวเลย แขนสองข้าง หน้าอก หน้าท้อง หลัง บั้นเอว ขาสองข้าง เข่า น่อง เท้า ฝ่าเท้า

คราวนี้ลองฝึกรับรู้ความรู้สึกทั้งตัวทุกรูขุมขนพร้อมกันตูมเดียวเหมือนเรานั่งอยู่แล้วมีคนเอากระป๋องน้ำอุ่นมาราดจากศีรษะลงมา เราจะรู้สึกอุ่นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ตูมเดียวรู้สึกได้ทั้งตั้ว หายใจเข้า หายใจลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ หายใจออกช้าๆ ยาวๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าทุกรูขุมขนทั่วตัว ทำแบบนี้เป็นวงจร หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลาย ยิ้ม ซู่ซ่า

โปรดสังเกตนะว่ามาถึงตอนนี้เราเอาเครื่องมือทั้งสี่อันมาใช้พร้อมกันหมดคือการดึงความสนใจ การหายใจ การผ่อนคลาย และการสังเกตความรู้สึกบนร่างกาย

เครื่องมือ 5. การสังเกตความคิด (aware of a thought)

แม้จะใช้เครื่องมือทั้งสี่อย่างพร้อมกันแต่สำหรับบางคนที่ความคิดมันแรง มันก็เจาะเข้ามาจนได้ ทำให้เรา "เผลอคิด" ขณะที่กำลังใช้เครื่องมือวางความคิด เมื่อเผลอคิด อย่าพยายามแก้ไขโดยการไล่ความคิด เพราะการไล่ความคิดก็เป็นการคิด มันจะไปกันใหญ่ ให้ใช้เครื่องมือที่ห้า คือการสังเกตความคิด คือขณะที่เอาความสนใจไว้ที่ลมหายใจก็ดีหรือความรู้สึกบนผิวกายอยู่ก็ดี ให้ชำเลืองไปดู ไม่ได้ชำเลืองด้วยตานะ ชำเลืองด้วยความสนใจ ชำเลืองไปดูว่าเมื่อตะกี้ในใจกำลังมีความคิดอะไรอยู่หรือเปล่า ถ้าชำเลืองไปดูความคิดมันหนีไปก่อนแล้วก็แล้วไป เราก็กลับมาสนใจลมหายใจของเราต่อ แต่ถ้าความคิดมันยังอยู่ ยังไม่ไปไหน ให้เอาความสนใจเฝ้าสังเกตมันอยู่ข้างนอก สนใจแบบเฝ้าสังเกตอยู่ข้างนอก ไม่ใช่สนใจแบบเข้าไปผสมโรงคิดต่อยอดนะ คือทำแบบ aware of a thought ไม่ใช่ thinking a thought สังเกตอยู่สักพัก ความคิดมันก็จะฝ่อหายไปเอง เพราะความคิดมันมีธรรมชาติเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พอมันหายไปแล้วเราก็กลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่

เครื่องมือ 6. สมาธิ (meditation)

เมื่อใช้ห้าเครื่องมือข้างต้นให้เขาขากันได้ดีแล้ว คือดึงความสนใจมาอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลาย ยิ้ม ซู่ซ่า เป็นวงจรซ้ำซากอยู่อย่างนี้ คราวนี้ก็เป็นการจดจ่อความสนใจอยู่กับวงจรซ้ำซากอยู่อย่างนี้เพื่อปิดช่องไม่ให้ความคิดเข้ามา การจดจ่อซ้ำซากนี้เรียกว่าสมาธิ ในขั้นนี้ให้ปล่อยให้ความสนใจจมลึกลงไป ลึกลงไปในความไม่มีอะไร ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรอย่างอื่น สิ่งที่ใช้เป็นเป้าในการจดจ่อไม่ว่าจะเป็นลมหายใจหรือความรู้สึกบนผิวกายก็ดูจะแผ่วห่างออกไป ห่างออกไป

เครื่องมือ 7. การสะดุ้งตัวเองให้ตื่น (alertness)

เมื่อความคิดเริ่มจะหมดเกลี้ยงแล้ว ความง่วงก็จะมาเยือน เหมือนการเดินเข้าซอยที่ปลายซอยเป็นทางแยกซ้ายขวา เส้นทางหลักคือเลี้ยวขวาซึ่งจะไปหลับ เรียกว่าตกภวังค์ ม่อยกระรอก หากมาถึงตรงทางแยกนี้เราต้องใช้เครื่องมือที่ 7. คือการสะดุ้งตัวเองให้ตื่นขึ้นมารับรู้เดี๋ยวนี้ การฝึกนี้ต้องฝึกขณะที่กำลังม่อยกระรอก หรือกำลังโงกหลับ เป็นการฝึกงัดหินที่กำลังจะกลิ้งลงเขาทางขวาให้กลิ้งไปทางซ้าย ต้องใช้ความพยายามฝึกมากหน่อย พองัดได้สำเร็จก็จะพบกับความตื่นหรือสว่างอย่างยิ่งโดยไม่มีความคิด ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความตื่นและสามารถรับรู้อยู่ นั่นก็คือ "ความรู้ตัว" อันเป็นปลายทางที่เราตั้งใจจะมา

เมื่อหมดความคิด ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัว

ความรู้ตัวก็คือชีวิตในยามที่ปลอดความคิด เป็นความตื่นและความสามารถรับรู้เดี๋ยวนี้แบบสบายๆไม่อินังขังขอบกังวลหรือเสียใจอะไรทั้งสิ้น เพราะความรู้ตัวเป็นส่วนของชีวิตที่ไม่มีเอี่ยวกับความเป็นบุคคลของเรา ไม่เหมือนความคิดที่ผูกพันยึดโยงและพยายามที่จะปกป้องความเป็นบุคคลของเราอยู่ตลอดเวลาอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือความเครียด แต่ความรู้ตัวไม่สนสิ่งเหล่านั้น เพราะความรู้ตัวไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นบุคคล เหมือนแสงแดดที่ไม่เกี่ยวอะไรกับสีของบ้าน ส่องมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้สีของบ้านเปลี่ยนไป แค่ส่องมาเฉยๆ ที่ความรู้ตัวจึงเป็นที่สงบเย็นและสบายดี เป็นโทนการรับรู้ทุกอย่างตามที่มันเป็นโดยไม่มีความเป็นบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นที่ที่ไม่มีความเครียด

การถอยจากความคิดไปเป็นความรู้ตัวทำได้ตลอดเวลาที่ไม่ได้นอนหลับ ทำได้แม้เวลาลืมตาทำกิจอยู่ ไม่จำเป็นต้องรอทำตอนนั่งหลับตาทำสมาธิหรือ meditation

การถอยจากความคิดไปเป็นความรู้ตัวเป็นกลวิธีรักษาโรคเครียดที่ได้ผลดีที่สุด ขอให้ท่านผู้ชมเอาไปทดลองปฏิบัติในชีวิตประจำวันของท่านดูนะครับ

สวัสดีครับ

https://visitdrsant.blogspot.com/2020/0 ... JKd8uwqBYw

......................................................................

phpBB [video]
sukit2020
Verified User
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 779

โพสต์

.
.
กราบสวัสดีอาจารย์เด็กใหม่ไฟแรง และ สวัสดีพี่ๆ เพื่อนๆ ในกระทู้ "เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ"
.
ผมผู้มาใหม่ในเส้นทางธรรม เพิ่งเริ่มสนใจธรรมะมาได้ประมาณปีครึ่ง จากเหตุปัจจัยคือ ลูกๆ 2คนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศพร้อมกัน เลยมีโอกาสชวนภรรยาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมร่วมกัน ในแนว "วิปัสสนากรรมฐาน" ครั้งแรกที่ภูผาผึ้ง จ.อุบล ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้ได้ลิ้มรสคำว่า "ปิติ" ในธรรม อันเป็นจุดเริ่มให้สนใจศึกษาธรรมะสืบมาจนปัจจุบัน
.
ในกระทู้นี้ถือเป็นกระทู้ทรงคุณค่ายิ่ง แฝงไว้ด้วยความรู้ แนวคิด แนวปฏิบัติ และประสบการณ์ในธรรมของทั้งอาจารย์ และพี่ๆ เพื่อนๆที่คุยกันไว้หลายปีก่อน ซึ่งหากจะให้เข้าใจมากขึ้นๆ คงต้องใช้ความพยายาม และเวลาในการอ่านหลายรอบทีเดียว ต้องขอขอบคุณอาจารย์ และพี่ๆ เพื่อนๆทุกคนที่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้ให้สืบค้น และดำเนินรอยตาม
.
ขออนุญาตนำ Comment ของคุณตี่ ที่ได้เคยโพสต์ไว้เมื่อ 3 ปีก่อน เกี่ยวกับสภาพจิตที่เป็นสมาธิมีหลายระดับ หยาบ ละเอียด ลุ่มลึก ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า

" ยิ่งเข้าถึงสภาพที่สงบลุ่มลึกลงไปได้มากเท่าไร สภาพความพร้อมของจิตที่ออกจากสมาธิ แล้วเอาจิตนั้นๆ ไปใช้งาน ยิ่งมีกำลังที่แตกต่างกันตามลำดับขั้น ระดับขั้นที่จิตพอที่จะเป็นอิสระจากอคติ คือ สมาธิในระดับขั้นที่เรารับรู้ถึงตัวจิตได้อย่างชัดเจน โดยเป็นอิสระจากทางกายโดยสมบูรณ์แล้ว กล่าวคือ สภาพของสมาธิที่ไม่สนใจกายแล้ว ทิ้งกาย เหลือแต่จิต "
.
ขออนุญาตถามคุณตี่ และ พี่ๆ เพื่อนๆทางธรรมที่มีประสบการณ์ ดังนี้ครับ

1. "สงบลุ่มลึก" ในที่นี้น่าจะหมายถึง "อัปปนาสมาธิ" หรือ "ฌาน 4" ใช่หรือไม่ครับ

2. รบกวนช่วยเล่าประสบการณ์ แนวทางปฏิบัติ ขวากหนามที่พบเจอ และกำลังใจที่ทำให้ก้าวผ่านจนเข้าใกล้ หรือสำเร็จ สมาธิระดับลุ่มลึกนี้ครับ

3. ช่วยชี้แนะแนวทาง เทคนิคการปฏิบัติ และการวางใจ สำหรับผู้สนใจปฏิบัติให้ได้ผล

4. ช่วยชี้แนะสื่อ คลิป คำสอน ครูบาอาจารย์ หรือ มีสถานปฏิบัติธรรมที่มุ่งเน้นสอนด้านนี้แนะนำมั้ยครับ

ขอบคุณครับ
.
sukit2020
Verified User
โพสต์: 183
ผู้ติดตาม: 0

Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ

โพสต์ที่ 780

โพสต์

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ "วิสาขบูชา" ปีนี้ 6 พ.ค. 63 ชาวพุทธ สวดมนต์ ฟังเทศน์ เวียนเทียน ออนไลน์ อยู่กับบ้าน ลดเสี่ยงโควิด

วันนี้ (6 พ.ค.63) ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ทำให้ในวันนี้ ซึ่งตรงกับ "วันวิสาขบูชา" วันสำคัญทางศาสนาพุทธ มหาเถรสมาคมจึงมีมติเห็นชอบให้วัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักรไทย และวัดไทยในต่างประเทศ งดกิจกรรมที่ประชาชนมารวมกลุ่มกันทุกประเภท ยกเว้นการปฏิบัติภารกิจของสงฆ์ แต่ประชาชนสามารถฟังธรรมเทศนา ผ่านทางการไลฟ์สด และเวียนเทียนออนไลน์ อยู่บ้าน

https://www.thansettakij.com/content/no ... aking_news


phpBB [video]