เหตุการณ์นั้น คือ การที่ AlphaGo เอาชนะ Ke Jie นักเล่นโกะมือ 1 ของโลกขาดลอย ชนิดที่ทำให้ Ke Jie ต้องนั่งเช็ดน้ำตาร้องไห้อยู่หน้ากระดานหมาก เพราะ เล่นยังไงก็รู้สึกว่าตัวเองห่างไกลจากฝีมือของ AlphaGo มากๆ ผมนั่งดู Ke Jie เล่นก็รู้สึกเหมือนกับว่า เด็กเล่นกับผู้ใหญ่อย่างไรก็ไม่รู้ ทั้งนั้นที่เด็กคนนั้นคือ มือหนึ่งของโลก ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยแล้วเชียว
ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่ใช่เรื่องที่ AI สามารถเอาชนะมนุษย์ได้ เพราะ เมื่อปีที่แล้ว Alpha Go สามารถเอาชนะ Lee Sedol อดีตมือหนึ่งของโลกได้ไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจคือ ในเวลา 1 ปี AlphaGo Version ใหม่นั้นเก่งกว่า Version เก่ามาก ถึงขนาดว่ากับจับเอา 2 Version มาเล่นแข่งกัน ถ้าจะเล่นให้พอสู้กันได้ ต้องให้ Version ใหม่ต่อหมากให้ Version เก่า 3 เม็ด เท่านั้นยังไม่พอ Version ใหม่นี้ใช้ประสิทธิภาพของเครื่องน้อยลง 10 เท่า แถมใช้ข้อมูลจากมนุษย์ในการฝึกฝีมือน้อยลง
---------------------
ย้อนเหตุการณ์กลับไปช่วงประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมา MobilEye ที่ผมได้ลงทุนเอาไว้ โดน Intel ประกาศ Take Over ไป ทำให้ผมงานเข้า จำเป็นต้องหาหุ้นใหม่เพื่อเอามาแทน MobilEye และผลของการหาหุ้นใหม่ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอหุ้นระดับสุดยอดที่อาจจะเป็นหุ้น 100 ปีได้อีกตัวหนึ่ง
คือช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตอนที่ผมตัดสินใจลงทุนใน MobilEye ด้วยเหตุผลว่าอยากลงทุนใน Self-drive car ผมได้อ่าน Paper เกี่ยวกับ Autonomous Vehicle อยู่หลายอัน หนึ่งในนั้นนักวิเคราะห์ได้เขียนถึง NVDA เอาไว้ด้วย ซึ่งนี่เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์เชียร์ซื้ออยู่ด้วย แต่ในตอนนั้นผมคิดว่าการวิเคราะห์ NVDA ดูแล้วจะยากกว่าการวิเคราะห์ MobilEye เพราะ มันไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายอย่างมาก ทั้งเกมส์ กราฟฟิก HPC ตลาด Server ตลาด AI และ Self-Drive Car ด้วยความขี้เกียจที่จะเข้าไปศึกษา เลยตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัว เลือกที่จะ Focus อยู่แต่กับ Self-Drive Car เลยเลือกที่จะลงทุนใน MobilEye โดยไม่ได้เข้าไปศึกษา NVDA ให้ละเอียดๆ
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ MobilEye โดน Take Over ขึ้น NVDA จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ถูกนำมาศึกษาต่อ เพราะ การศึกษาแบบต่อยอดจากมุมมองเดิมมันง่ายกว่าการที่ต้องไปเริ่มอะไรใหม่หมด และนั่นก็ถือว่าเป็นความโชคดีสุดๆ ที่ผมได้มีเจอโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิต ซึ่งน่าจะช่วยให้ผมไม่ต้องลำบากหาหุ้นไปอีกนาน
--------------------------------------
ถ้าเพื่อนๆ ได้มีโอกาสศึกษาแนวคิดของนักเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน นักคิดหลายๆ คนมองว่า ณ จุดนี้ในปัจจุบันกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก บางคนเรียกว่า 4th Industrial Revolution บางคนเรียกว่า 2nd Machine age บ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากการปฏิวัติของ AI (Artificial Intelligence)
เอาเป็นไว้ ณ จุดนี้กำลังจะเกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของโลก (Inflection Point) ที่มันจะเปลี่ยนอย่างเร็วมากๆ เพราะ ความบรรจบกันของความพร้อมในเรื่องของ
1) วิธีการสร้าง AI ที่เรียกว่า Deep Learning ซึ่งเป็นวิธีการที่โยนข้อมูลใส่เข้าไปให้กับ AI แล้วให้ AI เรียนรู้ด้วยตัวเอง
2) ความพร้อมของข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลจากการเกิดขึ้นของ Smartphone และ IoT ที่จะเป็นข้อมูลในการสร้าง AI
3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ GPU ซึ่งเป็น Chip ในการทำ Deep Learning ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก โดยที่ GPU ล่าสุดในปีนี้ได้เร็วกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้วถึง 15 เท่าตัว
4) Cloud Service ที่ทำให้ปัจจุบันใครอยากจะสร้าง AI ก็สามารถหาเช่าระบบมา Train AI ได้ในราคาถูกๆ หรือจะใช้บริการ AI พื้นฐานบางตัวในงานของเราก็มาให้เลือกใช้ง่ายๆ ในราคาย่อมเยาว์
บางคนอาจจะคิดว่า AI จะช่วยทำอะไรล้ำๆ เหนือจินตนาการ อย่างการค้นหายาวิเศษที่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค ยืดอายุมนุษย์ หรือทำให้รถบินได้โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ผมกลับคิดประโยชน์ที่แท้จริงที่จะมีผลกระทบกับโลกมากๆ คือ การลดความสิ้นเปลืองที่สูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์จากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ
โลกในทุกวันนี้เกิดความเสียเปล่าจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพอยู่มากมายมหาศาล เอาง่ายๆ อย่างสัญญาณไฟจราจรที่เราต้องเจออยู่ทุกวันนี้ ที่ควบคุมด้วยตำรวจจราจรไทยอันแสนชาญฉลาด สมมติว่าถ้ามี AI สักตัวหนึ่งที่เอาข้อมูลของกล้องวงจรปิดมาประมวลผลอย่างเหนือชั้น แล้วปรับสัญญาณไฟให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร เราจะประหยัดเวลาการเดินทางได้ขนาดไหน
ตำรวจไทยจะฉลาดกว่า AI หรือ AI จะฉลาดกว่าตำรวจ... คำถามอันนี้คงจะตอบได้ยาก เพราะ ตำรวจไทยก็อาจจะมั่นใจในฝีมือการเปิด-ปิดสัญญาณไฟจราจรของตัวเองมาก จนไม่เปิดโอกาสให้ประลองฝีมือกับ AI ได้ทดสอบกัน
แต่ที่ Google วิศวกรอันชาญฉลาดยอมให้มีการทดลองนี้เกิดขึ้น...
เค้าว่ากันว่าที่ Google มีวิศวกรที่เก่งๆ มารวมตัวกันอยู่เยอะที่สุดในโลก และงานในส่วน Data Center ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ใช้เก็บ Server ที่จะให้บริการลูกค้า ก็ถูกวิศวกรเหล่านี้ออกแบบและควบคุม เพื่อที่จะรีดประสิทธิภาพออกมาให้มากที่สุด โดยใช้พลังงานให้น้อยที่สุด
การทดลองเกิดขึ้น โดยวิศวกรเหล่านี้ลองปล่อยมือให้ทีมงานของ Deepmind เอาระบบ AI เข้ามาบริหารจัดการดู วิศวกรของ Google ตอนแรกก็คิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว Deepmind คงจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่หลังจากที่เอา AI เข้ามาจัดการ ผลปรากฎว่า Data Center ใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงไปได้ถึง 40%
ผลที่เกิดขึ้นช็อคความคาดหมายของทีมงาน Google เป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้ Google กำหนดนโยบายให้ Data Center ของ Google ต่อจากนี้จะสามารถปรับ Parameter ต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ AI ควบคุมจัดการ Data Center ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้การรีดประสิทธิภาพให้สูงขึ้นไปอีก
จะเกิดอะไรขึ้น หากเราเอา AI มาควบคุมไฟจราจรแทนตำรวจจราจร
- Nvidia ได้ Transform ตัวเองจากบริษัทผลิต GPU กลายมาเป็น Software Company ที่สนับสนุนการทำ AI โดยร่วมมือกับบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกในการพัฒนา AI
- AI ได้เปลี่ยนวิธีการเขียนโปรแกรมจาการที่นักพัฒนาต้องนั่งเขียนโปรแกรม เราเอาข้อมูลโยนเข้าใส่ในโมเดล แล้วให้ AI หาความสัมพันธ์ เขียนโปรแกรมให้เราอัตโนมัติ กำลังจะเปลี่ยนวิธีการพัฒนา Software จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้การสร้าง AI เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
แต่เมื่อ Nvidia Transform ตัวเองเป็น AI Company ที่ Mission ของกิจการ คือ การ Support ลูกค้า กิจการต่างๆ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ในการทำ AI ผมเชื่อว่าในอนาคตวันหนึ่ง Robot และ AI จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ หรือช่วยเหลือมนุษย์ในการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ มากถึงจุดหนึ่งที่มนุษย์เลือกที่จะยกงานส่วนใหญ่ให้หุ่นยนต์ทำแทน
“เมื่อคุณควบทั้งตำแหน่งประธาน และ CEO ไว้ด้วยกัน และถือหุ้นที่มีสิทธิ์ในการออกเสียงส่วนใหญ่ไว้เกือบหมด นี่คือส่วนผสมของยาพิษชัดๆ” Michael Connor ผู้อำนวยการของ Open Mic องค์กรสำหรับการรณรงค์ต่างๆของผู้ถือหุ้นในบริษัทชั้นนำของสหรัฐ แสดงทรรศนะ
Patrick Doherty ผู้อำนวยการของ New York comptroller ซึ่งดูแลหุ้น Facebook มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ให้ทรรศนะถึงโครงสร้างการบริหารแบบนี้ ว่าเป็นแนวทางที่ถอยหลังกลับไปยังศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว