Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 151
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)
Cr:Thaipublica
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดกิจกรรม “ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศไทย” มีคณะผู้บริหารร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชน โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ “โหมโรง 2019 เศรษฐกิจเราจะไปทางไหน” ว่า
ดร.พิพัฒน์เกริ่มนำก่อนว่า “เมื่อสักครู่ฟัง “คุณบรรยง พงษ์พานิช”พูดแล้วนึกถึงคำที่ ดร.อนุชิต [อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)] เล่าให้ฟังว่า ปัญหาเมืองไทยคือ แก่ เจ็บ จบ คนน้อย ด้อยศึกษา ปัญหาเหลื่อมล้ำสูง คุณบรรยงก็ไล่มาเกือบหมดแล้วเราก็ได้เห็นประเด็นปัญหาอนาคตประเทศที่ค่อนข้างน่าใคร่ครวญอยู่พอสมควร วันนี้ผมก็ขออนุญาตมองภาพใกล้ขึ้นมาสัก 3 ประเด็น ประเด็นแรก คือ ประเด็นอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง น่าสนใจ น่าติดตามกับเศรษฐกิจในช่วงปีนี้ปีหน้า ประเด็นที่ 2 คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร และประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวขึ้นบ้างเล็กน้อย”
จับตา “เศรษฐกิจโลกชะลอ-ดอกเบี้ยขึ้นสวนทาง-สงครามการค้า”
ประเด็นแรก คือ เรื่องที่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คิดว่าน่าจะมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ข้างนอก เรื่องแรก เราเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว ต้นปีที่แล้วเราพูดถึงการกลับมาเติบโตอย่างพร้อมเพรียงของเศรษฐกิจต่างๆ ในโลก หรือ syncronized recovery หรือ syncronized growth เราเห็นหลายประเทศฟื้นตัวกลับมาพร้อมกัน กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กลับมาดีพร้อมๆ กัน ผ่านไปไม่นานสักครึ่งปี ตอนนี้เรากลับมาใช้คำว่า syncronized slowdown อีกแล้ว ฉีกตัวออกไปอีกด้านเลยว่าเราเริ่มเห็นเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศหมุนช้าลง เติบโตช้าลง
แล้วปัญหาสำคัญเมื่อเศรษฐกิจหมุนช้าลงคือการค้าโลกและการส่งผ่านข้อดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมันทำให้อานิสงส์ของการที่ทุกคนดีพร้อมๆ กันมันเริ่มจะชะลอตัว เราเริ่มเห็นการส่งออกของหลายประเทศแถวเอเชียชะลอพร้อมกันหมด ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เราดูตัวเลขดัชนีผู้จัดการซื้อ หรือ Puchaser Manager Index (PMI) ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอพร้อมๆ กัน จากที่เดิมดัชนีเคยเกิน 50 หมดคือทุกประเทศโตพร้อมกัน ตอนนี้ทุกประเทศลงมาใกล้ๆ ปริ่มๆ เติบโตช้า
“อาจจะเหลือสหรัฐอเมริกาที่เดียวที่วันนี้เศรษฐกิจยังเติบโตพีคอยู่ แต่ว่าตอนนี้คนเริ่มพูดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอเหมือนกัน วันนี้อาจจะยังเห็นอัตราว่างงานของสหรัฐอเมริกาอยู่ 3.7-3.8% ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 1949 ต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่ก็เห็นสัญญาณว่ามันเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวเป็นระยะเวลานานจนอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้องปรับตัวสูงขึ้น อาจจะเห็นผลกระทบตลาดบ้าน ราคาบ้านชะลอลง ดังนั้น เศรษฐกิจมันเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว”
อันนี้คือเรื่องแรก ภาพที่เห็นข้างนอกอาจจะไม่ได้สวยหรูแบบเมื่อปลายปีที่แล้วหรือต้นปี 2561 พอเราเริ่มเข้าสู่ปี 2562 เราจะเข้าไปด้วยบรรยากาศของการชะลอตัวลง หลายคนตั้งคำถามไปถึงว่าจะมีการถดถอยทางเศรษฐกิจอีกหรือไม่ หลายคนเริ่มมองว่าในปี 2563 อาจจะมีโอกาสเกิดอีก เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มมองข้ามไปแล้ว มองข้ามปี 2563 ไปแล้ว เพราะในการคาดการณ์ส่วนใหญ่มองว่าปีหน้าอาจจะชะลอตัวแต่ยังไม่ถึงกับถดถอย แต่จะมีหรือไม่ก็ต้องรอดูต่อไป
ประเด็นที่สอง คือ เราเริ่มเห็นอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งมันแปลกดีเหมือนกันว่าทำไม่เรามาเจอดอกเบี้ยขาขึ้นในบรรยากาศที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่เริ่มชะลอตัวลง อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังดีอยู่มาก อัตราการว่างงานยังต่ำ เงินเฟ้อเริ่มไต่ขึ้นมา เขาต้องอาศัยโอกาสที่จะเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับไปภาวะปกติ แต่ปัญหาคือว่าคำว่า “ปกติ” ของเขามันหมายถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกค่อนข้างมากในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรากำลังพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ระหว่าง 3-5 ครั้ง คือจะขึ้นอีก 0.75-1.25% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเขาอยู่ที่ 2% กว่าๆ แปลว่าอีก 12 เดือนข้างหน้าถ้าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และระบบธนาคารสหรัฐฯ หรือเฟด คาดการณ์ เราจะเห็นดอกเบี้ยระยะสั้นในสกุลดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ 3% มากกว่า 2% ตอนนี้
แล้วมันเป็นปัญหาอะไร อย่างแรก มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่พึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มตึงขึ้นในแง่ของสภาพคล่อง และใครที่กู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมากๆ ต้นทุนการกู้ยืมจะแพงขึ้น เราจะเริ่มเห็นอาการออกว่าความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนเริ่มเป็นประเด็นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลายเป็นความเสี่ยงที่ประเทศหลายประเทศเริ่มกังวล ถ้าเราลองเริ่มนึกภาพดูว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดขึ้นไป 3% กว่า ความน่าสนใจของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็จะมากขึ้น สมัยก่อนที่ทำคิวอีกันมากๆ สภาพคล่องหลายส่วนมันไหลมาที่ประเทศเกิดใหม่ทั้งหลาย วันนี้คำถามคือมันจะไหลกลับหรือไม่ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั้งในแง่ของค่าเงิน สภาพคล่อง ปริมาณเงินที่ไหลอยู่ในระบบ และต้นทุนทางการเงิน
แต่ว่าอาจจะมีหลายประเทศ เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น ที่ยังคงทำคิวอีอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเหลือ 2 ประเทศที่ทำอยู่ 2 ประเทศนี้ก็ทำมานานมากแล้ว สหรัฐอเมริกาจะเลิกทำแล้ว เปลี่ยนจากคิวอี หรือ quantitative easing เป็น quantitative tightening แล้ว คือเริ่มลดงบดุลของเฟด แต่ยุโรปยังคงทำและอาจจะต้องทำต่อไปอีกสักพัก ซึ่งก็มีปัญหาอีกว่าเขาก็ไม่สามารถทำไปได้ตลอดเวลา เขาเริ่มประกาศแล้วว่าปลายปีนี้คงต้องเลิก อันนี้คนก็มองข้ามไปว่าดอกเบี้ยจะขึ้นด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สาม คือ เรื่องสงครามการค้าที่จะมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก หลายคนถามว่าตกลงสหรัฐอเมริกาคุยกับจีนรู้เรื่องหรือไม่ วันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ควรจะติดตามการประชุมที่เรียกว่าคนติดตามมากที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง คือการประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ประเทศ หรือประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา ที่ผมว่าปกติคนไม่ค่อยดูเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จะมีคนมาขโมยซีนคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเจอกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่เป็นมวยรุ่นใหญ่ คนก็คงเลิกดูการประชุมทั่วไป คงมาจับตาดูนัดนี้แทน
ปัญหามันคือว่ามันมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากว่าทรัมป์จะทำอะไร? ถ้าเราฟังสิ่งที่พูดที่ทำที่อยากจะทำ แล้วถ้าฟังดูเจ้าหน้าที่ของเขาแต่ละคน ภาพมันไม่ค่อยชัดเจนเลย ถ้ายังจำได้ Steven Mnuchin รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปตกลงกับจีนแล้วรอบหนึ่ง แต่พอกลับมาสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยกเลิกหมดเลยบอกว่าที่ตกลงไปล้อเล่น ทำเอาจีนโกรธมาก วันนี้ก็ยังนั่งคุยกันอยู่
แล้วการที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จริงๆแล้วมันเป็นยุทธศาสตร์หรือคุยกันใน 3 เรื่องใหญ่ อันแรกมันคือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพราะการขึ้นภาษีทำให้ของที่ผลิตในอีกประเทศหนึ่งและนำเข้ากลับมาในประเทศแพงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของการผลิตในประเทศนั้นคือจีนน้อยลง โดยจุดมุ่งหมายเขาคือว่าใครก็ตามที่ผลิตอะไรก็ตามอยู่ในจีนต้องย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐอเมริกา เพื่อ Make America Great Again อันนี้เป็นประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจ ถ้าเราดูสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนปีละ 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกานำเข้าจากจีนปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนนำเข้าเพียงแค่ 100,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง ดังนั้น สหรัฐอเมริกามองว่าการขาดดุลการค้ามากๆ เป็นประเด็นว่าเขาเสียหายทางเศรษฐกิจ
แต่ปัญหาคือว่า การแก้ปัญหาขาดดุลการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีมันก็เป็นการยิงตัวเองด้วยเหมือนกัน ลองนึกดูว่าไอโฟนตอนนี้ออกแบบในแคลิฟอร์เนียก็จริง แต่มันไปประกอบในจีนหมดเลย ถ้าไอโฟนโดนภาษี ใครจะซวยก็คือคนที่ซื้อ ดังนั้นกลายเป็นว่าต้นทุนในการซื้อของของผู้บริโภคหรือแม้แต่การผลิตอื่นๆ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยปริยาย ในแง่ของเศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่ใครจะทำสงครามการค้ากัน
อันที่ 2 มันมีแง่มุมอื่นอย่างปัญหาการเมืองที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งมา ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาชูปัญหาตรงนี้ แล้วยิ่งด่าจีนเท่าไหร่ความนิยมมันก็ขึ้นเท่านั้น แต่คนลืมไปว่ามันมีต้นทุนเกิดขึ้น คือความจริงที่ว่าเขาต้องจ่ายเงินมากขึ้น ความจริงว่าความสามารถในการแข่งขันจะน้อยลง หลายที่เริ่มบอกว่าถ้าจะทะเลาะกันนานๆ เขาจะเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะถ้าเขาจะเอาไปขายที่อื่น ตลาดจีนก็ไม่ได้เล็ก
นี่เป็นเรื่องกลยุทธ์ระยะยาว เพราะแน่ๆ เลยที่สหรัฐอเมริกาคงทนไม่ได้ที่จะเห็นจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 และก้าวข้ามสหรัฐอเมริกาในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยประชาชนพันล้านคน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ 300-400 ล้านคน ดังนั้น ถ้าจีนเติบโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ รับรองแซงแน่ๆ วันนี้สิ่งที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่าจีนเอาเปรียบมากที่สุดคือเรื่องของเทคโนโลยี เพราะลองนึกภาพว่าไอโฟนใช้กัน 20,000 บาท 40,000 บาท จีนมาแป๊บเดียว เสี่ยวมี่ หัวเว่ย เครื่องละ 4,000 บาท ทำได้เหมือนกันเกือบทุกอย่างเลย เพราะว่าต้นทุนการลอกและพัฒนาถูกกว่าวิจัยและพัฒนามหาศาล สหรัฐอเมริกาก็มองว่าไม่ยุติธรรมและต้องการให้การค้ายุติธรรมมากขึ้น จีนก็ออกนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก
ประเด็นที่เป็นปัญหาทุกวันนี้และอาจจะเกิดขึ้นไปข้างหน้าด้วยคือความตึงเครียดที่จะเปลี่ยนจากสงครามการค้าเป็นสงครามเย็น คือไม่ได้รบกันซะทีเดียวแต่มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นปัญหาอันสุดท้ายที่ทำให้โครงสร้างห่วงโซ่การผลิตของทั้งโลกอาจจะถูกปั่นป่วนไปได้ วันนี้ทุกคนตั้งโรงงานในจีนแล้วส่งออกไปสหรัฐอเมริกา วันนี้ต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไรกับโรงงานดี จะส่งกลับมาก็ไม่ได้ถ้าโดนภาษี แต่จะย้ายโรงงานก็ไม่รู้ ถ้าเกิดวันเสาร์นี้คุยกันรู้เรื่อง ยกเลิกหมด แล้วจะย้ายไปทำไม
วันนี้คำว่าความไม่แน่นอนทำให้การตัดสินใจต่างๆ มันคิดลำบาก มันก็กระทบกันหมดเป็นลูกโซ่ และหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ค่อนข้างสำคัญกับเศรษฐกิจโลก แล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น มูลค่าการค้าหายไป ยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกวางแผนได้ยากขึ้น การเติบโตต่างๆ คนก็คาดการณ์ได้ยากลำบากมากขึ้น เหล่านี้เป็น 3 ประเด็นข้างนอกประเทศที่ต้องจับตาดู นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่เราต้องติดตามกันตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเกาหลีเหนือจะเลิกทำนิวเคลียร์หรือไม่ ปีหน้ากลับมาอีกหรือไม่ หรือทางซาอุดีอาระเบียจะทำอะไรกับเรื่องราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อาจจะมีเรื่องการเมืองอย่างการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ก็อาจจะมีผลกระทบได้ค่อนข้างมาก
เศรษฐกิจไทย 2562 ชะลอกลับสู่ศักยภาพ 3%
กลับมาดูเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไร เรามองว่าหลังจากครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 4.8% แล้วในไตรมาสแรกที่โตไป 4.9% เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีหลังจากติดหล่มทางเศรษฐกิจมา ไตรมาส 3 ของปี 2561 เหลือ 3.3% ทำให้ 9 เดือนแรกเติบโตได้ 4.3% ทั้งปีที่เหลือก็มองว่าจะเติบโตได้ 4% ต้นๆ แต่เราเชื่อว่าโมเมนตัมกำลังจะบอกเราว่าเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะเติบโตช้าลง แต่อาจจะยังไม่ใช่การถดถอยทางเศรษฐกิจขนาดนั้น
ทำไมเราคิดว่ามันจะเติบโตช้าลง เพราะว่าเครื่องยนต์ในการเติบโต หรืออะไรที่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปีนี้มันเริ่มหายไป ต้นปีเรามีคำใหญ่ที่ใช้คือแข็งนอกอ่อนใน คือการเติบโตมาจากภายนอกหมดเลย ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่ภายในยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนต้นปีก็มีคำว่าแข็งบนอ่อนล่าง คือเราเริ่มเห็นการฟื้นตัว แต่ฟื้นตัวของคนกลุ่มบนเป็นการบริโภคสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ส่วนการบริโภคสินค้าไม่คงทน อาหารเครื่องดื่มทั่วไปไม่ค่อยเติบโต ติดลบอีกต่างหาก บ่งบองปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อาจจะมีอยู่ เรายังเห็นประเด็นพวกราคาสินค้าเกษตร การบริโภคของต่างจังหวัด ที่บอกว่าเคยดีกว่านี้ มันดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น
พอมาดูไตรมาส 3 เราก็เห็นว่า ที่พูดมาทั้งหมด เครื่องยนต์การเติบโตอย่างการส่งออกและท่องเที่ยวแค่ชะลอและติดลบไปแค่เดือนกันยายนเดือนเดียว เราเห็นจีดีพีชะลอลงมาเร็วมาก ปัญหาคือว่า contribution to growth หรือสิ่งที่การส่งออกและท่องเที่ยวดันจีดีพีให้เติบโตมันเป็นสัดส่วนค่อนข้างใหญ่ ลองนึกภาพของการท่องเที่ยววันนี้คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีทั้งหมด ที่ผ่านมาเติบโต 10% ถ้าคูณเอาง่ายๆ คือว่าถ้าการท่องเที่ยวไม่เติบโตเลย จีดีพีจะหายไปประมาณ 1% กว่าๆ นั่นคือสิ่งเราเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3 เลย คือการท่องเที่ยวหยุดเติบโตแล้วจีดีพีจากที่เคยเติบโต 4% กว่ามาเหลือ 3% กว่า
การส่งออกเหมือนกัน คิดเป็นประมาณ 70% ของจีดีพี ถ้าหักการนำเข้าไปสักครึ่งหนึ่งแสดงกว่ามีความสำคัญ 20-30% ของจีดีพี แล้วเติบโตปีที่แล้วประมาณ 8-9% แต่ปีหน้าด้วยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เราเชื่อว่าคงไม่ได้เห็น 8-10% อย่างที่เคยเห็น อาจจะลดลงมา 5-6% แต่สังเกตว่าเครื่องยนต์ต่างๆ มันเติบโตช้าลง ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวและการส่งออกมีความสำคัญค่อนข้างมาก
คำถามที่จะเป็นภาระของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือว่าใครจะมาเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากขึ้นอย่างที่เห็นในปีนี้ คำตอบตอนนี้ก็ยังหาไม่ค่อยเจอ อย่างการบริโภคภายในประเทศ ตอนนี้เติบโตจาก 3% กว่าเป็น 5% ในไตรมาสล่าสุด แต่ถ้าดูไส้ใน 1% กว่าของการบริโภคมาจากการขายรถยนต์อย่างเดียว ไตรมาสที่สามเติบโตไป 18% เทียบกับปีก่อนหน้า ไม่รู้ว่าใครซื้อไปเหมือนกันนะ แต่ว่าเติบโตไปขนาดนั้น เราก็เห็นเป็นวัฏจักรที่ค่อนข้างยาวนาน เพราะมันติดลบมาตลอดหลายปี เพิ่งจะมาฟื้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วฟื้นค่อนข้างเร็ว แต่อาจจะมีประเด็นว่ายอดขายลงบัญชีไปแล้วมันถึงมือคนซื้อหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูต่อไป ปัญหาคือเราก็ไม่เชื่อว่ายอดขายรถยนต์มันจะเติบโตได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เครื่องยนต์นี้ก็อาจจะอ่อนตัวลงไปอีกเหมือนกัน
มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองว่าจีดีพี 4% ในปีนี้จะลดลงเหลือ 3% ปลายๆ ในปีหน้า ซึ่งเข้าใกล้กับสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ไม่น่าจะใช่ 4% อีกแล้ว เราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการอ่อนตัวลงไปแบบนั้น ภาพรวมอาจจะไม่ได้แย่มาก แต่คงแย่กว่าปีนี้ หลายคนก็บอกว่าปีนี้ดีแล้วหรือ เศรษฐกิจยังไม่ดีเลยปีนี้
ติดตามความเสี่ยง-โอกาสในปีหน้า
ถามว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไร ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูมากเลยคือเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่แย่ต่อเนื่อง แม้ว่าเราเห็นรายได้เกษตรกรเป็นบวก แต่เป็นเพราะปริมาณการผลิตมันเพิ่ม แต่ราคามันลดลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน เราก็เห็นคนออกมาบ่นมากขึ้น ราคายางพารา ราคามันสำปะหลัง ราคาอ้อย ทำให้การบริโภคต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้หวือหวามาก และอาจจะทำให้ฐานการบริโภคของไทยไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เพราะว่าการกระจุกตัวของการฟื้นตัวมันอยู่แค่บางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง ที่เป็นความเสี่ยงของไทยคือเศรษฐกิจภายนอก ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอมากกว่าที่คิด ถ้าเกิดส่งออกแย่กว่าที่คาด ถ้านักท่องเที่ยวไม่มา แล้วสิ่งที่ต้องติดตามมากๆ คือจีน ถ้าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลไป ท่องเที่ยวที่เราเห็นอาจจะแย่ไปมากกว่านี้หรือไม่ หรือมีปัญหาอะไรต้องลดค่าเงินหยวน ค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเขามีปัญหามากๆ จนเริ่มแตะเบรกไม่ให้คนออกมาท่องเที่ยว เพราะวันนี้เงินที่ไหลออกของจีนก้อนใหญ่สุดอันหนึ่งคือเอามาท่องเที่ยว ถ้าเกิดเขาเริ่มหยุดตรงนั้นก็อาจจะมากระทบเราเหมือนกัน
ประเด็นที่สาม คือ การเมืองของไทย ว่าจะเปลี่ยนผ่านได้สงบเรียบร้อยหรือไม่ ความมั่นใจเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุนของเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นได้หรือไม่
ส่วนปัจจัยด้านบวกของไทยคืออะไร เราอาจจะพูดถึงการลงทุนว่ามาแน่ๆ การเลือกตั้งจะมาแล้ว อีอีซี จะเดินหน้าแล้ว แต่ต้องระวังว่าการลงทุนอย่างอีอีซีอาจจะยังไม่เห็นเม็ดเงินจนกระทั้ง 1-2 ปีข้างหน้า กว่าจะเริ่มประมูลได้ เริ่มทำอะไรได้ การลงทุนตอกเข็มจริงๆ เงินที่ลงทุนกว่าจะเข้าเศรษฐกิจอาจจะอีกนาน วันนี้ก็มีคนถามว่าเวลามีสงครามการค้ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเราอาจจะไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่ถูกปั่นป่วน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า trade diversion คือการที่เขาไม่ค้าขายกันก็หันมาค้าขายกับเราแทนก็ได้ และมันก็มีผลกระทบทางลบที่ไทยอาจจะถูกทุ่มตลาดด้วยราคาลงมา เพราะเขาขายกันไม่ได้ก็เอาสินค้ามาระบายที่ไทย
อีกอันที่คนตั้งหน้าตั้งตารอคือการจัดสรรทรัพยากรหรือการตั้งโรงงานใหม่ คือถามว่าถ้าสหรัฐอเมริกาไม่นำเข้าสินค้าจีน นักลงทุนไต้หวัน สหรัฐอเมริกา หรือจีนเองที่มีโรงงานในจีนแล้วส่งไปขาย มีสิทธิหรือไม่จะย้ายมาที่อาเซียนมาไทยที่ต้นทุนการผลิตถูกกว่าและอาจจะไม่โดนภาษีจากสหรัฐอเมริกา เราก็รอดูตัวเลขอยู่ แต่พอความไม่แน่นอนมันสูง คนก็ไม่กล้าตัดสินใจ คนที่ย้ายอาจจะเป็นกลุ่มที่มีโรงงานอยู่แล้วทั้ง 2 ที่แล้วย้ายการผลิตหรือเพิ่มประเภทการผลิตเข้ามา แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวเลขชัดเจน ซึ่งมันอาจจะเป็นโอกาสได้ถ้าเรามีความน่าสนใจจริงๆ แต่คนก็เริ่มบอกอีกว่าเวียดนามจะน่าสนใจมากกว่าหรือไม่ หรือไทยจะสามารถจะไปผลิตทดแทนจีนได้หรือไม่
คาด กนง. ฉวยโอกาสเศรษฐกิจยังดีขึ้นดอกเบี้ย
ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยว่าเป็นเรื่องน่าสนใจว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทำอย่างไร เพราะสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะขึ้นอีก 3-5 ครั้ง แต่เมืองไทยเราเชื่อว่าด้วยการเติบโตที่อาจจะไม่ได้ดีมาก อ่อนตัวลงมา เงินเฟ้อที่แทบจะไม่ได้มี ตอนนี้อยู่ที่ 1% เท่านั้น เราก็เชื่อว่าโอกาสที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอาจจะมีไม่มาก ถ้าอ่านรายงานการประชุมจะเห็นว่าความเสี่ยงมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลออกมาคงดอกเบี้ย 4 ต่อ 3 ก็อาจจะงงๆ ว่าจะขึ้นหรือไม่
แต่เรื่องหนึ่งคือ กนง. กังวลเรื่องของเสถียรภาพการเงินค่อนข้างมาก แสดงความกังวลมาตลอด เราจึงเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่การเติบโตของเศรษฐกิจยังพอไปได้ คือดีกว่าสิ่งที่ กนง. เชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทย คืออยู่แถวๆ 3.5-4% ไม่ได้แย่มาก กนง. ก็น่าจะอยากขึ้นดอกเบี้ย เราเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างมากที่การประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมจะขึ้นดอกเบี้ยและในปีหน้าอาจจะมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะมีส่วนต่างดอกเบี้ยค่อนข้างมาก และมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายได้มาก
วัตถุดิบ” ใหม่
ดร.พิพัฒน์กล่าวถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องประเทศไทยจะไปทางไหนว่ามีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก คือ ภาวะประชากรที่จะลดลงในอนาคต ดังนั้นการเติบโตของทั้งประเทศก็เติบโตไม่ได้ ถ้าเรามองประเทศเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใส่วัตถุดิบเข้าไปคือแรงงานกับทุน เครื่องจักรนี้จะมีวัตถุดิบน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจากวันนี้ประชากรวัยทำงานเราจะลดลง ไม่ใช่เติบโตช้าด้วย ดังนั้น ถ้าเราทำงานไปแบบเดิม ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แบบเดิม การเติบโตก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นว่าเราเคยเติบโตจาก 7% มาเหลือ 5% มาเหลือ 3% ส่วนหนึ่งเพราะวัตถุดิบที่ใส่ไปน้อยลง แล้วที่ใส่ลงไปก็มีปัญหาด้านคุณภาพอีก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ ก็ต้องลดบทบาทของรัฐ และทำให้การใช้ทรัพยากรมีคุณค่ามีประโยชน์มากขึ้น
ประเด็นที่สองที่เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทย คือ เรื่องเทคโนโลยี เรากำลังเข้าสู่บรรยากาศที่เศรษฐกิจทั่วโลกพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบธุรกิจและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่คำถามคือเรามีทรัพยากร เรามีความพร้อมในแง่ของสถาบัน ในแง่ของคุณภาพของคน เพียงพอหรือไม่ ก็ต้องทิ้งเอาไว้เป็นประเด็นที่บอกว่าเป็นความท้าทายที่หนักอยู่ในประเทศไทย
Cr:Thaipublica
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดกิจกรรม “ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศไทย” มีคณะผู้บริหารร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชน โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ “โหมโรง 2019 เศรษฐกิจเราจะไปทางไหน” ว่า
ดร.พิพัฒน์เกริ่มนำก่อนว่า “เมื่อสักครู่ฟัง “คุณบรรยง พงษ์พานิช”พูดแล้วนึกถึงคำที่ ดร.อนุชิต [อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)] เล่าให้ฟังว่า ปัญหาเมืองไทยคือ แก่ เจ็บ จบ คนน้อย ด้อยศึกษา ปัญหาเหลื่อมล้ำสูง คุณบรรยงก็ไล่มาเกือบหมดแล้วเราก็ได้เห็นประเด็นปัญหาอนาคตประเทศที่ค่อนข้างน่าใคร่ครวญอยู่พอสมควร วันนี้ผมก็ขออนุญาตมองภาพใกล้ขึ้นมาสัก 3 ประเด็น ประเด็นแรก คือ ประเด็นอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง น่าสนใจ น่าติดตามกับเศรษฐกิจในช่วงปีนี้ปีหน้า ประเด็นที่ 2 คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร และประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวขึ้นบ้างเล็กน้อย”
จับตา “เศรษฐกิจโลกชะลอ-ดอกเบี้ยขึ้นสวนทาง-สงครามการค้า”
ประเด็นแรก คือ เรื่องที่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คิดว่าน่าจะมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ข้างนอก เรื่องแรก เราเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว ต้นปีที่แล้วเราพูดถึงการกลับมาเติบโตอย่างพร้อมเพรียงของเศรษฐกิจต่างๆ ในโลก หรือ syncronized recovery หรือ syncronized growth เราเห็นหลายประเทศฟื้นตัวกลับมาพร้อมกัน กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กลับมาดีพร้อมๆ กัน ผ่านไปไม่นานสักครึ่งปี ตอนนี้เรากลับมาใช้คำว่า syncronized slowdown อีกแล้ว ฉีกตัวออกไปอีกด้านเลยว่าเราเริ่มเห็นเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศหมุนช้าลง เติบโตช้าลง
แล้วปัญหาสำคัญเมื่อเศรษฐกิจหมุนช้าลงคือการค้าโลกและการส่งผ่านข้อดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมันทำให้อานิสงส์ของการที่ทุกคนดีพร้อมๆ กันมันเริ่มจะชะลอตัว เราเริ่มเห็นการส่งออกของหลายประเทศแถวเอเชียชะลอพร้อมกันหมด ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เราดูตัวเลขดัชนีผู้จัดการซื้อ หรือ Puchaser Manager Index (PMI) ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอพร้อมๆ กัน จากที่เดิมดัชนีเคยเกิน 50 หมดคือทุกประเทศโตพร้อมกัน ตอนนี้ทุกประเทศลงมาใกล้ๆ ปริ่มๆ เติบโตช้า
“อาจจะเหลือสหรัฐอเมริกาที่เดียวที่วันนี้เศรษฐกิจยังเติบโตพีคอยู่ แต่ว่าตอนนี้คนเริ่มพูดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอเหมือนกัน วันนี้อาจจะยังเห็นอัตราว่างงานของสหรัฐอเมริกาอยู่ 3.7-3.8% ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 1949 ต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่ก็เห็นสัญญาณว่ามันเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวเป็นระยะเวลานานจนอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้องปรับตัวสูงขึ้น อาจจะเห็นผลกระทบตลาดบ้าน ราคาบ้านชะลอลง ดังนั้น เศรษฐกิจมันเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว”
อันนี้คือเรื่องแรก ภาพที่เห็นข้างนอกอาจจะไม่ได้สวยหรูแบบเมื่อปลายปีที่แล้วหรือต้นปี 2561 พอเราเริ่มเข้าสู่ปี 2562 เราจะเข้าไปด้วยบรรยากาศของการชะลอตัวลง หลายคนตั้งคำถามไปถึงว่าจะมีการถดถอยทางเศรษฐกิจอีกหรือไม่ หลายคนเริ่มมองว่าในปี 2563 อาจจะมีโอกาสเกิดอีก เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มมองข้ามไปแล้ว มองข้ามปี 2563 ไปแล้ว เพราะในการคาดการณ์ส่วนใหญ่มองว่าปีหน้าอาจจะชะลอตัวแต่ยังไม่ถึงกับถดถอย แต่จะมีหรือไม่ก็ต้องรอดูต่อไป
ประเด็นที่สอง คือ เราเริ่มเห็นอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งมันแปลกดีเหมือนกันว่าทำไม่เรามาเจอดอกเบี้ยขาขึ้นในบรรยากาศที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่เริ่มชะลอตัวลง อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังดีอยู่มาก อัตราการว่างงานยังต่ำ เงินเฟ้อเริ่มไต่ขึ้นมา เขาต้องอาศัยโอกาสที่จะเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับไปภาวะปกติ แต่ปัญหาคือว่าคำว่า “ปกติ” ของเขามันหมายถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกค่อนข้างมากในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรากำลังพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ระหว่าง 3-5 ครั้ง คือจะขึ้นอีก 0.75-1.25% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเขาอยู่ที่ 2% กว่าๆ แปลว่าอีก 12 เดือนข้างหน้าถ้าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และระบบธนาคารสหรัฐฯ หรือเฟด คาดการณ์ เราจะเห็นดอกเบี้ยระยะสั้นในสกุลดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ 3% มากกว่า 2% ตอนนี้
แล้วมันเป็นปัญหาอะไร อย่างแรก มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่พึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มตึงขึ้นในแง่ของสภาพคล่อง และใครที่กู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมากๆ ต้นทุนการกู้ยืมจะแพงขึ้น เราจะเริ่มเห็นอาการออกว่าความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนเริ่มเป็นประเด็นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลายเป็นความเสี่ยงที่ประเทศหลายประเทศเริ่มกังวล ถ้าเราลองเริ่มนึกภาพดูว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดขึ้นไป 3% กว่า ความน่าสนใจของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็จะมากขึ้น สมัยก่อนที่ทำคิวอีกันมากๆ สภาพคล่องหลายส่วนมันไหลมาที่ประเทศเกิดใหม่ทั้งหลาย วันนี้คำถามคือมันจะไหลกลับหรือไม่ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั้งในแง่ของค่าเงิน สภาพคล่อง ปริมาณเงินที่ไหลอยู่ในระบบ และต้นทุนทางการเงิน
แต่ว่าอาจจะมีหลายประเทศ เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น ที่ยังคงทำคิวอีอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเหลือ 2 ประเทศที่ทำอยู่ 2 ประเทศนี้ก็ทำมานานมากแล้ว สหรัฐอเมริกาจะเลิกทำแล้ว เปลี่ยนจากคิวอี หรือ quantitative easing เป็น quantitative tightening แล้ว คือเริ่มลดงบดุลของเฟด แต่ยุโรปยังคงทำและอาจจะต้องทำต่อไปอีกสักพัก ซึ่งก็มีปัญหาอีกว่าเขาก็ไม่สามารถทำไปได้ตลอดเวลา เขาเริ่มประกาศแล้วว่าปลายปีนี้คงต้องเลิก อันนี้คนก็มองข้ามไปว่าดอกเบี้ยจะขึ้นด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สาม คือ เรื่องสงครามการค้าที่จะมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก หลายคนถามว่าตกลงสหรัฐอเมริกาคุยกับจีนรู้เรื่องหรือไม่ วันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ควรจะติดตามการประชุมที่เรียกว่าคนติดตามมากที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง คือการประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ประเทศ หรือประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา ที่ผมว่าปกติคนไม่ค่อยดูเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จะมีคนมาขโมยซีนคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเจอกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่เป็นมวยรุ่นใหญ่ คนก็คงเลิกดูการประชุมทั่วไป คงมาจับตาดูนัดนี้แทน
ปัญหามันคือว่ามันมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากว่าทรัมป์จะทำอะไร? ถ้าเราฟังสิ่งที่พูดที่ทำที่อยากจะทำ แล้วถ้าฟังดูเจ้าหน้าที่ของเขาแต่ละคน ภาพมันไม่ค่อยชัดเจนเลย ถ้ายังจำได้ Steven Mnuchin รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปตกลงกับจีนแล้วรอบหนึ่ง แต่พอกลับมาสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยกเลิกหมดเลยบอกว่าที่ตกลงไปล้อเล่น ทำเอาจีนโกรธมาก วันนี้ก็ยังนั่งคุยกันอยู่
แล้วการที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จริงๆแล้วมันเป็นยุทธศาสตร์หรือคุยกันใน 3 เรื่องใหญ่ อันแรกมันคือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพราะการขึ้นภาษีทำให้ของที่ผลิตในอีกประเทศหนึ่งและนำเข้ากลับมาในประเทศแพงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของการผลิตในประเทศนั้นคือจีนน้อยลง โดยจุดมุ่งหมายเขาคือว่าใครก็ตามที่ผลิตอะไรก็ตามอยู่ในจีนต้องย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐอเมริกา เพื่อ Make America Great Again อันนี้เป็นประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจ ถ้าเราดูสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนปีละ 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกานำเข้าจากจีนปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนนำเข้าเพียงแค่ 100,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง ดังนั้น สหรัฐอเมริกามองว่าการขาดดุลการค้ามากๆ เป็นประเด็นว่าเขาเสียหายทางเศรษฐกิจ
แต่ปัญหาคือว่า การแก้ปัญหาขาดดุลการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีมันก็เป็นการยิงตัวเองด้วยเหมือนกัน ลองนึกดูว่าไอโฟนตอนนี้ออกแบบในแคลิฟอร์เนียก็จริง แต่มันไปประกอบในจีนหมดเลย ถ้าไอโฟนโดนภาษี ใครจะซวยก็คือคนที่ซื้อ ดังนั้นกลายเป็นว่าต้นทุนในการซื้อของของผู้บริโภคหรือแม้แต่การผลิตอื่นๆ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยปริยาย ในแง่ของเศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่ใครจะทำสงครามการค้ากัน
อันที่ 2 มันมีแง่มุมอื่นอย่างปัญหาการเมืองที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งมา ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาชูปัญหาตรงนี้ แล้วยิ่งด่าจีนเท่าไหร่ความนิยมมันก็ขึ้นเท่านั้น แต่คนลืมไปว่ามันมีต้นทุนเกิดขึ้น คือความจริงที่ว่าเขาต้องจ่ายเงินมากขึ้น ความจริงว่าความสามารถในการแข่งขันจะน้อยลง หลายที่เริ่มบอกว่าถ้าจะทะเลาะกันนานๆ เขาจะเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะถ้าเขาจะเอาไปขายที่อื่น ตลาดจีนก็ไม่ได้เล็ก
นี่เป็นเรื่องกลยุทธ์ระยะยาว เพราะแน่ๆ เลยที่สหรัฐอเมริกาคงทนไม่ได้ที่จะเห็นจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 และก้าวข้ามสหรัฐอเมริกาในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยประชาชนพันล้านคน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ 300-400 ล้านคน ดังนั้น ถ้าจีนเติบโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ รับรองแซงแน่ๆ วันนี้สิ่งที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่าจีนเอาเปรียบมากที่สุดคือเรื่องของเทคโนโลยี เพราะลองนึกภาพว่าไอโฟนใช้กัน 20,000 บาท 40,000 บาท จีนมาแป๊บเดียว เสี่ยวมี่ หัวเว่ย เครื่องละ 4,000 บาท ทำได้เหมือนกันเกือบทุกอย่างเลย เพราะว่าต้นทุนการลอกและพัฒนาถูกกว่าวิจัยและพัฒนามหาศาล สหรัฐอเมริกาก็มองว่าไม่ยุติธรรมและต้องการให้การค้ายุติธรรมมากขึ้น จีนก็ออกนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก
ประเด็นที่เป็นปัญหาทุกวันนี้และอาจจะเกิดขึ้นไปข้างหน้าด้วยคือความตึงเครียดที่จะเปลี่ยนจากสงครามการค้าเป็นสงครามเย็น คือไม่ได้รบกันซะทีเดียวแต่มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นปัญหาอันสุดท้ายที่ทำให้โครงสร้างห่วงโซ่การผลิตของทั้งโลกอาจจะถูกปั่นป่วนไปได้ วันนี้ทุกคนตั้งโรงงานในจีนแล้วส่งออกไปสหรัฐอเมริกา วันนี้ต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไรกับโรงงานดี จะส่งกลับมาก็ไม่ได้ถ้าโดนภาษี แต่จะย้ายโรงงานก็ไม่รู้ ถ้าเกิดวันเสาร์นี้คุยกันรู้เรื่อง ยกเลิกหมด แล้วจะย้ายไปทำไม
วันนี้คำว่าความไม่แน่นอนทำให้การตัดสินใจต่างๆ มันคิดลำบาก มันก็กระทบกันหมดเป็นลูกโซ่ และหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ค่อนข้างสำคัญกับเศรษฐกิจโลก แล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น มูลค่าการค้าหายไป ยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกวางแผนได้ยากขึ้น การเติบโตต่างๆ คนก็คาดการณ์ได้ยากลำบากมากขึ้น เหล่านี้เป็น 3 ประเด็นข้างนอกประเทศที่ต้องจับตาดู นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่เราต้องติดตามกันตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเกาหลีเหนือจะเลิกทำนิวเคลียร์หรือไม่ ปีหน้ากลับมาอีกหรือไม่ หรือทางซาอุดีอาระเบียจะทำอะไรกับเรื่องราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อาจจะมีเรื่องการเมืองอย่างการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ก็อาจจะมีผลกระทบได้ค่อนข้างมาก
เศรษฐกิจไทย 2562 ชะลอกลับสู่ศักยภาพ 3%
กลับมาดูเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไร เรามองว่าหลังจากครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 4.8% แล้วในไตรมาสแรกที่โตไป 4.9% เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีหลังจากติดหล่มทางเศรษฐกิจมา ไตรมาส 3 ของปี 2561 เหลือ 3.3% ทำให้ 9 เดือนแรกเติบโตได้ 4.3% ทั้งปีที่เหลือก็มองว่าจะเติบโตได้ 4% ต้นๆ แต่เราเชื่อว่าโมเมนตัมกำลังจะบอกเราว่าเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะเติบโตช้าลง แต่อาจจะยังไม่ใช่การถดถอยทางเศรษฐกิจขนาดนั้น
ทำไมเราคิดว่ามันจะเติบโตช้าลง เพราะว่าเครื่องยนต์ในการเติบโต หรืออะไรที่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปีนี้มันเริ่มหายไป ต้นปีเรามีคำใหญ่ที่ใช้คือแข็งนอกอ่อนใน คือการเติบโตมาจากภายนอกหมดเลย ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่ภายในยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนต้นปีก็มีคำว่าแข็งบนอ่อนล่าง คือเราเริ่มเห็นการฟื้นตัว แต่ฟื้นตัวของคนกลุ่มบนเป็นการบริโภคสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ส่วนการบริโภคสินค้าไม่คงทน อาหารเครื่องดื่มทั่วไปไม่ค่อยเติบโต ติดลบอีกต่างหาก บ่งบองปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อาจจะมีอยู่ เรายังเห็นประเด็นพวกราคาสินค้าเกษตร การบริโภคของต่างจังหวัด ที่บอกว่าเคยดีกว่านี้ มันดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น
พอมาดูไตรมาส 3 เราก็เห็นว่า ที่พูดมาทั้งหมด เครื่องยนต์การเติบโตอย่างการส่งออกและท่องเที่ยวแค่ชะลอและติดลบไปแค่เดือนกันยายนเดือนเดียว เราเห็นจีดีพีชะลอลงมาเร็วมาก ปัญหาคือว่า contribution to growth หรือสิ่งที่การส่งออกและท่องเที่ยวดันจีดีพีให้เติบโตมันเป็นสัดส่วนค่อนข้างใหญ่ ลองนึกภาพของการท่องเที่ยววันนี้คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีทั้งหมด ที่ผ่านมาเติบโต 10% ถ้าคูณเอาง่ายๆ คือว่าถ้าการท่องเที่ยวไม่เติบโตเลย จีดีพีจะหายไปประมาณ 1% กว่าๆ นั่นคือสิ่งเราเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3 เลย คือการท่องเที่ยวหยุดเติบโตแล้วจีดีพีจากที่เคยเติบโต 4% กว่ามาเหลือ 3% กว่า
การส่งออกเหมือนกัน คิดเป็นประมาณ 70% ของจีดีพี ถ้าหักการนำเข้าไปสักครึ่งหนึ่งแสดงกว่ามีความสำคัญ 20-30% ของจีดีพี แล้วเติบโตปีที่แล้วประมาณ 8-9% แต่ปีหน้าด้วยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เราเชื่อว่าคงไม่ได้เห็น 8-10% อย่างที่เคยเห็น อาจจะลดลงมา 5-6% แต่สังเกตว่าเครื่องยนต์ต่างๆ มันเติบโตช้าลง ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวและการส่งออกมีความสำคัญค่อนข้างมาก
คำถามที่จะเป็นภาระของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือว่าใครจะมาเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากขึ้นอย่างที่เห็นในปีนี้ คำตอบตอนนี้ก็ยังหาไม่ค่อยเจอ อย่างการบริโภคภายในประเทศ ตอนนี้เติบโตจาก 3% กว่าเป็น 5% ในไตรมาสล่าสุด แต่ถ้าดูไส้ใน 1% กว่าของการบริโภคมาจากการขายรถยนต์อย่างเดียว ไตรมาสที่สามเติบโตไป 18% เทียบกับปีก่อนหน้า ไม่รู้ว่าใครซื้อไปเหมือนกันนะ แต่ว่าเติบโตไปขนาดนั้น เราก็เห็นเป็นวัฏจักรที่ค่อนข้างยาวนาน เพราะมันติดลบมาตลอดหลายปี เพิ่งจะมาฟื้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วฟื้นค่อนข้างเร็ว แต่อาจจะมีประเด็นว่ายอดขายลงบัญชีไปแล้วมันถึงมือคนซื้อหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูต่อไป ปัญหาคือเราก็ไม่เชื่อว่ายอดขายรถยนต์มันจะเติบโตได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เครื่องยนต์นี้ก็อาจจะอ่อนตัวลงไปอีกเหมือนกัน
มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองว่าจีดีพี 4% ในปีนี้จะลดลงเหลือ 3% ปลายๆ ในปีหน้า ซึ่งเข้าใกล้กับสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ไม่น่าจะใช่ 4% อีกแล้ว เราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการอ่อนตัวลงไปแบบนั้น ภาพรวมอาจจะไม่ได้แย่มาก แต่คงแย่กว่าปีนี้ หลายคนก็บอกว่าปีนี้ดีแล้วหรือ เศรษฐกิจยังไม่ดีเลยปีนี้
ติดตามความเสี่ยง-โอกาสในปีหน้า
ถามว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไร ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูมากเลยคือเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่แย่ต่อเนื่อง แม้ว่าเราเห็นรายได้เกษตรกรเป็นบวก แต่เป็นเพราะปริมาณการผลิตมันเพิ่ม แต่ราคามันลดลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน เราก็เห็นคนออกมาบ่นมากขึ้น ราคายางพารา ราคามันสำปะหลัง ราคาอ้อย ทำให้การบริโภคต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้หวือหวามาก และอาจจะทำให้ฐานการบริโภคของไทยไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เพราะว่าการกระจุกตัวของการฟื้นตัวมันอยู่แค่บางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง ที่เป็นความเสี่ยงของไทยคือเศรษฐกิจภายนอก ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอมากกว่าที่คิด ถ้าเกิดส่งออกแย่กว่าที่คาด ถ้านักท่องเที่ยวไม่มา แล้วสิ่งที่ต้องติดตามมากๆ คือจีน ถ้าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลไป ท่องเที่ยวที่เราเห็นอาจจะแย่ไปมากกว่านี้หรือไม่ หรือมีปัญหาอะไรต้องลดค่าเงินหยวน ค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเขามีปัญหามากๆ จนเริ่มแตะเบรกไม่ให้คนออกมาท่องเที่ยว เพราะวันนี้เงินที่ไหลออกของจีนก้อนใหญ่สุดอันหนึ่งคือเอามาท่องเที่ยว ถ้าเกิดเขาเริ่มหยุดตรงนั้นก็อาจจะมากระทบเราเหมือนกัน
ประเด็นที่สาม คือ การเมืองของไทย ว่าจะเปลี่ยนผ่านได้สงบเรียบร้อยหรือไม่ ความมั่นใจเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุนของเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นได้หรือไม่
ส่วนปัจจัยด้านบวกของไทยคืออะไร เราอาจจะพูดถึงการลงทุนว่ามาแน่ๆ การเลือกตั้งจะมาแล้ว อีอีซี จะเดินหน้าแล้ว แต่ต้องระวังว่าการลงทุนอย่างอีอีซีอาจจะยังไม่เห็นเม็ดเงินจนกระทั้ง 1-2 ปีข้างหน้า กว่าจะเริ่มประมูลได้ เริ่มทำอะไรได้ การลงทุนตอกเข็มจริงๆ เงินที่ลงทุนกว่าจะเข้าเศรษฐกิจอาจจะอีกนาน วันนี้ก็มีคนถามว่าเวลามีสงครามการค้ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเราอาจจะไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่ถูกปั่นป่วน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า trade diversion คือการที่เขาไม่ค้าขายกันก็หันมาค้าขายกับเราแทนก็ได้ และมันก็มีผลกระทบทางลบที่ไทยอาจจะถูกทุ่มตลาดด้วยราคาลงมา เพราะเขาขายกันไม่ได้ก็เอาสินค้ามาระบายที่ไทย
อีกอันที่คนตั้งหน้าตั้งตารอคือการจัดสรรทรัพยากรหรือการตั้งโรงงานใหม่ คือถามว่าถ้าสหรัฐอเมริกาไม่นำเข้าสินค้าจีน นักลงทุนไต้หวัน สหรัฐอเมริกา หรือจีนเองที่มีโรงงานในจีนแล้วส่งไปขาย มีสิทธิหรือไม่จะย้ายมาที่อาเซียนมาไทยที่ต้นทุนการผลิตถูกกว่าและอาจจะไม่โดนภาษีจากสหรัฐอเมริกา เราก็รอดูตัวเลขอยู่ แต่พอความไม่แน่นอนมันสูง คนก็ไม่กล้าตัดสินใจ คนที่ย้ายอาจจะเป็นกลุ่มที่มีโรงงานอยู่แล้วทั้ง 2 ที่แล้วย้ายการผลิตหรือเพิ่มประเภทการผลิตเข้ามา แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวเลขชัดเจน ซึ่งมันอาจจะเป็นโอกาสได้ถ้าเรามีความน่าสนใจจริงๆ แต่คนก็เริ่มบอกอีกว่าเวียดนามจะน่าสนใจมากกว่าหรือไม่ หรือไทยจะสามารถจะไปผลิตทดแทนจีนได้หรือไม่
คาด กนง. ฉวยโอกาสเศรษฐกิจยังดีขึ้นดอกเบี้ย
ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยว่าเป็นเรื่องน่าสนใจว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทำอย่างไร เพราะสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะขึ้นอีก 3-5 ครั้ง แต่เมืองไทยเราเชื่อว่าด้วยการเติบโตที่อาจจะไม่ได้ดีมาก อ่อนตัวลงมา เงินเฟ้อที่แทบจะไม่ได้มี ตอนนี้อยู่ที่ 1% เท่านั้น เราก็เชื่อว่าโอกาสที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอาจจะมีไม่มาก ถ้าอ่านรายงานการประชุมจะเห็นว่าความเสี่ยงมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลออกมาคงดอกเบี้ย 4 ต่อ 3 ก็อาจจะงงๆ ว่าจะขึ้นหรือไม่
แต่เรื่องหนึ่งคือ กนง. กังวลเรื่องของเสถียรภาพการเงินค่อนข้างมาก แสดงความกังวลมาตลอด เราจึงเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่การเติบโตของเศรษฐกิจยังพอไปได้ คือดีกว่าสิ่งที่ กนง. เชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทย คืออยู่แถวๆ 3.5-4% ไม่ได้แย่มาก กนง. ก็น่าจะอยากขึ้นดอกเบี้ย เราเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างมากที่การประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมจะขึ้นดอกเบี้ยและในปีหน้าอาจจะมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะมีส่วนต่างดอกเบี้ยค่อนข้างมาก และมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายได้มาก
วัตถุดิบ” ใหม่
ดร.พิพัฒน์กล่าวถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องประเทศไทยจะไปทางไหนว่ามีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก คือ ภาวะประชากรที่จะลดลงในอนาคต ดังนั้นการเติบโตของทั้งประเทศก็เติบโตไม่ได้ ถ้าเรามองประเทศเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใส่วัตถุดิบเข้าไปคือแรงงานกับทุน เครื่องจักรนี้จะมีวัตถุดิบน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจากวันนี้ประชากรวัยทำงานเราจะลดลง ไม่ใช่เติบโตช้าด้วย ดังนั้น ถ้าเราทำงานไปแบบเดิม ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แบบเดิม การเติบโตก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นว่าเราเคยเติบโตจาก 7% มาเหลือ 5% มาเหลือ 3% ส่วนหนึ่งเพราะวัตถุดิบที่ใส่ไปน้อยลง แล้วที่ใส่ลงไปก็มีปัญหาด้านคุณภาพอีก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ ก็ต้องลดบทบาทของรัฐ และทำให้การใช้ทรัพยากรมีคุณค่ามีประโยชน์มากขึ้น
ประเด็นที่สองที่เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทย คือ เรื่องเทคโนโลยี เรากำลังเข้าสู่บรรยากาศที่เศรษฐกิจทั่วโลกพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบธุรกิจและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่คำถามคือเรามีทรัพยากร เรามีความพร้อมในแง่ของสถาบัน ในแง่ของคุณภาพของคน เพียงพอหรือไม่ ก็ต้องทิ้งเอาไว้เป็นประเด็นที่บอกว่าเป็นความท้าทายที่หนักอยู่ในประเทศไทย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 152
คุณ อดิเทพ พูดในงานThe Roadahead by Aberdeen Standard
ตลาดหุ้นปีนี้ท้าทายมาก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่
ทรัมป์ใช้นโยบาย Amarica First แต่ทำไม่ได้ง่ายนัก
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบเล็กน้อย ดีกว่าเพื่อนบ้านเยอะ
หลักๆคือ Foreign Net sell แต่สถาบัน และ รายย่อยรับ
ต่างชาติขาย มาจากการขายเมืองไทยจากport Emerging market
ข่าวดี อาจกำลังเปลี่ยนแปลง ประธานFED บอกว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดที่พอใจแล้ว
ทำให้หุ้นUSขึ้น 600กว่าจุด ช่วงระยะสั้นจนถึงสิ้นปี สินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมา
ในแง่valuation ไทยอยู่กลางๆ เพื่อนบ้านที่แพงกว่า คือประเทศที่มีGDP growthสูง
เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ถ้าดู Div yield ก็สูง
ไทย มี Household debtสูง ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเยอะคนที่กู้จะโดนกระทบมากสรุป การส่งออก ท่องเที่ยว ใช้จ่ายภาครัฐช่วยได้เยอะ
แต่การบริโภคในประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไม่ค่อยดี
คนรายได้น้อยโดยเฉพาะภาคใต้ ราคายางไม่ค่อยดี ,ข้าวราคาไม่ค่อยดี
ทรัมป์ America first ทำเหมือน เดจาวู เข้ามาก็ลดภาษี
Corporate Tax เหลือ 20% ช่วยตลาดหุ้น ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มทันที
แต่ปีหน้าไม่มีแล้ว ต้องทำวิธีการอย่างอื่น
ส่วน EM ดีกว่าคนอื่น เช่น ประเทศไทยมีดีในเรื่อง
1. Current account ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกสะสมมาตลอด
2. Inflation เงินเฟ้อต่ำ (ตอนนี้ประมาณ 1.23%)
3. หนี้สกุลต่างประเทศไม่เยอะ
4. เงินบาทค่อนข้างแข็ง มาจากเหตุผลข้อ1
5. ปีนี้ทางอเบอร์ดีนไม่มีการลงทุนในหุ้นนางฟ้าที่หล่นมาจากสวรรค์ (Fallen Angel)
ปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไปต่อได้ 3.75-4.25%
ผมมองเลือกตั้งเป็นเรื่องบวก ไม่เชื่อว่าจะกลับมาเกิดประท้วงหรือไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง
นโยบายการลงทุน ต้องต่อเนื่อง เหตุผลคือ ส่วนนึงของรัฐบาลจะไปเป็นวุฒิสภาชิก
เวลาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ต้องผ่านวุฒิสมาชิก
ส่วนการลงทุน ดอกเบี้ยคาดว่าขึ้นครั้งเดียวในปีนี้ช่วงเดือน ธค
1ม.ค.2019 ภาษีที่อเมริกาจะคิดกับจีนขึ้นอีก 10% ถ้าไม่ได้ตามที่เจรจาในสัปดาห์นี้
การลงทุนสาธารณูปโภคที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าที่เป็นนโยบายทรัมป์
ราคาน้ำมันผันผวน ขึ้นและลงมามาก ต้องขอบคุณทรัมป์
เหตุผลที่ราคาน้ำมันขึ้น เพราะสหรัฐแซงชั่นอิหร่าน แต่ต่อมายอมให้ขายใน8 ประเทศ
ทำให้ราคาน้ำมันลงมา
ส่วนน้ำมันถ้าราคาขึ้นจะไม่ดีสำหรับ ไทย อินเดีย ที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
Brexit วุ่นวายมาก มีรายละเอียดเยอะ ไม่ดีสำหรับอังกฤษและEU
จีนและตลาดเกิดใหม่ ดัชนีหุ้นจีนลง20-30% ทำให้ EM market ลงด้วย
จีนไม่ค่อยโปร่งใส ในเรื่องตัวเลขและข้อมูล หนี้ในประเทศ และ property
แต่ประเทศเป็นเศรษฐกิจแบบปิด เราพยายามลงทุนอย่างระมัดระวัง
ตลาดหุ้นปีนี้ท้าทายมาก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่
ทรัมป์ใช้นโยบาย Amarica First แต่ทำไม่ได้ง่ายนัก
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบเล็กน้อย ดีกว่าเพื่อนบ้านเยอะ
หลักๆคือ Foreign Net sell แต่สถาบัน และ รายย่อยรับ
ต่างชาติขาย มาจากการขายเมืองไทยจากport Emerging market
ข่าวดี อาจกำลังเปลี่ยนแปลง ประธานFED บอกว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดที่พอใจแล้ว
ทำให้หุ้นUSขึ้น 600กว่าจุด ช่วงระยะสั้นจนถึงสิ้นปี สินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมา
ในแง่valuation ไทยอยู่กลางๆ เพื่อนบ้านที่แพงกว่า คือประเทศที่มีGDP growthสูง
เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ถ้าดู Div yield ก็สูง
ไทย มี Household debtสูง ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเยอะคนที่กู้จะโดนกระทบมากสรุป การส่งออก ท่องเที่ยว ใช้จ่ายภาครัฐช่วยได้เยอะ
แต่การบริโภคในประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไม่ค่อยดี
คนรายได้น้อยโดยเฉพาะภาคใต้ ราคายางไม่ค่อยดี ,ข้าวราคาไม่ค่อยดี
ทรัมป์ America first ทำเหมือน เดจาวู เข้ามาก็ลดภาษี
Corporate Tax เหลือ 20% ช่วยตลาดหุ้น ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มทันที
แต่ปีหน้าไม่มีแล้ว ต้องทำวิธีการอย่างอื่น
ส่วน EM ดีกว่าคนอื่น เช่น ประเทศไทยมีดีในเรื่อง
1. Current account ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกสะสมมาตลอด
2. Inflation เงินเฟ้อต่ำ (ตอนนี้ประมาณ 1.23%)
3. หนี้สกุลต่างประเทศไม่เยอะ
4. เงินบาทค่อนข้างแข็ง มาจากเหตุผลข้อ1
5. ปีนี้ทางอเบอร์ดีนไม่มีการลงทุนในหุ้นนางฟ้าที่หล่นมาจากสวรรค์ (Fallen Angel)
ปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไปต่อได้ 3.75-4.25%
ผมมองเลือกตั้งเป็นเรื่องบวก ไม่เชื่อว่าจะกลับมาเกิดประท้วงหรือไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง
นโยบายการลงทุน ต้องต่อเนื่อง เหตุผลคือ ส่วนนึงของรัฐบาลจะไปเป็นวุฒิสภาชิก
เวลาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ต้องผ่านวุฒิสมาชิก
ส่วนการลงทุน ดอกเบี้ยคาดว่าขึ้นครั้งเดียวในปีนี้ช่วงเดือน ธค
1ม.ค.2019 ภาษีที่อเมริกาจะคิดกับจีนขึ้นอีก 10% ถ้าไม่ได้ตามที่เจรจาในสัปดาห์นี้
การลงทุนสาธารณูปโภคที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าที่เป็นนโยบายทรัมป์
ราคาน้ำมันผันผวน ขึ้นและลงมามาก ต้องขอบคุณทรัมป์
เหตุผลที่ราคาน้ำมันขึ้น เพราะสหรัฐแซงชั่นอิหร่าน แต่ต่อมายอมให้ขายใน8 ประเทศ
ทำให้ราคาน้ำมันลงมา
ส่วนน้ำมันถ้าราคาขึ้นจะไม่ดีสำหรับ ไทย อินเดีย ที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
Brexit วุ่นวายมาก มีรายละเอียดเยอะ ไม่ดีสำหรับอังกฤษและEU
จีนและตลาดเกิดใหม่ ดัชนีหุ้นจีนลง20-30% ทำให้ EM market ลงด้วย
จีนไม่ค่อยโปร่งใส ในเรื่องตัวเลขและข้อมูล หนี้ในประเทศ และ property
แต่ประเทศเป็นเศรษฐกิจแบบปิด เราพยายามลงทุนอย่างระมัดระวัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 153
กลยุทธ์การลงทุนในDividend Play
ดร นิเวศน์ พูดถึงการลงทุนในช่วงที่การเมืองไม่ชัดเจน ว่า การลงทุนแบบวีไอ หรือ ลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า
ไม่ค่อยมีผลกระทบจากการเมืองเพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว การเมืองจะกระทบกับชีวิตประจำวันมากกว่า
ทุกวันนี้มีคนพยายามหาว่าวิธีไหนที่ลงทุนดีที่สุด โดยเฉพาะกับคนธรรมดา
ดร เล่าต่อว่า มีคนไปถามนักลงทุนที่มีชื่อเสียงคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าการลงทุนอะไรดีที่สุด
บัฟเฟตต์ตอบว่า เคล็ดลับของการลงทุนคือไม่มีเคล็ดลับ
และบอกอีกว่า นักลงทุนแค่ทำสามเรื่องได้แก่
1.ลงทุนแบบ Value Investing ดูคุณสมบัติของหุ้นให้ครบถ้วน มีคุณค่าน่าลงทุนถึงจะซื้อ
2.ต้องคิดทำอะไรช้าๆ อย่าหวังรวยเร็ว
3.คิดถึงเรื่องปันผล
ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ เพราะหวังรวยเร็ว ชอบหุ้นที่มีลักษณะขึ้น ลงเร็ว
ปันผลคือพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น กำไรหรือจะสู้ปันผลได้ (กำไรอาจเป็นเพียงตัวเลข แต่ปันผลได้
แสดงว่าธุรกิจได้รับเงินสดเข้ามาจึงสามารถปันผลได้)
ดร ลงทุนมากว่า 20ปี ซึ่งเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านปี ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
ส่วนใหญ่ที่หุ้นที่เลือกราคาถูกมาก ทำให้ได้ปันผลปีแรก 10% คือ 1 ล้านบาท 50%ก็มาใช้จ่ายค่าเทอมของลูกที่เรียนInter ส่วนที่เหลือก็นำมาใช้จ่าย ซึ่งพอกับค่าใช้จ่ายในหนึ่งปี
บริษัทที่ลงทุนช่วงนั้น ได้แก่บริษัทที่ผลิตและขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งขายดีในช่วงต้มยำกุ้ง คู่แข่งสู้ไม่ได้
หลักในการดูหุ้น
1.รายได้ ตรวจสอบรายได้ย้อนหลัง พบว่า รายได้มีแต่เพิ่มขึ้นตลอด ถึงแม้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม
ก็สามารถขึ้นราคาได้ เป็นข้อดีของบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำ
2.รายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มขึ้น และ ธุรกิจไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว
ปันผลก็เพิ่มทุกปี 20ปีผ่านไป ถ้ามีขายหุ้นก็นำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น เงินลงทุนทั้งหมดอยู่ในหุ้น
ล่าสุดปันผลปีนึงเกิน 100ล้านบาท
ลงทุนช่วงแรกอย่าคิดถึงกำไร และ อย่าถอนออกมาใช้จ่าย ให้ไปใช้เงินตอนหลังเกษียณ
ยิ่งถ้าหาเงินได้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินลงทุนส่วนนี้
มีความสุขกับการที่เงินเติบโต
ส่วนเงินลงทุนระยะยาวในกองทุนรวม ดร นิเวศน์ ก็ลงในLTF,RMF ไม่ต่ำกว่า 15ปีตั้งแต่เริ่มแรก
โดยลงเต็มสิทธิ 15%ของรายได้ ตอนนี้ก็มีเงิน 10กว่าล้านบาท ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การลงทุนระยะยาว
ในกองทุนรวมก็สามารถเกษียณได้ด้วย LTF,RMF
ส่วนกองทุนหุ้น SETHD นั้นก็น่าสนใจ เพราะหุ้นในSETHDส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปันผลได้ติดต่อกัน
อย่างน้อย 5 ปี และ กำไรโตอย่างสม่ำเสมอ ปันผลอย่างต่ำ 3-5% ดีกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทในSETHD
ลงทุนระยะสั้น 2-3ปี น่าจะoutperform แค่ปันผลก็คุ้มแล้ว
หลักการลงทุนคือ ขอให้ไม่ขาดทุน เหมือนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูด
และ กำไรก็จะมาเองโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง
ดร บอกว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ
1.นักเก็งกำไร และ รายย่อย ซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่ง 10ปีที่ผ่านมาโตอย่างรวดเร็ว
และPEค่อนข้างสูง เพราะคนคาดหวังว่ากลุ่มนี้จะเติบโต ปรากฏว่าปีที่แล้ว พบว่าไม่เติบโตอย่างที่หวัง
ราคาจึงปรับลงมาจาก PE 100 เป็น 50 เท่า โดยราคาลงมาถึง 50% ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้ยังไม่น่าสนใจ
เพราะPEยังแพงอยู่ถึงแม้ราคาลงมาเยอะ ให้รอไปก่อน ยังไม่ใช่ช่วงที่น่าลงทุน
2.กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ และ สถาบันในประเทศ ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งoperationดีมาตลอด
กำไรก็เติบโตมาเรื่อยๆอย่างช้าๆ ปันผล 4-6% ดูน่าสนใจ แถมบริษัทยังมั่นคงด้วย
ปีที่แล้วราคาหุ้นขนาดใหญ่ลงมา ดูน่าซื้อไปหมด โดยเฉพาะSETHD ตลาดลงมา 10% แต่กลุ่มนี้รวมปันผล4-5% ปรากฏว่าลงแค่ 1-2% PE ก็ต่ำเกือบสุดด้วย ความแข็งแรงของธุรกิจก็ดี โอกาสถูกdisruptก็ยาก เช่น กลุ่มธนาคาร ก็เริ่มdisruptตัวเอง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่มีใครมาdisrupt
กลุ่มที่จะโดนdisruptส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง
สำหรับคนที่ไม่ชำนาญในการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ก็สามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในSETHD
ได้ ก็สามารถที่จะเกษียณได้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
นักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 70% ลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบIndex Fund
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ วรรณ ที่จัดงานสัมมนาครับ
ดร นิเวศน์ พูดถึงการลงทุนในช่วงที่การเมืองไม่ชัดเจน ว่า การลงทุนแบบวีไอ หรือ ลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า
ไม่ค่อยมีผลกระทบจากการเมืองเพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว การเมืองจะกระทบกับชีวิตประจำวันมากกว่า
ทุกวันนี้มีคนพยายามหาว่าวิธีไหนที่ลงทุนดีที่สุด โดยเฉพาะกับคนธรรมดา
ดร เล่าต่อว่า มีคนไปถามนักลงทุนที่มีชื่อเสียงคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าการลงทุนอะไรดีที่สุด
บัฟเฟตต์ตอบว่า เคล็ดลับของการลงทุนคือไม่มีเคล็ดลับ
และบอกอีกว่า นักลงทุนแค่ทำสามเรื่องได้แก่
1.ลงทุนแบบ Value Investing ดูคุณสมบัติของหุ้นให้ครบถ้วน มีคุณค่าน่าลงทุนถึงจะซื้อ
2.ต้องคิดทำอะไรช้าๆ อย่าหวังรวยเร็ว
3.คิดถึงเรื่องปันผล
ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ เพราะหวังรวยเร็ว ชอบหุ้นที่มีลักษณะขึ้น ลงเร็ว
ปันผลคือพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น กำไรหรือจะสู้ปันผลได้ (กำไรอาจเป็นเพียงตัวเลข แต่ปันผลได้
แสดงว่าธุรกิจได้รับเงินสดเข้ามาจึงสามารถปันผลได้)
ดร ลงทุนมากว่า 20ปี ซึ่งเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านปี ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
ส่วนใหญ่ที่หุ้นที่เลือกราคาถูกมาก ทำให้ได้ปันผลปีแรก 10% คือ 1 ล้านบาท 50%ก็มาใช้จ่ายค่าเทอมของลูกที่เรียนInter ส่วนที่เหลือก็นำมาใช้จ่าย ซึ่งพอกับค่าใช้จ่ายในหนึ่งปี
บริษัทที่ลงทุนช่วงนั้น ได้แก่บริษัทที่ผลิตและขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งขายดีในช่วงต้มยำกุ้ง คู่แข่งสู้ไม่ได้
หลักในการดูหุ้น
1.รายได้ ตรวจสอบรายได้ย้อนหลัง พบว่า รายได้มีแต่เพิ่มขึ้นตลอด ถึงแม้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม
ก็สามารถขึ้นราคาได้ เป็นข้อดีของบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำ
2.รายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มขึ้น และ ธุรกิจไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว
ปันผลก็เพิ่มทุกปี 20ปีผ่านไป ถ้ามีขายหุ้นก็นำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น เงินลงทุนทั้งหมดอยู่ในหุ้น
ล่าสุดปันผลปีนึงเกิน 100ล้านบาท
ลงทุนช่วงแรกอย่าคิดถึงกำไร และ อย่าถอนออกมาใช้จ่าย ให้ไปใช้เงินตอนหลังเกษียณ
ยิ่งถ้าหาเงินได้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินลงทุนส่วนนี้
มีความสุขกับการที่เงินเติบโต
ส่วนเงินลงทุนระยะยาวในกองทุนรวม ดร นิเวศน์ ก็ลงในLTF,RMF ไม่ต่ำกว่า 15ปีตั้งแต่เริ่มแรก
โดยลงเต็มสิทธิ 15%ของรายได้ ตอนนี้ก็มีเงิน 10กว่าล้านบาท ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การลงทุนระยะยาว
ในกองทุนรวมก็สามารถเกษียณได้ด้วย LTF,RMF
ส่วนกองทุนหุ้น SETHD นั้นก็น่าสนใจ เพราะหุ้นในSETHDส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปันผลได้ติดต่อกัน
อย่างน้อย 5 ปี และ กำไรโตอย่างสม่ำเสมอ ปันผลอย่างต่ำ 3-5% ดีกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทในSETHD
ลงทุนระยะสั้น 2-3ปี น่าจะoutperform แค่ปันผลก็คุ้มแล้ว
หลักการลงทุนคือ ขอให้ไม่ขาดทุน เหมือนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูด
และ กำไรก็จะมาเองโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง
ดร บอกว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ
1.นักเก็งกำไร และ รายย่อย ซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่ง 10ปีที่ผ่านมาโตอย่างรวดเร็ว
และPEค่อนข้างสูง เพราะคนคาดหวังว่ากลุ่มนี้จะเติบโต ปรากฏว่าปีที่แล้ว พบว่าไม่เติบโตอย่างที่หวัง
ราคาจึงปรับลงมาจาก PE 100 เป็น 50 เท่า โดยราคาลงมาถึง 50% ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้ยังไม่น่าสนใจ
เพราะPEยังแพงอยู่ถึงแม้ราคาลงมาเยอะ ให้รอไปก่อน ยังไม่ใช่ช่วงที่น่าลงทุน
2.กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ และ สถาบันในประเทศ ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งoperationดีมาตลอด
กำไรก็เติบโตมาเรื่อยๆอย่างช้าๆ ปันผล 4-6% ดูน่าสนใจ แถมบริษัทยังมั่นคงด้วย
ปีที่แล้วราคาหุ้นขนาดใหญ่ลงมา ดูน่าซื้อไปหมด โดยเฉพาะSETHD ตลาดลงมา 10% แต่กลุ่มนี้รวมปันผล4-5% ปรากฏว่าลงแค่ 1-2% PE ก็ต่ำเกือบสุดด้วย ความแข็งแรงของธุรกิจก็ดี โอกาสถูกdisruptก็ยาก เช่น กลุ่มธนาคาร ก็เริ่มdisruptตัวเอง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่มีใครมาdisrupt
กลุ่มที่จะโดนdisruptส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง
สำหรับคนที่ไม่ชำนาญในการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ก็สามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในSETHD
ได้ ก็สามารถที่จะเกษียณได้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
นักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 70% ลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบIndex Fund
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ วรรณ ที่จัดงานสัมมนาครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 154
สรุปจากที่ได้ฟังมาในงาน Meeting : Intelligent Investor Club
ขอขอบคุณสำหรับสมาคมไทยวีไอที่จัดงานนี้ขึ้นเพื่อให้สมาชิกสมาคมที่โพสเยอะ รวมถึงทีมที่ชนะเลิศการ
เสนอผลงานหุ้นในงานอบรมหลักสูตรการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่14และ15 มาร่วมงาน
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับกรรมการ สมาชิกสมาคม และ ได้ฟังวิทยากรที่มีความรู้มาแชร์ประสบการณ์
ขอบคุณน้องอ๋องสำหรับสถานที่ในการจัดงาน คือ ร้าน Think Tank ตรงข้าม ม ราชมงคล เทคนิคกรุงเทพ
ก็เลยมาสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย
เริ่มในเนื้อหากันเลยครับ
สำหรับการเตรียมตัวก่อนลงทุนในหุ้นของนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ
1.สำหรับการลงทุนหุ้นในประเทศไทย นักลงทุนธรรมดาไม่สามารถไปรับรู้เรื่องinsideหรือยุ่งเกี่ยวกับเจ้ามือหุ้น
ดังนั้น วิธีที่จะค้นหาหุ้นที่ดีก็มาจากการดูผลประกอบการจากงบการเงิน ซึ่งจะให้ความสำคัญกว่าการวิเคราะห์ผู้บริหาร
เพราะ ข้อมูลจากงบการเงินตรงไปตรงมา ทำให้ไม่มีBiasในการลงทุน
ส่วนตัวของวิทยากร ไม่ได้จบทางด้านการเงิน หรือ เข้าคอร์ตเรียนวิชาบัญชีจากกูรูดังๆ แต่อาศัยการศึกษาด้วยตนเอง
จนมีวิธีการที่เป็นของตัวเองในการดูงบการเงิน
2.ศึกษาThemeในการลงทุนในแต่ละช่วง ตัวอย่างเช่น ช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลไม่ได้ลงทุน
ตอนนั้น เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการก่อหนี้ของครัวเรือน ทำให้สินเชื่อโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
การตามผลประกอบการของกลุ่มสินเชื่อ ถ้าเข้าใจศัพท์ทางการเงิน เช่น ค่าเผื่อสงสัยหนี้จะสูญ
Coverage ratio , NIM(Net Interes Margin), Spread จะเข้าใจงบการเงินของกลุ่มนี้ได้ดี
และ จะวิเคราะห์งบได้ง่ายกว่าหุ้นกลุ่มอื่น
3.เวลาศึกษาหุ้น ให้ศึกษาหลายบริษัทเปรียบเทียบกัน เช่น บริษัทในกลุ่มสินเชื่อ ซึ่งมีทั้ง
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน และ สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เราเห็นหลายๆแบบ
เวลาหุ้นมีการเคลื่อนไหว เราก็มีความมั่นใจและตัดสินใจtake actionได้
4.เลือกอาจารย์ที่เราจะทำตามให้ถูกตั้งแต่แรก ซึ่งในสมาคมไทยวีไอ ก็มีหลายท่านที่เป็นแบบอย่างที่ดี
เช่น อาจารย์นิเวศน์ คุณ โจ ลูกอีสาน คุณเวป พรชัย นายกสมาคม คุณชาย มโนภาส
รวมถึงปรมาจารย์ระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปิเตอร์ ลินด์
โดยเราไปศึกษาว่าเขาคิดอย่างไร ใช้ไอเดียของเรามาประกอบการวิเคราะห์อีกที
พระพุทธเจ้าก็เป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้เกิดไอเดีย เราต้องหาส่วนประกอบ ทิศทาง ของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม
ในอนาคตเป็นอย่างไร โดยเราต้องตัดอคติออก รวมถึงการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ จะช่วยในการตัดสินใจ
ถึงแม้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นไอเดียในการเลือกหุ้นแบบนึง
5.เราต้องรู้ข้อมูลของแต่ละบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ว่าแต่ละบริษัททำอะไร ได้ประโยชน์อะไรที่ทำให้กำไรเติบโต
ซึ่งจะคัดกรองหุ้นจากในตลาดหลักทรัพย์700กว่าตัว ให้เหลือ200ตัวที่ดีและเราสนใจ
ประเมินคร่าวว่าหุ้นควรจะซื้อขายในราคาเท่าไหร่ ปกติก็ใกล้เคียงกับราคาตลาด
ซึ่งใช้เวลาประมาณ1-2ปี ก็จะเข้าบริษัทในตลาดหุ้นได้หมด และ อ่านข่าวทุกวัน
วิเคราะห์ว่าแต่ละข่าวส่งผลต่อกิจการอย่างไรบ้าง
ทำFinancial Projection ซึ่งต้นทุนของกิจการมีทั้งต้นทุนคงที่ และ ผันแปร
ถ้ามีปัจจัยที่มากระทบ ทำให้ราคาปรับตัวลง เราก็วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้
ถือเป็นงานที่ยากในช่วงต้น แต่ในLongrun จะได้ประโยชน์มาก
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ที่ทำให้เรากระทบต่อผลตอบแทนในport
1.การยึดติดกับvaluationเกินไป ในช่วงจังหวะที่ตลาดมองโลกบวกมาก ทำให้เราขายเร็วเกินไป
เพราะราคาไปมากกว่าที่เราคำนวณเยอะ
แต่จากการยึดติดในvaluation ทำให้รอดตัวจากหุ้นตก เช่น
ในช่วงที่หุ้นgrowth ผลประกอบการทำไม่ได้ตามที่นักลงทุนหวัง ราคาก็ปรับตัวลงมาลึกกว่าที่เคยขาย
2.Biasในการลงทุน วิชาการเราสามารถจับต้องได้ ศึกษาได้ แต่ สิ่งที่ยากคือการจัดการกับอคติของตัวเอง
3. Overconfident ทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลน้อยลง คิดว่าถูกแน่ ทำให้เกิดโอกาสพลาดได้
หรือ เราคิดว่าเราสามารถคาดการณ์อนาคตของบริษัทใน1-2ปีข้างหน้า ปรากฏว่าแค่ภายใน1ปีก็เปลี่ยนแปลง
ไปจากที่เราคาดการณ์
Themeการลงทุนในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทย หุ้นแข็งแกร่งในตอนนี้จะเติบโตได้ค่อนข้างน้อย เพราะvaluationสูงมาก
แต่ให้มองหาหุ้นที่โดนกระทบจากปัจจัยต่างๆทำให้ราคาลงมามากแต่จริงๆกำไรถูกกระทบไม่มาก
บริษัทในอุตสาหกรรมที่เคยover regulate ไม่สามารถเข้าตลาดได้ ตอนนี้มีบริษัทนึงสามารถเข้า
ตลาดได้ จะกลายเป็นunder regulate ถึงแม้valuationจะแพง ก็ยังดูน่าสนใจ
ส่วนตัวของวิทยากรบอกว่า ได้กระจายลงทุนในหลายประเทศที่GDPเติบโตสูง เพราะปีที่แล้วได้ผลตอบแทน
ในตลาดหุ้น Philippineค่อนข้างมาก และmarket capไม่สูงเมื่อเทียบกับไทยรวมถึงหุ้นในกลุ่มที่มีผลประกอบการดี
ในอนาคตเช่นบริษัทที่เกี่ยวกับAI ซึ่งผลิตการ์ดจอ และ ทำGPU training AI เป็นต้น
สุดท้ายขอขอบคุณสมาคมไทยวีไอที่จัดสัมมนาครั้งนี้ขึ้นมารวมถึงขอบคุณวิทยากร กรรมการสมาคมทุกท่านด้วยครับ
ขอขอบคุณสำหรับสมาคมไทยวีไอที่จัดงานนี้ขึ้นเพื่อให้สมาชิกสมาคมที่โพสเยอะ รวมถึงทีมที่ชนะเลิศการ
เสนอผลงานหุ้นในงานอบรมหลักสูตรการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่14และ15 มาร่วมงาน
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับกรรมการ สมาชิกสมาคม และ ได้ฟังวิทยากรที่มีความรู้มาแชร์ประสบการณ์
ขอบคุณน้องอ๋องสำหรับสถานที่ในการจัดงาน คือ ร้าน Think Tank ตรงข้าม ม ราชมงคล เทคนิคกรุงเทพ
ก็เลยมาสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย
เริ่มในเนื้อหากันเลยครับ
สำหรับการเตรียมตัวก่อนลงทุนในหุ้นของนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ
1.สำหรับการลงทุนหุ้นในประเทศไทย นักลงทุนธรรมดาไม่สามารถไปรับรู้เรื่องinsideหรือยุ่งเกี่ยวกับเจ้ามือหุ้น
ดังนั้น วิธีที่จะค้นหาหุ้นที่ดีก็มาจากการดูผลประกอบการจากงบการเงิน ซึ่งจะให้ความสำคัญกว่าการวิเคราะห์ผู้บริหาร
เพราะ ข้อมูลจากงบการเงินตรงไปตรงมา ทำให้ไม่มีBiasในการลงทุน
ส่วนตัวของวิทยากร ไม่ได้จบทางด้านการเงิน หรือ เข้าคอร์ตเรียนวิชาบัญชีจากกูรูดังๆ แต่อาศัยการศึกษาด้วยตนเอง
จนมีวิธีการที่เป็นของตัวเองในการดูงบการเงิน
2.ศึกษาThemeในการลงทุนในแต่ละช่วง ตัวอย่างเช่น ช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลไม่ได้ลงทุน
ตอนนั้น เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการก่อหนี้ของครัวเรือน ทำให้สินเชื่อโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
การตามผลประกอบการของกลุ่มสินเชื่อ ถ้าเข้าใจศัพท์ทางการเงิน เช่น ค่าเผื่อสงสัยหนี้จะสูญ
Coverage ratio , NIM(Net Interes Margin), Spread จะเข้าใจงบการเงินของกลุ่มนี้ได้ดี
และ จะวิเคราะห์งบได้ง่ายกว่าหุ้นกลุ่มอื่น
3.เวลาศึกษาหุ้น ให้ศึกษาหลายบริษัทเปรียบเทียบกัน เช่น บริษัทในกลุ่มสินเชื่อ ซึ่งมีทั้ง
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน และ สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เราเห็นหลายๆแบบ
เวลาหุ้นมีการเคลื่อนไหว เราก็มีความมั่นใจและตัดสินใจtake actionได้
4.เลือกอาจารย์ที่เราจะทำตามให้ถูกตั้งแต่แรก ซึ่งในสมาคมไทยวีไอ ก็มีหลายท่านที่เป็นแบบอย่างที่ดี
เช่น อาจารย์นิเวศน์ คุณ โจ ลูกอีสาน คุณเวป พรชัย นายกสมาคม คุณชาย มโนภาส
รวมถึงปรมาจารย์ระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปิเตอร์ ลินด์
โดยเราไปศึกษาว่าเขาคิดอย่างไร ใช้ไอเดียของเรามาประกอบการวิเคราะห์อีกที
พระพุทธเจ้าก็เป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้เกิดไอเดีย เราต้องหาส่วนประกอบ ทิศทาง ของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม
ในอนาคตเป็นอย่างไร โดยเราต้องตัดอคติออก รวมถึงการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ จะช่วยในการตัดสินใจ
ถึงแม้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นไอเดียในการเลือกหุ้นแบบนึง
5.เราต้องรู้ข้อมูลของแต่ละบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ว่าแต่ละบริษัททำอะไร ได้ประโยชน์อะไรที่ทำให้กำไรเติบโต
ซึ่งจะคัดกรองหุ้นจากในตลาดหลักทรัพย์700กว่าตัว ให้เหลือ200ตัวที่ดีและเราสนใจ
ประเมินคร่าวว่าหุ้นควรจะซื้อขายในราคาเท่าไหร่ ปกติก็ใกล้เคียงกับราคาตลาด
ซึ่งใช้เวลาประมาณ1-2ปี ก็จะเข้าบริษัทในตลาดหุ้นได้หมด และ อ่านข่าวทุกวัน
วิเคราะห์ว่าแต่ละข่าวส่งผลต่อกิจการอย่างไรบ้าง
ทำFinancial Projection ซึ่งต้นทุนของกิจการมีทั้งต้นทุนคงที่ และ ผันแปร
ถ้ามีปัจจัยที่มากระทบ ทำให้ราคาปรับตัวลง เราก็วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้
ถือเป็นงานที่ยากในช่วงต้น แต่ในLongrun จะได้ประโยชน์มาก
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ที่ทำให้เรากระทบต่อผลตอบแทนในport
1.การยึดติดกับvaluationเกินไป ในช่วงจังหวะที่ตลาดมองโลกบวกมาก ทำให้เราขายเร็วเกินไป
เพราะราคาไปมากกว่าที่เราคำนวณเยอะ
แต่จากการยึดติดในvaluation ทำให้รอดตัวจากหุ้นตก เช่น
ในช่วงที่หุ้นgrowth ผลประกอบการทำไม่ได้ตามที่นักลงทุนหวัง ราคาก็ปรับตัวลงมาลึกกว่าที่เคยขาย
2.Biasในการลงทุน วิชาการเราสามารถจับต้องได้ ศึกษาได้ แต่ สิ่งที่ยากคือการจัดการกับอคติของตัวเอง
3. Overconfident ทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลน้อยลง คิดว่าถูกแน่ ทำให้เกิดโอกาสพลาดได้
หรือ เราคิดว่าเราสามารถคาดการณ์อนาคตของบริษัทใน1-2ปีข้างหน้า ปรากฏว่าแค่ภายใน1ปีก็เปลี่ยนแปลง
ไปจากที่เราคาดการณ์
Themeการลงทุนในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทย หุ้นแข็งแกร่งในตอนนี้จะเติบโตได้ค่อนข้างน้อย เพราะvaluationสูงมาก
แต่ให้มองหาหุ้นที่โดนกระทบจากปัจจัยต่างๆทำให้ราคาลงมามากแต่จริงๆกำไรถูกกระทบไม่มาก
บริษัทในอุตสาหกรรมที่เคยover regulate ไม่สามารถเข้าตลาดได้ ตอนนี้มีบริษัทนึงสามารถเข้า
ตลาดได้ จะกลายเป็นunder regulate ถึงแม้valuationจะแพง ก็ยังดูน่าสนใจ
ส่วนตัวของวิทยากรบอกว่า ได้กระจายลงทุนในหลายประเทศที่GDPเติบโตสูง เพราะปีที่แล้วได้ผลตอบแทน
ในตลาดหุ้น Philippineค่อนข้างมาก และmarket capไม่สูงเมื่อเทียบกับไทยรวมถึงหุ้นในกลุ่มที่มีผลประกอบการดี
ในอนาคตเช่นบริษัทที่เกี่ยวกับAI ซึ่งผลิตการ์ดจอ และ ทำGPU training AI เป็นต้น
สุดท้ายขอขอบคุณสมาคมไทยวีไอที่จัดสัมมนาครั้งนี้ขึ้นมารวมถึงขอบคุณวิทยากร กรรมการสมาคมทุกท่านด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 155
สรุปหนังสือ Rise of The Robots ตอนที่1 By Seminar Knowledge by Amorn
หนังสือเขียนโดย Martin Ford และแปลโดย คุณทีปกร วุฒิพิทยามงคล
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเพราะได้รับรางวัลหนังสือธุรกิจแห่งปี 2015 จาก Financial Time&Mckinsey Business
------------------------------------------------------------------------------------
Martin Ford เป็นนักอนาคตวิทยาและนักเขียนที่เน้นเรื่องผลกระทบจากAI และ หุ่นยนต์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ
หนังสือเล่มนี้เกริ่นนำโดยพูดถึงเรื่อง ประสิทธิภาพของการผลิตและค่าแรง ระหว่างปี 1970 กับ ปี 2013
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 107% แต่ค่าแรงกลับลดลง 13% หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว
ช่วง ปี 1970 เกิดทั้งภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง พ่วงเงินเฟ้อ และ วิกฤตพลังงาน แต่ยังสร้างงานใหม่เพิ่ม 27%
เปรียบเทียบกับทศวรรษแรกของศตวรรษที่21 ไม่ได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆเลย
ความเลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่เคยมาก่อนตั้งแต่ปี 1929 ความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อยแค่5%
เพิ่มสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
--------------------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้พูดถึงว่าหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้ ยกตัวอย่างเช่น งานจัดเรียงกล่อง
อุปกรณ์เล่นเกมได้พัฒนาอย่างรวดเร็วโดย บริษัท นินเทนโด พัฒนาเกมวี โดยมีอุปกรณ์จับความเร่งฝังอยู่ข้างใน
ทำให้การเล่นเกมพลิกโฉมไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นักพัฒนาหุ่นยนต์ได้นำเทคโนโลยีคิเน๊กต์ ไปช่วยทำให้หุ่นยนต์
มองเห็นในราคาที่ถูกมาก ทำให้เครื่องจักรมีความสามารถในการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ในราคาจับต้องได้
ซึ่งต่อมาก็มีผลต่อการจ้างแรงงาน เช่น โรงงานFoxconซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับมือถือI-Phone เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ประกอบแทนคน
และ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิต จากเมื่อก่อนย้ายโรงงานผลิตไปที่แรงงานถูก
ต่อไปก็จะมีการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยใช้หุ่นยนต์ผลิตแทน ต้นทุนไม่แตกต่างแต่
สะดวกในการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ บริษัท Casio มีแผนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปญี่ปุ่น
------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจภาคบริการ ถือเป็นอีกภาคที่ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องขึ้นค่าแรงอยู่เสมอก็เป็นอีกธุรกิจที่มีโอกาส
ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ในการให้บริการ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่น เครือข่ายร้านซูซิคุระ ได้บุกเบิกการใช้ระบบอัตโนมัติจนสำเร็จ
หุ่นยนต์จะปั้นซูชิและใช้สายพานแทนพนักงานเสิร์ฟ ในเมืองไทยก็มีบางร้านใช้หุ่นยนต์และสายพานให้บริการ
หุ่นยนต์ในภาคบริการ
ปี2000 คนงานที่ทำงานในเรือกสวนไร่นา ลดลงจาก 50% เหลือแค่ 2% เครื่องจักร จะทำหน้าที่ในการปลูกพืชไร่ส่วน2%
มีหน้าที่ในการเก็บผลไม้ที่เปราะบางและมีราคาแพง รวมไปถึงไม้ดอกไม้ประดับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความท้าทายของบริการสุขภาพ
การวินิจฉัยโรคนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ด้านการแพทย์และทักษะการวินิจฉัยโรคของแพทย์แต่ละคน
ตัวอย่าง คนไข้ชายวัย 55 ปี เข้ารับการรักษาที่ University of Marburg ด้วยอาการมีไข้ หลอดอาหารอักเสบ ระดับ
โฮโมนไทรอยด์ต่ำ และมองอะไรไม่ชัด ก่อนหน้านี้ไปพบแพทย์มาหลายคน แต่หาสาเหตุไม่ได้
ซึ่งจริงๆแล้วอาการนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนกับหญิงชราวัย59ปีในอีกทวีปหนึ่ง ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ศูนย์
การแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคโรลาโดในเดนเวอร์ สาเหตุที่แท้จริงคือพิษโคบอลต์ โดยคนไข้ทั้งสองต่างใช้สะโพกเทียมที่
ทำจากโลหะ เมื่อเวลาผ่านไปอวัยะเทียมถูกขัดสีจนปล่อยอนุภาคโคบอลต์ออกมาจนเป็นพิษเรื้อรังแก่ผู้ป่วย
ดูจากทั้งสองกรณี คือ ข้อมูลในการรักษาได้ถูกเก็บแยกกันไว้ในสมองของแพทย์แต่ละคน รวมถึงข้อมูลสิ่งตีพิมพ์ในวารสาร
การแพทย์นั้นก็หายาก น่าจะใช้AI&Big Data มาช่วยในวงการแพทย์
บริษัทIBM ก็ได้มีหน่วยงานที่ได้ทำเรื่องระบบประมวลผลการรู้คิด
IBM Watson ปรากฏในสื่อครั้งแรก คือในปี 2011 ผ่านรายการแข่งขันเกมประเภท Quiz show ที่ชื่อ Jeopardy!
เกม Jeopardy! เป็นเกมใบ้คำปริศนา ที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่IBM Watson ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ชนะแชมป์ของเกมนี้อย่างท้วมท้น และได้รับการจับตาจากสื่ออย่างมาก
ในภายหลัง IBM Watson ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจการแพทย์ แต่กลับพบว่าไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด
ปัญหาของ IBM Watson คือ เป็น AI ประเภท Rule-based ปัญหาของ AI ประเภทนี้ คือมันทำงานได้ Specific มาก
ถ้าจะทำให้ IBM Watson ไปเล่นหมากรุก หรือเล่นโกะ ทีมวิศวกรผู้พัฒนาก็ต้องเขียน Algorithm ใหม่เกือบทั้งหมด
แตกต่างจากวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ตรงที่ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถฝึกตัวเองได้
เราสามารถ connect ความรู้ใหม่ เข้ากับพื้นความรู้เดิมได้ง่ายและเร็วมาก
เช่น ถ้าเราเล่นหมากรุกเก่ง ก็มีแนวโน้มที่เราจะฝึกเล่นโกะเป็นได้เร็ว
ยิ่งเรามีข้อมูลในสมองเรามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งง่ายที่จะทำให้เราเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ มากเท่านั้น
สาเหตุเพราะสมองมีการทำงานแบบที่เรียกว่า Neural Network กล่าวคือเรามีเครือข่ายของเซลล์ประสาทขนาดใหญ่
ที่ connect องค์ความรู้หลากหลายประเภทเข้าด้วยกัน เป็นเหมือน Algorithm Network ขนาดใหญ่
แต่ IBM Watson มีข้อจำกัดมาก มันอาจจะมี Algorithm Network ของตัวเอง แต่ก็เป็นชุดที่วิศวกร IBM สร้างขึ้น และถึงแม้
Algorithm Network ชุดนั้นจะซับซ้อนพอที่จะเล่นเกมปริศนาใบ้คำที่ซับซ้อนมากๆ ได้ แต่ก็ยังเป็นชุด Algorithm
อย่างง่ายๆ ที่เทียบไม่ได้เลยกับ Neural Network ในสมองของมนุษย์
และที่สำคัญคือ IBM Watson เองก็ไม่มีความสามารถที่จะพัฒนา Algorithm Network ของตัวมันเองได้
อย่างไรก็ตาม IBM Watson ก็ได้เปลี่ยนโฉมวงการแพทย์ โดยระบบสามารถขุดคุ้ยข้อมูลมหาศาลที่มีรูปแบบแตกต่างได้
ในอนาคตอันใกล้ เราอาจขาดเครื่องมือวินิจฉัยเช่นนี้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะกับแพทย์ที่ต้องเผชิญความท้าทายอย่างยิ่งในคนไข้บางราย
จากงานศึกษาหลายชิ้นทำนายว่าจะขาดแคลนแพทย์ในส่วนที่ไปทำงานพื้นที่ชนบทจำนวนมากถึง 200,000ตำแหน่งภายใน 15 ปี
เมื่อแพทย์จำนวนหนึ่งเกษียณอายุ รวมถึงผู้ป่วยรายใหม่ 32ล้านคนไหลเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ และ
ภาวะประชากรสูงวัยก็ยิ่งทำให้ต้องการบริการสุขภาพที่สูงขึ้นอีก
ผู้เขียนได้เสนออาชีพของผู้จบวิทยาลัยหลักสูตร4ปีหรือปริญญาโทเพื่อฝึกให้พูดคุยและตรวจคนไข้เป็นหลัก จากนั้นก็กรอก
ข้อมูลเข้าไปในระบบวินิจฉัยและรักษาที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถรองรับการรักษาคนไข้แบบรูทีนได้เป็นจำนวนมาก
อาจพัฒนาขึ้นได้อีกเพื่อช่วยผู้ป่วยเช่น โรคอ้วนหรือเบาหวานซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อิงมาตราฐานการปฏิบัติ จะช่วยลดข้อผิดพลาดของแพทย์ และสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น
โดยเฉพาะแขนงที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยโดยตรง อาจช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น
เช่น AI ได้สามารถทำหน้าที่ช่วยอ่านและวินิจฉัยผลจากการฉายรังสีโรคมะเร็ง เสมือนทำงานแทนแพทย์คนที่สองได้เลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ
ประชากรของประเทศพัฒนาแล้วรวมไปถึงประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศกำลังแก่ตัวอย่างรวดเร็ว เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น
โดยเฉพาะญี่ปุ่น ทำนายว่าปี2025 ประชากร 1 ใน 3 อายุมากกว่า 65 ปี ตอนนี้ญี่ปุ่นขาดแคลนคนทำงานดูแลผู้สูงอายุถึง
700,000 ตำแหน่ง ทางแก้คือการสร้างหุ่นยนต์มาดูแลแทน แต่ปัญหาหลักคือหุ่นยนต์ไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก
และราคาแพง น้ำหนักมาก ส่วนใหญ่ถูกใช้ในโรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุเป็นหลัก
รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่าย 2 ใน 3 ให้แก่การพัฒนาหุ่นยนต์ทำงานเฉพาะอย่างที่ราคาไม่แพงซึ่ง
ช่วยดูแลผู้สูงอายุได้ นวัตกรรมที่น่าสนใจตอนนี้คือ HAL ซึ่งเป็นโครงไฟฟ้าสำหรับสวมใส่โดยเฉพาะส่วนบน
ซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ ในอนาคตอันใกล้อาจมีการพัฒนาขาจักรกลเพื่อช่วยการเคลื่อนที่ในราคาที่ไม่แพง
เพื่อช่วยหยิบยา น้ำ หรือ ของที่ลืมบ่อยๆ
แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่ได้เกิดในเร็ววัน ดังนั้นการจ้างงานอาจย้ายไปยังภาคบริการสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ
สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐประเมินว่าปี 2022 มีงานดูแลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 580,000 คน และงานพยาบาลวิชาชีพ
เพิ่มอีก 527,000 คนรวมถึงงานช่วยสุขภาพคนในบ้าน และ งานช่วยดูแลคนไข้ รวม 1.8 ล้านตำแหน่ง
แต่ปัญหาคือ ตำแหน่งที่ว่างนี้ทดแทนตำแหน่งที่ขาดในช่วงที่ผ่านมาได้แค่ 25% และได้รับค่าแรงต่ำ ไม่เหมาะกับประชากรจำนวนมาก
ใครที่กำลังหาสายงานที่น่าจะปลอดภัยจากการใช้ระบบอัตโนมัติอยู่ วิชาชีพด้านการบริการสุขภาพที่ต้องใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์
โดยตรงกับผู้ป่วยก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่ในอีก 20-30ปีต่อจากนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไป
CR: บทความเกี่ยวกับIBM Watsonโดยน้องตู้ มานะชัย
หนังสือเขียนโดย Martin Ford และแปลโดย คุณทีปกร วุฒิพิทยามงคล
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเพราะได้รับรางวัลหนังสือธุรกิจแห่งปี 2015 จาก Financial Time&Mckinsey Business
------------------------------------------------------------------------------------
Martin Ford เป็นนักอนาคตวิทยาและนักเขียนที่เน้นเรื่องผลกระทบจากAI และ หุ่นยนต์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ
หนังสือเล่มนี้เกริ่นนำโดยพูดถึงเรื่อง ประสิทธิภาพของการผลิตและค่าแรง ระหว่างปี 1970 กับ ปี 2013
ผลผลิตเพิ่มขึ้น 107% แต่ค่าแรงกลับลดลง 13% หลังปรับเงินเฟ้อแล้ว
ช่วง ปี 1970 เกิดทั้งภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง พ่วงเงินเฟ้อ และ วิกฤตพลังงาน แต่ยังสร้างงานใหม่เพิ่ม 27%
เปรียบเทียบกับทศวรรษแรกของศตวรรษที่21 ไม่ได้สร้างตำแหน่งงานใหม่ๆเลย
ความเลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่เคยมาก่อนตั้งแต่ปี 1929 ความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อยแค่5%
เพิ่มสูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
--------------------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้พูดถึงว่าหุ่นยนต์สามารถทำงานแทนคนได้ ยกตัวอย่างเช่น งานจัดเรียงกล่อง
อุปกรณ์เล่นเกมได้พัฒนาอย่างรวดเร็วโดย บริษัท นินเทนโด พัฒนาเกมวี โดยมีอุปกรณ์จับความเร่งฝังอยู่ข้างใน
ทำให้การเล่นเกมพลิกโฉมไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นักพัฒนาหุ่นยนต์ได้นำเทคโนโลยีคิเน๊กต์ ไปช่วยทำให้หุ่นยนต์
มองเห็นในราคาที่ถูกมาก ทำให้เครื่องจักรมีความสามารถในการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ในราคาจับต้องได้
ซึ่งต่อมาก็มีผลต่อการจ้างแรงงาน เช่น โรงงานFoxconซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับมือถือI-Phone เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ประกอบแทนคน
และ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิต จากเมื่อก่อนย้ายโรงงานผลิตไปที่แรงงานถูก
ต่อไปก็จะมีการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยใช้หุ่นยนต์ผลิตแทน ต้นทุนไม่แตกต่างแต่
สะดวกในการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ บริษัท Casio มีแผนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปญี่ปุ่น
------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจภาคบริการ ถือเป็นอีกภาคที่ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องขึ้นค่าแรงอยู่เสมอก็เป็นอีกธุรกิจที่มีโอกาส
ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ในการให้บริการ ตอนนี้ที่ญี่ปุ่น เครือข่ายร้านซูซิคุระ ได้บุกเบิกการใช้ระบบอัตโนมัติจนสำเร็จ
หุ่นยนต์จะปั้นซูชิและใช้สายพานแทนพนักงานเสิร์ฟ ในเมืองไทยก็มีบางร้านใช้หุ่นยนต์และสายพานให้บริการ
หุ่นยนต์ในภาคบริการ
ปี2000 คนงานที่ทำงานในเรือกสวนไร่นา ลดลงจาก 50% เหลือแค่ 2% เครื่องจักร จะทำหน้าที่ในการปลูกพืชไร่ส่วน2%
มีหน้าที่ในการเก็บผลไม้ที่เปราะบางและมีราคาแพง รวมไปถึงไม้ดอกไม้ประดับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความท้าทายของบริการสุขภาพ
การวินิจฉัยโรคนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ด้านการแพทย์และทักษะการวินิจฉัยโรคของแพทย์แต่ละคน
ตัวอย่าง คนไข้ชายวัย 55 ปี เข้ารับการรักษาที่ University of Marburg ด้วยอาการมีไข้ หลอดอาหารอักเสบ ระดับ
โฮโมนไทรอยด์ต่ำ และมองอะไรไม่ชัด ก่อนหน้านี้ไปพบแพทย์มาหลายคน แต่หาสาเหตุไม่ได้
ซึ่งจริงๆแล้วอาการนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนกับหญิงชราวัย59ปีในอีกทวีปหนึ่ง ซึ่งได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ศูนย์
การแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคโรลาโดในเดนเวอร์ สาเหตุที่แท้จริงคือพิษโคบอลต์ โดยคนไข้ทั้งสองต่างใช้สะโพกเทียมที่
ทำจากโลหะ เมื่อเวลาผ่านไปอวัยะเทียมถูกขัดสีจนปล่อยอนุภาคโคบอลต์ออกมาจนเป็นพิษเรื้อรังแก่ผู้ป่วย
ดูจากทั้งสองกรณี คือ ข้อมูลในการรักษาได้ถูกเก็บแยกกันไว้ในสมองของแพทย์แต่ละคน รวมถึงข้อมูลสิ่งตีพิมพ์ในวารสาร
การแพทย์นั้นก็หายาก น่าจะใช้AI&Big Data มาช่วยในวงการแพทย์
บริษัทIBM ก็ได้มีหน่วยงานที่ได้ทำเรื่องระบบประมวลผลการรู้คิด
IBM Watson ปรากฏในสื่อครั้งแรก คือในปี 2011 ผ่านรายการแข่งขันเกมประเภท Quiz show ที่ชื่อ Jeopardy!
เกม Jeopardy! เป็นเกมใบ้คำปริศนา ที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่IBM Watson ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ชนะแชมป์ของเกมนี้อย่างท้วมท้น และได้รับการจับตาจากสื่ออย่างมาก
ในภายหลัง IBM Watson ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจการแพทย์ แต่กลับพบว่าไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด
ปัญหาของ IBM Watson คือ เป็น AI ประเภท Rule-based ปัญหาของ AI ประเภทนี้ คือมันทำงานได้ Specific มาก
ถ้าจะทำให้ IBM Watson ไปเล่นหมากรุก หรือเล่นโกะ ทีมวิศวกรผู้พัฒนาก็ต้องเขียน Algorithm ใหม่เกือบทั้งหมด
แตกต่างจากวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ตรงที่ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถฝึกตัวเองได้
เราสามารถ connect ความรู้ใหม่ เข้ากับพื้นความรู้เดิมได้ง่ายและเร็วมาก
เช่น ถ้าเราเล่นหมากรุกเก่ง ก็มีแนวโน้มที่เราจะฝึกเล่นโกะเป็นได้เร็ว
ยิ่งเรามีข้อมูลในสมองเรามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งง่ายที่จะทำให้เราเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ มากเท่านั้น
สาเหตุเพราะสมองมีการทำงานแบบที่เรียกว่า Neural Network กล่าวคือเรามีเครือข่ายของเซลล์ประสาทขนาดใหญ่
ที่ connect องค์ความรู้หลากหลายประเภทเข้าด้วยกัน เป็นเหมือน Algorithm Network ขนาดใหญ่
แต่ IBM Watson มีข้อจำกัดมาก มันอาจจะมี Algorithm Network ของตัวเอง แต่ก็เป็นชุดที่วิศวกร IBM สร้างขึ้น และถึงแม้
Algorithm Network ชุดนั้นจะซับซ้อนพอที่จะเล่นเกมปริศนาใบ้คำที่ซับซ้อนมากๆ ได้ แต่ก็ยังเป็นชุด Algorithm
อย่างง่ายๆ ที่เทียบไม่ได้เลยกับ Neural Network ในสมองของมนุษย์
และที่สำคัญคือ IBM Watson เองก็ไม่มีความสามารถที่จะพัฒนา Algorithm Network ของตัวมันเองได้
อย่างไรก็ตาม IBM Watson ก็ได้เปลี่ยนโฉมวงการแพทย์ โดยระบบสามารถขุดคุ้ยข้อมูลมหาศาลที่มีรูปแบบแตกต่างได้
ในอนาคตอันใกล้ เราอาจขาดเครื่องมือวินิจฉัยเช่นนี้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะกับแพทย์ที่ต้องเผชิญความท้าทายอย่างยิ่งในคนไข้บางราย
จากงานศึกษาหลายชิ้นทำนายว่าจะขาดแคลนแพทย์ในส่วนที่ไปทำงานพื้นที่ชนบทจำนวนมากถึง 200,000ตำแหน่งภายใน 15 ปี
เมื่อแพทย์จำนวนหนึ่งเกษียณอายุ รวมถึงผู้ป่วยรายใหม่ 32ล้านคนไหลเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ และ
ภาวะประชากรสูงวัยก็ยิ่งทำให้ต้องการบริการสุขภาพที่สูงขึ้นอีก
ผู้เขียนได้เสนออาชีพของผู้จบวิทยาลัยหลักสูตร4ปีหรือปริญญาโทเพื่อฝึกให้พูดคุยและตรวจคนไข้เป็นหลัก จากนั้นก็กรอก
ข้อมูลเข้าไปในระบบวินิจฉัยและรักษาที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถรองรับการรักษาคนไข้แบบรูทีนได้เป็นจำนวนมาก
อาจพัฒนาขึ้นได้อีกเพื่อช่วยผู้ป่วยเช่น โรคอ้วนหรือเบาหวานซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วได้
ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อิงมาตราฐานการปฏิบัติ จะช่วยลดข้อผิดพลาดของแพทย์ และสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น
โดยเฉพาะแขนงที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยโดยตรง อาจช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น
เช่น AI ได้สามารถทำหน้าที่ช่วยอ่านและวินิจฉัยผลจากการฉายรังสีโรคมะเร็ง เสมือนทำงานแทนแพทย์คนที่สองได้เลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ
ประชากรของประเทศพัฒนาแล้วรวมไปถึงประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศกำลังแก่ตัวอย่างรวดเร็ว เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น
โดยเฉพาะญี่ปุ่น ทำนายว่าปี2025 ประชากร 1 ใน 3 อายุมากกว่า 65 ปี ตอนนี้ญี่ปุ่นขาดแคลนคนทำงานดูแลผู้สูงอายุถึง
700,000 ตำแหน่ง ทางแก้คือการสร้างหุ่นยนต์มาดูแลแทน แต่ปัญหาหลักคือหุ่นยนต์ไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก
และราคาแพง น้ำหนักมาก ส่วนใหญ่ถูกใช้ในโรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุเป็นหลัก
รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่าย 2 ใน 3 ให้แก่การพัฒนาหุ่นยนต์ทำงานเฉพาะอย่างที่ราคาไม่แพงซึ่ง
ช่วยดูแลผู้สูงอายุได้ นวัตกรรมที่น่าสนใจตอนนี้คือ HAL ซึ่งเป็นโครงไฟฟ้าสำหรับสวมใส่โดยเฉพาะส่วนบน
ซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ ในอนาคตอันใกล้อาจมีการพัฒนาขาจักรกลเพื่อช่วยการเคลื่อนที่ในราคาที่ไม่แพง
เพื่อช่วยหยิบยา น้ำ หรือ ของที่ลืมบ่อยๆ
แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่ได้เกิดในเร็ววัน ดังนั้นการจ้างงานอาจย้ายไปยังภาคบริการสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ
สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐประเมินว่าปี 2022 มีงานดูแลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 580,000 คน และงานพยาบาลวิชาชีพ
เพิ่มอีก 527,000 คนรวมถึงงานช่วยสุขภาพคนในบ้าน และ งานช่วยดูแลคนไข้ รวม 1.8 ล้านตำแหน่ง
แต่ปัญหาคือ ตำแหน่งที่ว่างนี้ทดแทนตำแหน่งที่ขาดในช่วงที่ผ่านมาได้แค่ 25% และได้รับค่าแรงต่ำ ไม่เหมาะกับประชากรจำนวนมาก
ใครที่กำลังหาสายงานที่น่าจะปลอดภัยจากการใช้ระบบอัตโนมัติอยู่ วิชาชีพด้านการบริการสุขภาพที่ต้องใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์
โดยตรงกับผู้ป่วยก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่ในอีก 20-30ปีต่อจากนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไป
CR: บทความเกี่ยวกับIBM Watsonโดยน้องตู้ มานะชัย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 156
Cr:คุณViimขออนุญาตบันทึกทีnotes จาก Beating the street นะครับ ถ้ายาวไปขออภัยด้วย
Notes from “Beating the Street"
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้
การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้
กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก
Notes from “Beating the Street"
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้
การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้
กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 157
3 กูรู เปิดเทคนิคการออมและการลงทุน สำหรับชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน และสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เหมือนเดิม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดเสวนาหัวข้อ “จัดพอร์ตต่อยอดเงินก้อนสุดท้าย” โดยวงเสวนาประกอบด้วย นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด, นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงเสวนา
ในยุคปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใส่ใจเรื่องการนำเงินไปลงทุนมากเท่าไรนัก จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า กว่า 80% ของคนไทย นิยมการออมเงินด้วยการนำเงินไปฝากธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีประชากรที่นำเงินไปลงทุนมีจำนวนเพียงน้อยนิด เนื่องจากคนส่วนใหญ่กลัวเรื่องความเสี่ยง
แต่การที่นำเงินไปฝากไว้ในธนาคาร โดยที่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำ นั่นคือความเสี่ยงที่ผู้ฝากจะได้รับหลังจากเกษียณ เนื่องจากเงินฝากไม่งอกเงย และยังต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อทุกปี ดังนั้นชีวิตหลังเกษียณอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เราจึงนำเทคนิควางแผนการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ จาก 3 กูรู มาให้ได้ลองนำไปปรับใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นไปอย่างมั่นคง และพึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
นายสมจินต์ กล่าวว่า คนวัยเกษียณชีวิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวัยทำงานมากนัก แต่ข้อดีของคนวัยนี้คือจะมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยโอกาสจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มตามขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อไปดูสถิติของคนหลังเกษียณในไทยพบว่ากว่า 60% มีรายได้ 50,000 บาท/ปี ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะที่สุด
นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ของวัยนี้มีรายได้ที่น้อยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้สถิติยังบอกว่าแหล่งรายของคนวัยเกษียณส่วนใหญ่มาจากลูกหลาน คิดเป็น 34% โดยรายได้ที่มาจากการออมมีเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ลำดับท้ายๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงอยากให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการออมให้มากขึ้น เพื่อไม่ต้องพึ่งพาใครในวัยเกษียณ แต่ปัจจุบันมีความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมายเช่นอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ดอกเบี้ยผลตอบแทนต่ำ รวมไปถึงวิถีดำเนินชีวิตของคนยุคปัจุบัน
ย้อนไปหลายสิบปีก่อนอาจพูดได้ว่าแค่คุณออมเงินได้ คุณก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีรายใหม่ได้เช่นกัน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากมีอัตราที่สูง ประกอบกับคนในยุคนั้นส่วนใหญ่ทำเกษตร เมื่อเกษียณก็อาจมีเงินก้อนโตจากดอกเบี้ยเงินฝาก และยังมีที่ดินที่อาจขายได้ หรือใครไม่ขายที่ก็ยังมีพืชผลในไร่ให้เก็บกินและขาย
แต่ปัจจุบันคนหันมาเป็นพนักงานเอกชนมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องวางแผนเก็บเงินไว่ใช้หลังเกษียณ เพราะหลังเลิกทำงานจะไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลย ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเช่นกัน
แนะสูตร 100-อายุ สำหรับบริหารพอร์ตลงทุน ส่วนหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 3-6 ล้านบาท
จากสถิติยังบอกอีกว่าหลังเกษียณในวัย 60 ปี มนุษย์เราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 17-22 ปี แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มให้เป็น 25 ปี ซึ่งคนวัยทำงานต้องเก็บเงินสำหรับใช้หลังเกษียณอีก 25 ปี โดยที่จะไม่มีรายได้เข้ามา
ตัวเลขที่ดีที่สุดคือหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 25,000 บาท ไปอีก 20 ปี และแต่ละปีต้องดึงเงินออกมา 5% เพื่อนำไปลงทุนต่ออีกเพื่อให้สามารถมีเงินสำหรับใช้ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
แต่ในกรณีที่อาจจะเก็บไม่ถึง 6 ล้านบาท ขอแนะนำว่าควรมีอย่างน้อย 3 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 12,500 บาท ไปอีก 20 ปี และก็นำเงิน 5% จากจำนวนนั้นออกมาลงทุนหลังเกษียณด้วยเช่นกัน
แต่ระหว่างทางที่พนักงานเอกชนยังอยู่ในช่วงทำงาน ขอแนะนำว่าควรหั่นเงินออกมา 15% จากเงินเดือนนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือน และเมื่อมาถึงวัยเกษียณจะมีเงินก้อนที่นำไปลงทุนสามารถนำมาใช้เป็นเงินหลังเกษียณได้
“ขณะที่สัดส่วนของการลงทุน ที่หลายคนอาจยังลังเลอยู่ว่าจะลงทุนอย่างไร จึงมีสูตร 100-อายุ นำมาให้ลองเอาไปใช้กัน เช่นอายุ 40 ปี ก็นำ 100-40 จะได้ 60 นั่นหมายความว่า ในช่วงอายุ 40 ปี คุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ 60% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และพออายุเพิ่มขึ้น จึงค่อยปรับลดการลงทุนจากพอร์ตเสี่ยงมากออกไปอยู่ในการลงทุนที่ปลอดภัยขึ้น”
ด้านนายธีรนาถ เผยว่า คนในยุคนี้ส่วนใหญ่คิดถึงการลงทุนช้าเกินไป ตนเองเคยไปบรรยายให้ความรู้เรื่องการออมและการลงทุนยังหน่วยงานเอกชนต่างๆ ซึ่งพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของพนักงานเอกชนคือ ไม่ตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการออมและการลงทุน
จากที่ได้สัมผัสมาจะแบ่งคนออกเป็น 2 วัย คือวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย และวัยทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเด็กที่เพิ่งจบใหม่ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีความคิดอยากจะเป็นสตาร์ทอัพ เพราะคิดว่ารวยเร็ว และประสบความสำเร็จไว คนประเภทนี้ก็จะไม่มีการออม โดยจะนำเงินไปลงทุนแทบทั้งหมด ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข่อเสีย นั่นคือถ้าโชคดีก็รวยไปเลย แต่ถ้าลงทุนผิดพลาดเงินก็หายหมดเช่นกัน
ส่วนเด็กจบใหม่อีกกลุ่มเป็นประเภทแสวงหาประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายเกินกำลัง และมีพฤติกรรมชอบนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นเงินปัจจุบัน จึงเป็นสังคมแห่งการสร้างหนี้ คนกลุ่มนี้จึงมีชีวิตติดลบตั้งแต่อายุยังน้อย พอจะมาพูดถึงเรื่องการลงทุนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมาบริหารหนี้ของตัวเองเสียก่อน
ด้านคนที่ทำงานมาสักระยะ เช่นอายุ 40 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้จะกลัวความเสี่ยงมา โดยส่วนใหญ่มักนำเงินไปจมอยู่ในธนาคารที่มีผลตอบแทนต่ำ เงินจึงไม่สามารถงอกเงยได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญในอนาคตคือการพึ่งพาคนอื่น
ขณะที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปอีกกลุ่มจะเป็นประเภทที่ลงทุนง่าย ตามคำชักชวนของผู้อื่น โดยไม่ศึกษาหาความรู้ ปัญหาที่ตามมาของคนกลุ่มนี้นั่นคือมักโดนหลอกและสูญเงินนั่นเอง
“ดังนั้นการลงทุนต้องทำอย่างเข้าใจ ด้วยการหาความรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ ว่าสิ่งที่ลงทุนไป เขาเอาเงินเราไปทำอะไร และจะได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างไร ซึ่งในโลกนี้ไม่มีกองทุนหรือหุ้นตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน”
มือใหม่หัดลงทุนแนะลงทุนในกองทุนรวมแบบผสม
จากที่ได้กล่าวไปนั่นคือการลงทุนต้องมีการทำการบ้านและวางแผนที่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราจะมีเงินออมได้เท่าไร และเป้าหมายของการลงทุนของเราอยู่ที่ไหน จึงจะรู้ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนกับอะไร
“แต่สำหรับมือให่ที่ยังงงๆอยู่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต แต่อยากลงทุน จึงขอแนะนำให้เริ่มการลงทุนใน ”กองทุนรวมแบบผสม”เนื่องจากกองทุนประเภทนี้จะนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่มีความเสี่ยงและปลอดภัย โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจ”
และการกระจายการลงทุนแบบนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ต้องทำเป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวมแบบผสมคือ ถามก่อนว่ากองทุนที่จะซื้อนั้นเอาเงินไปลงทุนในอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกกองทุนที่ตัวเองชอบที่สุด
แนะจัดพอร์ตลงทุน 5 ส่วน
ส่วนนายพจน์ หล่นความเห็นปิดท้ายว่า ปัจจุบันสถิติของคนที่แต่งงานและไม่มีลูกพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับคนโสด ซึ่งสถิตินี้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศไทยละทั่วโลก ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณคนเหล่านี้จะไม่มีลูกหลานไว้เลี้ยงดู ดังนั้นจึงต้องยิ่งนำเงินไปลงทุนมากที่สุด
และจากพฤติกรรมของคนไทยนั้น กว่า 78% ฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่กลัวความเสี่ยง จึงไม่นำเงินไปลงทุน และเมื่อถามว่าจะลงทุนอย่างไร ก็มีสูตรการลงทุนที่มากมายหลายสูตรน่าปวดหัวเหลือเกิน
“สำหรับสูตรที่แนะนำนั่นคือแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 5 ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ โดยเงิน 5 ส่วนเราจะนำไปลงทุนในหุ้น 27%, REITs 26%, ตราสารหนี้ 17%, Real Estate 13% และฝากธนาคาร 17%”
Cr:Money2know
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดเสวนาหัวข้อ “จัดพอร์ตต่อยอดเงินก้อนสุดท้าย” โดยวงเสวนาประกอบด้วย นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด, นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงเสวนา
ในยุคปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่แทบไม่ได้ใส่ใจเรื่องการนำเงินไปลงทุนมากเท่าไรนัก จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า กว่า 80% ของคนไทย นิยมการออมเงินด้วยการนำเงินไปฝากธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีประชากรที่นำเงินไปลงทุนมีจำนวนเพียงน้อยนิด เนื่องจากคนส่วนใหญ่กลัวเรื่องความเสี่ยง
แต่การที่นำเงินไปฝากไว้ในธนาคาร โดยที่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่ต่ำ นั่นคือความเสี่ยงที่ผู้ฝากจะได้รับหลังจากเกษียณ เนื่องจากเงินฝากไม่งอกเงย และยังต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อทุกปี ดังนั้นชีวิตหลังเกษียณอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เราจึงนำเทคนิควางแผนการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ จาก 3 กูรู มาให้ได้ลองนำไปปรับใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นไปอย่างมั่นคง และพึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
นายสมจินต์ กล่าวว่า คนวัยเกษียณชีวิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวัยทำงานมากนัก แต่ข้อดีของคนวัยนี้คือจะมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยโอกาสจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มตามขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อไปดูสถิติของคนหลังเกษียณในไทยพบว่ากว่า 60% มีรายได้ 50,000 บาท/ปี ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะที่สุด
นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ของวัยนี้มีรายได้ที่น้อยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้สถิติยังบอกว่าแหล่งรายของคนวัยเกษียณส่วนใหญ่มาจากลูกหลาน คิดเป็น 34% โดยรายได้ที่มาจากการออมมีเพียงแค่ 2% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ลำดับท้ายๆ อีกด้วย
ดังนั้นจึงอยากให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการออมให้มากขึ้น เพื่อไม่ต้องพึ่งพาใครในวัยเกษียณ แต่ปัจจุบันมีความท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมายเช่นอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ดอกเบี้ยผลตอบแทนต่ำ รวมไปถึงวิถีดำเนินชีวิตของคนยุคปัจุบัน
ย้อนไปหลายสิบปีก่อนอาจพูดได้ว่าแค่คุณออมเงินได้ คุณก็สามารถกลายเป็นเศรษฐีรายใหม่ได้เช่นกัน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากมีอัตราที่สูง ประกอบกับคนในยุคนั้นส่วนใหญ่ทำเกษตร เมื่อเกษียณก็อาจมีเงินก้อนโตจากดอกเบี้ยเงินฝาก และยังมีที่ดินที่อาจขายได้ หรือใครไม่ขายที่ก็ยังมีพืชผลในไร่ให้เก็บกินและขาย
แต่ปัจจุบันคนหันมาเป็นพนักงานเอกชนมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องวางแผนเก็บเงินไว่ใช้หลังเกษียณ เพราะหลังเลิกทำงานจะไม่มีรายได้อะไรเข้ามาเลย ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเช่นกัน
แนะสูตร 100-อายุ สำหรับบริหารพอร์ตลงทุน ส่วนหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 3-6 ล้านบาท
จากสถิติยังบอกอีกว่าหลังเกษียณในวัย 60 ปี มนุษย์เราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 17-22 ปี แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มให้เป็น 25 ปี ซึ่งคนวัยทำงานต้องเก็บเงินสำหรับใช้หลังเกษียณอีก 25 ปี โดยที่จะไม่มีรายได้เข้ามา
ตัวเลขที่ดีที่สุดคือหลังเกษียณควรมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 25,000 บาท ไปอีก 20 ปี และแต่ละปีต้องดึงเงินออกมา 5% เพื่อนำไปลงทุนต่ออีกเพื่อให้สามารถมีเงินสำหรับใช้ต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
แต่ในกรณีที่อาจจะเก็บไม่ถึง 6 ล้านบาท ขอแนะนำว่าควรมีอย่างน้อย 3 ล้านบาท เพื่อมีเงินใช้เดือนละ 12,500 บาท ไปอีก 20 ปี และก็นำเงิน 5% จากจำนวนนั้นออกมาลงทุนหลังเกษียณด้วยเช่นกัน
แต่ระหว่างทางที่พนักงานเอกชนยังอยู่ในช่วงทำงาน ขอแนะนำว่าควรหั่นเงินออกมา 15% จากเงินเดือนนำไปลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือน และเมื่อมาถึงวัยเกษียณจะมีเงินก้อนที่นำไปลงทุนสามารถนำมาใช้เป็นเงินหลังเกษียณได้
“ขณะที่สัดส่วนของการลงทุน ที่หลายคนอาจยังลังเลอยู่ว่าจะลงทุนอย่างไร จึงมีสูตร 100-อายุ นำมาให้ลองเอาไปใช้กัน เช่นอายุ 40 ปี ก็นำ 100-40 จะได้ 60 นั่นหมายความว่า ในช่วงอายุ 40 ปี คุณสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ 60% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และพออายุเพิ่มขึ้น จึงค่อยปรับลดการลงทุนจากพอร์ตเสี่ยงมากออกไปอยู่ในการลงทุนที่ปลอดภัยขึ้น”
ด้านนายธีรนาถ เผยว่า คนในยุคนี้ส่วนใหญ่คิดถึงการลงทุนช้าเกินไป ตนเองเคยไปบรรยายให้ความรู้เรื่องการออมและการลงทุนยังหน่วยงานเอกชนต่างๆ ซึ่งพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ของพนักงานเอกชนคือ ไม่ตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการออมและการลงทุน
จากที่ได้สัมผัสมาจะแบ่งคนออกเป็น 2 วัย คือวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัย และวัยทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเด็กที่เพิ่งจบใหม่ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีความคิดอยากจะเป็นสตาร์ทอัพ เพราะคิดว่ารวยเร็ว และประสบความสำเร็จไว คนประเภทนี้ก็จะไม่มีการออม โดยจะนำเงินไปลงทุนแทบทั้งหมด ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข่อเสีย นั่นคือถ้าโชคดีก็รวยไปเลย แต่ถ้าลงทุนผิดพลาดเงินก็หายหมดเช่นกัน
ส่วนเด็กจบใหม่อีกกลุ่มเป็นประเภทแสวงหาประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายเกินกำลัง และมีพฤติกรรมชอบนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นเงินปัจจุบัน จึงเป็นสังคมแห่งการสร้างหนี้ คนกลุ่มนี้จึงมีชีวิตติดลบตั้งแต่อายุยังน้อย พอจะมาพูดถึงเรื่องการลงทุนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมาบริหารหนี้ของตัวเองเสียก่อน
ด้านคนที่ทำงานมาสักระยะ เช่นอายุ 40 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้จะกลัวความเสี่ยงมา โดยส่วนใหญ่มักนำเงินไปจมอยู่ในธนาคารที่มีผลตอบแทนต่ำ เงินจึงไม่สามารถงอกเงยได้ สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญในอนาคตคือการพึ่งพาคนอื่น
ขณะที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปอีกกลุ่มจะเป็นประเภทที่ลงทุนง่าย ตามคำชักชวนของผู้อื่น โดยไม่ศึกษาหาความรู้ ปัญหาที่ตามมาของคนกลุ่มนี้นั่นคือมักโดนหลอกและสูญเงินนั่นเอง
“ดังนั้นการลงทุนต้องทำอย่างเข้าใจ ด้วยการหาความรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ ว่าสิ่งที่ลงทุนไป เขาเอาเงินเราไปทำอะไร และจะได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างไร ซึ่งในโลกนี้ไม่มีกองทุนหรือหุ้นตัวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน”
มือใหม่หัดลงทุนแนะลงทุนในกองทุนรวมแบบผสม
จากที่ได้กล่าวไปนั่นคือการลงทุนต้องมีการทำการบ้านและวางแผนที่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราจะมีเงินออมได้เท่าไร และเป้าหมายของการลงทุนของเราอยู่ที่ไหน จึงจะรู้ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนกับอะไร
“แต่สำหรับมือให่ที่ยังงงๆอยู่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต แต่อยากลงทุน จึงขอแนะนำให้เริ่มการลงทุนใน ”กองทุนรวมแบบผสม”เนื่องจากกองทุนประเภทนี้จะนำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆที่มีความเสี่ยงและปลอดภัย โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับเปลี่ยนสัดส่วนตามความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจ”
และการกระจายการลงทุนแบบนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ต้องทำเป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนรวมแบบผสมคือ ถามก่อนว่ากองทุนที่จะซื้อนั้นเอาเงินไปลงทุนในอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้เลือกกองทุนที่ตัวเองชอบที่สุด
แนะจัดพอร์ตลงทุน 5 ส่วน
ส่วนนายพจน์ หล่นความเห็นปิดท้ายว่า ปัจจุบันสถิติของคนที่แต่งงานและไม่มีลูกพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับคนโสด ซึ่งสถิตินี้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศไทยละทั่วโลก ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณคนเหล่านี้จะไม่มีลูกหลานไว้เลี้ยงดู ดังนั้นจึงต้องยิ่งนำเงินไปลงทุนมากที่สุด
และจากพฤติกรรมของคนไทยนั้น กว่า 78% ฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่กลัวความเสี่ยง จึงไม่นำเงินไปลงทุน และเมื่อถามว่าจะลงทุนอย่างไร ก็มีสูตรการลงทุนที่มากมายหลายสูตรน่าปวดหัวเหลือเกิน
“สำหรับสูตรที่แนะนำนั่นคือแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 5 ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับแรกๆ โดยเงิน 5 ส่วนเราจะนำไปลงทุนในหุ้น 27%, REITs 26%, ตราสารหนี้ 17%, Real Estate 13% และฝากธนาคาร 17%”
Cr:Money2know
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 158
Unknown China
Economicจีนที่คุณต้องติดตาม
เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
โดย ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร
ดร อาร์มบอกว่า มีคนถามว่า China 5.0 เกี่ยวข้องกับ Thailand 4.0อย่างไร
4.0 หมายถึงยุคดิจิตอล แต่5.0หมายถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือAI
...
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ.. จะเป็นไปอีกหลายปี
ตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อ 40 ปีก่อน
ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง"
เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ
เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารและมหาศาล. การเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น2ยุค
ยุคแรก จากช่วงประธานเหมาเจ๋อตุงต่อมาช่วงเติ้งเสี่ยวผิง
ในช่วง40ปีที่แล้ว ช่วงนั้นประธานเหมาต้องการให้ศกเจริญแบบสหรัฐ
ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าอุตสาหกรรมไหนของสหรัฐน่าสนใจและมีผลต่อการเติบโตทางศก
ทำให้จีนช่วงนั้นก้าวจากอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นของภาครัฐ100%
ซึ่งอุตสาหกรรมไหนทำขาดทุน รัฐก็มาอุดหนุน
การวางแผนการผลิตก็มาจากส่วนกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ
พอเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมา ก็ไม่รู้อะไรมากมากยเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ทำที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ก็กลับไปแก้ไข
เช่น เซิ่นเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านชนบท ก็ถูกพัฒนาจาก40ปีที่แล้วมาเป็นเขตศกพิเศษ
ได้ชวนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุน ซึ่งมีคำถามว่าจะขายใคร เพราะที่เซิ่นเจิ้นไม่น่าจะมีกำลังซื้อ
ซึ่งได้คำตอบคือผลิตและส่งออกสินค้าไปขายตลาดโลก
ซึ่งจีนมีโชค2เด้ง
1. ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างแดนลงขันมาช่วย
2.ศกโลกช่วงจีนเริ่มเปิดประเทศอยู่ในช่วงจังหวะฟื้นตัวพอดี
การลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก
และต่อมาศกจีนก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเอกชน90%ดำเนินธุรกิจ
แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นของรัฐวิสาหกิจ
รัฐยังยอมให้เอกชนมีบทบาททางการตลาด
รัฐบาลต่อมา เจียงเจ๋อหมองมีนายกรัฐมนตรีที่เก่งคือคุณจูหรงจี
รัฐวิสาหกิจใดไม่กำไร ก็ควรให้เอกชนไปทำแทน
แปรเปลี่ยนกลไกภาครัฐมาทางเอกชนมากขึ้น
ยุคที่สอง
ผู้นำยุคที่สี่คุณหูจิ่นเทา สถานการณ์โลกมาบีบจีนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ศกโลก หดตัว กระทบต่อการส่งออกของจีนฟุบ
ได้ขยายการลงทุนอย่างมหาศาลซึ่งถือเป็นยุคที่สอง
ถือเป็นการกระตุ้นศกอย่างมโหฬาร
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น สร้างสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ถนน สะพาน
การทำแบบนี้มีข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.ทำให้เกิดโมเดลความสำเร็จของจีนซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.เกิดเมืองใหม่
3.เกิดความเชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูงเกิดClusterเมือง 4แห่งรวมประชากรกว่า600ล้านนคร
ข้อเสีย
1.จากการส่งออกได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า
2.เกิดอุปทานส่วนเกินในการผลิตover capacity เช่นเหล็ก ถ่านหิน Cement
เกิดปัญหา over capacity ปัญหาหนี้และสิ่งแวดล้อมคือ PM2.5 ซึ่งเกิดก่อนไทยอีก
ดังนั้นจึงแก้ไขโดยส่งออกวัตถุดิบไปขายต่างประเทศ
ส่งออกคนที่มีความสามารถไปทำงานช่วยประเทศอื่นในอาเซียน
เช่นเป็นที่ปรึกษาในการสร้างรถไฟความเร็วสูง
โดยนำโมเดลขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ ความเชื่อมโยงไปใช้ในประเทศต่างๆ
ส่วนต่างๆของจีนก็ไปเชื่อมโยงกับประเทศพื้นบ้าน
เช่น กวางตุ้งเชื่อมกับอาเซียน
และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น
"สี จิ้น ผิง"
ทำได้อย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป
จีน กำลังจะมุ่งหน้าไปทางทิศทางไหน
ไทยเราควรปรับตัว ฉวยโอกาสอย่างไร
จุดสนใจ..
- อังกฤษใช้เวลา 150 ปี กว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในขณะที่ เยอรมัน ใช้เวลา 65 ปี สหรัฐ 53 ปี
แต่.. จีน.. ใช้เวลาเพียง 12 ปี
ตัวเลขดังกล่าว จะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า "เวลามีต้นทุน" ได้อย่างดี
โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะถ้าคุณแค่อยู่เฉยๆ ในจีน เท่ากับคุณถอยหลังแล้ว
คำกล่าวที่ว่า 1 ปีของจีน เท่ากับ 10 ปีของประเทศอื่น ดูจะไม่เกินความจริงเท่าไหร่
เพราะจีนเป็นสังคมที่ dynamic มาก ประเทศกำลังขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่
โลกของจีนกลางเป็นวิชาบังคับ..ที่ทุกคนต้องศึกษา ไม่ใช่วิชาเลือกอีกต่อไปแล้ว
- การเมืองของจีน
มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว "สี จิ้น ผิง" เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกจะปฏิรูประบบการเมืองของจีน ให้อยู่ได้ด้วยแนวทางที่เข้ากับพื้นฐานของประเทศ ไม่ตามชาติตะวันตก จนควบคุมไม่ได้ !!
- งานแรกที่ "สี จิ้น ผิง" เลือกที่จะทำ คือ การสลายขั้วอำนาจของการเมืองทั้งสอง ด้วยการปราบคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ !! นักการเมืองสองขั้ว โดนจับมากกว่า 120 คนในช่วงเวลาเพียง 2 ปีแรกที่.. สี จิ้น ผิง.. เข้ารับตำแหน่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมี..การปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้วย
- หลายฝ่ายมองว่า "สี จิ้น ผิง"
คือ สุดยอดของการคอมมิวนิสต์
คือ รวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้เดียว
แต่.. การกระทำดังกล่าว ทำให้สั่งงานได้ง่าย งานเห็นผล และสร้างความพอใจแก่ประชาชนได้มากที่สุด โดยรัฐบาลจีน ก็ยอมรับเสียด้วย และเรียกตัวเองว่า เป็น.. รัฐบาลเผด็จการเพื่อประชาชน !!
- แน่นอนว่า การเป็นเผด็จการนั้น ย่อมเป็นเป้าให้ถูกวิจารณ์ แต่รัฐบาลจีน เลือกที่จะปล่อยให้วิจารณ์ไป.. โดยไม่ตอบโต้
แต่กลับรับมือด้วยการจ้าง "กองทัพนักโพสต์" ประมาณ 2 ล้านคน เพื่อคอยโพสต์ผลงานด้านดีของรัฐบาล
เรียกว่า..กระหน่ำโพสด้านดี จนคน..ลืมด้านเสียไปเลย
- สิ่งเดียวที่รัฐบาลจะเซ็นเซอร์ คือ ข้อความที่เรียกให้คนออกมารวมตัวกัน
- เหตุผลที่.. "สี จิ้น ผิง" ต้องรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง น่าจะเป็นเพราะ
1. รวมอำนาจมาไว้..
เพื่อความเด็ดขาดในการปราบคอรัปชั่น
2. รวบอำนาจ..
เพื่อสร้างฐานการเมืองให้มั่นคง พอจะต้านกับกลุ่มทุนอำนาจ (ซึ่งน้อยลงทุกทีเพราะโดนล่อจนเรียบ)
3. เพื่อสร้างความมั่นคงของรัฐบาล ในการนำประเทศภายใต้นโยบายใหม่ คือ เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขัดกับรัฐบาล ก่อนๆ.. ที่เน้นการเติบโตแบบร้อนแรง
นโยบายเศรษฐกิจของ "สี จิ้น ผิง" เน้นให้ประเทศเติบโตจากการลงทุนของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อน ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน และ เน้นการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน หันไปสู่การผลิตที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
โดยพยายามส่งเสริมภาคการผลิต ที่เป็นสินค้าเชิงคุณภาพ และมูลค่าสูง เช่น อิเลคโทรนิคส์ หรือ เน้นนวัตกรรม
*****
รัฐบาลจีน..ยังคงลงทุนอยู่ แต่จะลงทุนเฉพาะ
1. สาธารณูปโภคในเมืองห่างไกล
2. ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
ที่จีนกำลังขาดแคลน
3. ลงทุนในด้านนวัตกรรม หรือ
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI
และ ลงทุนในการยกระดับเทคโนโลยี
Milestones ของจีน
ภายใต้การนำของ "สี จิ้น ผิง" คือ
ปี 2021 (พรรคคอมมิวนิสต์ครบ 100 ปี)
คนจีนทั้งประเทศ จะอยู่ดีกินดีระดับหนึ่ง
ปราศจากความยากจน (แค่ 3ปีนับจากนี้)
ปี 2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย
ปี 2049 ประเทศจีนจะครบรอบ 100 ปี
จีน.. จะเป็นประเทศมหาอำนาจสมัยใหม่ ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม
- ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีน
แบ่งตามความเหมาะสมของแต่ละ ภาคส่วน (cluster) ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนยังมีเทคโนโลยีห่างไกลจากประเทศตะวันตก
เช่น อเมริกา เยอรมัน
จีนจะใช้วิธีการเข้าไป takeover บริษัท แล้วดึงความรู้กลับมา (ดูด know how) หรือไปตั้งศูนย์วิจัยของตัวเอง ที่ประเทศดังกล่าว (ดูดคน) หรือ ชักชวนบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงาน หรือมาลงทุนในจีน และสุดท้าย คือ
ส่งเสริมให้ R&D ของจีน ค้นคว้าด้วยตัวเอง
2. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนมีเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่น รัฐบาลจะลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง
3. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่มีแรงงานเป็นหลัก
ผลิตของราคาถูก จะเน้นให้..ยกระดับไปผลิตของที่มีมูลค่าสูงขึ้น
แต่ถ้าเป็น อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถยกระดับได้ จะให้ย้ายโรงงานฐานการผลิตไปยัง ประเทศที่มีต้นทุนค่าแรงการผลิตต่ำกว่า (ย้ายจากตะวันออกไปตอนกลางของประเทศ)
4. ภาคอุตสาหกรรมใหม่
หรือเศรษฐกิจใหม่ (New Ecomomy)
ที่จีนเริ่มต้น พร้อมประเทศอื่นๆ เช่น AI
จีนได้เปรียบในเรื่อง จำนวนทรัพยากรมนุษย์อยู่แล้ว
จึงทำให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จ หรือเป็นรูปธรรมได้มากกว่า
- นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ
ที่เราจะได้เห็นจากจีนนับจากนี้ คือ
ปี 2025
นโยบาย Made in China 2025
ที่จะพลิกจีนจากประเทศ การเป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก สู่ศูนย์กลางการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ หุ่นยนต์ รถยนต์ พลังงานสะอาด
ใครที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าของจากจีน หูตาต้องกว้างไกลแล้ว เพราะต่อไปการขนส่งสินค้าจีน จะเปลี่ยนจากคำว่า Made in China ไปเป็น Made by Chinese
แต่โรงงานอยู่ประเทศอื่น
ปี 2030 จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำ ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
- เมื่อปี 2015
จีนประการสร้าง cluster แห่งอภิมหาเมืองรวม 11 แห่ง
หลักการ คือ การเชื่อมเมืองใหญ่ และเมืองเล็กโดยรอบหลายเมืองเข้าไว้ด้วยรถไฟความเร็วสูง
พัฒนาเมืองใหม่ขึ้น ตรงกลางของ Cluster เพื่อเป็นการ
กระจายความเจริญ ลดความหนาแน่นจากเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนอยู่เมืองเล็ก ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาอัดแน่นในเมือง เพราะรถไฟความเร็วสูงสามารถ พามาถึงเมืองใหญ่ภายในชั่วโมงเดียว
3 แห่งที่จะเป็นอภิมหาเมืองระดับ Super Cluster
Jing-Jin-Ji ศูนย์กลางอยู่ปักกิ่ง
เชื่อม 13 เมือง 130 ล้านคน
Yangtze River Delta
ศูนย์กลางอยู่เซี่ยงไฮ้
เชื่อม 16 เมือง 80 ล้านคน
Pearl River Delta
ศูนย์กลางอยู่กวางเจา
เชื่อม 11 เมือง 80 ล้านคน
ทั้งหมดที่ว่ามา เราจะได้เห็นในปี 2050
- โครงการเชื่อมโลก
One-Belt-One-Road ที่เราคุ้นหู
ประเทศไทย อยู่ในส่วนที่เรียกว่า
"ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน"
ซึ่งรวมเวียดนาม และกัมพูชาด้วย
ระเบียงนี้เป็นเพียง 1 ใน 6
ระเบียงเศรษฐกิจย่อยเท่านั้น
ภาพรวมของโครงการนี่ ต้องบอกว่า ใหญ่ระดับที่ส่งผลกระทบ กับชีวิตคนมากกว่าครึ่งโลกจริงๆ
มากกว่าส่งคนไปดวงจันทร์เสียอีก
เพราะผลกระทบนี้ เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ทุกมิติจริงๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ
การอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คน
การหลั่งไหลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์นี้เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า
จีนพร้อมแล้ว !!
ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลก
แต่ วิธีการนั้น.. จะเป็นมิตรกว่าอเมริกา
ที่เข้าไปเอาแต่ผลประโยชน์
ในขณะที่ จีน พร้อมให้ความร่วมมือ
กับทุกประเทศที่เข้าไป
(แม้จีนจะต้อง Win กว่าอยู่ดี) และ
สนับสนุนความเป็นโลกาภิวัฒน์มากกว่า
- จีนประกาศจะเป็นผู้นำ
ด้าน AI ในปี 2030 (อีก 12 ปี นับจากนี้) โดยถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญว่า จีนจะทำได้จริงหรือไม่
- แม้วันนี้จีนยังเป็นรองในด้านระบบการประมวลผล Computer Processor กับ ขั้นตอนของการวิเคราะห์ (Algorithm)
แต่สิ่งที่จีนมีเหนือกว่ามากคือ
ปริมาณข้อมูลมหาศาล (Big Data)
- การทำงานของ AI
ใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ประกอบกัน
2 อย่างแรกจีนใช้วิธีการซื้อ และ ดูดคน ดูดองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดจีน จะตามทันแน่นอน
แต่ในเรื่อง Big Data นั้น จีนสามารถปิดข้อมูลการใช้งานของคนในประเทศได้ นั่นคือ สิ่งที่ทำให้จีนได้เปรียบในที่สุด
- AI จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ
การแข่งขันของจีนในทุกด้าน เช่น
ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน
เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ
เอาไว้ควบคุมสังคมในประเทศนั่นเอง
- บริษัทเทคฯ ใหญ่ ตอนนี้
ต่างหันมาพัฒนาด้าน AI ชนิดเต็มสูบ
ทั้ง alibaba baidu tencents
แข่งกันแบบวิ่งร้อยเมตรทุกวันจริงๆ
"เพื่อรู้เท่าทันอนาคตของเรา และ
อนาคตของโลก จงจับตามองทุกฝีกก้าว"
Credit : ข้อมูลเพิ่มเติมจากLINE,ข้อมูลจากน้องเป้
หนังสือ CHINA 5.0
Economicจีนที่คุณต้องติดตาม
เจาะลึกศก จีน อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
โดย ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร
ดร อาร์มบอกว่า มีคนถามว่า China 5.0 เกี่ยวข้องกับ Thailand 4.0อย่างไร
4.0 หมายถึงยุคดิจิตอล แต่5.0หมายถึง ปัญญาประดิษฐ์หรือAI
...
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ.. จะเป็นไปอีกหลายปี
ตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง เมื่อ 40 ปีก่อน
ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง"
เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ
เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารและมหาศาล. การเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น2ยุค
ยุคแรก จากช่วงประธานเหมาเจ๋อตุงต่อมาช่วงเติ้งเสี่ยวผิง
ในช่วง40ปีที่แล้ว ช่วงนั้นประธานเหมาต้องการให้ศกเจริญแบบสหรัฐ
ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าอุตสาหกรรมไหนของสหรัฐน่าสนใจและมีผลต่อการเติบโตทางศก
ทำให้จีนช่วงนั้นก้าวจากอุตสาหกรรมการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นของภาครัฐ100%
ซึ่งอุตสาหกรรมไหนทำขาดทุน รัฐก็มาอุดหนุน
การวางแผนการผลิตก็มาจากส่วนกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการ
พอเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมา ก็ไม่รู้อะไรมากมากยเพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ทำที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ก็กลับไปแก้ไข
เช่น เซิ่นเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เมื่อก่อนเป็นหมู่บ้านชนบท ก็ถูกพัฒนาจาก40ปีที่แล้วมาเป็นเขตศกพิเศษ
ได้ชวนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุน ซึ่งมีคำถามว่าจะขายใคร เพราะที่เซิ่นเจิ้นไม่น่าจะมีกำลังซื้อ
ซึ่งได้คำตอบคือผลิตและส่งออกสินค้าไปขายตลาดโลก
ซึ่งจีนมีโชค2เด้ง
1. ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีฐานะหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจในต่างแดนลงขันมาช่วย
2.ศกโลกช่วงจีนเริ่มเปิดประเทศอยู่ในช่วงจังหวะฟื้นตัวพอดี
การลงทุนในอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้นซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก
และต่อมาศกจีนก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเอกชน90%ดำเนินธุรกิจ
แต่บริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นของรัฐวิสาหกิจ
รัฐยังยอมให้เอกชนมีบทบาททางการตลาด
รัฐบาลต่อมา เจียงเจ๋อหมองมีนายกรัฐมนตรีที่เก่งคือคุณจูหรงจี
รัฐวิสาหกิจใดไม่กำไร ก็ควรให้เอกชนไปทำแทน
แปรเปลี่ยนกลไกภาครัฐมาทางเอกชนมากขึ้น
ยุคที่สอง
ผู้นำยุคที่สี่คุณหูจิ่นเทา สถานการณ์โลกมาบีบจีนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ศกโลก หดตัว กระทบต่อการส่งออกของจีนฟุบ
ได้ขยายการลงทุนอย่างมหาศาลซึ่งถือเป็นยุคที่สอง
ถือเป็นการกระตุ้นศกอย่างมโหฬาร
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย เช่น สร้างสนามบิน รถไฟความเร็วสูง ถนน สะพาน
การทำแบบนี้มีข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
1.ทำให้เกิดโมเดลความสำเร็จของจีนซึ่งขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
2.เกิดเมืองใหม่
3.เกิดความเชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูงเกิดClusterเมือง 4แห่งรวมประชากรกว่า600ล้านนคร
ข้อเสีย
1.จากการส่งออกได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า
2.เกิดอุปทานส่วนเกินในการผลิตover capacity เช่นเหล็ก ถ่านหิน Cement
เกิดปัญหา over capacity ปัญหาหนี้และสิ่งแวดล้อมคือ PM2.5 ซึ่งเกิดก่อนไทยอีก
ดังนั้นจึงแก้ไขโดยส่งออกวัตถุดิบไปขายต่างประเทศ
ส่งออกคนที่มีความสามารถไปทำงานช่วยประเทศอื่นในอาเซียน
เช่นเป็นที่ปรึกษาในการสร้างรถไฟความเร็วสูง
โดยนำโมเดลขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เมือง และ ความเชื่อมโยงไปใช้ในประเทศต่างๆ
ส่วนต่างๆของจีนก็ไปเชื่อมโยงกับประเทศพื้นบ้าน
เช่น กวางตุ้งเชื่อมกับอาเซียน
และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น
"สี จิ้น ผิง"
ทำได้อย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป
จีน กำลังจะมุ่งหน้าไปทางทิศทางไหน
ไทยเราควรปรับตัว ฉวยโอกาสอย่างไร
จุดสนใจ..
- อังกฤษใช้เวลา 150 ปี กว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในขณะที่ เยอรมัน ใช้เวลา 65 ปี สหรัฐ 53 ปี
แต่.. จีน.. ใช้เวลาเพียง 12 ปี
ตัวเลขดังกล่าว จะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า "เวลามีต้นทุน" ได้อย่างดี
โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะถ้าคุณแค่อยู่เฉยๆ ในจีน เท่ากับคุณถอยหลังแล้ว
คำกล่าวที่ว่า 1 ปีของจีน เท่ากับ 10 ปีของประเทศอื่น ดูจะไม่เกินความจริงเท่าไหร่
เพราะจีนเป็นสังคมที่ dynamic มาก ประเทศกำลังขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่
โลกของจีนกลางเป็นวิชาบังคับ..ที่ทุกคนต้องศึกษา ไม่ใช่วิชาเลือกอีกต่อไปแล้ว
- การเมืองของจีน
มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว "สี จิ้น ผิง" เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกจะปฏิรูประบบการเมืองของจีน ให้อยู่ได้ด้วยแนวทางที่เข้ากับพื้นฐานของประเทศ ไม่ตามชาติตะวันตก จนควบคุมไม่ได้ !!
- งานแรกที่ "สี จิ้น ผิง" เลือกที่จะทำ คือ การสลายขั้วอำนาจของการเมืองทั้งสอง ด้วยการปราบคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ !! นักการเมืองสองขั้ว โดนจับมากกว่า 120 คนในช่วงเวลาเพียง 2 ปีแรกที่.. สี จิ้น ผิง.. เข้ารับตำแหน่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมี..การปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้วย
- หลายฝ่ายมองว่า "สี จิ้น ผิง"
คือ สุดยอดของการคอมมิวนิสต์
คือ รวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้เดียว
แต่.. การกระทำดังกล่าว ทำให้สั่งงานได้ง่าย งานเห็นผล และสร้างความพอใจแก่ประชาชนได้มากที่สุด โดยรัฐบาลจีน ก็ยอมรับเสียด้วย และเรียกตัวเองว่า เป็น.. รัฐบาลเผด็จการเพื่อประชาชน !!
- แน่นอนว่า การเป็นเผด็จการนั้น ย่อมเป็นเป้าให้ถูกวิจารณ์ แต่รัฐบาลจีน เลือกที่จะปล่อยให้วิจารณ์ไป.. โดยไม่ตอบโต้
แต่กลับรับมือด้วยการจ้าง "กองทัพนักโพสต์" ประมาณ 2 ล้านคน เพื่อคอยโพสต์ผลงานด้านดีของรัฐบาล
เรียกว่า..กระหน่ำโพสด้านดี จนคน..ลืมด้านเสียไปเลย
- สิ่งเดียวที่รัฐบาลจะเซ็นเซอร์ คือ ข้อความที่เรียกให้คนออกมารวมตัวกัน
- เหตุผลที่.. "สี จิ้น ผิง" ต้องรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง น่าจะเป็นเพราะ
1. รวมอำนาจมาไว้..
เพื่อความเด็ดขาดในการปราบคอรัปชั่น
2. รวบอำนาจ..
เพื่อสร้างฐานการเมืองให้มั่นคง พอจะต้านกับกลุ่มทุนอำนาจ (ซึ่งน้อยลงทุกทีเพราะโดนล่อจนเรียบ)
3. เพื่อสร้างความมั่นคงของรัฐบาล ในการนำประเทศภายใต้นโยบายใหม่ คือ เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขัดกับรัฐบาล ก่อนๆ.. ที่เน้นการเติบโตแบบร้อนแรง
นโยบายเศรษฐกิจของ "สี จิ้น ผิง" เน้นให้ประเทศเติบโตจากการลงทุนของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อน ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน และ เน้นการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน หันไปสู่การผลิตที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
โดยพยายามส่งเสริมภาคการผลิต ที่เป็นสินค้าเชิงคุณภาพ และมูลค่าสูง เช่น อิเลคโทรนิคส์ หรือ เน้นนวัตกรรม
*****
รัฐบาลจีน..ยังคงลงทุนอยู่ แต่จะลงทุนเฉพาะ
1. สาธารณูปโภคในเมืองห่างไกล
2. ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
ที่จีนกำลังขาดแคลน
3. ลงทุนในด้านนวัตกรรม หรือ
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI
และ ลงทุนในการยกระดับเทคโนโลยี
Milestones ของจีน
ภายใต้การนำของ "สี จิ้น ผิง" คือ
ปี 2021 (พรรคคอมมิวนิสต์ครบ 100 ปี)
คนจีนทั้งประเทศ จะอยู่ดีกินดีระดับหนึ่ง
ปราศจากความยากจน (แค่ 3ปีนับจากนี้)
ปี 2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย
ปี 2049 ประเทศจีนจะครบรอบ 100 ปี
จีน.. จะเป็นประเทศมหาอำนาจสมัยใหม่ ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม
- ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีน
แบ่งตามความเหมาะสมของแต่ละ ภาคส่วน (cluster) ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนยังมีเทคโนโลยีห่างไกลจากประเทศตะวันตก
เช่น อเมริกา เยอรมัน
จีนจะใช้วิธีการเข้าไป takeover บริษัท แล้วดึงความรู้กลับมา (ดูด know how) หรือไปตั้งศูนย์วิจัยของตัวเอง ที่ประเทศดังกล่าว (ดูดคน) หรือ ชักชวนบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงาน หรือมาลงทุนในจีน และสุดท้าย คือ
ส่งเสริมให้ R&D ของจีน ค้นคว้าด้วยตัวเอง
2. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนมีเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่น รัฐบาลจะลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง
3. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่มีแรงงานเป็นหลัก
ผลิตของราคาถูก จะเน้นให้..ยกระดับไปผลิตของที่มีมูลค่าสูงขึ้น
แต่ถ้าเป็น อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถยกระดับได้ จะให้ย้ายโรงงานฐานการผลิตไปยัง ประเทศที่มีต้นทุนค่าแรงการผลิตต่ำกว่า (ย้ายจากตะวันออกไปตอนกลางของประเทศ)
4. ภาคอุตสาหกรรมใหม่
หรือเศรษฐกิจใหม่ (New Ecomomy)
ที่จีนเริ่มต้น พร้อมประเทศอื่นๆ เช่น AI
จีนได้เปรียบในเรื่อง จำนวนทรัพยากรมนุษย์อยู่แล้ว
จึงทำให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จ หรือเป็นรูปธรรมได้มากกว่า
- นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ
ที่เราจะได้เห็นจากจีนนับจากนี้ คือ
ปี 2025
นโยบาย Made in China 2025
ที่จะพลิกจีนจากประเทศ การเป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก สู่ศูนย์กลางการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ หุ่นยนต์ รถยนต์ พลังงานสะอาด
ใครที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าของจากจีน หูตาต้องกว้างไกลแล้ว เพราะต่อไปการขนส่งสินค้าจีน จะเปลี่ยนจากคำว่า Made in China ไปเป็น Made by Chinese
แต่โรงงานอยู่ประเทศอื่น
ปี 2030 จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำ ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
- เมื่อปี 2015
จีนประการสร้าง cluster แห่งอภิมหาเมืองรวม 11 แห่ง
หลักการ คือ การเชื่อมเมืองใหญ่ และเมืองเล็กโดยรอบหลายเมืองเข้าไว้ด้วยรถไฟความเร็วสูง
พัฒนาเมืองใหม่ขึ้น ตรงกลางของ Cluster เพื่อเป็นการ
กระจายความเจริญ ลดความหนาแน่นจากเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนอยู่เมืองเล็ก ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาอัดแน่นในเมือง เพราะรถไฟความเร็วสูงสามารถ พามาถึงเมืองใหญ่ภายในชั่วโมงเดียว
3 แห่งที่จะเป็นอภิมหาเมืองระดับ Super Cluster
Jing-Jin-Ji ศูนย์กลางอยู่ปักกิ่ง
เชื่อม 13 เมือง 130 ล้านคน
Yangtze River Delta
ศูนย์กลางอยู่เซี่ยงไฮ้
เชื่อม 16 เมือง 80 ล้านคน
Pearl River Delta
ศูนย์กลางอยู่กวางเจา
เชื่อม 11 เมือง 80 ล้านคน
ทั้งหมดที่ว่ามา เราจะได้เห็นในปี 2050
- โครงการเชื่อมโลก
One-Belt-One-Road ที่เราคุ้นหู
ประเทศไทย อยู่ในส่วนที่เรียกว่า
"ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน"
ซึ่งรวมเวียดนาม และกัมพูชาด้วย
ระเบียงนี้เป็นเพียง 1 ใน 6
ระเบียงเศรษฐกิจย่อยเท่านั้น
ภาพรวมของโครงการนี่ ต้องบอกว่า ใหญ่ระดับที่ส่งผลกระทบ กับชีวิตคนมากกว่าครึ่งโลกจริงๆ
มากกว่าส่งคนไปดวงจันทร์เสียอีก
เพราะผลกระทบนี้ เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ทุกมิติจริงๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ
การอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คน
การหลั่งไหลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ยุทธศาสตร์นี้เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า
จีนพร้อมแล้ว !!
ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลก
แต่ วิธีการนั้น.. จะเป็นมิตรกว่าอเมริกา
ที่เข้าไปเอาแต่ผลประโยชน์
ในขณะที่ จีน พร้อมให้ความร่วมมือ
กับทุกประเทศที่เข้าไป
(แม้จีนจะต้อง Win กว่าอยู่ดี) และ
สนับสนุนความเป็นโลกาภิวัฒน์มากกว่า
- จีนประกาศจะเป็นผู้นำ
ด้าน AI ในปี 2030 (อีก 12 ปี นับจากนี้) โดยถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญว่า จีนจะทำได้จริงหรือไม่
- แม้วันนี้จีนยังเป็นรองในด้านระบบการประมวลผล Computer Processor กับ ขั้นตอนของการวิเคราะห์ (Algorithm)
แต่สิ่งที่จีนมีเหนือกว่ามากคือ
ปริมาณข้อมูลมหาศาล (Big Data)
- การทำงานของ AI
ใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ประกอบกัน
2 อย่างแรกจีนใช้วิธีการซื้อ และ ดูดคน ดูดองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดจีน จะตามทันแน่นอน
แต่ในเรื่อง Big Data นั้น จีนสามารถปิดข้อมูลการใช้งานของคนในประเทศได้ นั่นคือ สิ่งที่ทำให้จีนได้เปรียบในที่สุด
- AI จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ
การแข่งขันของจีนในทุกด้าน เช่น
ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน
เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ
เอาไว้ควบคุมสังคมในประเทศนั่นเอง
- บริษัทเทคฯ ใหญ่ ตอนนี้
ต่างหันมาพัฒนาด้าน AI ชนิดเต็มสูบ
ทั้ง alibaba baidu tencents
แข่งกันแบบวิ่งร้อยเมตรทุกวันจริงๆ
"เพื่อรู้เท่าทันอนาคตของเรา และ
อนาคตของโลก จงจับตามองทุกฝีกก้าว"
Credit : ข้อมูลเพิ่มเติมจากLINE,ข้อมูลจากน้องเป้
หนังสือ CHINA 5.0
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 159
หลังจากMSCIปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในวันที่28พค ทำให้เม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามา และ ยอดซื้อสุทธิเป็นบวกเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้ผลตอบแทนของ SET ปรับเพิ่มขึ้น 10.3% ในช่วงนี้ถ้าจะลงทุนเพิ่มก็ต้องหากลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นมาก
ผมเลยมาดูรายละเอียดแต่ละกลุ่มที่ขึ้นน้อยกว่าตลาดจนถึงกลุ่มที่ติดลบ
กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ และกลุ่มปิโตรเคมี ติดลบ 12.3% ยังไม่น่าสนใจจากเรื่องtrade warทำให้demandชิ้นส่วนลดลง
หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มLaggardตามหลังSET แต่ยังมีผลตอบแทนเป็นบวกซึ่งอาจมีโอกาสกลับมาได้
ลองมาศึกษารายละเอียดกันครับ
ผลตอบแทนของกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ขึ้นเพียง1.2% เทียบกับSET เพิ่มขึ้น10.3%
ถ้าดูจากกราฟแล้วพบว่ากลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาขาขึ้นหลังจากลงมาตั้งแต่ตคปีที่แล้ว ที่ดัชนีกลุ่ม560จุด ต่ำสุดที่ประมาณ500จุดหลังจากนั้นก็ทยอยขึ้นไปตั้งแต่ปลายเดือนพค หลังจากMSCI ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นไทย
เรามาดูยอดการขอสินเชื่อของกลุ่มปรากฎว่าโตน้อยมาก 0.78%
ธนาคารที่มียอดสินเชื่อโตมากกว่ากลุ่มได้แก่ BAY,KTB,TCAP,KKPและSCB
สินเชื่อในการลงทุนยังไม่ได้โต ส่วนสินเชื่อบ้านเติบโตได้ดีในไตรมาสแรกก่อนที่มาตรการLTVเริ่มใช้ในเดือนเมษายน
ที่มีผลกระทบอีกเรื่องคือการตั้งสำรองสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุที่เพิ่มจาก300วันเป็น400วันก็อาจกระทบต่อ
ผลกำไรของกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส2
ลองมาตามดูธนาคารที่ยอดสินเชื่อโตกว่ากลุ่มกัน
1. SCB หลังจากมาเน้นCore business และเริ่มตัดขายธุรกิจอื่นออก ก็มีข่าวที่SCBขายSCBLifeซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดให้กับFWDทำให้คนมาสนใจลงทุนในธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค = 1.2%
2. BAY กำไรครึ่งปีแรกคาดการณ์ว่าโต 54%เนื่องจากขายธุรกิจเงินติดล้อ
Loan growth YTD ถึง พค = 2.61%
3. KTB Loan growth YTD ถึง พค = 2.61% ส่วนที่โตมาจากสินเชื่อ Bridging ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้น
ส่วนกำไรในช่วง1H19 ใกล้เคียงปีที่แล้ว
4. TCAP กำไรคาดว่าลดลง7%เนื่องจากการตั้งสำรองสำหรับคนเกษียณเพิ่มขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค =2.01% แต่ก็มีลุ้นสำหรับการรวมกันกับธนาคารทหารไทยและได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น
5. KKP ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนธนาคารและหลักทรัพย์
ส่วนธนาคาร มีLoan growth YTD ถึง พค =2.01%
ส่วนหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้ค่าคอมจากต่างชาติที่มาเทรดผ่านภัทร ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในช่วง พค และ มิย
และรายได้จากดีล SCB ขาย SCBLife รวมถึง รายได้จาก IPO เช่น PTTOR
รวมถึงกำไรจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจสร้างsurpriseได้
เวลาดูกำไรของธนาคาร ปกติกำไรที่แสดงจะรวมกำไรพิเศษเข้าไปด้วย ดังนั้นการวิเคราะห์ต้องตัดกำไรพิเศษออก
และมากำไรปกติจะเห็นperformanceของธนาคารที่ถูกต้อง นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ก่อนการลงทุน
ขอขอบคุณ Finasia สำหรับข้อมูล
ขอให้โชคดีกับการลงทุนนะครับ
ผมเลยมาดูรายละเอียดแต่ละกลุ่มที่ขึ้นน้อยกว่าตลาดจนถึงกลุ่มที่ติดลบ
กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ และกลุ่มปิโตรเคมี ติดลบ 12.3% ยังไม่น่าสนใจจากเรื่องtrade warทำให้demandชิ้นส่วนลดลง
หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มLaggardตามหลังSET แต่ยังมีผลตอบแทนเป็นบวกซึ่งอาจมีโอกาสกลับมาได้
ลองมาศึกษารายละเอียดกันครับ
ผลตอบแทนของกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ขึ้นเพียง1.2% เทียบกับSET เพิ่มขึ้น10.3%
ถ้าดูจากกราฟแล้วพบว่ากลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาขาขึ้นหลังจากลงมาตั้งแต่ตคปีที่แล้ว ที่ดัชนีกลุ่ม560จุด ต่ำสุดที่ประมาณ500จุดหลังจากนั้นก็ทยอยขึ้นไปตั้งแต่ปลายเดือนพค หลังจากMSCI ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นไทย
เรามาดูยอดการขอสินเชื่อของกลุ่มปรากฎว่าโตน้อยมาก 0.78%
ธนาคารที่มียอดสินเชื่อโตมากกว่ากลุ่มได้แก่ BAY,KTB,TCAP,KKPและSCB
สินเชื่อในการลงทุนยังไม่ได้โต ส่วนสินเชื่อบ้านเติบโตได้ดีในไตรมาสแรกก่อนที่มาตรการLTVเริ่มใช้ในเดือนเมษายน
ที่มีผลกระทบอีกเรื่องคือการตั้งสำรองสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุที่เพิ่มจาก300วันเป็น400วันก็อาจกระทบต่อ
ผลกำไรของกลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาส2
ลองมาตามดูธนาคารที่ยอดสินเชื่อโตกว่ากลุ่มกัน
1. SCB หลังจากมาเน้นCore business และเริ่มตัดขายธุรกิจอื่นออก ก็มีข่าวที่SCBขายSCBLifeซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดให้กับFWDทำให้คนมาสนใจลงทุนในธนาคารไทยพาณิชย์มากขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค = 1.2%
2. BAY กำไรครึ่งปีแรกคาดการณ์ว่าโต 54%เนื่องจากขายธุรกิจเงินติดล้อ
Loan growth YTD ถึง พค = 2.61%
3. KTB Loan growth YTD ถึง พค = 2.61% ส่วนที่โตมาจากสินเชื่อ Bridging ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะสั้น
ส่วนกำไรในช่วง1H19 ใกล้เคียงปีที่แล้ว
4. TCAP กำไรคาดว่าลดลง7%เนื่องจากการตั้งสำรองสำหรับคนเกษียณเพิ่มขึ้น
Loan growth YTD ถึง พค =2.01% แต่ก็มีลุ้นสำหรับการรวมกันกับธนาคารทหารไทยและได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น
5. KKP ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนธนาคารและหลักทรัพย์
ส่วนธนาคาร มีLoan growth YTD ถึง พค =2.01%
ส่วนหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้ค่าคอมจากต่างชาติที่มาเทรดผ่านภัทร ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในช่วง พค และ มิย
และรายได้จากดีล SCB ขาย SCBLife รวมถึง รายได้จาก IPO เช่น PTTOR
รวมถึงกำไรจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่อาจสร้างsurpriseได้
เวลาดูกำไรของธนาคาร ปกติกำไรที่แสดงจะรวมกำไรพิเศษเข้าไปด้วย ดังนั้นการวิเคราะห์ต้องตัดกำไรพิเศษออก
และมากำไรปกติจะเห็นperformanceของธนาคารที่ถูกต้อง นี่เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ก่อนการลงทุน
ขอขอบคุณ Finasia สำหรับข้อมูล
ขอให้โชคดีกับการลงทุนนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 160
“ตลาดหุ้นไทยลงทุนยากกว่าเมื่อก่อนมาก” “อยากได้กำไรต้องทำการบ้านให้มาก”
นี่เป็นข้อคิดและมุมมองการลงทุนไตรมาสที่ 3 ของพี่ป๋อง คุณวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนพันล้านขวัญใจมหาชน
ในงานสัมมนาของ The Advisory โดยธนาคารกรุงศรี สิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า Krungsri Prime และ Krungsri Exclusive ของธนาคารกรุงศรี
เลยอยากสรุปให้พี่ๆน้องๆนักลงทุนได้ฟังกันครับ
============
1. ”ตลาดหุ้นไทยช่วง 1-2 ปีนี้ลงทุนยากมากปีที่แล้วติดลบไปประมาณ 10% พอๆกับตลาด”
“ส่วนปีนี้ผลตอบแทนของผมก็เบาๆ บวก 1.5% แทบจะเท่ากับเงินฝากเลย” “หลายคนบอกว่าตกรถ แต่ตอนนี้รถผมไม่วิ่งไปไหนเลย” พี่ป๋องแซวตัวเอง คนหัวเราะทั้งห้องเลยครับ
พี่ป๋องเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพอร์ตใหญ่ขึ้น ทำให้การเข้า-ออก หุ้นแต่ละตัวยากกว่าตอนพอร์ตเล็ก “พี่แค่ซื้อนิดเดียว หุ้นตัวนั้นก็อาจจะขึ้นไปแล้ว 10%” “แวบนึงเราอาจจะหลอกตัวเองได้ว่า โห… หุ้นวิ่งแล้ว แต่จริงๆแล้วไม่ใช่… มันคือเราเนี่ยแหละที่ซื้อเอง ราคาเลยขึ้น”
ปัญหามันไม่ได้เกิดแค่ตอนซื้อครับ เพราะบางครั้งพอมีสัญญานขายแล้ว พี่ป๋องเองก็อยากขายใจจะขาด แต่มันขายไม่ได้เพราะไม่มี bid ทำให้หลายครั้งก็ติดหุ้นเหมือนกัน
============
2. หุ่นยนต์ทำให้การทำกำไรรายวันยากขึ้น
และอีกเหตุผลที่ทำให้การลงทุนยากขึ้น คือตอนนี้เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์มาช่วยในการเทรด “บางทีเราเห็นโอกาสในการเทรดแล้ว แต่แค่คิดว่าอยากจะซื้อ” “เราแค่คิด…. แต่หุ่นยนต์ส่งคำสั่งซื้อก่อนหน้าเราเสียอีก” ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป
“มันเหมือนเรามีมีด แต่คู่แข่งมีมีดด้ามยาว หรือปืนกล” ทำให้เราลงทุนยากขึ้นกว่าเมื่อก่อน “ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ตัวที่ซื้อแล้วถือยาว ทำกำไรได้มากกว่าตัวที่ day trade เสียอีก”
ตอนนี้สไตล์การลงทุนของเสี่ยป๋องเริ่มเน้นถือยาวมากขึ้น เน้นตัวที่มีสภาพคล่องสูง แล้วเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ถ้าบริษัทน่าเชื่อถือ ราคาไม่แพงจนเกินไป แล้วกราฟสวยก็สามารถทยอยเก็บได้
“ตอนที่พอร์ตเล็กๆก็เล่นได้ทุกตัวแต่เดี๋ยวนี้พอร์ตใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็เล่นตัวที่ใหญ่หน่อย เพื่อความคล่องตัวในการซื้อขาย” ปัจจุบันพี่ป๋องเน้นหุ้นใหญ่ 90% และหุ้นเล็กเพียง 10% ของพอร์ต (มีเล่นหุ้นต่างประเทศบ้างแต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก)
============
3. blocktrade ทำให้ตลาดหุ้นไม่เหมือนเดิม
blocktrade มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นมีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างจากอดีต มีความผันผวนรุนแรง เพราะเป็นการ leverage เงินที่เรามีอยู่ (มีเงิน 1 บาท แต่การใช้ blocktrade อาจจะเท่ากับมีเงิน 20 บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงมากๆ)
“คนไหนเล่น blocktrade ต้องระวัง แทบจะลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้เลย” “หลายคนที่เล่น block trade สามารถปั้นพอร์ตจากหลักแสน ใช้เวลาใน 5-6 ปี พอร์ตเพิ่มขึ้นกลายเป็น 30 ล้าน แต่พอพลาดเชื่อไหมว่า ภายใน 2 อาทิตย์ พอร์ตกลับมาติดลบ” “รวยเร็วก็ไปเร็วได้เช่นกัน”
ถ้าจะลงทุนสินค้าที่มีความเสี่ยงขนาดนี้คงต้องทำการบ้านให้มากๆ
============
4. ลงทุนยุคนี้ต้องดูกระแสโลกด้วย
“สังเกตง่ายๆ ตอนนี้กระแสการใช้หลอดพลาสติกน้อยลง” “เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ กองทุนนอร์เวย์ ประกาศแล้วว่าจะลดความเสี่ยงในหุ้นน้ำมันและก๊าซ
ฟังแวบแรก ก็อาจจะเฉยๆนะครับ แต่กองทุนนอร์เวย์ คือกองทุนบริหารความมั่งคั่งของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ)
เท่าที่ผมเห็นตัวเลขปลายปีที่แล้ว กองทุนบริหารความมั่งคั่งของนอร์เวย์นี้ ถือหุ้นอุตสาหกรรมน้ำมัน คิดเป็นเงินเกือบ 4 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.2 ล้านล้านบาท
“การที่นอร์เวย์ ทยอยลดการลงทุนน้ำมันภายใน 5 ปีข้างหน้า คือสิ่งที่นักลงทุนไทยเองไม่ควรมองข้ามครับ เพราะหุ้นพลังงานในไทยก็คือหุ้นตัวใหญ่ๆทั้งนั้น” ประเด็นนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้บรรดากองทุนหลายๆแห่งพิจารณาปรับนโยบายการลงทุนในหุ้นพลังงานและแก๊สได้เช่นกัน
============
5. ทรัมป์คือปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน
มีช่วงนึงถ้าจำกันได้อยู่ๆ พี่ทรัมป์ก็ทวีตจะใช้มาตรการภาษีกับเม็กซิโก ทำให้ตลาดหุ้น Dow Jones ล่วงไป 500 จุด
“ผมขายล้างพอร์ตไปช่วง พ.ค. (เพราะกำลังจะเดินทางไปสหรัฐ)” “แต่ปรากฏว่าอีกแปบนึงก็บอกว่า สี จิ้น ผิง คือเพื่อนที่ดีของเค้า ทำให้ตลาดหุ้นดีดกลับ”
“สงสัยพี่ทรัมป์แก จะเล่นหุ้นนะเนี่ย” พี่ป๋องแซว เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งห้องเลยครับ
============
6. ตลาดหุ้นเพราะเฟดจะลดดอกเบี้ย?
รอบนี้หลายคนอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นขึ้นมาเป็นเพราะ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่อย่าลืมนะว่าในปี 2001 และปี 2007 ตอนนั้นอเมริกาเองก็ลดดอกเบี้ยแต่สุดท้ายก็ยังเกิดปัญหาตามมา
“ถ้าลดดอกเบี้ยครั้งเดียวคงจะไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2” “นักลงทุนจะเริ่มคิดว่า เอ…. การที่เฟดลดดอกเบี้ยเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดีหรือไม่”
พี่ป๋องอธิบายโลกความเป็นจริงว่า คนส่วนใหญ่มักจะหาเหตุเอาไปใส่ผล “เศรษฐศาสตร์ที่เราเคยเรียนมาเอามาใช้แทบไม่ได้ในยุคนี้”
============
7. หลายคนอาจจะคิดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าต้องเป็นธุรกิจที่ดี
ธรรมชาติของธุรกิจโรงไฟฟ้า คือธุรกิจมีความนิ่ง มีกระแสเงินสดค่อนข้างแน่นอน และเห็นโครงการค่อนข้างแน่ทำให้สามารถคำนวณคาดการณ์รายได้ ได้แทบจะไม่พลาด และกระแสโลกก็เป็นกระแสรถไฟฟ้า (ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มมากขึ้น)
“แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาผมโดนไฟดูด” ตอนแรกทุกคนก็งง ผมเองก็งงครับ แต่แกใบ้ให้ว่ามันคือหุ้นโรงไฟฟ้า ก็เลยร้องอ๋อ ทั้งห้องครับ
“เอกสารเผยแพร่ผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่ารัฐจะต้องถือหุ้นกิจการโรงไฟฟ้าอย่างน้อย 51% เป็นเวลา 10 ปีตั้งแต่ปี 2562” นี่แหละครับคือเหตุผลที่ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าร่วงทั้งแผงเฉลี่ย 5-7%
การที่จะเพิ่มกิจการโรงไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 51% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 34% นั่นหมายความว่า เอกชนก็จะได้รับ license ยากมากขึ้น เพราะภาครัฐก็จะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
“ต้องระมัดระวัง หุ้นโรงไฟฟ้าตัวไหนที่มีราคา เกินกว่ากำไรต่อเมกะวัตต์” “เช่นกำไรต่อหน่วย 2.5 บาท ก็ให้ถามนักวิเคราะห์เลยว่า แต่ละเจ้ามีกี่เมกกะวัตต์” “หลังจากนั้นก็เอาตัวเลขกำไรต่อหน่วย คูณ กับเมกกะวัตต์ แล้วก็หารด้วยจำนวนหุ้น”
“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าหุ้นโรงไฟฟ้า นักลงทุนทั่วโลกให้ค่า P/E แค่ 15-20x” เราก็คูณตัวเลขกำไรต่อหุ้น ด้วยค่า P/E ก็พอจะรู้แล้วว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของกลุ่มนี้ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่
พี่ป๋อง เป็นนักลงทุนสายเทคนิคและพื้นฐานครับ แกเลยดูทั้งสองอย่าง และเล่าให้ฟังหลักการคำนวณราคาหุ้นเหมาะสม
“คือหลายคนคิดว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นหุ้นกลุ่มที่ defensive ไม่ผันผวน ต้องดีแน่ๆ” แต่เจอประกาศนี้เข้าไปก็คงต้องประเมินกันใหม่
============
8. ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยเริ่มดูโอเค
จุดที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดี คือ ตอนทะลุผ่าน 1680 จุดที่มาพร้อมปริมาณการซื้อขายหนาแน่นทำให้เป็นสัญญานซื้อระยะสั้น (แต่เป็นการเปิดแกป เพราะฉะนั้นมีโอกาสเหมือนกันที่ตลาดจะกลับมาปิดแกป ในอนาคต แต่ไม่รู้เมื่อไหร่)
“ตอนทะลุผ่าน 1680 พี่ก็เข้าซื้อตอนนั้นแหละ แต่ภาพรวมพอร์ตไม่ค่อยขึ้นเลย เพราะหุ้นตัวที่ขึ้นสูงมากกลับเป็นตัวที่ลงทุนไม่มาก” “มันก็ไปถัวๆกับตัวที่ขาดทุน”
ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทย โดยปีที่แล้วฝรั่งขายหุ้นไทยไป 3 แสนล้านบาท ปีนี้ฝรั่งเริ่มกลับมา “แต่พี่คิดว่า ฝรั่งชุดนี้เป็น Hedgefund พวกเก็งกำไรว่า ถ้าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย แล้วจะมีนักลงทุนฝรั่งอีกชุดที่ก่อนหน้านี้อาจจะติดกฏเกณฑ์ไม่สามารถลงทุนได้ ก็เลยรีบเข้ามาลงทุนก่อน”
โดยเน้นไปที่หุ้นกลุ่ม SET50 แต่ถ้าฝรั่งชุดใหญ่ไม่เข้ามาลงทุนจริง กลุ่มที่เป็น Hedgefund ก็คงขายออกมาก่อนเพราะฉะนั้นรอบนี้ต้องระวังเหมือนกัน
============
9. พี่ป๋องสอนเทคนิคลงทุน
พี่ป๋องแนะนำว่า ถ้าตลาดหุ้นกลับมาหลุด 1600 จุดอีกครั้งจะเป็นสัญญานขาย “แต่ถ้าเราถือหุ้นอยู่แล้วรอจนร่วงมาถึง 1600 จุด แล้วค่อยขาย จะลึกเกินไป”
คำแนะนำคือ ถ้าตลาดหุ้นยังทำจุดสูงสุดใหม่ ก็ห้ามหลุดทำจุดต่ำสุดใหม่อีกรอบนึง หรืออีกกรณีคือ ถ้าหุ้นหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันก็ให้ทยอยขายออกมาก่อน
(พี่ป๋องใช้เส้นค่าเฉลี่ย Exponential 10, 25, 75, 200, และ 400 วันและใช้ MACD ช่วยด้วยครับ)
แต่ถ้าให้ประเมินรอบนี้ถ้ามีปรับฐานก็คงจะเป็นการปรับฐานเพื่อที่จะไปต่อ ให้หาจังหวะรอซื้อ (ยกเว้นกรณีที่หลุด 1600 จุด ก็ให้ขายหมดเลย แล้วเดี๋ยวหาจังหวะเข้ากลับมาซื้ออีกที)
============
10. ยังเชื่อมั่นตลาดหุ้นในระยะยาวมีโอกาสแตะ 2,680 จุด!!
“ภาพใหญ่ๆ ตลาดหุ้นไทยเคยวิ่งจาก 100 จุดไปจนถึง 1,789 จุด” อันนี้พี่ป๋องมองว่าเป็นคลื่นที่ 1 ของภาพ SET Grand super cycle โดยใช้เวลา 19 ปี
“คลื่นที่ 2 คือตอนที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาหนัก ตลาดหุ้นก็ร่วงลงมา 204 จุดในช่วงปี 2008” คลื่นที่ 2 ใช้เวลานานกว่า 14 ปี “ตอนที่ตลาดหุ้นไทยทะลุ 1850 จุดเมื่อปีที่แล้ว ก็คอนเฟิร์มว่ารอบนี้เป็นคลื่นที่ 3 แล้ว”
ส่วนถ้าใช้ ฟิโบมาจับ ตรงบริเวณ 161.8% จะวัดเป้าหมายตลาดหุ้น SET ได้แถวๆ 2,680 จุดเพียงแต่ว่าเราไม่ทราบว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ
“นั่นคือจุดหมายปลายทางที่เรามอง แต่ระหว่างทางที่ตลาดหุ้นค่อยๆขึ้นไป ไม่ใช่ว่าตลาดหุ้นจะร่วงลงไม่ได้นะครับ” “มันเป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานบ้าง”
โดยมองว่ารอบนี้กว่าจะถึงเป้าหมาย อาจจะต้องใช้เวลา ไม่น้อยกว่า 19 ปี จากปี 2008 (นั่นคืออีก 8 ปีครับ)
============
คำแนะนำ
1. ให้ระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้เยอะๆ แต่อัตราทำกำไรต่ำๆ แต่มีค่า P/E สูง เพราะมีโอกาสที่จะพลิกขาดทุนแล้วทำให้หุ้นร่วงหนัก
2. ระวังอย่าเล่นอะไรที่เกินตัว อย่ากู้เงินมากเกินไป เป็นสิ่งที่อันตราย (สินค้าพวก derivative ต้องทำการบ้านเยอะๆ)
3. แนะนำให้ศึกษาเทคนิคการลงทุนให้มากๆ เดี๋ยวนี้หาอ่านได้ฟรีๆในออนไลน์ได้แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเริ่มศึกษาจริงจังเมื่อไหร่
============
ความเห็นของ “ถามอีกกับอิก”
ส่วนตัวผมชอบพี่ป๋อง อยู่แล้วครับ เป็นคนจริง และจริงใจ ไม่ปิดบัง “ขาดทุนก็บอกว่าขาดทุน” ถ้าเทคนิคไหนทำแล้วได้กำไรแกก็แบ่งปันแบบไม่กั๊ก แต่ก็จะสอนคนอื่นเสมอๆ ว่าอย่าเชื่อแกหมดนะ ขอให้เรียนรู้วิธีคิดของแก และนำไปฝึกฝนให้เป็นสไตล์ของตัวเอง
“ตอนที่ลงทุนอย่าเชื่อคนอื่น อย่าเชื่อเสี่ยคนไหน แต่ขอให้เชื่อตัวเอง” ผมเห็นด้วยเลยครับเพราะทุกคนมีเส้นทางความสำเร็จไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะเจอสไตล์ไหนที่เหมาะกับตัวเองได้เร็วแค่ไหน และฝึกฝนตัวเองเสมอๆได้หรือไม่ครับ
และแม้ว่าเราเคยสำเร็จแล้วระดับนึง ก็อย่าหยุดที่จะหาความรู้ให้กับตัวเองใหม่ๆตลอดเวลา เพราะยุคนี้เป็นยุคที่การลงทุนยากมาก คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม แล้วคาดหวังความสำเร็จแบบเดิมๆก็คงจะไม่ได้
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน ลงทุนมีความสุขครับ
นี่เป็นข้อคิดและมุมมองการลงทุนไตรมาสที่ 3 ของพี่ป๋อง คุณวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนพันล้านขวัญใจมหาชน
ในงานสัมมนาของ The Advisory โดยธนาคารกรุงศรี สิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า Krungsri Prime และ Krungsri Exclusive ของธนาคารกรุงศรี
เลยอยากสรุปให้พี่ๆน้องๆนักลงทุนได้ฟังกันครับ
============
1. ”ตลาดหุ้นไทยช่วง 1-2 ปีนี้ลงทุนยากมากปีที่แล้วติดลบไปประมาณ 10% พอๆกับตลาด”
“ส่วนปีนี้ผลตอบแทนของผมก็เบาๆ บวก 1.5% แทบจะเท่ากับเงินฝากเลย” “หลายคนบอกว่าตกรถ แต่ตอนนี้รถผมไม่วิ่งไปไหนเลย” พี่ป๋องแซวตัวเอง คนหัวเราะทั้งห้องเลยครับ
พี่ป๋องเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพอร์ตใหญ่ขึ้น ทำให้การเข้า-ออก หุ้นแต่ละตัวยากกว่าตอนพอร์ตเล็ก “พี่แค่ซื้อนิดเดียว หุ้นตัวนั้นก็อาจจะขึ้นไปแล้ว 10%” “แวบนึงเราอาจจะหลอกตัวเองได้ว่า โห… หุ้นวิ่งแล้ว แต่จริงๆแล้วไม่ใช่… มันคือเราเนี่ยแหละที่ซื้อเอง ราคาเลยขึ้น”
ปัญหามันไม่ได้เกิดแค่ตอนซื้อครับ เพราะบางครั้งพอมีสัญญานขายแล้ว พี่ป๋องเองก็อยากขายใจจะขาด แต่มันขายไม่ได้เพราะไม่มี bid ทำให้หลายครั้งก็ติดหุ้นเหมือนกัน
============
2. หุ่นยนต์ทำให้การทำกำไรรายวันยากขึ้น
และอีกเหตุผลที่ทำให้การลงทุนยากขึ้น คือตอนนี้เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์มาช่วยในการเทรด “บางทีเราเห็นโอกาสในการเทรดแล้ว แต่แค่คิดว่าอยากจะซื้อ” “เราแค่คิด…. แต่หุ่นยนต์ส่งคำสั่งซื้อก่อนหน้าเราเสียอีก” ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป
“มันเหมือนเรามีมีด แต่คู่แข่งมีมีดด้ามยาว หรือปืนกล” ทำให้เราลงทุนยากขึ้นกว่าเมื่อก่อน “ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ตัวที่ซื้อแล้วถือยาว ทำกำไรได้มากกว่าตัวที่ day trade เสียอีก”
ตอนนี้สไตล์การลงทุนของเสี่ยป๋องเริ่มเน้นถือยาวมากขึ้น เน้นตัวที่มีสภาพคล่องสูง แล้วเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ถ้าบริษัทน่าเชื่อถือ ราคาไม่แพงจนเกินไป แล้วกราฟสวยก็สามารถทยอยเก็บได้
“ตอนที่พอร์ตเล็กๆก็เล่นได้ทุกตัวแต่เดี๋ยวนี้พอร์ตใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็เล่นตัวที่ใหญ่หน่อย เพื่อความคล่องตัวในการซื้อขาย” ปัจจุบันพี่ป๋องเน้นหุ้นใหญ่ 90% และหุ้นเล็กเพียง 10% ของพอร์ต (มีเล่นหุ้นต่างประเทศบ้างแต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก)
============
3. blocktrade ทำให้ตลาดหุ้นไม่เหมือนเดิม
blocktrade มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นมีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างจากอดีต มีความผันผวนรุนแรง เพราะเป็นการ leverage เงินที่เรามีอยู่ (มีเงิน 1 บาท แต่การใช้ blocktrade อาจจะเท่ากับมีเงิน 20 บาท ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงมากๆ)
“คนไหนเล่น blocktrade ต้องระวัง แทบจะลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้เลย” “หลายคนที่เล่น block trade สามารถปั้นพอร์ตจากหลักแสน ใช้เวลาใน 5-6 ปี พอร์ตเพิ่มขึ้นกลายเป็น 30 ล้าน แต่พอพลาดเชื่อไหมว่า ภายใน 2 อาทิตย์ พอร์ตกลับมาติดลบ” “รวยเร็วก็ไปเร็วได้เช่นกัน”
ถ้าจะลงทุนสินค้าที่มีความเสี่ยงขนาดนี้คงต้องทำการบ้านให้มากๆ
============
4. ลงทุนยุคนี้ต้องดูกระแสโลกด้วย
“สังเกตง่ายๆ ตอนนี้กระแสการใช้หลอดพลาสติกน้อยลง” “เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ กองทุนนอร์เวย์ ประกาศแล้วว่าจะลดความเสี่ยงในหุ้นน้ำมันและก๊าซ
ฟังแวบแรก ก็อาจจะเฉยๆนะครับ แต่กองทุนนอร์เวย์ คือกองทุนบริหารความมั่งคั่งของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ)
เท่าที่ผมเห็นตัวเลขปลายปีที่แล้ว กองทุนบริหารความมั่งคั่งของนอร์เวย์นี้ ถือหุ้นอุตสาหกรรมน้ำมัน คิดเป็นเงินเกือบ 4 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.2 ล้านล้านบาท
“การที่นอร์เวย์ ทยอยลดการลงทุนน้ำมันภายใน 5 ปีข้างหน้า คือสิ่งที่นักลงทุนไทยเองไม่ควรมองข้ามครับ เพราะหุ้นพลังงานในไทยก็คือหุ้นตัวใหญ่ๆทั้งนั้น” ประเด็นนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้บรรดากองทุนหลายๆแห่งพิจารณาปรับนโยบายการลงทุนในหุ้นพลังงานและแก๊สได้เช่นกัน
============
5. ทรัมป์คือปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน
มีช่วงนึงถ้าจำกันได้อยู่ๆ พี่ทรัมป์ก็ทวีตจะใช้มาตรการภาษีกับเม็กซิโก ทำให้ตลาดหุ้น Dow Jones ล่วงไป 500 จุด
“ผมขายล้างพอร์ตไปช่วง พ.ค. (เพราะกำลังจะเดินทางไปสหรัฐ)” “แต่ปรากฏว่าอีกแปบนึงก็บอกว่า สี จิ้น ผิง คือเพื่อนที่ดีของเค้า ทำให้ตลาดหุ้นดีดกลับ”
“สงสัยพี่ทรัมป์แก จะเล่นหุ้นนะเนี่ย” พี่ป๋องแซว เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งห้องเลยครับ
============
6. ตลาดหุ้นเพราะเฟดจะลดดอกเบี้ย?
รอบนี้หลายคนอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นขึ้นมาเป็นเพราะ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่อย่าลืมนะว่าในปี 2001 และปี 2007 ตอนนั้นอเมริกาเองก็ลดดอกเบี้ยแต่สุดท้ายก็ยังเกิดปัญหาตามมา
“ถ้าลดดอกเบี้ยครั้งเดียวคงจะไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2” “นักลงทุนจะเริ่มคิดว่า เอ…. การที่เฟดลดดอกเบี้ยเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดีหรือไม่”
พี่ป๋องอธิบายโลกความเป็นจริงว่า คนส่วนใหญ่มักจะหาเหตุเอาไปใส่ผล “เศรษฐศาสตร์ที่เราเคยเรียนมาเอามาใช้แทบไม่ได้ในยุคนี้”
============
7. หลายคนอาจจะคิดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าต้องเป็นธุรกิจที่ดี
ธรรมชาติของธุรกิจโรงไฟฟ้า คือธุรกิจมีความนิ่ง มีกระแสเงินสดค่อนข้างแน่นอน และเห็นโครงการค่อนข้างแน่ทำให้สามารถคำนวณคาดการณ์รายได้ ได้แทบจะไม่พลาด และกระแสโลกก็เป็นกระแสรถไฟฟ้า (ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มมากขึ้น)
“แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาผมโดนไฟดูด” ตอนแรกทุกคนก็งง ผมเองก็งงครับ แต่แกใบ้ให้ว่ามันคือหุ้นโรงไฟฟ้า ก็เลยร้องอ๋อ ทั้งห้องครับ
“เอกสารเผยแพร่ผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่ารัฐจะต้องถือหุ้นกิจการโรงไฟฟ้าอย่างน้อย 51% เป็นเวลา 10 ปีตั้งแต่ปี 2562” นี่แหละครับคือเหตุผลที่ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าร่วงทั้งแผงเฉลี่ย 5-7%
การที่จะเพิ่มกิจการโรงไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 51% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 34% นั่นหมายความว่า เอกชนก็จะได้รับ license ยากมากขึ้น เพราะภาครัฐก็จะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
“ต้องระมัดระวัง หุ้นโรงไฟฟ้าตัวไหนที่มีราคา เกินกว่ากำไรต่อเมกะวัตต์” “เช่นกำไรต่อหน่วย 2.5 บาท ก็ให้ถามนักวิเคราะห์เลยว่า แต่ละเจ้ามีกี่เมกกะวัตต์” “หลังจากนั้นก็เอาตัวเลขกำไรต่อหน่วย คูณ กับเมกกะวัตต์ แล้วก็หารด้วยจำนวนหุ้น”
“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าหุ้นโรงไฟฟ้า นักลงทุนทั่วโลกให้ค่า P/E แค่ 15-20x” เราก็คูณตัวเลขกำไรต่อหุ้น ด้วยค่า P/E ก็พอจะรู้แล้วว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของกลุ่มนี้ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่
พี่ป๋อง เป็นนักลงทุนสายเทคนิคและพื้นฐานครับ แกเลยดูทั้งสองอย่าง และเล่าให้ฟังหลักการคำนวณราคาหุ้นเหมาะสม
“คือหลายคนคิดว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นหุ้นกลุ่มที่ defensive ไม่ผันผวน ต้องดีแน่ๆ” แต่เจอประกาศนี้เข้าไปก็คงต้องประเมินกันใหม่
============
8. ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยเริ่มดูโอเค
จุดที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดี คือ ตอนทะลุผ่าน 1680 จุดที่มาพร้อมปริมาณการซื้อขายหนาแน่นทำให้เป็นสัญญานซื้อระยะสั้น (แต่เป็นการเปิดแกป เพราะฉะนั้นมีโอกาสเหมือนกันที่ตลาดจะกลับมาปิดแกป ในอนาคต แต่ไม่รู้เมื่อไหร่)
“ตอนทะลุผ่าน 1680 พี่ก็เข้าซื้อตอนนั้นแหละ แต่ภาพรวมพอร์ตไม่ค่อยขึ้นเลย เพราะหุ้นตัวที่ขึ้นสูงมากกลับเป็นตัวที่ลงทุนไม่มาก” “มันก็ไปถัวๆกับตัวที่ขาดทุน”
ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทย โดยปีที่แล้วฝรั่งขายหุ้นไทยไป 3 แสนล้านบาท ปีนี้ฝรั่งเริ่มกลับมา “แต่พี่คิดว่า ฝรั่งชุดนี้เป็น Hedgefund พวกเก็งกำไรว่า ถ้าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย แล้วจะมีนักลงทุนฝรั่งอีกชุดที่ก่อนหน้านี้อาจจะติดกฏเกณฑ์ไม่สามารถลงทุนได้ ก็เลยรีบเข้ามาลงทุนก่อน”
โดยเน้นไปที่หุ้นกลุ่ม SET50 แต่ถ้าฝรั่งชุดใหญ่ไม่เข้ามาลงทุนจริง กลุ่มที่เป็น Hedgefund ก็คงขายออกมาก่อนเพราะฉะนั้นรอบนี้ต้องระวังเหมือนกัน
============
9. พี่ป๋องสอนเทคนิคลงทุน
พี่ป๋องแนะนำว่า ถ้าตลาดหุ้นกลับมาหลุด 1600 จุดอีกครั้งจะเป็นสัญญานขาย “แต่ถ้าเราถือหุ้นอยู่แล้วรอจนร่วงมาถึง 1600 จุด แล้วค่อยขาย จะลึกเกินไป”
คำแนะนำคือ ถ้าตลาดหุ้นยังทำจุดสูงสุดใหม่ ก็ห้ามหลุดทำจุดต่ำสุดใหม่อีกรอบนึง หรืออีกกรณีคือ ถ้าหุ้นหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันก็ให้ทยอยขายออกมาก่อน
(พี่ป๋องใช้เส้นค่าเฉลี่ย Exponential 10, 25, 75, 200, และ 400 วันและใช้ MACD ช่วยด้วยครับ)
แต่ถ้าให้ประเมินรอบนี้ถ้ามีปรับฐานก็คงจะเป็นการปรับฐานเพื่อที่จะไปต่อ ให้หาจังหวะรอซื้อ (ยกเว้นกรณีที่หลุด 1600 จุด ก็ให้ขายหมดเลย แล้วเดี๋ยวหาจังหวะเข้ากลับมาซื้ออีกที)
============
10. ยังเชื่อมั่นตลาดหุ้นในระยะยาวมีโอกาสแตะ 2,680 จุด!!
“ภาพใหญ่ๆ ตลาดหุ้นไทยเคยวิ่งจาก 100 จุดไปจนถึง 1,789 จุด” อันนี้พี่ป๋องมองว่าเป็นคลื่นที่ 1 ของภาพ SET Grand super cycle โดยใช้เวลา 19 ปี
“คลื่นที่ 2 คือตอนที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาหนัก ตลาดหุ้นก็ร่วงลงมา 204 จุดในช่วงปี 2008” คลื่นที่ 2 ใช้เวลานานกว่า 14 ปี “ตอนที่ตลาดหุ้นไทยทะลุ 1850 จุดเมื่อปีที่แล้ว ก็คอนเฟิร์มว่ารอบนี้เป็นคลื่นที่ 3 แล้ว”
ส่วนถ้าใช้ ฟิโบมาจับ ตรงบริเวณ 161.8% จะวัดเป้าหมายตลาดหุ้น SET ได้แถวๆ 2,680 จุดเพียงแต่ว่าเราไม่ทราบว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ
“นั่นคือจุดหมายปลายทางที่เรามอง แต่ระหว่างทางที่ตลาดหุ้นค่อยๆขึ้นไป ไม่ใช่ว่าตลาดหุ้นจะร่วงลงไม่ได้นะครับ” “มันเป็นเรื่องปกติที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานบ้าง”
โดยมองว่ารอบนี้กว่าจะถึงเป้าหมาย อาจจะต้องใช้เวลา ไม่น้อยกว่า 19 ปี จากปี 2008 (นั่นคืออีก 8 ปีครับ)
============
คำแนะนำ
1. ให้ระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้เยอะๆ แต่อัตราทำกำไรต่ำๆ แต่มีค่า P/E สูง เพราะมีโอกาสที่จะพลิกขาดทุนแล้วทำให้หุ้นร่วงหนัก
2. ระวังอย่าเล่นอะไรที่เกินตัว อย่ากู้เงินมากเกินไป เป็นสิ่งที่อันตราย (สินค้าพวก derivative ต้องทำการบ้านเยอะๆ)
3. แนะนำให้ศึกษาเทคนิคการลงทุนให้มากๆ เดี๋ยวนี้หาอ่านได้ฟรีๆในออนไลน์ได้แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเริ่มศึกษาจริงจังเมื่อไหร่
============
ความเห็นของ “ถามอีกกับอิก”
ส่วนตัวผมชอบพี่ป๋อง อยู่แล้วครับ เป็นคนจริง และจริงใจ ไม่ปิดบัง “ขาดทุนก็บอกว่าขาดทุน” ถ้าเทคนิคไหนทำแล้วได้กำไรแกก็แบ่งปันแบบไม่กั๊ก แต่ก็จะสอนคนอื่นเสมอๆ ว่าอย่าเชื่อแกหมดนะ ขอให้เรียนรู้วิธีคิดของแก และนำไปฝึกฝนให้เป็นสไตล์ของตัวเอง
“ตอนที่ลงทุนอย่าเชื่อคนอื่น อย่าเชื่อเสี่ยคนไหน แต่ขอให้เชื่อตัวเอง” ผมเห็นด้วยเลยครับเพราะทุกคนมีเส้นทางความสำเร็จไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะเจอสไตล์ไหนที่เหมาะกับตัวเองได้เร็วแค่ไหน และฝึกฝนตัวเองเสมอๆได้หรือไม่ครับ
และแม้ว่าเราเคยสำเร็จแล้วระดับนึง ก็อย่าหยุดที่จะหาความรู้ให้กับตัวเองใหม่ๆตลอดเวลา เพราะยุคนี้เป็นยุคที่การลงทุนยากมาก คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม แล้วคาดหวังความสำเร็จแบบเดิมๆก็คงจะไม่ได้
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน ลงทุนมีความสุขครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 161
อุ่นเครื่องงาน MAIวันนี้ด้วยเนื้อหาสัมมนาปีที่แล้วกันก่อน
MoneyTalk@MAI Forum 1 กค 18
ช่วงที่1 หัวข้อ “mai เล็กดี รสโต จริงหรือ?”
วิทยากร
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุน
คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง
เริ่มเข้ารายการ หัวข้อที่ถาม “หุ้นmaiดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน มีจุดไหนที่ต้องระวัง”
เริ่มจากคุณโจพูดก่อน
คุณโจ บอกว่า ปีนี้คนมาร่วมงานmai Forumน้อยไปหน่อย ปีที่แล้วผมก็มาพูด
คนดูคึกคักกว่านี้เยอะ แต่ไม่เป็นไรคนที่มาก็มาหาความรู้ด้านการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญกัน
จุดเด่นหุ้นmai ดังนี้
1.เปรียบเทียบช้างกับกระต่าย ก็มีข้อดี ข้อเสียที่ต่างกัน
ช้างเหมือนกับSET ,กระต่ายเหมือนกับ mai
ตัวอย่าง หุ้นSCCซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นSET โอกาสที่กำไรขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวในปีหรือสองปียากมาก
แต่หุ้นในตลาดmaiหลายตัว มีโอกาสที่กำไรปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวหรือเกือบหนึ่งเท่าตัวภายในปีเดียว
แน่นอนของราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่เหรียญมีสองด้าน เราก็รู้โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ต้นปี2018 ดัชนีSETลดลงมา9-10%
แต่ ดัชนีหุ้นMAI ลดลงมา 23% ดัชนีmaiลดลงมามากกว่าตลาดรวม
การที่ดัชนีขึ้นเร็ว และ เวลาลง มันก็ลงเร็วด้วย ที่เราต้องชั่งน้ำหนัก
ในสภาวะปกติ ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
นักวิชาการวิจัยว่าหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
แต่ตลาดหุ้นช่วงปกติและลงทุนในระยะยาว หุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
ในระยะสั้น ดัชนีไม่แน่นอน เหมือนกับข้อมูลที่ อ ไพบูลย์ โชว์ตอนต้นรายการ
อ ไพบูลย์เสริมว่า ข้อมูลที่โชว์ได้มาจาก ผศ ดร ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์
จากนิด้าเป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้นมาว่า เฉลี่ยในระยะยาวหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นใหญ่
แต่ต้องทำใจ เวลาเจ๊งต้องสาหัส
อ โจ พูดต่อว่า หุ้นMAI มีหุ้นน้อยมากที่สถาบัน และต่างชาติมาเข้าซื้อ
ในเมื่อไม่มีนักลงทุนต่างชาติ และ นักลงทุนสถาบันติดตาม
มีโอกาสทำให้ราคาตลาดไม่สะท้อนกับราคาพื้นฐาน ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้น ถ้าเราศึกษาอย่างดี มีโอกาสเจอเพชรในตม
มีโอกาสเจอหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามากกว่าการหาหุ้นราคาต่ำในSET
ที่นักลงทุนสถาบัน และ ต่างชาติศึกษามาอย่างดี
ยกเว้นเราไม่ศึกษาหาหุ้นเอง
มีบริษัทที่พึ่งเข้ามาและจะเจ๊งมี 20 กว่าบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงในการลงทุน
ถ้าเรามีความรู้ก็จะสามารถหลบได้ทัน ผมลงทุนในหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างเยอะ และพอร์ตโตไว
เพราะลงทุนในหุ้นเล็กมาตลอด
อ ไพบูลย์ บอกว่า ตลาดหุ้นMAIมีข้อมูลน้อย ต่างชาติ สถาบันไม่มีใครมาดู
แต่มีตอนนี้มีข่าวดี company snapshot ไปที่ซุ้ม MAI และ scan QR code เพื่อดูข้อมูลหุ้นในMAI ทุกตัว
Updateปัจจุบัน แต่หุ้นSETไม่มีข้อมูลแบบนี้
ซึ่งเหมือนกับหนังสือMAI ที่อ ไพบูลย์ ถือมาโชว์บนเวที
อ เสน่ห์ถามว่ามีหุ้นที่รุ่งเรืองมากๆบ้างไหม
อ โจ ตอบว่าบริษัทที่รุ่งเรืองก็มี แต่เวลาผลประกอบการดี
ส่วนใหญ่จะย้ายไปตลาดหุ้นSET
เพราะ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นSETเสียภาษีมากกว่าในตลาดMAI
เนื่องจากกำไรเติบโตดีกว่าบริษัทในตลาดMAI
บริษัทในmaiเมื่อได้รับเงินจากการขายipoแล้วก็นำเงินมาลงทุน
และขยายกิจการ เพื่อสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
อ ไพบูลย์ บอกว่าฟังจากคุณโจ ที่ลงทุนในหุ้นเล็ก mai
ถามว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นmai ต้องระวังอะไร
คุณโจ บอกว่าระยะหลัง ขาดทุนบ่อย เลยต้องระมัดระวังมากขึ้น
หุ้นที่เข้ามาตลาดmai จากราคา 12 บาท เหลือ 2 บาท
เพราะตอนเข้าตลาดมาจะอยู่ในช่วงที่กำไรพีคสุด ทำให้รายย่อยจ่ายแพงตอนซื้อหุ้นช่วงipo
แต่พอกำไรเข้าสู่ปกติ คือกำไรลดฮวบ ทำให้ราคาหุ้นลดลง
ประเด็นที่สอง SET ซื้อขายที่ PE 16 เท่า
ตลาดmai ซื้อขายที่ PE 50-60 เท่า
และผู้บริหารที่เข้ามาตลาดmai อดีตคือstart up หรือ บริษัทกงสี
บางบริษัทเอาบริษัทเข้ามาตลาดหลักทรัพย์เพื่อขายทิ้ง
สังเกตจาก บริษัทที่เข้ามาตลาด สินค้าอยู่ในช่วงล้าสมัย
ซึ่งเห็นมีบริษัทแบบนี้บ้างแล้ว
อ นิเวศน์ บอกว่า เวลาหุ้นตกอย่าไปรับ เหมือนกับการไปรับมีด (ตรงกับบทความ
ของ อ นิเวศน์ที่เขียนลงวันนี้พอดี)
อ นิเวศน์เล่าความหลังเมื่อ 15 ปีก่อน ช่วงตั้งตลาดmai
หุ้นมีน้อยตัว สามารถวิ่งได้เร็ว มีการเก็งกำไรเพราะหุ้นตัวเล็ก
รอบแรกคือช่วง10ปีแรกหลังเปิดตลาดmai เก็งกำไรไม่ออก ดัชนีนิ่ง
หลังจากนั้น หุ้นmaiวิ่งตามดัชนีตลาดSET
ผมไม่เล่น ไม่สนใจเพราะธุรกิจไม่น่าสนใจ จนกระทั่งเมื่อ5ปีที่แล้ว
หุ้นในmai วิ่งมโหฬาร ตัวใหญ่ขึ้นเยอะ นักเก็งกำไรในตลาดเพิ่มมากขึ้น
เพราะตลาดหุ้นวิ่งแรงมากหลังจากเกิดวิกฤตSubprime
ช่วงนั้นหุ้นที่พึ่งเข้ามาในตลาดmaiเยอะ PE เข้ามา 20-30 เท่า
วิ่งไม่นานก็ทำให้PE เพิ่มขึ้น 50-100เท่า
ปีนี้ คล้ายกับตลาดหุ้นเหนื่อย ทำให้หุ้นmai เริ่มนิ่งและค่อยๆลงมา
ตอนนี้ PE เท่ากับ 77 เท่า ซึ่งยังสูงอยู่ จากเมื่อก่อน 99 เท่า
นาทีนี้ จบรอบของmai ไม่มีใครสนใจ รวมถึงหุ้นแพง ต่างชาติก็ไม่เล่นด้วย
ตอนตลาดหุ้นตกแรง 23% นักเก็งกำไรหายไปหมด
เมื่อ5 ปีก่อน หุ้นขึ้นมาแรง ตอนนี้ก็เริ่มตกตามภาวะตลาดSETด้วย
เปรียบเทียบหุ้นในแต่ละกลุ่ม
ดัชนีSET ตก 9% ส่วน SET HD ตกไปแค่ 5% SET50 ตก 7%
ส่วน หุ้นsmall cap ใน SET ก็ตกแรงกว่า
หุ้นตัวใหญ่ ที่มี Div yield 5-6% PE 11 เท่าเอง ราคาหุ้นตกน้อยมาก
SET50 15 เท่า , Small SET PE 21 เท่า ดีกว่าหุ้นmaiเยอะ
ตอนนี้ควรเล่นหุ้นใหญ่คุณภาพดี ปันผลดี
หุ้น mai PB 2.06 เท่า
หุ้น Small SET PB 1.5 เท่า
หุ้น SET 50 PB 2.0 เท่า
แสดงว่าหุ้นตอนนี้ไม่ค่อยแพง PE 16 เท่า
SET HD ปันผล 4.6% ซึ่งสูงมากกว่าฝากเงิน ดูน่าสนใจ
ถ้าเรามั่นใจว่าอยู่ได้ ก็ซื้อหุ้นปันผล
SET ,SET50ทั้งตลาด Yield 3.2% ดีกว่าฝากเงินถือว่าไม่แพง
SET small cap 3.8% แต่ถ้าเป็นหุ้นในmai ดูแพง ปันผลน้อยกว่า
ตอนนี้หุ้นmai มีปัญหาพอสมควร แต่คุณโจรวยจากหุ้นmai แสดงว่า
ยังมีหุ้นที่ดีอยู่ในMAI
ตัวเลขที่แสดงว่า valuation ไม่แพง ต่อไปจะบอกว่าถ้าจะซื้อ จะซื้ออย่างไร
อ ไพบูลย์ บอกว่ามีปัญหาคือ ไม่มีเงินซื้อหุ้น
18ปีที่แล้ว เกิดวิกฤตในหุ้นdot com ที่อเมริกา หุ้นamazon ตกไป 95%
แต่ถ้าซื้อตอนนั้นซึ่งเป็นหุ้นเล็กจิ๋ว ตอนนี้กลายเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดแล้ว
อ โจ บอกว่าหุ้นตกต้องทำใจ
หุ้นถ้าไม่เขียวมันก็แดง หรือ หุ้นนิ่งๆ
หุ้นมีแค่2-3 สถานะ แสดงว่าครึ่งนึงของชีวิตของนักลงทุนอยู่กับportแดง
เราก็อยู่กับมันให้ได้
เรามีวิธีการรับมือเป็นขั้นตอน
1. พื้นฐานของหุ้นยังokไหม ถ้ายังดี ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ไม่มีวิกฤตไหนที่ท้ายสุดหุ้นไม่ขึ้นกลับมา แต่อาจจะอีก 1,2 ปีข้างหน้า
2. ถ้าบริษัทที่ถือแย่ลง ต้องcut loss ห้ามซื้อหุ้นdefensive หรือ ถือเงินสด
นี่เป็นกับดักคนส่วนใหญ่ ถ้าหุ้นลงเร็ว ต้องซื้อหุ้นที่ขึ้นเร็ว
3. ข้อนี้ อ.โจทำบ่อย หุ้นที่มันลง จะลงไม่เท่ากัน บางตัวลง 40-60%
คุ้มไหมขายตัวเก่าที่ลงน้อย หรือ มีupsideไม่เกิน20% ขายและไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ50%
ถึงจะเสียค่าcommissionก็คุ้ม แต่ถ้าหุ้นเหลือ 900จุด เราอาจต้องยืมเงิน
หรือ ใช้marginนิดหน่อยมาซื้อหุ้น แต่ไม่คิดว่าจะเจอ
ที่ดัชนี 900 จุด ทำให้PB 1 เท่า อาจต้องเสี่ยงอีกสักรอบ
อ เสน่ห์ ถามว่าตอนหุ้นตก จะมีหน่วยซีลมาช่วยไหม
อ เสน่ห์ บอกว่า SEAL ย่อมาจาก
S: Stop ,
E: Emotional control ,
A: Average ,
L: Lost Management
อ นิเวศน์ บอกว่า 10ปีแรก หุ้นmaiยังไม่ไปไหน แต่5ปีหลัง หุ้นถูกคาดหวังว่าจะโตเยอะ
ทำให้PE ขึ้นไป 100 เท่า นักลงทุนไม่ดูความถูกแพงในการซื้อหุ้น ขึ้นกับความคาดหวัง
ราคาหุ้นขึ้นไปตามความโลภ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการปรับทัศนคติ ตอนนี้คนที่ลงทุนหุ้น ตอนซื้อต้องดูราคาด้วย
นาทีนี้นักลงทุนหาเหตุผลก่อนการซื้อหุ้น ในที่สุด นักลงทุนทั้งตลาดกำลังปรับทัศนคติ
ในเรื่องการตัดสินใจซื้อหุ้นโดยหาเหตุผลในการซื้อหุ้น
แทนการใช้ความคาดหวังมาตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น
หุ้นคุณภาพธรรมดา ราคาจะแพงไม่ได้ ยกเว้น หุ้นมีคุณภาพดีเยี่ยม
ช่วงหุ้นราคาแพงและเกิดราคาตกลง คนที่ถือหุ้น
สุดท้ายก็ทนไม่ได้ยอมขายจนราคาหุ้นเข้าสู่ราคาปกติ
ต่อไปจะไม่เห็นหุ้นที่มีPE 70เท่าหลายสิบตัวในตลาดหลักทรัพย์
จะค่อยๆปรับPEไปเรื่อยๆ เพราะคนถือหุ้นทนไม่ได้ต้องขายออกไป
กระบวนการจะค่อยล้างจนกลับไปช่วงแรกที่หุ้นmai ที่ไม่ค่อยสนใจลงทุน
และราคาไม่แพง หุ้นจะเข้าสู่ความเป็นจริง เข้าสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น
หุ้นที่วิ่งแรง จะไม่เจออีก
คุณโจ บอกว่าหุ้น4ตัวที่นักวิเคราะห์บอกมาปีที่แล้ว ราคาค่อนข้างแพง ดัชนีmai ลดลงไป29%
ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วขาดทุน 34% บางตัวขาดทุน60%
อ.เสน่ห์ ถามว่า ณ สถานการณ์แบบนี้ คุณโจจะแนะนำผู้ฟังอย่างไรดี
คุณโจแนะนำว่า พูดกับตัวเองว่าเวลาหุ้นตก เป็นวิกฤตของราคาหุ้นไม่ใช่วิกฤตของบริษัท
เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็จะปรับเข้าสู่ปกติ หรือ การเปลี่ยนหุ้นที่มีupsidgeน้อยไปสู่หุ้นที่มีupsideมาก
ราคาหุ้นตกไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
แต่ถ้าเราไปทำอะไรแย่ เช่นขายหุ้นทิ้ง ถือเงินสด ก็จะขาดทุนจริงๆ
ผมถือหุ้น 37 ตัว เป็นหุ้นในmai 8 ตัว ที่เหลือเป็นหุ้นในSET
ผมจะขายหุ้นที่มีพื้นฐานเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ระหว่างรอนั้นก็ยังมีเงินปันผล
อ นิเวศน์ บอกว่าให้ไปพิจารณาดูหุ้นที่ถืออยู่ว่าPE สูงไปไหม ยังดีหรือเปล่า
ให้กลับไปทำงาน อย่าไปหวังว่าหุ้นจะวิ่ง ต่อไปหุ้นจะไม่คึกคัก ปันผลก็น้อย
ฟังมาหลายปีว่า ฝรั่งต้องกลับมาซื้อ แต่ก็ยังไม่เห็นมาซื้อจริง
หุ้นตัวใหญ่ก็ถูกต่างชาติขาย แต่ราคาไม่ค่อยลงเท่าไหร่
ต่อไปหุ้นที่ขึ้นแรงๆคงไม่มี และ หุ้นที่มีPEสูงๆเช่น 80 เท่าคงไม่มีแล้ว
เหลือแค่ 10กว่าเท่า กลับสู่ช่วงปกติ
ขอขอบคุณ อ. นิเวศน์ , อ. โจ , อ. ไพบูลย์ และ อ. เสน่ห์ รวมถึงทีมงานทุกคนครับ
MoneyTalk@MAI Forum 1 กค 18
ช่วงที่1 หัวข้อ “mai เล็กดี รสโต จริงหรือ?”
วิทยากร
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุน
คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง
เริ่มเข้ารายการ หัวข้อที่ถาม “หุ้นmaiดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน มีจุดไหนที่ต้องระวัง”
เริ่มจากคุณโจพูดก่อน
คุณโจ บอกว่า ปีนี้คนมาร่วมงานmai Forumน้อยไปหน่อย ปีที่แล้วผมก็มาพูด
คนดูคึกคักกว่านี้เยอะ แต่ไม่เป็นไรคนที่มาก็มาหาความรู้ด้านการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญกัน
จุดเด่นหุ้นmai ดังนี้
1.เปรียบเทียบช้างกับกระต่าย ก็มีข้อดี ข้อเสียที่ต่างกัน
ช้างเหมือนกับSET ,กระต่ายเหมือนกับ mai
ตัวอย่าง หุ้นSCCซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นSET โอกาสที่กำไรขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวในปีหรือสองปียากมาก
แต่หุ้นในตลาดmaiหลายตัว มีโอกาสที่กำไรปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวหรือเกือบหนึ่งเท่าตัวภายในปีเดียว
แน่นอนของราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่เหรียญมีสองด้าน เราก็รู้โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ต้นปี2018 ดัชนีSETลดลงมา9-10%
แต่ ดัชนีหุ้นMAI ลดลงมา 23% ดัชนีmaiลดลงมามากกว่าตลาดรวม
การที่ดัชนีขึ้นเร็ว และ เวลาลง มันก็ลงเร็วด้วย ที่เราต้องชั่งน้ำหนัก
ในสภาวะปกติ ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
นักวิชาการวิจัยว่าหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
แต่ตลาดหุ้นช่วงปกติและลงทุนในระยะยาว หุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
ในระยะสั้น ดัชนีไม่แน่นอน เหมือนกับข้อมูลที่ อ ไพบูลย์ โชว์ตอนต้นรายการ
อ ไพบูลย์เสริมว่า ข้อมูลที่โชว์ได้มาจาก ผศ ดร ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์
จากนิด้าเป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้นมาว่า เฉลี่ยในระยะยาวหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นใหญ่
แต่ต้องทำใจ เวลาเจ๊งต้องสาหัส
อ โจ พูดต่อว่า หุ้นMAI มีหุ้นน้อยมากที่สถาบัน และต่างชาติมาเข้าซื้อ
ในเมื่อไม่มีนักลงทุนต่างชาติ และ นักลงทุนสถาบันติดตาม
มีโอกาสทำให้ราคาตลาดไม่สะท้อนกับราคาพื้นฐาน ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้น ถ้าเราศึกษาอย่างดี มีโอกาสเจอเพชรในตม
มีโอกาสเจอหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามากกว่าการหาหุ้นราคาต่ำในSET
ที่นักลงทุนสถาบัน และ ต่างชาติศึกษามาอย่างดี
ยกเว้นเราไม่ศึกษาหาหุ้นเอง
มีบริษัทที่พึ่งเข้ามาและจะเจ๊งมี 20 กว่าบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงในการลงทุน
ถ้าเรามีความรู้ก็จะสามารถหลบได้ทัน ผมลงทุนในหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างเยอะ และพอร์ตโตไว
เพราะลงทุนในหุ้นเล็กมาตลอด
อ ไพบูลย์ บอกว่า ตลาดหุ้นMAIมีข้อมูลน้อย ต่างชาติ สถาบันไม่มีใครมาดู
แต่มีตอนนี้มีข่าวดี company snapshot ไปที่ซุ้ม MAI และ scan QR code เพื่อดูข้อมูลหุ้นในMAI ทุกตัว
Updateปัจจุบัน แต่หุ้นSETไม่มีข้อมูลแบบนี้
ซึ่งเหมือนกับหนังสือMAI ที่อ ไพบูลย์ ถือมาโชว์บนเวที
อ เสน่ห์ถามว่ามีหุ้นที่รุ่งเรืองมากๆบ้างไหม
อ โจ ตอบว่าบริษัทที่รุ่งเรืองก็มี แต่เวลาผลประกอบการดี
ส่วนใหญ่จะย้ายไปตลาดหุ้นSET
เพราะ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นSETเสียภาษีมากกว่าในตลาดMAI
เนื่องจากกำไรเติบโตดีกว่าบริษัทในตลาดMAI
บริษัทในmaiเมื่อได้รับเงินจากการขายipoแล้วก็นำเงินมาลงทุน
และขยายกิจการ เพื่อสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
อ ไพบูลย์ บอกว่าฟังจากคุณโจ ที่ลงทุนในหุ้นเล็ก mai
ถามว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นmai ต้องระวังอะไร
คุณโจ บอกว่าระยะหลัง ขาดทุนบ่อย เลยต้องระมัดระวังมากขึ้น
หุ้นที่เข้ามาตลาดmai จากราคา 12 บาท เหลือ 2 บาท
เพราะตอนเข้าตลาดมาจะอยู่ในช่วงที่กำไรพีคสุด ทำให้รายย่อยจ่ายแพงตอนซื้อหุ้นช่วงipo
แต่พอกำไรเข้าสู่ปกติ คือกำไรลดฮวบ ทำให้ราคาหุ้นลดลง
ประเด็นที่สอง SET ซื้อขายที่ PE 16 เท่า
ตลาดmai ซื้อขายที่ PE 50-60 เท่า
และผู้บริหารที่เข้ามาตลาดmai อดีตคือstart up หรือ บริษัทกงสี
บางบริษัทเอาบริษัทเข้ามาตลาดหลักทรัพย์เพื่อขายทิ้ง
สังเกตจาก บริษัทที่เข้ามาตลาด สินค้าอยู่ในช่วงล้าสมัย
ซึ่งเห็นมีบริษัทแบบนี้บ้างแล้ว
อ นิเวศน์ บอกว่า เวลาหุ้นตกอย่าไปรับ เหมือนกับการไปรับมีด (ตรงกับบทความ
ของ อ นิเวศน์ที่เขียนลงวันนี้พอดี)
อ นิเวศน์เล่าความหลังเมื่อ 15 ปีก่อน ช่วงตั้งตลาดmai
หุ้นมีน้อยตัว สามารถวิ่งได้เร็ว มีการเก็งกำไรเพราะหุ้นตัวเล็ก
รอบแรกคือช่วง10ปีแรกหลังเปิดตลาดmai เก็งกำไรไม่ออก ดัชนีนิ่ง
หลังจากนั้น หุ้นmaiวิ่งตามดัชนีตลาดSET
ผมไม่เล่น ไม่สนใจเพราะธุรกิจไม่น่าสนใจ จนกระทั่งเมื่อ5ปีที่แล้ว
หุ้นในmai วิ่งมโหฬาร ตัวใหญ่ขึ้นเยอะ นักเก็งกำไรในตลาดเพิ่มมากขึ้น
เพราะตลาดหุ้นวิ่งแรงมากหลังจากเกิดวิกฤตSubprime
ช่วงนั้นหุ้นที่พึ่งเข้ามาในตลาดmaiเยอะ PE เข้ามา 20-30 เท่า
วิ่งไม่นานก็ทำให้PE เพิ่มขึ้น 50-100เท่า
ปีนี้ คล้ายกับตลาดหุ้นเหนื่อย ทำให้หุ้นmai เริ่มนิ่งและค่อยๆลงมา
ตอนนี้ PE เท่ากับ 77 เท่า ซึ่งยังสูงอยู่ จากเมื่อก่อน 99 เท่า
นาทีนี้ จบรอบของmai ไม่มีใครสนใจ รวมถึงหุ้นแพง ต่างชาติก็ไม่เล่นด้วย
ตอนตลาดหุ้นตกแรง 23% นักเก็งกำไรหายไปหมด
เมื่อ5 ปีก่อน หุ้นขึ้นมาแรง ตอนนี้ก็เริ่มตกตามภาวะตลาดSETด้วย
เปรียบเทียบหุ้นในแต่ละกลุ่ม
ดัชนีSET ตก 9% ส่วน SET HD ตกไปแค่ 5% SET50 ตก 7%
ส่วน หุ้นsmall cap ใน SET ก็ตกแรงกว่า
หุ้นตัวใหญ่ ที่มี Div yield 5-6% PE 11 เท่าเอง ราคาหุ้นตกน้อยมาก
SET50 15 เท่า , Small SET PE 21 เท่า ดีกว่าหุ้นmaiเยอะ
ตอนนี้ควรเล่นหุ้นใหญ่คุณภาพดี ปันผลดี
หุ้น mai PB 2.06 เท่า
หุ้น Small SET PB 1.5 เท่า
หุ้น SET 50 PB 2.0 เท่า
แสดงว่าหุ้นตอนนี้ไม่ค่อยแพง PE 16 เท่า
SET HD ปันผล 4.6% ซึ่งสูงมากกว่าฝากเงิน ดูน่าสนใจ
ถ้าเรามั่นใจว่าอยู่ได้ ก็ซื้อหุ้นปันผล
SET ,SET50ทั้งตลาด Yield 3.2% ดีกว่าฝากเงินถือว่าไม่แพง
SET small cap 3.8% แต่ถ้าเป็นหุ้นในmai ดูแพง ปันผลน้อยกว่า
ตอนนี้หุ้นmai มีปัญหาพอสมควร แต่คุณโจรวยจากหุ้นmai แสดงว่า
ยังมีหุ้นที่ดีอยู่ในMAI
ตัวเลขที่แสดงว่า valuation ไม่แพง ต่อไปจะบอกว่าถ้าจะซื้อ จะซื้ออย่างไร
อ ไพบูลย์ บอกว่ามีปัญหาคือ ไม่มีเงินซื้อหุ้น
18ปีที่แล้ว เกิดวิกฤตในหุ้นdot com ที่อเมริกา หุ้นamazon ตกไป 95%
แต่ถ้าซื้อตอนนั้นซึ่งเป็นหุ้นเล็กจิ๋ว ตอนนี้กลายเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดแล้ว
อ โจ บอกว่าหุ้นตกต้องทำใจ
หุ้นถ้าไม่เขียวมันก็แดง หรือ หุ้นนิ่งๆ
หุ้นมีแค่2-3 สถานะ แสดงว่าครึ่งนึงของชีวิตของนักลงทุนอยู่กับportแดง
เราก็อยู่กับมันให้ได้
เรามีวิธีการรับมือเป็นขั้นตอน
1. พื้นฐานของหุ้นยังokไหม ถ้ายังดี ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ไม่มีวิกฤตไหนที่ท้ายสุดหุ้นไม่ขึ้นกลับมา แต่อาจจะอีก 1,2 ปีข้างหน้า
2. ถ้าบริษัทที่ถือแย่ลง ต้องcut loss ห้ามซื้อหุ้นdefensive หรือ ถือเงินสด
นี่เป็นกับดักคนส่วนใหญ่ ถ้าหุ้นลงเร็ว ต้องซื้อหุ้นที่ขึ้นเร็ว
3. ข้อนี้ อ.โจทำบ่อย หุ้นที่มันลง จะลงไม่เท่ากัน บางตัวลง 40-60%
คุ้มไหมขายตัวเก่าที่ลงน้อย หรือ มีupsideไม่เกิน20% ขายและไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ50%
ถึงจะเสียค่าcommissionก็คุ้ม แต่ถ้าหุ้นเหลือ 900จุด เราอาจต้องยืมเงิน
หรือ ใช้marginนิดหน่อยมาซื้อหุ้น แต่ไม่คิดว่าจะเจอ
ที่ดัชนี 900 จุด ทำให้PB 1 เท่า อาจต้องเสี่ยงอีกสักรอบ
อ เสน่ห์ ถามว่าตอนหุ้นตก จะมีหน่วยซีลมาช่วยไหม
อ เสน่ห์ บอกว่า SEAL ย่อมาจาก
S: Stop ,
E: Emotional control ,
A: Average ,
L: Lost Management
อ นิเวศน์ บอกว่า 10ปีแรก หุ้นmaiยังไม่ไปไหน แต่5ปีหลัง หุ้นถูกคาดหวังว่าจะโตเยอะ
ทำให้PE ขึ้นไป 100 เท่า นักลงทุนไม่ดูความถูกแพงในการซื้อหุ้น ขึ้นกับความคาดหวัง
ราคาหุ้นขึ้นไปตามความโลภ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการปรับทัศนคติ ตอนนี้คนที่ลงทุนหุ้น ตอนซื้อต้องดูราคาด้วย
นาทีนี้นักลงทุนหาเหตุผลก่อนการซื้อหุ้น ในที่สุด นักลงทุนทั้งตลาดกำลังปรับทัศนคติ
ในเรื่องการตัดสินใจซื้อหุ้นโดยหาเหตุผลในการซื้อหุ้น
แทนการใช้ความคาดหวังมาตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น
หุ้นคุณภาพธรรมดา ราคาจะแพงไม่ได้ ยกเว้น หุ้นมีคุณภาพดีเยี่ยม
ช่วงหุ้นราคาแพงและเกิดราคาตกลง คนที่ถือหุ้น
สุดท้ายก็ทนไม่ได้ยอมขายจนราคาหุ้นเข้าสู่ราคาปกติ
ต่อไปจะไม่เห็นหุ้นที่มีPE 70เท่าหลายสิบตัวในตลาดหลักทรัพย์
จะค่อยๆปรับPEไปเรื่อยๆ เพราะคนถือหุ้นทนไม่ได้ต้องขายออกไป
กระบวนการจะค่อยล้างจนกลับไปช่วงแรกที่หุ้นmai ที่ไม่ค่อยสนใจลงทุน
และราคาไม่แพง หุ้นจะเข้าสู่ความเป็นจริง เข้าสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น
หุ้นที่วิ่งแรง จะไม่เจออีก
คุณโจ บอกว่าหุ้น4ตัวที่นักวิเคราะห์บอกมาปีที่แล้ว ราคาค่อนข้างแพง ดัชนีmai ลดลงไป29%
ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วขาดทุน 34% บางตัวขาดทุน60%
อ.เสน่ห์ ถามว่า ณ สถานการณ์แบบนี้ คุณโจจะแนะนำผู้ฟังอย่างไรดี
คุณโจแนะนำว่า พูดกับตัวเองว่าเวลาหุ้นตก เป็นวิกฤตของราคาหุ้นไม่ใช่วิกฤตของบริษัท
เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็จะปรับเข้าสู่ปกติ หรือ การเปลี่ยนหุ้นที่มีupsidgeน้อยไปสู่หุ้นที่มีupsideมาก
ราคาหุ้นตกไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
แต่ถ้าเราไปทำอะไรแย่ เช่นขายหุ้นทิ้ง ถือเงินสด ก็จะขาดทุนจริงๆ
ผมถือหุ้น 37 ตัว เป็นหุ้นในmai 8 ตัว ที่เหลือเป็นหุ้นในSET
ผมจะขายหุ้นที่มีพื้นฐานเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ระหว่างรอนั้นก็ยังมีเงินปันผล
อ นิเวศน์ บอกว่าให้ไปพิจารณาดูหุ้นที่ถืออยู่ว่าPE สูงไปไหม ยังดีหรือเปล่า
ให้กลับไปทำงาน อย่าไปหวังว่าหุ้นจะวิ่ง ต่อไปหุ้นจะไม่คึกคัก ปันผลก็น้อย
ฟังมาหลายปีว่า ฝรั่งต้องกลับมาซื้อ แต่ก็ยังไม่เห็นมาซื้อจริง
หุ้นตัวใหญ่ก็ถูกต่างชาติขาย แต่ราคาไม่ค่อยลงเท่าไหร่
ต่อไปหุ้นที่ขึ้นแรงๆคงไม่มี และ หุ้นที่มีPEสูงๆเช่น 80 เท่าคงไม่มีแล้ว
เหลือแค่ 10กว่าเท่า กลับสู่ช่วงปกติ
ขอขอบคุณ อ. นิเวศน์ , อ. โจ , อ. ไพบูลย์ และ อ. เสน่ห์ รวมถึงทีมงานทุกคนครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 162
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP14 TIF1
ทำไมกองนี้น่าสนใจ ส่วนนึง ราคาตลาดยังมีส่วนลดเมื่อเทียบกับNAV
และเงินปันผลแต่ละไตรมาสทยอยปรับเพิ่มขึ้น ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก
ถ้าสามารถหาคนเช่าโรงงานที่ยังว่างอยู่ได้
ผมได้สอบถามข้อมูลจากการประชุมเมื่อบ่ายนี้ และ มาเล่าสู่กันฟังเผื่อจะสนใจ
ราคายังไม่ถึง 10 บาท ซึ่งเป็นราคา IPO น่าสนใจใช่ไหมครับ
AGM TIF1 18 July 2019 14.00
กองทุนอสังหาริมทรัพย์Thai industrial 1 เป็นกองที่เปิดเมื่อ 24 Mar 2548 โดย บลจ ING
และ โอนมาให้บลจ วรรณ บริหารแทนตอนปี 2553
กองนี้ประกอบไปด้วย โรงงาน 26 แห่ง คิดเป็น 58 ไร่ 11.4 ตรว
ประกอบไปด้วย
นิคมไฮเทค 12 โรงงาน ตอนนี้ว่าง 5 แห่ง
นิคมบางกระดี 3 โรงงาน
นิคมบางประอิน 1 โรงงาน
นิคมนวนคร 1 โรงงาน ว่างจากการเช่ามา5ปีแล้ว
นิคมอมตนคร 7 โรงงาน ว่าง 3 แห่ง
นิคมTFD 2 โรงงาน
สรุป มีโรงงานว่าง 9 แห่ง ในปัจจุบัน
พื้นที่ให้เช่าทั้งหมด 44,530 ตรม บริหารโดย JCK (เดิมคือ TFD)
มูลค่าตลาดที่ประเมิน ณ วันที่ 8/11/61 928.99 ลบ
สรุป 26 โรงงาน ปล่อยเช่า 64% โดยมีว่าง 9 โรงงาน 36%
อัตราการเช่า เฉลี่ย 190 บาท ต่อ ตรม แต่จริงๆแล้ว ค่าเช่าเฉลี่ย มากกว่า 200 บาทต่อตรม
แต่มี1 โรงงานที่เช่าโดยSony และ ให้เช่าเหมาในราคาที่ถูก ดังนั้นทำให้ค่าเช่าเฉลี่ย 190 บาทต่อตรม
รายได้ค่าเช่าและบริการ 74 ลบ , ดอกเบี้ยรับ 9 แสนบาท รวม 75 ลบ
ค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น
ค่าการจัดการ 2.8 ลบ , ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ และค่านายทะเบียน รายการละ 5แสนบาท
ค่าธรรมเนียมการบริหารโครงการ 3 ลบ , ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ 7 แสนบาท
ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงการ เนื่องจาก โรงงานค่อนข้างเก่า 10 ลบ
รวมค่าใช้จ่าย 17.9 ลบ
รายได้สุทธิ ณ 31 มีค 62 = 57.10 ลบ
กำไรสุทธิจากการลงทุน 7 ลบ
ดังนั้นกำไรรวม 64 ลบ
อัตราเงินปันผล
ปรับเพิ่มจาก 0.134 บาท ใน Q2 2018 เป็น 0.16 บาท ใน Q1 2019
เงินปันผลในปี 2561 เพิ่มจาก 0.552 บาท เป็น 0.58 บาท ต่อหน่วย
โรงงานที่ว่าง
1. นิคมไฮเทค 5 โรง หลังน้ำท่วมปี2554 ทำให้ผู้เช่าชะลอการเช่า เพราะกลัวน้ำท่วม
ตอนนี้พยายามหาลูกค้าเพิ่ม หลังจากนิคมได้แก้ปัญหาน้ำท่วมแล้ว
2. นิคมอมตะนคร 3 โรง พึ่งว่างมา 2 เดือน มีลูกค้าคนจีนเข้ามาเยี่ยมชม แต่ติดปัญหาเรื่องBudget
เพราะทางเราเสนอ 190 บาทต่อตรม แต่เขามีราคาในใจคือ 130-160 บาทต่อตรม
3. นิคมนวนคร 1 โรง อยู่ท้ายของนิคม ใกล้บ่อหมัก ทางเข้าลำบาก ร้างมา5 ปี ตอนนี้พยายามเข้าไปพูดคุย
กับ ผอ ฝ่ายการตลาดของนิคม เพื่อจะได้แนะนำลูกค้ามาเช่า
ถ้าแก้ไขปัญหาโรงงานที่ว่างได้ จะทำให้เงินปันผลกลับมาที่ 0.2 บาทต่อไตรมาสเหมือนช่วงเปิดใหม่ได้
EP14 TIF1
ทำไมกองนี้น่าสนใจ ส่วนนึง ราคาตลาดยังมีส่วนลดเมื่อเทียบกับNAV
และเงินปันผลแต่ละไตรมาสทยอยปรับเพิ่มขึ้น ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก
ถ้าสามารถหาคนเช่าโรงงานที่ยังว่างอยู่ได้
ผมได้สอบถามข้อมูลจากการประชุมเมื่อบ่ายนี้ และ มาเล่าสู่กันฟังเผื่อจะสนใจ
ราคายังไม่ถึง 10 บาท ซึ่งเป็นราคา IPO น่าสนใจใช่ไหมครับ
AGM TIF1 18 July 2019 14.00
กองทุนอสังหาริมทรัพย์Thai industrial 1 เป็นกองที่เปิดเมื่อ 24 Mar 2548 โดย บลจ ING
และ โอนมาให้บลจ วรรณ บริหารแทนตอนปี 2553
กองนี้ประกอบไปด้วย โรงงาน 26 แห่ง คิดเป็น 58 ไร่ 11.4 ตรว
ประกอบไปด้วย
นิคมไฮเทค 12 โรงงาน ตอนนี้ว่าง 5 แห่ง
นิคมบางกระดี 3 โรงงาน
นิคมบางประอิน 1 โรงงาน
นิคมนวนคร 1 โรงงาน ว่างจากการเช่ามา5ปีแล้ว
นิคมอมตนคร 7 โรงงาน ว่าง 3 แห่ง
นิคมTFD 2 โรงงาน
สรุป มีโรงงานว่าง 9 แห่ง ในปัจจุบัน
พื้นที่ให้เช่าทั้งหมด 44,530 ตรม บริหารโดย JCK (เดิมคือ TFD)
มูลค่าตลาดที่ประเมิน ณ วันที่ 8/11/61 928.99 ลบ
สรุป 26 โรงงาน ปล่อยเช่า 64% โดยมีว่าง 9 โรงงาน 36%
อัตราการเช่า เฉลี่ย 190 บาท ต่อ ตรม แต่จริงๆแล้ว ค่าเช่าเฉลี่ย มากกว่า 200 บาทต่อตรม
แต่มี1 โรงงานที่เช่าโดยSony และ ให้เช่าเหมาในราคาที่ถูก ดังนั้นทำให้ค่าเช่าเฉลี่ย 190 บาทต่อตรม
รายได้ค่าเช่าและบริการ 74 ลบ , ดอกเบี้ยรับ 9 แสนบาท รวม 75 ลบ
ค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น
ค่าการจัดการ 2.8 ลบ , ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ และค่านายทะเบียน รายการละ 5แสนบาท
ค่าธรรมเนียมการบริหารโครงการ 3 ลบ , ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ 7 แสนบาท
ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงการ เนื่องจาก โรงงานค่อนข้างเก่า 10 ลบ
รวมค่าใช้จ่าย 17.9 ลบ
รายได้สุทธิ ณ 31 มีค 62 = 57.10 ลบ
กำไรสุทธิจากการลงทุน 7 ลบ
ดังนั้นกำไรรวม 64 ลบ
อัตราเงินปันผล
ปรับเพิ่มจาก 0.134 บาท ใน Q2 2018 เป็น 0.16 บาท ใน Q1 2019
เงินปันผลในปี 2561 เพิ่มจาก 0.552 บาท เป็น 0.58 บาท ต่อหน่วย
โรงงานที่ว่าง
1. นิคมไฮเทค 5 โรง หลังน้ำท่วมปี2554 ทำให้ผู้เช่าชะลอการเช่า เพราะกลัวน้ำท่วม
ตอนนี้พยายามหาลูกค้าเพิ่ม หลังจากนิคมได้แก้ปัญหาน้ำท่วมแล้ว
2. นิคมอมตะนคร 3 โรง พึ่งว่างมา 2 เดือน มีลูกค้าคนจีนเข้ามาเยี่ยมชม แต่ติดปัญหาเรื่องBudget
เพราะทางเราเสนอ 190 บาทต่อตรม แต่เขามีราคาในใจคือ 130-160 บาทต่อตรม
3. นิคมนวนคร 1 โรง อยู่ท้ายของนิคม ใกล้บ่อหมัก ทางเข้าลำบาก ร้างมา5 ปี ตอนนี้พยายามเข้าไปพูดคุย
กับ ผอ ฝ่ายการตลาดของนิคม เพื่อจะได้แนะนำลูกค้ามาเช่า
ถ้าแก้ไขปัญหาโรงงานที่ว่างได้ จะทำให้เงินปันผลกลับมาที่ 0.2 บาทต่อไตรมาสเหมือนช่วงเปิดใหม่ได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 163
ทิศทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
ตลาดเวียดนามในแง่ Snapshot GDP growth 7.1%ในปี 2018 เมื่อเทียบกับอินเดีย โต 6.8%
ในไตรมาสหนึ่ง และ สอง ปี 2019 GDP growth ของเวียดนามอยู่ที่ 6.8%,6.6% ตามลำดับ
สินค้าส่งออกเติบโต 13.8% มากกว่านำเข้า เติบโต 12.1%
นักท่องเที่ยวไปเที่ยวเวียดนามเยอะ เงินได้จากการท่องเที่ยว 30,000 ล้านเหรียญ
FDI ที่นักลงทุนตปท ลงในเวียดนาม ทั้งซื้อหุ้น หรือ ลงทุนโดยตรง ประมาณ 6.3% ของGDP
ดอกเบี้ยนโยบาย 6.25% ดึงดูดนักลงทุนเข้าลงทุน CPI 3.5%
เสถียรภาพทางการเงิน มีเงินทุนสำรอง 55,000 ล้านเหรียญ เทียบเท่ากับมูลค่าการนำเข้า 2.9 เดือน
ข้อดี หนี้ระยะสั้น 17% ของทุนสำรอง
เวียดนามเป็น ศก เปิด มีเงินทุนไหลเข้า ดังนั้น ศก US, EU มีผลต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม
เวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 30,000 ล้าน$
Current account 2.2% เป็นบวก แต่ช่วงแฮมเบอร์เกอร์ CAเป็นลบ ตอนนี้เริ่มมีเสถียรภาพทางการเงิน
รายได้ต่อคนต่อปี 2000 $ ส่วนไทย 7000$ เวียดนามมีช่องในการเติบโตค่อนข้างมาก
จุดบวก
1.การเติบโตของ Domestic demand
2.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโต
3.มีโรงงานมาตั้งใหม่เยอะ
4.มีเงินทุนไหลเข้า ,FDI เพิ่ม 133%,
เมื่อก่อนมีญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มาลงทุน แต่ตอนนี้จีนลงทุนเพิ่มขึ้น 24% แล้ว หลบ trade war
ระบบสถาบันการเงิน
1.เวียดนามมีสถาบันการเงินกว่า 170 แห่ง และ 43 แห่งจาก 170แห่งคิดเป็นมูลค่า 98% ของ ทั้งหมด
2.มี Loan to deposit ratio 90.3%
3.การใช้สินเชื่อภายใน เติบโตเป็น 130% จาก20ปีก่อนระบบสินเชื่อเติบโตแค่ 20%
4.พันธบัตร มีแค่ 23% ของGDP ถ้าเป็นเสือ ต้องมีความลุ่มลึก ของพันธบัตร ประมาณ 70% และ ตลาดหุ้น
5.Capital adequacy Ratio (CAR) on Basel II = 9% ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสะสมเงินทุน
6.สถาบันการเงินมี NPL Ratio ต่ำ 1.7% แต่ถ้ารวมกับส่วนที่ขายให้ VAMC และ Receivable จะเท่า 5.3%
7.สถาบันการเงินมี Fee income 0.4% (เทียบกับภูมิภาค 0.5-1.1%) มีโอกาสโตขึ้น
ความท้าทายของระบบการเงิน
1 การพึ่งพิงสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อมากเกินไป
2 เงินทุนของภาคธนาคารยังไม่แข็งแกร่ง
ดังนั้น การเติบโตชองศก ต้องใช้ตลาดพันธบัตรและหุ้นระดมทุนแทนที่ภาคธนาคาร
เงินทุนงบประมาณการลงทุน ก็ไม่สูงมาก
แผนพัฒนาตลาดทุนเวียดนาม ตอนนี้อยู่ในช่วงร่างหลักทรัพย์ บังคับใช้ 1 มค 2021 (Securities Law)
เวียดนามอยู่ในขั้นตอนแปรรูป 200,000 ล้าน$
ตลาด upcome สำหรับบริษัทที่เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทคล้าย AOT เตรียมจดทะเบียนในตลท
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เวียดนามสนใจจะเข้า MSCI EM
ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในเการเข้า MSCI Emerging market ได้แก่ ต้องดู market size, สภาพคล่อง, Foreign Free float
Market access.
เวียดนาม ใกล้เคียงกับ ฟิลิปปินส์ step ต่อไป คือดึงนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุน
หนี้ต่างประเทศ 2 เท่าของ reserve ( Thai หนี้ต่ำกว่าreserveค่อนข้างมาก )
แต่เวียดนามก็ดีกว่าหลายประเทศใน EM เช่น ตุรกี มาเลย์
ช่วงเงินบาทแข็ง เรามีความได้เปรียบ สามารถลงทุนในต่างประเทศ
ตลาดไหนน่าสนใจ ต้องดู market cap / GDP
Thai market cap / GDP =100%
VN market cap / GDP ประมาณ 70กว่า%
ซื้อขายด้วย PE 16 เท่า ในปีนี้ และ PE 12 เท่า ตอน ปี 2012
IMF คาดการณ์ศก เวียดนาม โต 8.5% ในปี2020
ปัจจุบัน ตลาดพันธบัตรมูลค่า 90,000 ล้านเหรียญ จริงๆต้องเติบโตอีก 400%
ส่วนตลาดหุ้น เวลาดู market cap/GDP=100% มีโอกาสโตอีก 175%
ปีนี้เงินบาทแข็ง ผลตอบแทนได้ 3.8% ถ้าไม่นับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะได้ผลตอบแทน 11%
ในบางช่วงได้ผลตอบแทนสูง
สรุป ถือเป็นทางเลือกในการจัดเข้าportfolio Global Asset Class
โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
ตลาดเวียดนามในแง่ Snapshot GDP growth 7.1%ในปี 2018 เมื่อเทียบกับอินเดีย โต 6.8%
ในไตรมาสหนึ่ง และ สอง ปี 2019 GDP growth ของเวียดนามอยู่ที่ 6.8%,6.6% ตามลำดับ
สินค้าส่งออกเติบโต 13.8% มากกว่านำเข้า เติบโต 12.1%
นักท่องเที่ยวไปเที่ยวเวียดนามเยอะ เงินได้จากการท่องเที่ยว 30,000 ล้านเหรียญ
FDI ที่นักลงทุนตปท ลงในเวียดนาม ทั้งซื้อหุ้น หรือ ลงทุนโดยตรง ประมาณ 6.3% ของGDP
ดอกเบี้ยนโยบาย 6.25% ดึงดูดนักลงทุนเข้าลงทุน CPI 3.5%
เสถียรภาพทางการเงิน มีเงินทุนสำรอง 55,000 ล้านเหรียญ เทียบเท่ากับมูลค่าการนำเข้า 2.9 เดือน
ข้อดี หนี้ระยะสั้น 17% ของทุนสำรอง
เวียดนามเป็น ศก เปิด มีเงินทุนไหลเข้า ดังนั้น ศก US, EU มีผลต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม
เวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 30,000 ล้าน$
Current account 2.2% เป็นบวก แต่ช่วงแฮมเบอร์เกอร์ CAเป็นลบ ตอนนี้เริ่มมีเสถียรภาพทางการเงิน
รายได้ต่อคนต่อปี 2000 $ ส่วนไทย 7000$ เวียดนามมีช่องในการเติบโตค่อนข้างมาก
จุดบวก
1.การเติบโตของ Domestic demand
2.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโต
3.มีโรงงานมาตั้งใหม่เยอะ
4.มีเงินทุนไหลเข้า ,FDI เพิ่ม 133%,
เมื่อก่อนมีญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มาลงทุน แต่ตอนนี้จีนลงทุนเพิ่มขึ้น 24% แล้ว หลบ trade war
ระบบสถาบันการเงิน
1.เวียดนามมีสถาบันการเงินกว่า 170 แห่ง และ 43 แห่งจาก 170แห่งคิดเป็นมูลค่า 98% ของ ทั้งหมด
2.มี Loan to deposit ratio 90.3%
3.การใช้สินเชื่อภายใน เติบโตเป็น 130% จาก20ปีก่อนระบบสินเชื่อเติบโตแค่ 20%
4.พันธบัตร มีแค่ 23% ของGDP ถ้าเป็นเสือ ต้องมีความลุ่มลึก ของพันธบัตร ประมาณ 70% และ ตลาดหุ้น
5.Capital adequacy Ratio (CAR) on Basel II = 9% ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสะสมเงินทุน
6.สถาบันการเงินมี NPL Ratio ต่ำ 1.7% แต่ถ้ารวมกับส่วนที่ขายให้ VAMC และ Receivable จะเท่า 5.3%
7.สถาบันการเงินมี Fee income 0.4% (เทียบกับภูมิภาค 0.5-1.1%) มีโอกาสโตขึ้น
ความท้าทายของระบบการเงิน
1 การพึ่งพิงสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อมากเกินไป
2 เงินทุนของภาคธนาคารยังไม่แข็งแกร่ง
ดังนั้น การเติบโตชองศก ต้องใช้ตลาดพันธบัตรและหุ้นระดมทุนแทนที่ภาคธนาคาร
เงินทุนงบประมาณการลงทุน ก็ไม่สูงมาก
แผนพัฒนาตลาดทุนเวียดนาม ตอนนี้อยู่ในช่วงร่างหลักทรัพย์ บังคับใช้ 1 มค 2021 (Securities Law)
เวียดนามอยู่ในขั้นตอนแปรรูป 200,000 ล้าน$
ตลาด upcome สำหรับบริษัทที่เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทคล้าย AOT เตรียมจดทะเบียนในตลท
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เวียดนามสนใจจะเข้า MSCI EM
ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในเการเข้า MSCI Emerging market ได้แก่ ต้องดู market size, สภาพคล่อง, Foreign Free float
Market access.
เวียดนาม ใกล้เคียงกับ ฟิลิปปินส์ step ต่อไป คือดึงนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุน
หนี้ต่างประเทศ 2 เท่าของ reserve ( Thai หนี้ต่ำกว่าreserveค่อนข้างมาก )
แต่เวียดนามก็ดีกว่าหลายประเทศใน EM เช่น ตุรกี มาเลย์
ช่วงเงินบาทแข็ง เรามีความได้เปรียบ สามารถลงทุนในต่างประเทศ
ตลาดไหนน่าสนใจ ต้องดู market cap / GDP
Thai market cap / GDP =100%
VN market cap / GDP ประมาณ 70กว่า%
ซื้อขายด้วย PE 16 เท่า ในปีนี้ และ PE 12 เท่า ตอน ปี 2012
IMF คาดการณ์ศก เวียดนาม โต 8.5% ในปี2020
ปัจจุบัน ตลาดพันธบัตรมูลค่า 90,000 ล้านเหรียญ จริงๆต้องเติบโตอีก 400%
ส่วนตลาดหุ้น เวลาดู market cap/GDP=100% มีโอกาสโตอีก 175%
ปีนี้เงินบาทแข็ง ผลตอบแทนได้ 3.8% ถ้าไม่นับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะได้ผลตอบแทน 11%
ในบางช่วงได้ผลตอบแทนสูง
สรุป ถือเป็นทางเลือกในการจัดเข้าportfolio Global Asset Class
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 164
สัมมนา Bangkok Asian Tour 2019
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงสัมภาษณ์ ดร นิเวศน์ เกี่ยวกับประสบการณ์การลงทุน รับมือวิกฤตอย่างไร
Q: ดร นิเวศน์ เป็นนักลงทุนที่โด่งดัง ได้รับฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย และ ยังมีหลายฉายา
ถามดร ว่าชอบฉายาอะไรมากที่สุด
A: ปกติในเมืองไทยไม่มีใครเรียกแบบนี้ แต่เมืองนอกตั้งชื่อนี้ จากหนังสือฉบับนึงได้จัดอันดับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน 99 คนทั่วโลก อาจารย์เป็นหนึ่งใน99คนได้รับการบันทึกชื่อไว้
อาจารย์บอกว่า ผมเกิดในช่วงจังหวะที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้น (ช่วงต้มยำกุ้ง)
เราเป็นคนริเริ่มลงทุนในแนววีไอ และเผยแพร่การลงทุนแบบวีไอออกไป คนรู้จักก็มาหาผมเพื่อศึกษาแนวทางวีไอ
(ผู้เขียนขอเสริมว่า นักลงทุนที่เข้าไปหาอาจารย์ช่วงนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ คุณธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอคนแรก
ขณะทำงานอยู่ที่ IBM สิงคโปร์ พอมีเวลามาไทย ก็ไปพูดคุยกับอาจารย์เรื่องแนวการลงทุนแบบวีไอ ซึ่งถือว่าใหม่มาก ไม่ค่อยมีคนรู้จัก)
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนบทความลง นสพ ( กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ โลกในมุมมองValue Investor ลงทุกวันอังคาร)
ออกรายการทีวี และ มีการสอนหลักการลงทุนแนววีไอ คนตามมาศึกษาการลงทุนแบบวีไอเยอะ
ซึ่งเป็นหลักการที่ปลอดภัย คนที่ทำตามหลักการนี้ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี เลยเกิดกระแสการลงทุนแบบวีไอขึ้นมา
ทำให้หุ้นที่อยู่ในข่ายการลงทุนแบบวีไอ เติบโตขึ้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์เล่าว่า ตอนนั้นลงทุนแบบวีไอ เพราะว่าตกงาน (จากวิกฤตต้มยำกุ้ง) มีเงินเก็บก้อนนึง ประมาณ 10 ล้านบาท
ก็เลยนำเงินก้อนนี้มาลงทุน เพื่อเอาตัวรอดในขณะที่อายุ40กว่าปี ตอนนั้นมีเงินอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินอื่น
บ้านก็เป็นของแม่ยาย ส่วนรถก็เป็นรถบริษัท หลังจากไปลงทุนก็พออยู่ได้
ตอนนั้นอาจารย์บังเอิญลงทุนในช่วงสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย (ช่วงต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นลดต่ำจาก 1789 มาที่ 204 จุด
ทำให้มีหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ปันผล 10% ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ) ซึ่งทำให้อาจารย์รวยไปด้วยไม่ทันตั้งตัว
เคยให้สัมภาษณ์กับ นสพ กรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนตายตอนอายุ 80 ปี ตั้งเป้าจะมีเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นยังมี
เวลาอีก 30กว่าปี ถ้าลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ทบต้น ระยะเวลา 30กว่าปี สามารถทำเงินจาก 10 ไปที่ 1,000 ล้านบาทได้ ผมวางแผนไว้หมด และศึกษาหุ้นทั่วโลก มีความเป็นไปได้ในการลงทุนหุ้นและได้ 1,000 ล้านบาท
ช่วงนั้นผมพูดการลงทุนแบบวีไอเป็นคนแรก เลยกลายเป็นผู้นำ นอกจากเผยแพร่แนววีไอ ก็ได้ 1,000 ล้านบาท
เร็วกว่ากำหนด คือ แค่ 10 ปีเท่านั้น แต่ก็ยังลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนั้น คิดใหม่ว่าขอให้ได้ผลตอบแทนแค่ 10%ต่อปีไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อมา
ระยะหลัง เป้าเพื่อเงินไม่มีความหมาย สมัยที่ไม่มีเงิน ตั้งเป้าเป็นเรื่องเงิน แต่พอมีเงิน 1,000 ล้านบาท ชีวิตก็ไม่มี
อะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ การไปเที่ยวทั่วโลก ไม่ต้องใช้เงินมากมาย
การหาเงินนะง่าย แต่การใช้เงินเช่น วันละ 2 ล้านบาท นั้นยาก เพราะต้องหาทางใช้เงิน 2ล้านบาททุกวัน จะไปซื้ออะไรทุกวัน การใช้เงิน 200 บาทต่อวัน ง่ายกว่าเยอะ ก็เลยจบเรื่องตั้งเป้าเกี่ยวกับเงิน
ส่วนเรื่องฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์เมืองไทย นั้น ความจริงเราไม่สามารถเกิดมาเพื่อเป็นใคร เราเกิดมาเป็นตัวของเราเอง
แต่ก็ศึกษาประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งจริงๆเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทำตามแบบไม่ต้องเลียนแบบ
อาจารย์บอกว่า วันนี้มางานนี้ รู้สึกsurprise นึกว่ามีคนมาฟัง 30 คน ( จริงๆมีคนมาฟังอาจารย์ 350 คน )
จะมาลงรายละเอียดวิชาการ กลุ่มคนที่มาฟังแตกต่างกับที่ผ่านมา ดูเป็นหนุ่มสาวทั้งนั้น
Q : Major Learning หลังจากกำไรก้อนโต หรือ ขาดทุนก้อนโต อยากให้แชร์ประสบการณ์
A : ทำเงินก้อนโต มีตลอด แต่ขาดทุนก้อนโต ไม่เจอ (ว้าว อาจารย์ทำได้อย่างไร ตามมาศึกษากัน)
อาจารย์ให้เหตุผลว่า เราออกแบบการลงทุนไว้แล้ว ถ้าเราขาดทุนก้อนโต แสดงว่าเราไม่ได้วางแผนตั้งแต่เริ่มลงทุน
การทำเงินก้อนโต เราออกแบบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนก้อนโต คือ การถือหลักทรัพย์ไว้นานๆ ( สังเกตจากนักลงทุน
แนววีไอ บางคน ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ สามารถถือหุ้นที่ดีได้ยาวนาน ไม่ได้ขายออก อาจมีซื้อเพิ่มขึ้นด้วย )
ต้องมีศรัทธา มีความมั่นใจ มีการตรวจสอบว่า ยังเป็นธุรกิจ Great company หรือไม่ ถ้าใช่ เราก็โตตามมันไป
การขาดทุนเยอะ ต้องหลีกเลี่ยง อะไรที่ทำให้ขาดทุนก้อนโต ก็หลีกเลี่ยง
ไม่ลงทุนหุ้น PE 100 เท่า ถ้าไม่เป็นตามที่เราคิด จะขาดทุนก้อนโตได้
ต้องดูว่า ธุรกิจเป็น Great Business หรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจธรรมดา คนอื่นก็สู้ได้ ไม่น่าสนใจ
เราต้องสัมผัสกับธุรกิจจริงๆ ทำไมคนกล้าไปซื้อ ธุรกิจโตได้อย่างไร โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
20 กว่าปีที่ลงทุนมา ขาดทุนน้อยมาก ขาดทุนแค่ 3 ปี จาก 20 กว่าปี
( ซึ่งปีที่ขาดทุน จะเป็นปีที่ SET ติดลบหนัก
1.ปี 2547 -28.2% เทียบกับตลาด -13.5% ซึ่งปี 2546 port +146% เทียบกับตลาด +116%
2.ปี 2551 Port -14.6% เทียบกับตลาด -47.5% ช่วงแฮมเบอเกอร์ ไคซิส
3.ปี 2561 Port -9.9% เทียบกับ ตลาด -11%
แหล่งที่มา : จากหนังสือของดร นิเวศน์ ที่รวบรวมบทความจาก คอลัมน์ โลกในมุมมองของValue Investor)
ดังนั้นลงทุนอย่าขาดทุน เราต้องคิดแล้วคิดอีกสำหรับหุ้นทุกตัว
หุ้นที่ขาดทุน เช่น ลงทุน3ปีแล้วยังขาดทุนอีก เราต้องคิดว่าทำไมยังขาดทุน
เหมือนการทำธุรกิจแล้วเจ๊ง จะต้องคิดแล้วทำไมถึงขาดทุน ลงทุนหุ้นก็เหมือนกัน
ซึ่งเป็นหลักการวีไอพันธ์แท้
ผมเคยลงทุนหุ้นทั้งชีวิตแค่ 20 กว่าตัว ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 10 ตัว
ปีที่แล้ว รวมถึงปีนี้ 18 เดือน ไม่ได้ซื้อ ขาย หุ้นเลย อยู่เฉยๆมา 18 เดือน
Broker โทรมาให้ซื้อ ขาย ทุกวัน ซึ่งปีที่แล้วไม่มี volume ซื้อขายเลย
คุณลงทุนหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ ทำแล้วต้องตั้งใจ ไม่ใช่ขายทิ้งและซื้อธุรกิจใหม่ๆไปเรื่อยๆ
ปกติซื้อหุ้นอาจมีขาดทุน 2 ปี แต่ถ้าปีที่3 ยังขาดทุน ต้องพิจารณาแล้ว
Q: อยากทราบว่า วิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และ จะทำอย่างไรที่จะคว้าโอกาสทำเงินจากวิกฤตได้
A: อาจารย์บอกว่า ผ่านมา2วิกฤต ทำให้เรารวยขึ้น
คิดว่าเมื่อไหร่จะเกิดสักที
สิ่งที่เตรียมการคือ
หุ้นที่เราถืออยู่ ไม่เป็นไร
ตอนปี 2008 Port ลดลง 10 %กว่า หลังจากนั้น Port ก็กระโดดขึ้นเยอะมาก ตอนตก ตกน้อยกว่าตลาด เรามีเงินสดบางส่วน เอามาซื้อหุ้นที่ตกเยอะๆ
เลือกหุ้นให้ถูก ตอนนี้มีเงินสดรอซื้อหุ้นที่ตกมากๆ ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ไม่ค่อยตก
สมัยปี1997 เศรษฐี ทรัพย์สินตกลงมาเยอะ ทำให้เรารวยขึ้นจากหุ้นที่ถือ ซึ่งตกน้อยกว่า
ตลาด พอเกิดวิกฤตหลายครั้ง ตอนนี้ผมรวยกว่าเศรษฐีแล้ว
อย่าไปกลัว พยายามอยู่บนเรือที่แข็งแกร่งให้ได้ ไม่มีใครทำนายได้ว่าเกิดเมื่อไหร่
แต่ถ้าเราแข็งแกร่ง หุ้นที่เราถือก็ปลอดภัย
3-4 ปีก่อน ขายหุ้นไป และ ถือเงินสด ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยกว่า 1% ตอนนี้ก็เข้าไปซื้อหุ้น
มีเงินสด 10กว่า % รอซื้อหุ้นตอนวิกฤต
แต่ก็กลัวๆอยู่ เพราะ นานแล้วที่ไม่เกิด ( 11 ปีหลังจาก วิกฤตแฮมเบอเกอร์ )
สุดท้ายขอขอบคุณ Fullerton Market และ ดร นิเวศน์ที่มาให้ความรู้สำหรับรับมือวิกฤตครั้งต่อไปนะครับ
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงสัมภาษณ์ ดร นิเวศน์ เกี่ยวกับประสบการณ์การลงทุน รับมือวิกฤตอย่างไร
Q: ดร นิเวศน์ เป็นนักลงทุนที่โด่งดัง ได้รับฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย และ ยังมีหลายฉายา
ถามดร ว่าชอบฉายาอะไรมากที่สุด
A: ปกติในเมืองไทยไม่มีใครเรียกแบบนี้ แต่เมืองนอกตั้งชื่อนี้ จากหนังสือฉบับนึงได้จัดอันดับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน 99 คนทั่วโลก อาจารย์เป็นหนึ่งใน99คนได้รับการบันทึกชื่อไว้
อาจารย์บอกว่า ผมเกิดในช่วงจังหวะที่เหมาะสมในสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้น (ช่วงต้มยำกุ้ง)
เราเป็นคนริเริ่มลงทุนในแนววีไอ และเผยแพร่การลงทุนแบบวีไอออกไป คนรู้จักก็มาหาผมเพื่อศึกษาแนวทางวีไอ
(ผู้เขียนขอเสริมว่า นักลงทุนที่เข้าไปหาอาจารย์ช่วงนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ คุณธันวา อดีตนายกสมาคมไทยวีไอคนแรก
ขณะทำงานอยู่ที่ IBM สิงคโปร์ พอมีเวลามาไทย ก็ไปพูดคุยกับอาจารย์เรื่องแนวการลงทุนแบบวีไอ ซึ่งถือว่าใหม่มาก ไม่ค่อยมีคนรู้จัก)
หลังจากนั้น ก็เริ่มเขียนบทความลง นสพ ( กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ โลกในมุมมองValue Investor ลงทุกวันอังคาร)
ออกรายการทีวี และ มีการสอนหลักการลงทุนแนววีไอ คนตามมาศึกษาการลงทุนแบบวีไอเยอะ
ซึ่งเป็นหลักการที่ปลอดภัย คนที่ทำตามหลักการนี้ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี เลยเกิดกระแสการลงทุนแบบวีไอขึ้นมา
ทำให้หุ้นที่อยู่ในข่ายการลงทุนแบบวีไอ เติบโตขึ้นเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์เล่าว่า ตอนนั้นลงทุนแบบวีไอ เพราะว่าตกงาน (จากวิกฤตต้มยำกุ้ง) มีเงินเก็บก้อนนึง ประมาณ 10 ล้านบาท
ก็เลยนำเงินก้อนนี้มาลงทุน เพื่อเอาตัวรอดในขณะที่อายุ40กว่าปี ตอนนั้นมีเงินอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินอื่น
บ้านก็เป็นของแม่ยาย ส่วนรถก็เป็นรถบริษัท หลังจากไปลงทุนก็พออยู่ได้
ตอนนั้นอาจารย์บังเอิญลงทุนในช่วงสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย (ช่วงต้มยำกุ้ง ราคาหุ้นลดต่ำจาก 1789 มาที่ 204 จุด
ทำให้มีหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ปันผล 10% ที่สามารถเลือกลงทุนได้ ) ซึ่งทำให้อาจารย์รวยไปด้วยไม่ทันตั้งตัว
เคยให้สัมภาษณ์กับ นสพ กรุงเทพธุรกิจ ว่า ก่อนตายตอนอายุ 80 ปี ตั้งเป้าจะมีเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นยังมี
เวลาอีก 30กว่าปี ถ้าลงทุนได้ผลตอบแทน 10% ทบต้น ระยะเวลา 30กว่าปี สามารถทำเงินจาก 10 ไปที่ 1,000 ล้านบาทได้ ผมวางแผนไว้หมด และศึกษาหุ้นทั่วโลก มีความเป็นไปได้ในการลงทุนหุ้นและได้ 1,000 ล้านบาท
ช่วงนั้นผมพูดการลงทุนแบบวีไอเป็นคนแรก เลยกลายเป็นผู้นำ นอกจากเผยแพร่แนววีไอ ก็ได้ 1,000 ล้านบาท
เร็วกว่ากำหนด คือ แค่ 10 ปีเท่านั้น แต่ก็ยังลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนั้น คิดใหม่ว่าขอให้ได้ผลตอบแทนแค่ 10%ต่อปีไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อมา
ระยะหลัง เป้าเพื่อเงินไม่มีความหมาย สมัยที่ไม่มีเงิน ตั้งเป้าเป็นเรื่องเงิน แต่พอมีเงิน 1,000 ล้านบาท ชีวิตก็ไม่มี
อะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ การไปเที่ยวทั่วโลก ไม่ต้องใช้เงินมากมาย
การหาเงินนะง่าย แต่การใช้เงินเช่น วันละ 2 ล้านบาท นั้นยาก เพราะต้องหาทางใช้เงิน 2ล้านบาททุกวัน จะไปซื้ออะไรทุกวัน การใช้เงิน 200 บาทต่อวัน ง่ายกว่าเยอะ ก็เลยจบเรื่องตั้งเป้าเกี่ยวกับเงิน
ส่วนเรื่องฉายา วอร์เรน บัฟเฟตต์เมืองไทย นั้น ความจริงเราไม่สามารถเกิดมาเพื่อเป็นใคร เราเกิดมาเป็นตัวของเราเอง
แต่ก็ศึกษาประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งจริงๆเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทำตามแบบไม่ต้องเลียนแบบ
อาจารย์บอกว่า วันนี้มางานนี้ รู้สึกsurprise นึกว่ามีคนมาฟัง 30 คน ( จริงๆมีคนมาฟังอาจารย์ 350 คน )
จะมาลงรายละเอียดวิชาการ กลุ่มคนที่มาฟังแตกต่างกับที่ผ่านมา ดูเป็นหนุ่มสาวทั้งนั้น
Q : Major Learning หลังจากกำไรก้อนโต หรือ ขาดทุนก้อนโต อยากให้แชร์ประสบการณ์
A : ทำเงินก้อนโต มีตลอด แต่ขาดทุนก้อนโต ไม่เจอ (ว้าว อาจารย์ทำได้อย่างไร ตามมาศึกษากัน)
อาจารย์ให้เหตุผลว่า เราออกแบบการลงทุนไว้แล้ว ถ้าเราขาดทุนก้อนโต แสดงว่าเราไม่ได้วางแผนตั้งแต่เริ่มลงทุน
การทำเงินก้อนโต เราออกแบบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนก้อนโต คือ การถือหลักทรัพย์ไว้นานๆ ( สังเกตจากนักลงทุน
แนววีไอ บางคน ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ สามารถถือหุ้นที่ดีได้ยาวนาน ไม่ได้ขายออก อาจมีซื้อเพิ่มขึ้นด้วย )
ต้องมีศรัทธา มีความมั่นใจ มีการตรวจสอบว่า ยังเป็นธุรกิจ Great company หรือไม่ ถ้าใช่ เราก็โตตามมันไป
การขาดทุนเยอะ ต้องหลีกเลี่ยง อะไรที่ทำให้ขาดทุนก้อนโต ก็หลีกเลี่ยง
ไม่ลงทุนหุ้น PE 100 เท่า ถ้าไม่เป็นตามที่เราคิด จะขาดทุนก้อนโตได้
ต้องดูว่า ธุรกิจเป็น Great Business หรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจธรรมดา คนอื่นก็สู้ได้ ไม่น่าสนใจ
เราต้องสัมผัสกับธุรกิจจริงๆ ทำไมคนกล้าไปซื้อ ธุรกิจโตได้อย่างไร โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
20 กว่าปีที่ลงทุนมา ขาดทุนน้อยมาก ขาดทุนแค่ 3 ปี จาก 20 กว่าปี
( ซึ่งปีที่ขาดทุน จะเป็นปีที่ SET ติดลบหนัก
1.ปี 2547 -28.2% เทียบกับตลาด -13.5% ซึ่งปี 2546 port +146% เทียบกับตลาด +116%
2.ปี 2551 Port -14.6% เทียบกับตลาด -47.5% ช่วงแฮมเบอเกอร์ ไคซิส
3.ปี 2561 Port -9.9% เทียบกับ ตลาด -11%
แหล่งที่มา : จากหนังสือของดร นิเวศน์ ที่รวบรวมบทความจาก คอลัมน์ โลกในมุมมองของValue Investor)
ดังนั้นลงทุนอย่าขาดทุน เราต้องคิดแล้วคิดอีกสำหรับหุ้นทุกตัว
หุ้นที่ขาดทุน เช่น ลงทุน3ปีแล้วยังขาดทุนอีก เราต้องคิดว่าทำไมยังขาดทุน
เหมือนการทำธุรกิจแล้วเจ๊ง จะต้องคิดแล้วทำไมถึงขาดทุน ลงทุนหุ้นก็เหมือนกัน
ซึ่งเป็นหลักการวีไอพันธ์แท้
ผมเคยลงทุนหุ้นทั้งชีวิตแค่ 20 กว่าตัว ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ 10 ตัว
ปีที่แล้ว รวมถึงปีนี้ 18 เดือน ไม่ได้ซื้อ ขาย หุ้นเลย อยู่เฉยๆมา 18 เดือน
Broker โทรมาให้ซื้อ ขาย ทุกวัน ซึ่งปีที่แล้วไม่มี volume ซื้อขายเลย
คุณลงทุนหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ ทำแล้วต้องตั้งใจ ไม่ใช่ขายทิ้งและซื้อธุรกิจใหม่ๆไปเรื่อยๆ
ปกติซื้อหุ้นอาจมีขาดทุน 2 ปี แต่ถ้าปีที่3 ยังขาดทุน ต้องพิจารณาแล้ว
Q: อยากทราบว่า วิกฤตจะมาเมื่อไหร่ และ จะทำอย่างไรที่จะคว้าโอกาสทำเงินจากวิกฤตได้
A: อาจารย์บอกว่า ผ่านมา2วิกฤต ทำให้เรารวยขึ้น
คิดว่าเมื่อไหร่จะเกิดสักที
สิ่งที่เตรียมการคือ
หุ้นที่เราถืออยู่ ไม่เป็นไร
ตอนปี 2008 Port ลดลง 10 %กว่า หลังจากนั้น Port ก็กระโดดขึ้นเยอะมาก ตอนตก ตกน้อยกว่าตลาด เรามีเงินสดบางส่วน เอามาซื้อหุ้นที่ตกเยอะๆ
เลือกหุ้นให้ถูก ตอนนี้มีเงินสดรอซื้อหุ้นที่ตกมากๆ ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ไม่ค่อยตก
สมัยปี1997 เศรษฐี ทรัพย์สินตกลงมาเยอะ ทำให้เรารวยขึ้นจากหุ้นที่ถือ ซึ่งตกน้อยกว่า
ตลาด พอเกิดวิกฤตหลายครั้ง ตอนนี้ผมรวยกว่าเศรษฐีแล้ว
อย่าไปกลัว พยายามอยู่บนเรือที่แข็งแกร่งให้ได้ ไม่มีใครทำนายได้ว่าเกิดเมื่อไหร่
แต่ถ้าเราแข็งแกร่ง หุ้นที่เราถือก็ปลอดภัย
3-4 ปีก่อน ขายหุ้นไป และ ถือเงินสด ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยกว่า 1% ตอนนี้ก็เข้าไปซื้อหุ้น
มีเงินสด 10กว่า % รอซื้อหุ้นตอนวิกฤต
แต่ก็กลัวๆอยู่ เพราะ นานแล้วที่ไม่เกิด ( 11 ปีหลังจาก วิกฤตแฮมเบอเกอร์ )
สุดท้ายขอขอบคุณ Fullerton Market และ ดร นิเวศน์ที่มาให้ความรู้สำหรับรับมือวิกฤตครั้งต่อไปนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 165
คุณ ทิวา หรือ เซียนมี่ พูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นMAI ในงาน MoneyTalk@MAI
By Seminar knowledge page
คณมี่เล่าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งSET,MAI ว่าปีนี้การลงทุนผลตอบแทนดีขึ้น ตอนนี้ ลงทุนหุ้น 10กว่าตัว ต่างจากเมื่อก่อนลงน้อยตัว แค่2-3 ตัว
ลงหุ้นMAI ทั้ง2ตัวซึ่งบริษัททั้งสองมาร่วมงาน และ portมีกำไรแล้ว
ผมลงทุนไม่ได้ดูว่าอยู่SETหรือ MAI ดูที่ทรงน่าจะไปได้ สามารถแข่งขันได้ความสามารถของผู้บริหารที่ดี ผลประกอบการ เราฟังแล้วเราชอบ
และพึ่งมารู้ว่าทีหลังว่าอยู่ในSET,MAI
ผมชอบผู้บริหารที่เก่ง พูดและทำได้ เขามีความพยายามทำให้กิจการเติบโต
มีความโปร่งใส บางทีผู้บริหารที่เน้นปันผล พูดอะไรที่ทำได้ ทำอย่างไรให้เติบโตขึ้น
ชอบผู้บริหารที่หนุ่ม แต่บางทีผู้บริหารสูงวัยอาจมีไฟแรงกว่าคนหนุ่มก็ได้
ดูที่ผลงานที่ทำมากกว่า
อ เสน่ห์ ถามคุณมี่ว่า หุ้นในตลาดMAI ซื้อเมื่อไหร่
คุณมี่ตอบว่า พึ่งซื้อหุ้นสองตัวนี้ในMAIเมื่อต้นปี
ตัวนึง เพื่อนนักลงทุนมาเล่าให้ฟัง แต่ราคาสูง PEสูงไปหน่อย
แต่หลังจากนั้น มีการเพิ่มทุน ราคาลงมาเหลือ40% ก็เลยเข้าไปซื้อ
อีกตัวตามศึกษาธุรกิจมา รายได้ประกอบด้วย รายได้ที่เป็นrecurring income
ค่อยๆทยอยซื้อ ธุรกิจเติบโตได้ท่ามกลางสภาวการณ์ปัจจุบัน
บางบริษัท อาจมีการใช้งานมากขึ้น แต่รายได้ไม่ได้โตตาม
ถามคุณมี่ว่า การเลือกซื้อหุ้นดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณมี่เคยได้มากสุด สิบกว่าเด้ง แต่ลงในWarrant แต่หุ้นแม่ขึ้น5เด้ง
ช่วงแรกที่เข้ามาลงทุน ต่างจากตอนนี้
เมี่อก่อน PE 4-5 เท่าเรียกว่าหุ้นถูก ถ้าPE 10กว่าเท่า เรียกว่าหุ้นแพง
หลังจากนั้นมีการปรับPEขึ้น PE 10กว่าเท่า เป็นหุ้นถูก
หุ้นPE 30-50กว่าเท่าถือเป็นหุ้นแพง โอกาสได้สิบเด้งยาก
การเลือกหุ้นไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ แต่การถือหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ
ว่าจะถืออย่างไรให้ได้สิบเด้ง แต่ส่วนใหญ่จะขายก่อนอันควร
ทำให้ไม่ได้สิบเด้ง
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป มีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณมี่ ตอบว่า ถ้าสำหรับมือใหม่ หรือ ผู้ใหญ่อายุมากนิดนึง
แนะนำให้ถือหุ้นใหญ่
เราเคยอยู่ในธุรกิจอะไรที่คุ้นเคย ก็จะเข้าใจในธุรกิจนั้น
เข้าใจว่าดีกว่าคู่แข่งอย่างไร
อย่าซื้อตอนที่หุ้นนั้นทุกคนสนใจเยอะ
และอีกกรณี ถ้าเราซื้อหุ้นดี แต่มีการเชียร์หุ้น ราคาที่ซื้อคิดเป็น PE 50 เท่า
อาจทำให้ขาดทุน50% ก็ต้องหลีกเลี่ยง
อ ไพบูลย์ สอบถามหุ้นที่ชื่นชอบในตลาดMAI
คุณมี่ บอกว่าบริษัทที่ผมสนใจ3บริษัทมีซ้ำกับอ โจ คือ บริษัทที่หนึ่ง
บริษัทที่1.บริษัทที่ขายเครื่องมือทางการแพทย์ PEไม่แพง มีprojectตลอด
บริษัทที่2.หุ้นค้าปลีก PEค่อนข้างต่ำ ถ้าบริษัทคล้ายๆกันอยู่ในSET PEก็30 เท่า
หุ้นนี้ Forward PE 10 เท่านิดๆ ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ลูกค้าเป็นผู้หญิง
บริษัทที่3.บริษัทให้เช่าวงจรสื่อสาร บริษัทที่ให้เช่ากับ ศรีสวัสดิ์หรือMTC เพื่อใช้intranetภายใน เป็นวงจรที่เชื่อมต่อสาขาเข้าระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรับเหมาโครงข่ายด้วย
เติบโต30-40%ต่อปี ต่อเนื่องไปอีก3-4ปี แต่PEไม่ถูกมาก Forward PE ใกล้ๆ20เท่า
มองดูว่า Potentialมีการเติบโต
ถามว่า หุ้นIPO ต่อจากนี้ควรจองไหม
คุณมี่บอกว่า
ผมต้องคำนวณตามกระบวนปกติในการหาหุ้น เพื่อดูว่าหุ้นipoน่าจองไหม
บางตัว performanceดีหมด ดูน่าสนใจ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณมี่ที่มาให้ความรู้เรื่องวิธีการคัดเลือกหุ้นลงทุน
และบอกถึงลักษณะหุ้นที่ชื่นชอบด้วยครับ
By Seminar knowledge page
คณมี่เล่าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งSET,MAI ว่าปีนี้การลงทุนผลตอบแทนดีขึ้น ตอนนี้ ลงทุนหุ้น 10กว่าตัว ต่างจากเมื่อก่อนลงน้อยตัว แค่2-3 ตัว
ลงหุ้นMAI ทั้ง2ตัวซึ่งบริษัททั้งสองมาร่วมงาน และ portมีกำไรแล้ว
ผมลงทุนไม่ได้ดูว่าอยู่SETหรือ MAI ดูที่ทรงน่าจะไปได้ สามารถแข่งขันได้ความสามารถของผู้บริหารที่ดี ผลประกอบการ เราฟังแล้วเราชอบ
และพึ่งมารู้ว่าทีหลังว่าอยู่ในSET,MAI
ผมชอบผู้บริหารที่เก่ง พูดและทำได้ เขามีความพยายามทำให้กิจการเติบโต
มีความโปร่งใส บางทีผู้บริหารที่เน้นปันผล พูดอะไรที่ทำได้ ทำอย่างไรให้เติบโตขึ้น
ชอบผู้บริหารที่หนุ่ม แต่บางทีผู้บริหารสูงวัยอาจมีไฟแรงกว่าคนหนุ่มก็ได้
ดูที่ผลงานที่ทำมากกว่า
อ เสน่ห์ ถามคุณมี่ว่า หุ้นในตลาดMAI ซื้อเมื่อไหร่
คุณมี่ตอบว่า พึ่งซื้อหุ้นสองตัวนี้ในMAIเมื่อต้นปี
ตัวนึง เพื่อนนักลงทุนมาเล่าให้ฟัง แต่ราคาสูง PEสูงไปหน่อย
แต่หลังจากนั้น มีการเพิ่มทุน ราคาลงมาเหลือ40% ก็เลยเข้าไปซื้อ
อีกตัวตามศึกษาธุรกิจมา รายได้ประกอบด้วย รายได้ที่เป็นrecurring income
ค่อยๆทยอยซื้อ ธุรกิจเติบโตได้ท่ามกลางสภาวการณ์ปัจจุบัน
บางบริษัท อาจมีการใช้งานมากขึ้น แต่รายได้ไม่ได้โตตาม
ถามคุณมี่ว่า การเลือกซื้อหุ้นดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณมี่เคยได้มากสุด สิบกว่าเด้ง แต่ลงในWarrant แต่หุ้นแม่ขึ้น5เด้ง
ช่วงแรกที่เข้ามาลงทุน ต่างจากตอนนี้
เมี่อก่อน PE 4-5 เท่าเรียกว่าหุ้นถูก ถ้าPE 10กว่าเท่า เรียกว่าหุ้นแพง
หลังจากนั้นมีการปรับPEขึ้น PE 10กว่าเท่า เป็นหุ้นถูก
หุ้นPE 30-50กว่าเท่าถือเป็นหุ้นแพง โอกาสได้สิบเด้งยาก
การเลือกหุ้นไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญ แต่การถือหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ
ว่าจะถืออย่างไรให้ได้สิบเด้ง แต่ส่วนใหญ่จะขายก่อนอันควร
ทำให้ไม่ได้สิบเด้ง
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป มีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณมี่ ตอบว่า ถ้าสำหรับมือใหม่ หรือ ผู้ใหญ่อายุมากนิดนึง
แนะนำให้ถือหุ้นใหญ่
เราเคยอยู่ในธุรกิจอะไรที่คุ้นเคย ก็จะเข้าใจในธุรกิจนั้น
เข้าใจว่าดีกว่าคู่แข่งอย่างไร
อย่าซื้อตอนที่หุ้นนั้นทุกคนสนใจเยอะ
และอีกกรณี ถ้าเราซื้อหุ้นดี แต่มีการเชียร์หุ้น ราคาที่ซื้อคิดเป็น PE 50 เท่า
อาจทำให้ขาดทุน50% ก็ต้องหลีกเลี่ยง
อ ไพบูลย์ สอบถามหุ้นที่ชื่นชอบในตลาดMAI
คุณมี่ บอกว่าบริษัทที่ผมสนใจ3บริษัทมีซ้ำกับอ โจ คือ บริษัทที่หนึ่ง
บริษัทที่1.บริษัทที่ขายเครื่องมือทางการแพทย์ PEไม่แพง มีprojectตลอด
บริษัทที่2.หุ้นค้าปลีก PEค่อนข้างต่ำ ถ้าบริษัทคล้ายๆกันอยู่ในSET PEก็30 เท่า
หุ้นนี้ Forward PE 10 เท่านิดๆ ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ลูกค้าเป็นผู้หญิง
บริษัทที่3.บริษัทให้เช่าวงจรสื่อสาร บริษัทที่ให้เช่ากับ ศรีสวัสดิ์หรือMTC เพื่อใช้intranetภายใน เป็นวงจรที่เชื่อมต่อสาขาเข้าระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจรับเหมาโครงข่ายด้วย
เติบโต30-40%ต่อปี ต่อเนื่องไปอีก3-4ปี แต่PEไม่ถูกมาก Forward PE ใกล้ๆ20เท่า
มองดูว่า Potentialมีการเติบโต
ถามว่า หุ้นIPO ต่อจากนี้ควรจองไหม
คุณมี่บอกว่า
ผมต้องคำนวณตามกระบวนปกติในการหาหุ้น เพื่อดูว่าหุ้นipoน่าจองไหม
บางตัว performanceดีหมด ดูน่าสนใจ
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณมี่ที่มาให้ความรู้เรื่องวิธีการคัดเลือกหุ้นลงทุน
และบอกถึงลักษณะหุ้นที่ชื่นชอบด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 166
คุณ โจ ลูกอีสาน พูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นMAI ในงาน MoneyTalk@MAI FORUM 2019
ผมลงหุ้นทั้งหมด 70ตัวเป็นหุ้นไทย55ตัว หุ้นต่างประเทศอีก20ตัว
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ลง ก็เป็นหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
และตลาดหุ้นสหรัฐโดยซื้อกองทุนดัชนี
ผมลงหุ้นในMAIประมาณ 10 ตัว ส่วนใหญ่ขาดทุน ซึ่งบริษัทก็มาในงานMAIด้วย
ขอขอบคุณผู้บริหารของตลาดMAI ทำให้เรามีกระทบไหล่ผู้บริหารของตลาดMAI โอกาสที่ไปกระทบไหล่ผู้บริหารในSETยาก แต่ในตลาดMAIยังมีโอกาส เช่นในงานนี้ วันนี้ผู้บริหารบริษัทมากันร่วมร้อยคน
อ โจพูดต่อว่า ส่วนผลประกอบการของนักลงทุนที่ผ่านมา ผมสังเกตดูนักลงทุนยิ้มแย้มกัน มางานMAIมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว บ่งบอกว่าปีนี้ฝนตกทั่วฟ้า
ปีที่แล้ว ครึ่งปีหลัง หุ้นกลาง เล็ก ลงมา60-70% ปีนี้มีเด้งขึ้นมาก
ถามคุณโจว่า การเลือกซื้อหุ้น ดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณโจ บอกว่า ไม่รู้อยู่ตลาดไหน ขอให้หุ้นดีไว้ก่อน และถูก
ถามต่อว่าดีและถูกดูอย่างไร
คุณโจตอบว่า หุ้นดี ก็คือ คาดว่ากำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ถูกdisrupt เช่น ไม่ถูกกระทบจากเงินบาทแข็งค่า
มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารเก่ง ทำEPSเพิ่มขึ้น
ตอนเข้าซื้อ ต้องดูราคาที่เข้าซื้อด้วย
ถามว่าหุ้นที่ซื้อมากสุดกี่เด้ง
คุณโจบอกว่าจำไม่ได้ อย่าไปโฟกัสมาก
ไม่เคยได้สิบเด้งในชีวิต แต่ได้หลายเด้งแต่รวมๆกันก็เยอะ
การทำได้สิบเด้ง ต้องทำผลตอบแทน 26%ต่อปี ทบต้นสิบปีถึงจะได้สิบเด้ง
มีหุ้นหลายตัวที่ได้สิบเด้ง
เงินลงทุน 1ล้าน สิบปีได้เงินส่งลูกเรียนคือ 10 ล้านบาท
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป คุณโจมีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณโจ บอกว่า ทำได้ ไม่ยาก
ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ถือไว้นานหน่อย มั่นคง
บางครั้งเราทำถูกต้องแล้ว แต่เนื่องจากสภาวะตลาดปลายปีลงมา
ถ้าเราcutไป ก็น่าเสียดาย เราต้องมีจิตใจที่มั่นคง
แค่นี้ ไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนี้
คำว่าหุ้นดี สำหรับเรา ดีอย่างไร
ราคาถูก ระดับPEเท่าไหร่ถูก เป็นปัญหา
ความมั่นคง ทำได้ยากนะ
คุณโจ พูดถึงตอนปี42 ไม่มีหุ้นIPOเข้ามา
ตอนนั้นมีหุ้นราชบุรี เข้ามา
ส่วน PTT มาขาย35บาทคิดเป็น PE 4 เท่า และ ราคาหลังIPOลงมาเหลือ 29 บาท
ปี61 ต้นปี มีหุ้นipoมากสุด ตอนดัชนีหุ้นnew high
ดังนั้น ช่วงหุ้นแพง มีการขายipoเยอะ ได้ราคาแพง
คนที่ซวยคือพวกเรา
ผลประโยชน์ ของคนขาย ipo ต้องการขายราคาแพงสุด
นักลงทุนต้องการราคาถูก ซึ่งมันขัดแย้งกัน
FA เป็นคนกลางที่ทำให้ราคาขายเหมาะสม
ตอนนี้ตั้งราคาขายมีdiscountจากPEของตลาด MAI
ซึ่ง PE ธุรกิจคล้ายกันในSET แค่ 4 เท่าเอง
Netbay อ โจซื้อหุ้นหลังเข้าตลาด สูงกว่าIPOเยอะ แต่ราคาก็ขึ้นไปอีก
บริษัทจำนำทะเบียนรถ ขายIPOที่ถูก ตอนนี้ราคาขึ้นไป50กว่าบาท
เราต้องดูคุณภาพ และ ราคา
ผมแน่ใจ หุ้นipo ขายความสดใหม่ เขาเลยมีprojectมากมายมาแสดง
แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ สรุป ซื้อได้ แต่ค่อนข้างน้อย
หุ้นที่ อ โจ ชอบซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI 3 บริษัท
อ โจ ตอบว่า
ผมชอบหุ้นรายได้แน่นอน เติบโตเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาdisrupt
มีปันผลดี ผู้บริหารดี
1.หุ้นในMAI ก็มี บริษัทที่ซื้อมีPE 10 เท่า และมีการขยายกำลังการผลิต1เท่า
มีคนรับซื้อของแน่นอนที่บริษัทขยายกำลังการผลิต โอกาสขาดทุนไม่มี
ไม่เข้าใจว่าบางช่วงบางเวลา ทำไมไม่มีคนซื้อ
เป็นหุ้นในตลาดMAI เป้นบริษัทที่ผลิตพลังงาน
เวลารวยไม่ใช่บังเอิญ ต้องเป็นการตั้งใจทำการบ้าน สวนกระแสคนอื่น
2.อีกบริษัท ผลิตวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากเมืองนอก
แต่ไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
ถ้าปรับปรุงได้ก็จะฟื้นตัวได้ PE แค่11 เท่า
3.อีกบริษัท ขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ กำไรดี ปันผลดี
ที่คุณเทิดศักดิ์ พูด ก็คือต้องทำการบ้านก่อนการลงทุน
เราสามารถหาข้อมูลได้ ไม่ใช่แดนสนธยา
สุดท้าย ขอขอบ อ โจ ที่มาเล่าถึงวิธีการเลือกหุ้น แถมหุ้นที่ อ ชื่นชอบมาให้อีกครับ
ผมลงหุ้นทั้งหมด 70ตัวเป็นหุ้นไทย55ตัว หุ้นต่างประเทศอีก20ตัว
ส่วนหุ้นต่างประเทศที่ลง ก็เป็นหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม
และตลาดหุ้นสหรัฐโดยซื้อกองทุนดัชนี
ผมลงหุ้นในMAIประมาณ 10 ตัว ส่วนใหญ่ขาดทุน ซึ่งบริษัทก็มาในงานMAIด้วย
ขอขอบคุณผู้บริหารของตลาดMAI ทำให้เรามีกระทบไหล่ผู้บริหารของตลาดMAI โอกาสที่ไปกระทบไหล่ผู้บริหารในSETยาก แต่ในตลาดMAIยังมีโอกาส เช่นในงานนี้ วันนี้ผู้บริหารบริษัทมากันร่วมร้อยคน
อ โจพูดต่อว่า ส่วนผลประกอบการของนักลงทุนที่ผ่านมา ผมสังเกตดูนักลงทุนยิ้มแย้มกัน มางานMAIมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว บ่งบอกว่าปีนี้ฝนตกทั่วฟ้า
ปีที่แล้ว ครึ่งปีหลัง หุ้นกลาง เล็ก ลงมา60-70% ปีนี้มีเด้งขึ้นมาก
ถามคุณโจว่า การเลือกซื้อหุ้น ดูไหมว่าอยู่ในตลาดMAI หรือตลาดSET
คุณโจ บอกว่า ไม่รู้อยู่ตลาดไหน ขอให้หุ้นดีไว้ก่อน และถูก
ถามต่อว่าดีและถูกดูอย่างไร
คุณโจตอบว่า หุ้นดี ก็คือ คาดว่ากำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ถูกdisrupt เช่น ไม่ถูกกระทบจากเงินบาทแข็งค่า
มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารเก่ง ทำEPSเพิ่มขึ้น
ตอนเข้าซื้อ ต้องดูราคาที่เข้าซื้อด้วย
ถามว่าหุ้นที่ซื้อมากสุดกี่เด้ง
คุณโจบอกว่าจำไม่ได้ อย่าไปโฟกัสมาก
ไม่เคยได้สิบเด้งในชีวิต แต่ได้หลายเด้งแต่รวมๆกันก็เยอะ
การทำได้สิบเด้ง ต้องทำผลตอบแทน 26%ต่อปี ทบต้นสิบปีถึงจะได้สิบเด้ง
มีหุ้นหลายตัวที่ได้สิบเด้ง
เงินลงทุน 1ล้าน สิบปีได้เงินส่งลูกเรียนคือ 10 ล้านบาท
อ ไพบูลย์ ถามว่า เนื่องจากคนที่มาร่วมงานเป็นคนสูงอายุ ไม่ได้อ่าน 56-1
เป็นคนทั่วไป คุณโจมีวิธีเลือกหุ้นปลอดภัยอย่างไร บอกหลักการง่ายๆสามข้อ
คุณโจ บอกว่า ทำได้ ไม่ยาก
ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ถือไว้นานหน่อย มั่นคง
บางครั้งเราทำถูกต้องแล้ว แต่เนื่องจากสภาวะตลาดปลายปีลงมา
ถ้าเราcutไป ก็น่าเสียดาย เราต้องมีจิตใจที่มั่นคง
แค่นี้ ไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนี้
คำว่าหุ้นดี สำหรับเรา ดีอย่างไร
ราคาถูก ระดับPEเท่าไหร่ถูก เป็นปัญหา
ความมั่นคง ทำได้ยากนะ
คุณโจ พูดถึงตอนปี42 ไม่มีหุ้นIPOเข้ามา
ตอนนั้นมีหุ้นราชบุรี เข้ามา
ส่วน PTT มาขาย35บาทคิดเป็น PE 4 เท่า และ ราคาหลังIPOลงมาเหลือ 29 บาท
ปี61 ต้นปี มีหุ้นipoมากสุด ตอนดัชนีหุ้นnew high
ดังนั้น ช่วงหุ้นแพง มีการขายipoเยอะ ได้ราคาแพง
คนที่ซวยคือพวกเรา
ผลประโยชน์ ของคนขาย ipo ต้องการขายราคาแพงสุด
นักลงทุนต้องการราคาถูก ซึ่งมันขัดแย้งกัน
FA เป็นคนกลางที่ทำให้ราคาขายเหมาะสม
ตอนนี้ตั้งราคาขายมีdiscountจากPEของตลาด MAI
ซึ่ง PE ธุรกิจคล้ายกันในSET แค่ 4 เท่าเอง
Netbay อ โจซื้อหุ้นหลังเข้าตลาด สูงกว่าIPOเยอะ แต่ราคาก็ขึ้นไปอีก
บริษัทจำนำทะเบียนรถ ขายIPOที่ถูก ตอนนี้ราคาขึ้นไป50กว่าบาท
เราต้องดูคุณภาพ และ ราคา
ผมแน่ใจ หุ้นipo ขายความสดใหม่ เขาเลยมีprojectมากมายมาแสดง
แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ สรุป ซื้อได้ แต่ค่อนข้างน้อย
หุ้นที่ อ โจ ชอบซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น MAI 3 บริษัท
อ โจ ตอบว่า
ผมชอบหุ้นรายได้แน่นอน เติบโตเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาdisrupt
มีปันผลดี ผู้บริหารดี
1.หุ้นในMAI ก็มี บริษัทที่ซื้อมีPE 10 เท่า และมีการขยายกำลังการผลิต1เท่า
มีคนรับซื้อของแน่นอนที่บริษัทขยายกำลังการผลิต โอกาสขาดทุนไม่มี
ไม่เข้าใจว่าบางช่วงบางเวลา ทำไมไม่มีคนซื้อ
เป็นหุ้นในตลาดMAI เป้นบริษัทที่ผลิตพลังงาน
เวลารวยไม่ใช่บังเอิญ ต้องเป็นการตั้งใจทำการบ้าน สวนกระแสคนอื่น
2.อีกบริษัท ผลิตวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากเมืองนอก
แต่ไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
ถ้าปรับปรุงได้ก็จะฟื้นตัวได้ PE แค่11 เท่า
3.อีกบริษัท ขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ กำไรดี ปันผลดี
ที่คุณเทิดศักดิ์ พูด ก็คือต้องทำการบ้านก่อนการลงทุน
เราสามารถหาข้อมูลได้ ไม่ใช่แดนสนธยา
สุดท้าย ขอขอบ อ โจ ที่มาเล่าถึงวิธีการเลือกหุ้น แถมหุ้นที่ อ ชื่นชอบมาให้อีกครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 167
มหาเศรษฐีมีจำนวนลดลง
cr คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
5-8-2562
ช่วงกลางปีของทุกปี ดิฉันจะนำพอร์ตการลงทุนของผู้มีความมั่งคั่งสูงจากการสำรวจของ Capgemini มาเขียนให้ท่านอ่าน ปีนี้มีรายงานออกมาในเดือนกรกฎาคม
ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจดังนี้
จำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยในปี 2017 มีจำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงประมาณ 18.653 ล้านคน แต่ในปี 2018 ลดลงเหลือประมาณ 17.923 ล้านคน หรือลดลงไป 0.39% และมีความมั่งคั่งโดยรวม 68.1 ล้านล้านบาท หดหายไป 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 62 ล้านล้านบาท หรือหายไปประมาณ 2.9%
กลุ่มที่มีความมั่งคั่งลดลงมากที่สุด คือระดับบน ที่มีความมั่งคั่ง 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 930 ล้านบาท) ขึ้นไป หรือที่ดิฉันเรียกว่า อภิมหาเศรษฐี โดยจำนวนอภิมหาเศรษฐีในกลุ่มนี้ ลดลงไปถึง 6% และ 3 ใน 4 ของความมั่งคั่งโดยรวมที่หดหายไป ก็หดหายไปจากกลุ่มนี้ค่ะ
สาเหตุของการลดลงเกิดจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในภูมิภาคหลักๆของโลก ประเทศที่มหาเศรษฐีมีความมั่งคั่งลดลงมากที่สุดคือประเทศจีนค่ะ โดยมีความมั่งคั่งลดลงถึง 53% ของส่วนที่ลดลงของเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้มีความมั่งคั่งสูงส่วนใหญ่ลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอลง โดยลดการลงทุนในหุ้นทุน และหันไปถือเงินสดและสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสดมากขึ้น ก็คือกลัวความเสี่ยงมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Knight Frank ที่ดิฉันเคยนำเสนอในไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนโดยรวมจากการสำรวจของ Capgemini มีดังนี้
มหาเศรษฐีในอเมริกาเหนือ ลดการถือครองหุ้นลงจาก 36.8% ของพอร์ต ในไตรมาสแรกของปี 2018 เหลือ เพียง 26.3% ในไตรมาสแรกของปี 2019 และเพิ่มสัดส่วนของเงินสดจาก 22.5% เป็น 27.1% เพิ่มสัดส่วนอสังหาริมทรัพย์ จาก 12.4% ในปีก่อน เป็น 15.6% ในปีนี้ และเพิ่มการลงทุนทางเลือก จาก 10.2% เป็น 12.9%
มหาเศรษฐีในเอเชียแปซิฟิก ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุน จาก 26.4% เหลือ 21.9% เพิ่มเงินสดจาก 26.2% เป็น 28.2% ลดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จาก 20.15% เหลือ 19.1% เพิ่มการลงทุนทางเลือก จาก 9.9% เป็น 13%
ที่แปลกกว่าใครคือ มหาเศรษฐีของญี่ปุ่นกล้าลงทุนมากขึ้น ไม่เอาเงินไปกองในธนาคารมากเท่าแต่ก่อน ซึ่งในปี 2017 มีเงินสดถึง 44.6% พอมาในปี 2018 ลดเหลือ 28.9% โดยกระจายไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 6.3% และ การลงทุนทางเลือก รวมถึงการลงทุนในไพรเวทอิควิตี้ หรือหุ้นที่ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 9.3%
โดยภาพรวม ณ ไตรมาสแรกของปี 2019 มหาเศรษฐีของโลกมีเงินลงทุน ดังนี้
1. เงินสดและเทียบเท่าเงินสด 27.9%
2. หุ้นทุน 25.7%
3.ตราสารหนี้ 17.6%
4. อสังหาริมทรัพย์ 15.8%
5.การลงทุนทางเลือก 13%
จะเห็นว่า ผู้ลงทุนต้องคอยมีการทบทวนพอร์ตการลงทุนอยู่เป็นระยะๆ อย่างน้อยปีละครั้ง และหากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จะทบทวนไตรมาสละครั้งก็จะยิ่งดี เพื่อที่เราจะได้สามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ครึ่งหลังของปีนี้ ภาวะการลงทุนก็คงจะผันผวนต่อไป ผู้ลงทุนจะรอคอยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐ หลังจากคาดหวังว่าจะลด 0.50% ในปลายเดือนกรกฎาคม แต่ลดจริงเพียง 0.25% ดังนั้น จะยังต้องรอคอยการลดอีก 0.25% ในไตรมาสหน้า
สำรวจดูบางเมืองของสหรัฐอเมริกา ก็ดูว่าเศรษฐกิจไม่คึกคักเท่าไร ขนาดเป็นช่วงลดราคาในฤดูร้อน ผู้คนก็ออกไปจับจ่ายใช้สอยไม่มาก จนชวนให้คิดว่า ในการประชุมธนาคารกลางของสหรัฐครั้งต่อไป น่าจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันไปอีก 0.25%อีกครั้งหนึ่งค่ะ
ดิฉันได้มีโอกาสเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวในช่วงนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเศรษฐีเอเชียแม้จะถูกกระทบด้วยสถานการณ์การปรับตัวลดลงของหุ้นทุนในโลกในปีที่แล้ว แต่ก็ไม่หยุดเดินทางนะคะ ชาวตะวันตกเป็นกลุ่มที่นั่งชั้นโดยสารประหยัดในเวลาเดินทางเพื่อการพักผ่อน ส่วนชั้นธุรกิจของเที่ยวบินต่างๆกลับแน่นไปด้วยผู้โดยสารเชื้อสายเอเชีย โมเมนตัมตอนนี้อยู่ทางโลกในซีกตะวันออกจริงๆค่ะ สนามบินของเอเชียคึกคักกว่าโลกตะวันตกเยอะมาก
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในหุ้นที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นกลุ่มการลงทุนที่น่าจะมีเงินของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงไหลเข้ามากพอสมควรในครึ่งหลังของปีนี้ค่ะ
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ลงทุนแบบผสมผสานจะดีที่สุด และอยากให้ดูจังหวะเข้าลงทุนด้วยนะคะ เพราะตลาดการลงทุนในเกือบทุกสินทรัพย์ มีโอกาสปรับตัวได้ทุกตลาดค่ะ
ครั้งหน้าดิฉันจะพยายามหาเรื่องเล่าจากทวีปอเมริกาเหนือมาเขียนค่ะ
https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/647900
cr คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
5-8-2562
ช่วงกลางปีของทุกปี ดิฉันจะนำพอร์ตการลงทุนของผู้มีความมั่งคั่งสูงจากการสำรวจของ Capgemini มาเขียนให้ท่านอ่าน ปีนี้มีรายงานออกมาในเดือนกรกฎาคม
ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจดังนี้
จำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยในปี 2017 มีจำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงประมาณ 18.653 ล้านคน แต่ในปี 2018 ลดลงเหลือประมาณ 17.923 ล้านคน หรือลดลงไป 0.39% และมีความมั่งคั่งโดยรวม 68.1 ล้านล้านบาท หดหายไป 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 62 ล้านล้านบาท หรือหายไปประมาณ 2.9%
กลุ่มที่มีความมั่งคั่งลดลงมากที่สุด คือระดับบน ที่มีความมั่งคั่ง 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 930 ล้านบาท) ขึ้นไป หรือที่ดิฉันเรียกว่า อภิมหาเศรษฐี โดยจำนวนอภิมหาเศรษฐีในกลุ่มนี้ ลดลงไปถึง 6% และ 3 ใน 4 ของความมั่งคั่งโดยรวมที่หดหายไป ก็หดหายไปจากกลุ่มนี้ค่ะ
สาเหตุของการลดลงเกิดจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในภูมิภาคหลักๆของโลก ประเทศที่มหาเศรษฐีมีความมั่งคั่งลดลงมากที่สุดคือประเทศจีนค่ะ โดยมีความมั่งคั่งลดลงถึง 53% ของส่วนที่ลดลงของเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้มีความมั่งคั่งสูงส่วนใหญ่ลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอลง โดยลดการลงทุนในหุ้นทุน และหันไปถือเงินสดและสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสดมากขึ้น ก็คือกลัวความเสี่ยงมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ Knight Frank ที่ดิฉันเคยนำเสนอในไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนโดยรวมจากการสำรวจของ Capgemini มีดังนี้
มหาเศรษฐีในอเมริกาเหนือ ลดการถือครองหุ้นลงจาก 36.8% ของพอร์ต ในไตรมาสแรกของปี 2018 เหลือ เพียง 26.3% ในไตรมาสแรกของปี 2019 และเพิ่มสัดส่วนของเงินสดจาก 22.5% เป็น 27.1% เพิ่มสัดส่วนอสังหาริมทรัพย์ จาก 12.4% ในปีก่อน เป็น 15.6% ในปีนี้ และเพิ่มการลงทุนทางเลือก จาก 10.2% เป็น 12.9%
มหาเศรษฐีในเอเชียแปซิฟิก ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุน จาก 26.4% เหลือ 21.9% เพิ่มเงินสดจาก 26.2% เป็น 28.2% ลดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จาก 20.15% เหลือ 19.1% เพิ่มการลงทุนทางเลือก จาก 9.9% เป็น 13%
ที่แปลกกว่าใครคือ มหาเศรษฐีของญี่ปุ่นกล้าลงทุนมากขึ้น ไม่เอาเงินไปกองในธนาคารมากเท่าแต่ก่อน ซึ่งในปี 2017 มีเงินสดถึง 44.6% พอมาในปี 2018 ลดเหลือ 28.9% โดยกระจายไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 6.3% และ การลงทุนทางเลือก รวมถึงการลงทุนในไพรเวทอิควิตี้ หรือหุ้นที่ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 9.3%
โดยภาพรวม ณ ไตรมาสแรกของปี 2019 มหาเศรษฐีของโลกมีเงินลงทุน ดังนี้
1. เงินสดและเทียบเท่าเงินสด 27.9%
2. หุ้นทุน 25.7%
3.ตราสารหนี้ 17.6%
4. อสังหาริมทรัพย์ 15.8%
5.การลงทุนทางเลือก 13%
จะเห็นว่า ผู้ลงทุนต้องคอยมีการทบทวนพอร์ตการลงทุนอยู่เป็นระยะๆ อย่างน้อยปีละครั้ง และหากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จะทบทวนไตรมาสละครั้งก็จะยิ่งดี เพื่อที่เราจะได้สามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ครึ่งหลังของปีนี้ ภาวะการลงทุนก็คงจะผันผวนต่อไป ผู้ลงทุนจะรอคอยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐ หลังจากคาดหวังว่าจะลด 0.50% ในปลายเดือนกรกฎาคม แต่ลดจริงเพียง 0.25% ดังนั้น จะยังต้องรอคอยการลดอีก 0.25% ในไตรมาสหน้า
สำรวจดูบางเมืองของสหรัฐอเมริกา ก็ดูว่าเศรษฐกิจไม่คึกคักเท่าไร ขนาดเป็นช่วงลดราคาในฤดูร้อน ผู้คนก็ออกไปจับจ่ายใช้สอยไม่มาก จนชวนให้คิดว่า ในการประชุมธนาคารกลางของสหรัฐครั้งต่อไป น่าจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันไปอีก 0.25%อีกครั้งหนึ่งค่ะ
ดิฉันได้มีโอกาสเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวในช่วงนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเศรษฐีเอเชียแม้จะถูกกระทบด้วยสถานการณ์การปรับตัวลดลงของหุ้นทุนในโลกในปีที่แล้ว แต่ก็ไม่หยุดเดินทางนะคะ ชาวตะวันตกเป็นกลุ่มที่นั่งชั้นโดยสารประหยัดในเวลาเดินทางเพื่อการพักผ่อน ส่วนชั้นธุรกิจของเที่ยวบินต่างๆกลับแน่นไปด้วยผู้โดยสารเชื้อสายเอเชีย โมเมนตัมตอนนี้อยู่ทางโลกในซีกตะวันออกจริงๆค่ะ สนามบินของเอเชียคึกคักกว่าโลกตะวันตกเยอะมาก
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในหุ้นที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นกลุ่มการลงทุนที่น่าจะมีเงินของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงไหลเข้ามากพอสมควรในครึ่งหลังของปีนี้ค่ะ
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ลงทุนแบบผสมผสานจะดีที่สุด และอยากให้ดูจังหวะเข้าลงทุนด้วยนะคะ เพราะตลาดการลงทุนในเกือบทุกสินทรัพย์ มีโอกาสปรับตัวได้ทุกตลาดค่ะ
ครั้งหน้าดิฉันจะพยายามหาเรื่องเล่าจากทวีปอเมริกาเหนือมาเขียนค่ะ
https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/647900
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 168
เกษียณแล้วไปทำอะไรดี
เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับคุณครูท่านนึงที่จะเกษียณในเดือนหน้านี้
ว่าเกษียณแล้วได้วางแผนทำอะไรบ้าง ครูท่านได้ตอบว่า
ช่วงแรกๆก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะจัดเก็บของสนบ้าน
แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่รู้ว่าทำอะไรดี
ทำให้ผมนึกถึงคอร์สอบรมหลายๆหลักสูตรที่ทางหน่วยงานราชการจัดขึ้นเรื่องการวางแผนการเกษียณ
ให้ทายสิว่า อายุของผู้ร่วมสัมมนาสักเท่าไหร่
1.25-35 ปี
2.36-55 ปี
3.56-59 ปี
4.60ปี
คำตอบก็คือ ข้อ 4 หรือ ข้อ 3 อายุประมาณ59ปี
ซึ่งจริงๆแล้ววัยที่เหมาะมาฟังคือช่วงอายุ 25-35ปี ซึ่งมีเงินเก็บบ้างแล้ว
เวลาก่อนเกษียณยังก็อีกนาน สามารถเรียนรู้การลงทุนได้
ถึงพลาดก็ยังมีเวลาแก้ตัวใหม่ได้เพราะยังมีรายได้จากงานประจำ
สำหรับคนที่ใกล้เกษียณ ถ้ามีเงินเก็บไม่มากเช่น 1แสนบาท ถ้ารวมกับเงินจาก กบข หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วก็ดูไม่มาก ถ้ามาฟังสัมมนาเรื่องวางแผนการเกษียณ
ก็อาจได้ประโยชน์ไม่มาก ยกเว้นว่ามีเงินเก็บมาก
เพราะปัจจัยที่จะทำให้เงินงอกเงยนั้น
ประกอบไปด้วย3ปัจจัย คือ เงินลงทุน เวลาที่สามารถลงทุนได้ และ ความรู้ด้านลงทุน
ซึ่งจะเห็นว่า ปัจจัยเรื่องเงินลงทุน และเวลา ค่อนข้างเหลือน้อย
วิธีการนำเงินไปลงทุนอาจจะไม่เหมาะแล้ว
เราต้องไปหาวิธีอื่นๆเพื่อให้สามารถอยู่ได้หลังเกษียณ
อย่างเช่น
1.การขอยืดอายุเกษียณออกไป ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับชีวิตครู
เพราะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ยังขาดอยู่จึงสามารถยื่นคำร้องได้
2.ทำงานในองค์กรที่รับคนที่เกษียณแล้ว แต่เงินเดือนก็ไม่มากนัก
3.ไปเป็นที่ปรึกษาในที่ต่างๆ ถ้าเรามีคุณวุฒิที่เหมาะสม
4.รับสอนพิเศษ ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ
5.ไปทำธุรกิจส่วนตัว มีความเสี่ยงสูง ต้องหาธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย
6.ทำอาชีพอิสระ เช่นถ่ายภาพ ไปขายในwebต่างๆ
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าคนที่เกษียณยังมีโอกาสเก็บเงินต่อได้
แต่ถ้ามีโอกาสวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะดีกว่านะครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้คุยกับคุณครูท่านนึงที่จะเกษียณในเดือนหน้านี้
ว่าเกษียณแล้วได้วางแผนทำอะไรบ้าง ครูท่านได้ตอบว่า
ช่วงแรกๆก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะจัดเก็บของสนบ้าน
แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่รู้ว่าทำอะไรดี
ทำให้ผมนึกถึงคอร์สอบรมหลายๆหลักสูตรที่ทางหน่วยงานราชการจัดขึ้นเรื่องการวางแผนการเกษียณ
ให้ทายสิว่า อายุของผู้ร่วมสัมมนาสักเท่าไหร่
1.25-35 ปี
2.36-55 ปี
3.56-59 ปี
4.60ปี
คำตอบก็คือ ข้อ 4 หรือ ข้อ 3 อายุประมาณ59ปี
ซึ่งจริงๆแล้ววัยที่เหมาะมาฟังคือช่วงอายุ 25-35ปี ซึ่งมีเงินเก็บบ้างแล้ว
เวลาก่อนเกษียณยังก็อีกนาน สามารถเรียนรู้การลงทุนได้
ถึงพลาดก็ยังมีเวลาแก้ตัวใหม่ได้เพราะยังมีรายได้จากงานประจำ
สำหรับคนที่ใกล้เกษียณ ถ้ามีเงินเก็บไม่มากเช่น 1แสนบาท ถ้ารวมกับเงินจาก กบข หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วก็ดูไม่มาก ถ้ามาฟังสัมมนาเรื่องวางแผนการเกษียณ
ก็อาจได้ประโยชน์ไม่มาก ยกเว้นว่ามีเงินเก็บมาก
เพราะปัจจัยที่จะทำให้เงินงอกเงยนั้น
ประกอบไปด้วย3ปัจจัย คือ เงินลงทุน เวลาที่สามารถลงทุนได้ และ ความรู้ด้านลงทุน
ซึ่งจะเห็นว่า ปัจจัยเรื่องเงินลงทุน และเวลา ค่อนข้างเหลือน้อย
วิธีการนำเงินไปลงทุนอาจจะไม่เหมาะแล้ว
เราต้องไปหาวิธีอื่นๆเพื่อให้สามารถอยู่ได้หลังเกษียณ
อย่างเช่น
1.การขอยืดอายุเกษียณออกไป ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับชีวิตครู
เพราะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ยังขาดอยู่จึงสามารถยื่นคำร้องได้
2.ทำงานในองค์กรที่รับคนที่เกษียณแล้ว แต่เงินเดือนก็ไม่มากนัก
3.ไปเป็นที่ปรึกษาในที่ต่างๆ ถ้าเรามีคุณวุฒิที่เหมาะสม
4.รับสอนพิเศษ ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ
5.ไปทำธุรกิจส่วนตัว มีความเสี่ยงสูง ต้องหาธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย
6.ทำอาชีพอิสระ เช่นถ่ายภาพ ไปขายในwebต่างๆ
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าคนที่เกษียณยังมีโอกาสเก็บเงินต่อได้
แต่ถ้ามีโอกาสวางแผนเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะดีกว่านะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 169
IT กำลังจะโตจากธุรกิจมือถือ ???
หลังจากที่ไอทีซิตี้ ออกข่าวว่าจะเข้าซื้อ CSC
ก็มีคำถามว่า CSC ดีจริงไหม เพราะเห็นมีสาขาในห้างมากมาย หน้าร้านก็จัดดูน่าสนใจ
เรามาดูข้อมูลของบริษัท CSC กันครับ
CSC หรือ บริษัท คอมพิวเตอร์ ซีสเท็ม คอนเน็คชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย
คุณ พิชัย นีรนาถโกมล
รายชื่อผู้ถือหุ้นของ CSC ล่าสุด
1. บริษัท ไบร์ท แอนด์ โกรว์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท 99.9999%
2. พิชัย นีรนาถโกมล สัดส่วน 0.0001%
3. คณภณ ปิยะลักษณางกูร สัดส่วน 0.0001%
เดิมขายสินค้า IT ร้านค้าเป็นตึกแถวตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี
แต่ช่วง 6 ปีที่แล้วหลัง IT ซบเซาก็หันไปทำธุรกิจ Tablet,มือถือ
จนตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 143 สาขา โดยเป็น shop 120 สาขา และ Kiosk 23 สาขา
แยกประเภทของสาขา Brand shop 25 สาขา และเป็นร้าน CSC shop 118 สาขา
ธุรกิจหลัก คือ
1.โทรศัพท์มือถือ smartphone อุปกรณ์เสริม ถือเป็นรายได้หลัก ประมาณ 85-90%
2.อุปกรณ์ต่อพ่วง รายได้ประมาณ 2-3%
3.รายได้จากAir time ประมาณ 0.15%
4.รายได้จากAIS ประมาณ 7-9%
5.รายได้จากการสนับสนุนการขาย 1.5%
6.รายได้อื่นๆ 1.2%
ยอดขายของบริษัท CSC ประมาณ 3,000 ลบต่อปี
GP ของมือถือ ประมาณ 16-17%
ส่วน IT city มียอดขาย 5000 ลบ GP ประมาณ 12.7% ซึ่งน้อยกว่า CSC
ยอดขายมือถือแค่ 700 ลบ หลังจากรุกตลาดมือถือมา 4 ปี มีอำนาจต่อรองกับ Supplierน้อย
ต่างจาก CSC ที่ยอดขายมากจนดึงดูด supplierมือถือมาsupport การขาย
เหตุผลที่ IT city เข้าซื้อ
1. คลื่น 5G มาทำให้เกิด IOT และ มือถือจะขายดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะเข้า
มามากมาย ถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปมีส่วนร่วม ถ้าได้ซื้อ CSC ทำให้ยอดขาย
กลายเป็น 3000+700 ลบ มีอำนาจต่อรองกับsupplierมากขึ้น
สาขา ก็เพิ่มจาก 300 สาขา เป็น 500 สาขา
2. เกิด Economy of scale มีอำนาจต่อรองกับ supplierมากขึ้น
3. กำไรรวมของบริษัท IT จะดีขึ้น เพราะ ธุรกิจมือถือ GPดีกว่า 4%
4. IT สามารถไปลดต้นทุนทางการเงินของ CSC ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาด ที่มีภาระการเงิน 50 ลบ
ลดลงไป 20 ลบ ทำให้กำไรของCSC ดีขึ้น
5. มีการเติบโตทั้ง IT,CSC โดย ร้าน IT จะมีมุมมือถือ by CSC และ
ร้านมือถือ CSC จะมีมุม IT city ขายสินค้าIT เพิ่มยอดขายและกำไรให้กับIT
การเข้าซื้อ CSC 100% ในราคา 336.5 ลบ และ คุณพิชัยจะเข้าซื้อหุ้นPP ของ IT ในสัดส่วน 21.83%
มูลค่ากว่า 200 ลบ ดังนั้น IT ก็จ่ายเงินสดออกไป ประมาณ 136.5 ลบ ซึ่งเงินสดของ IT มีเพียงพอ
คุณพิชัย ถือเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง รองจาก SVOA
ในความเห็นส่วนตัว สำหรับเหตุผลว่าจะขายมือถือได้มากขึ้นจาก 5G กำลังจะมา
อาจจะเกิดขึ้นได้ยากในเวลาอันใกล้ เพราะจากข้อมูล ของ กสทช คุณ ฐากร ได้บอกไว้ว่า
5G จะเกิดจริง ต้องรอให้เครื่องมือถือพร้อม ซึ่งอาจจะอีก 2-3 ปี ซึ่งตอนนี้ operator ยังไม่สนใจ
จะลงทุน อาจจะไปโปรโมตให้ใช้ เป็น โซน เช่น EEC สำหรับ อุตสาหกรรมการผลิต ขนส่ง เป็นต้น
รวมถึงดึงดูด operator ผ่านการชำระหลังจากเริ่มมีรายได้จาก5Gแล้ว
ส่วนกำไรของบริษัทโดยรวม หลัง merge ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น
1. GP โดยรวมน่าจะดีขึ้น หลัง ธุรกิจมือถือ มีสัดส่วนมากขึ้น
2. อำนาจต่อรองกับsupplierมือถือดีขึ้น ทำให้เพิ่มPCของbrandมาช่วยโปรโมตร้านเพีมขึ้น
3. ต้นทุนทางการเงินของCSC ลดลง
สุดท้าย ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดีลนี้ ประสบความสำเร็จหรือไม่
หลังจากที่ไอทีซิตี้ ออกข่าวว่าจะเข้าซื้อ CSC
ก็มีคำถามว่า CSC ดีจริงไหม เพราะเห็นมีสาขาในห้างมากมาย หน้าร้านก็จัดดูน่าสนใจ
เรามาดูข้อมูลของบริษัท CSC กันครับ
CSC หรือ บริษัท คอมพิวเตอร์ ซีสเท็ม คอนเน็คชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย
คุณ พิชัย นีรนาถโกมล
รายชื่อผู้ถือหุ้นของ CSC ล่าสุด
1. บริษัท ไบร์ท แอนด์ โกรว์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท 99.9999%
2. พิชัย นีรนาถโกมล สัดส่วน 0.0001%
3. คณภณ ปิยะลักษณางกูร สัดส่วน 0.0001%
เดิมขายสินค้า IT ร้านค้าเป็นตึกแถวตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี
แต่ช่วง 6 ปีที่แล้วหลัง IT ซบเซาก็หันไปทำธุรกิจ Tablet,มือถือ
จนตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 143 สาขา โดยเป็น shop 120 สาขา และ Kiosk 23 สาขา
แยกประเภทของสาขา Brand shop 25 สาขา และเป็นร้าน CSC shop 118 สาขา
ธุรกิจหลัก คือ
1.โทรศัพท์มือถือ smartphone อุปกรณ์เสริม ถือเป็นรายได้หลัก ประมาณ 85-90%
2.อุปกรณ์ต่อพ่วง รายได้ประมาณ 2-3%
3.รายได้จากAir time ประมาณ 0.15%
4.รายได้จากAIS ประมาณ 7-9%
5.รายได้จากการสนับสนุนการขาย 1.5%
6.รายได้อื่นๆ 1.2%
ยอดขายของบริษัท CSC ประมาณ 3,000 ลบต่อปี
GP ของมือถือ ประมาณ 16-17%
ส่วน IT city มียอดขาย 5000 ลบ GP ประมาณ 12.7% ซึ่งน้อยกว่า CSC
ยอดขายมือถือแค่ 700 ลบ หลังจากรุกตลาดมือถือมา 4 ปี มีอำนาจต่อรองกับ Supplierน้อย
ต่างจาก CSC ที่ยอดขายมากจนดึงดูด supplierมือถือมาsupport การขาย
เหตุผลที่ IT city เข้าซื้อ
1. คลื่น 5G มาทำให้เกิด IOT และ มือถือจะขายดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะเข้า
มามากมาย ถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปมีส่วนร่วม ถ้าได้ซื้อ CSC ทำให้ยอดขาย
กลายเป็น 3000+700 ลบ มีอำนาจต่อรองกับsupplierมากขึ้น
สาขา ก็เพิ่มจาก 300 สาขา เป็น 500 สาขา
2. เกิด Economy of scale มีอำนาจต่อรองกับ supplierมากขึ้น
3. กำไรรวมของบริษัท IT จะดีขึ้น เพราะ ธุรกิจมือถือ GPดีกว่า 4%
4. IT สามารถไปลดต้นทุนทางการเงินของ CSC ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาด ที่มีภาระการเงิน 50 ลบ
ลดลงไป 20 ลบ ทำให้กำไรของCSC ดีขึ้น
5. มีการเติบโตทั้ง IT,CSC โดย ร้าน IT จะมีมุมมือถือ by CSC และ
ร้านมือถือ CSC จะมีมุม IT city ขายสินค้าIT เพิ่มยอดขายและกำไรให้กับIT
การเข้าซื้อ CSC 100% ในราคา 336.5 ลบ และ คุณพิชัยจะเข้าซื้อหุ้นPP ของ IT ในสัดส่วน 21.83%
มูลค่ากว่า 200 ลบ ดังนั้น IT ก็จ่ายเงินสดออกไป ประมาณ 136.5 ลบ ซึ่งเงินสดของ IT มีเพียงพอ
คุณพิชัย ถือเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง รองจาก SVOA
ในความเห็นส่วนตัว สำหรับเหตุผลว่าจะขายมือถือได้มากขึ้นจาก 5G กำลังจะมา
อาจจะเกิดขึ้นได้ยากในเวลาอันใกล้ เพราะจากข้อมูล ของ กสทช คุณ ฐากร ได้บอกไว้ว่า
5G จะเกิดจริง ต้องรอให้เครื่องมือถือพร้อม ซึ่งอาจจะอีก 2-3 ปี ซึ่งตอนนี้ operator ยังไม่สนใจ
จะลงทุน อาจจะไปโปรโมตให้ใช้ เป็น โซน เช่น EEC สำหรับ อุตสาหกรรมการผลิต ขนส่ง เป็นต้น
รวมถึงดึงดูด operator ผ่านการชำระหลังจากเริ่มมีรายได้จาก5Gแล้ว
ส่วนกำไรของบริษัทโดยรวม หลัง merge ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น
1. GP โดยรวมน่าจะดีขึ้น หลัง ธุรกิจมือถือ มีสัดส่วนมากขึ้น
2. อำนาจต่อรองกับsupplierมือถือดีขึ้น ทำให้เพิ่มPCของbrandมาช่วยโปรโมตร้านเพีมขึ้น
3. ต้นทุนทางการเงินของCSC ลดลง
สุดท้าย ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าดีลนี้ ประสบความสำเร็จหรือไม่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 170
ประชุมวิสามัญ บริษัท โรบินสัน หรือ Robin
05/09/2019 13:30 ที่ รร ดิเอ็มเมอรัล
วันนี้สังเกตดู มีนักลงทุนที่สนใจเยอะ
ที่นั่งด้านหน้ามีคนที่ถามเก่งๆหลายท่านเลย
ครั้งแรกว่าจะนั่งหลังๆแต่ไม่มีโต๊ะให้จด เลยต้องมานั่งด้านหน้า
ได้เห็นผู้บริหารชัดเจนเลย
ช่วงเปิดการประชุมมีผู้ร่วมประชุม 1438ราย
มาด้วยตนเอง 112ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 85.7857%
วาระ 1
รับรองรายงานการประชุมผระจำปี 2562 เมื่อ 25/04/2019
วาระ 2
อนุมัติเพิกถอนหุ้น robins เพื่อให้ crc เข้าจดทะเบียนแทน
คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ได้พูดถึงภาพรวมธุรกิจ
ที่มาของรายการ
วันที่26July ทางcrcได้แจ้งเรื่องการปรับโครงสร้างของcentral retail
โดยนำธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดรวมเวียดนาม อิตาลีเข้ามาเป็นบริษัทเดียวเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อให้เป็นผู้นำค้าปลีกใหญ่สุดในไทย
โดยมีหลายformat การipoครั้งนี้ ทำพร้อมกับการswapหุ้นrobinเป็นcrcด้วย
วัตถุประสงค์ของรายการนี้มีอยู่5ข้อ ดังภาพที่แนบมา
หลักทรัพย์ที่เสนอซื้อจากทางrobin 46.17%ในราคา 66.50บาท
ในรูปแบบswap options
หลังจากประชุมคราวนี้เเละอนุมัติ จะส่งให้ก.ล.ต.พิจารณา 165วัน
หลังอนุมัติจากกลต ก็ใช้เวลาอีก25-45วันเปิดคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
รวมแล้วประมาณ5-7เดือนกว่าจะทำการswapหุ้นเรียบร้อย
กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลในประเทศ เวียดนาม อิตาลี
+ robinson มี 49สาขาในไทยและ 1สาขาที่เวียดนาม
มีศูนย์การค้าแบบLifestyle 22สาขา
ภาพรวมของกลุ่มCFC
+ crc รายได้ปี61 รวม 2.06แสนล้าน เติบโตในช่วงปี59-61= 8.1%
ประกอบด้วย3กลุ่ม
1.ธุรกิจแฟชั่น เช่น ห้างเซ็นทรัล supersport Robinson Rinascente 74,773ล้าน 36%
2.กลุ่มฮาร์ทไลน์ เช่น power buy,ไทยวัสดุ ,เหงียนคิม 42,921 ล้านบาท 21%
3.+ Food top, bigc viatnam ,family mart,central food hall 88,384ล้าน 43%
ข้อดีของ crc คือมีหลายธุรกิจ รวมทุกsegment luxury ก่อสร้าง อาหารและมีธุรกิจที่เวียดนามและอิตาลี มีแบรนด์กว่า 30 แบรนด์
ความเห็นของที่ปรึกษาอิสระ ต่อราคาที่เสนอซื้อ 66.5บ มากกว่า ที่คำนวณจากวิธี ราคาตลาด และdcf เห็นว่าเหมาะสม
วิธีmarket priceเหมาะสมเพราะหุ้นมีสภาพคล่องเพียงพอ
ส่วนวิธี dcfก็เหมาะสมเพราะคำนึงการเติบโตในอนาคตด้วย
ส่วนวิธีอื่นเช่นPE,PB,PB adjustไม่เหมาะสม รายละเอียดตามslide
ค่าใช้จ่ายของที่ปรึกษาอิสระ ทางrobinเป็นคนจ่าย
นอกจากความเห็นของที่ปรึกษาอิสระที่บริษัทจ้างมา ยังมีความเห็นของ
กรรมการอิสระ คุณสมชัย เห็นด้วยใน3ข้อคือ
การเพิกถอนมีความเหมาะสม ราคาswapยุติธรรม ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
ส่วนกรรมการของบริษัท ได้ดูผลกระทบจากแผนการปรับโครงสร้าง
ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงที่มีต่อผู้ถือหุ้น เห็นด้วย
คำถาม
Q:กรณีที่การแลกหุ้นlateกว่าปันผล จะมีผลการปันไหม
A:ถ้ามีการปันผล ราคาจะลดจากราคาที่ tender
Q:ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ไปทำรายการswapหุ้นจะเป็นอย่างไร
A:จะเป็นการถือหุ้น robins แล้วออกจากตลาดไป และได้รับปันผลจากrobinด้วย
Q: กำไรของ crc จะเติบโตหรือไม่
A: การเติบโตดีกว่า retailเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Omnichannel ใช้เงินมาก การรวมกันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
05/09/2019 13:30 ที่ รร ดิเอ็มเมอรัล
วันนี้สังเกตดู มีนักลงทุนที่สนใจเยอะ
ที่นั่งด้านหน้ามีคนที่ถามเก่งๆหลายท่านเลย
ครั้งแรกว่าจะนั่งหลังๆแต่ไม่มีโต๊ะให้จด เลยต้องมานั่งด้านหน้า
ได้เห็นผู้บริหารชัดเจนเลย
ช่วงเปิดการประชุมมีผู้ร่วมประชุม 1438ราย
มาด้วยตนเอง 112ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 85.7857%
วาระ 1
รับรองรายงานการประชุมผระจำปี 2562 เมื่อ 25/04/2019
วาระ 2
อนุมัติเพิกถอนหุ้น robins เพื่อให้ crc เข้าจดทะเบียนแทน
คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ได้พูดถึงภาพรวมธุรกิจ
ที่มาของรายการ
วันที่26July ทางcrcได้แจ้งเรื่องการปรับโครงสร้างของcentral retail
โดยนำธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดรวมเวียดนาม อิตาลีเข้ามาเป็นบริษัทเดียวเข้าจด
ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อให้เป็นผู้นำค้าปลีกใหญ่สุดในไทย
โดยมีหลายformat การipoครั้งนี้ ทำพร้อมกับการswapหุ้นrobinเป็นcrcด้วย
วัตถุประสงค์ของรายการนี้มีอยู่5ข้อ ดังภาพที่แนบมา
หลักทรัพย์ที่เสนอซื้อจากทางrobin 46.17%ในราคา 66.50บาท
ในรูปแบบswap options
หลังจากประชุมคราวนี้เเละอนุมัติ จะส่งให้ก.ล.ต.พิจารณา 165วัน
หลังอนุมัติจากกลต ก็ใช้เวลาอีก25-45วันเปิดคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
รวมแล้วประมาณ5-7เดือนกว่าจะทำการswapหุ้นเรียบร้อย
กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลในประเทศ เวียดนาม อิตาลี
+ robinson มี 49สาขาในไทยและ 1สาขาที่เวียดนาม
มีศูนย์การค้าแบบLifestyle 22สาขา
ภาพรวมของกลุ่มCFC
+ crc รายได้ปี61 รวม 2.06แสนล้าน เติบโตในช่วงปี59-61= 8.1%
ประกอบด้วย3กลุ่ม
1.ธุรกิจแฟชั่น เช่น ห้างเซ็นทรัล supersport Robinson Rinascente 74,773ล้าน 36%
2.กลุ่มฮาร์ทไลน์ เช่น power buy,ไทยวัสดุ ,เหงียนคิม 42,921 ล้านบาท 21%
3.+ Food top, bigc viatnam ,family mart,central food hall 88,384ล้าน 43%
ข้อดีของ crc คือมีหลายธุรกิจ รวมทุกsegment luxury ก่อสร้าง อาหารและมีธุรกิจที่เวียดนามและอิตาลี มีแบรนด์กว่า 30 แบรนด์
ความเห็นของที่ปรึกษาอิสระ ต่อราคาที่เสนอซื้อ 66.5บ มากกว่า ที่คำนวณจากวิธี ราคาตลาด และdcf เห็นว่าเหมาะสม
วิธีmarket priceเหมาะสมเพราะหุ้นมีสภาพคล่องเพียงพอ
ส่วนวิธี dcfก็เหมาะสมเพราะคำนึงการเติบโตในอนาคตด้วย
ส่วนวิธีอื่นเช่นPE,PB,PB adjustไม่เหมาะสม รายละเอียดตามslide
ค่าใช้จ่ายของที่ปรึกษาอิสระ ทางrobinเป็นคนจ่าย
นอกจากความเห็นของที่ปรึกษาอิสระที่บริษัทจ้างมา ยังมีความเห็นของ
กรรมการอิสระ คุณสมชัย เห็นด้วยใน3ข้อคือ
การเพิกถอนมีความเหมาะสม ราคาswapยุติธรรม ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
ส่วนกรรมการของบริษัท ได้ดูผลกระทบจากแผนการปรับโครงสร้าง
ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ความเสี่ยงที่มีต่อผู้ถือหุ้น เห็นด้วย
คำถาม
Q:กรณีที่การแลกหุ้นlateกว่าปันผล จะมีผลการปันไหม
A:ถ้ามีการปันผล ราคาจะลดจากราคาที่ tender
Q:ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ไปทำรายการswapหุ้นจะเป็นอย่างไร
A:จะเป็นการถือหุ้น robins แล้วออกจากตลาดไป และได้รับปันผลจากrobinด้วย
Q: กำไรของ crc จะเติบโตหรือไม่
A: การเติบโตดีกว่า retailเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Omnichannel ใช้เงินมาก การรวมกันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 171
Company Visit AUCT 19 SEP 2019 10.00
คุณสุวิทย์ มากล่าวแนะนำผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมวันนี้
1.คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส ประธานกรรมการบริหาร และ กรรมการ
2.คุณ วรัญญา ศิลา รองกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการบริหารความเสี่ยง
3.คุณ ศราวุธ จารุจินดา กรรมการและกรรมการบริหารความเสี่ยง
4.คุณ สุธี สมาธิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด
5.คุณ อัมพาพร หลักเรืองทรัพย์ เลขานุการบริษัท
โครงสร้างของบริษัท สหการประมูลการประมูล หรือ AUCT บริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นปีที่5
จุดแข็งอยู่ที่กรรมการบริหาร คือ ตัวประธานกรรมการ
บริษัทมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ 5,400 ลบ ถ้าดูจาก ROA 32%
พื้นฐานเราอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์
ซึ่งการคาดการณ์เรื่องเทคโนโลยียาก บางธุรกิจดูไม่ออกว่าโต แต่อุตสาหกรรมรถยนต์โตมาตลอด
สหการประมูลอยู่มา 28 ปี เรามีDatabase ข้อมูลราคารถที่ประมูลกลายเป็น green book ของเรา
(Red book เป็นข้อมูลเรื่องราคาประมูลรถของเมืองนอก ส่วน Blue Book เป็นข้อมูลของธนาคารในไทย)
เมื่อก่อนเราต้องซื้อข้อมูลBlue book หรือ ซื้อSOFTWARE ของแคนาดา สำหรับ E-auction
ตอนนี้เรามี SOFTWARE ของเราเอง
พื้นฐานของธุรกิจของเรามาจากสามส่วน
1.ตลาดเดิมของเรามาจาก การประมูลรถที่เป็นหนี้สินของสถาบันการเงิน
กำไรเกิดจากตลาดเดิมนี้เท่ากับ 90%
2.ตลาดรถมือสอง ซึ่งจะมาเสริมmarket shareเพิ่มขึ้นได้
3.บริการเสริมพิเศษ เช่น การตรวจสภาพรถ
ข้อ1 ตลาดรถที่มาจากNPL ตอนนี้เข้าไปสู่ Blue ocean
โชคดีเราไม่เข้าไปในตลาดred ocean เช่น มือถือ
เราจะไปในส่วนรายได้ภาคที่สาม เรื่องของการให้บริการเสริม
ตอนนี้กำไรของบริษัทดีสุด เทียบกับเมื่อ4ปีที่แล้วมีกำไร 202 ลบ
แต่ปีนี้กำไรน่าจะดีกว่าปีที่ดีที่สุด
Market share ตอนนี้ > 50%ของตลาด
ปีนึง มีรถใหม่ตีว่าประมาณล้านคัน ผ่านสินเชื่อมาระดับนึง มียอดหนี้เสียเฉลี่ย 2%
ส่วนใหญ่เรามีส่วนแบ่ง 50%ขึ้นไป
ตลาดเดิมของสหการประมูล คือรถที่มาจากกลุ่มleasing
การที่บริษัทจะโตโดย มีmarket share สูงขึ้น
เมื่อก่อนทำตลาด B2B ส่วนใหญ่คนที่มาประมูลคือเต้นท์รถมือสอง
เราแตกต่างกับธุรกิจอื่น คือเรามีทั้ง supplier และ consumer
ลูกค้าฝ่ายที่เอารถเข้ามาประมูลอยากได้ราคาขายสูงสุด
แต่ลูกค้าที่มาประมูลซื้ออยากได้ราคาต่ำสุด
Key success : Fair Value
ประธานกรรมการ และ อ เสาวนีย์ เป็นผู้รู้เรื่องนี้ดี คือ บริษัทต้องมี Good government
เรามีจุดนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างfair value ทำให้ทุกคนไว้ใจเราได้ โดยทุกคนพอใจ
เราได้ค่าบริการจากการขายรถยนต์ 8,000 บาทต่อคัน และ มอเตอร์ไซด์ 1,500 บาทต่อคัน
แต่รถทั้งหมดในตลาดที่ยึดมา 200,000 คัน ต่อปี การที่จะโตจาก50%ไปที่ 70%-80% ค่อนข้างจะยาก
ก็ต้องไปตลาดอื่นที่มากกว่า 200,000 คัน
รถใหม่ขายอย่างต่ำปีละล้านคัน วันนี้จะชิงลูกค้าได้ด้วยการเพิ่มคุณภาพการให้บริการ
ให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสูงสุด
การเข้าสู่Blue ocean รถเข้ามาปีละล้านคัน
เมืองไทย โดยเฉลี่ยจะใช้รถมากกว่า 10 ปี เพียงแต่เปลี่ยนclassผู้ใช้
รถไม่พังง่าย เพราะรถราคาเท่าบ้าน เรารักษารถดีกว่าที่ต่างประเทศ
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Fully synthetic จะเปลี่ยนทุก 5,000 กม
แต่เมืองนอก วิ่งครบ15,000 กม ค่อยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
รถที่อยู่ในระบบfinance 2 ล้านคัน จาก 10 ล้านคัน
แต่ก็มีบางคนอยากไปที่เต้นท์รถ ซึ่งจากพฤติกรรมผู้บริโภค
จะเปิดwebsite: Thaisecondhand.com และดูว่าที่ไหนให้ราคาดีสุด
พอคิดว่ารถขายได้สามแสนบาท แต่จริงแล้วเจอdiscount30%ได้เงินแค่ 2.1 แสนบาท โดยที่ยอมขายเฉลี่ย 96%
สหการประมูลมีให้บริการประมูลรถ เรามีธุรกิจตรงนี้ คนที่อยากซื้อรถหรือ ขายรถให้มาที่นี่
ดังนั้นเราหวังแค่4%ที่ไม่ได้ไปที่เต้นท์ที่มาขายรถกับเรา
วันนี้เราก้าวมาสู่market place เต็มตัว
ในส่วนที่คิดจะขายรถเอง เริ่มแรกถ้ามาขายให้เพื่อน แต่คิดไปมา เพื่อนอาจด่าเรา
แต่ถ้าเรามาที่สหการประมูล เราจะตั้งราคาให้เปรียบเทียบกับราคาเมื่อวัน (Green book)
ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของเรา ตอนนี้Bankชาติก็มาเอาข้อมูลราคาประมูลรถของเรา(Green book)ไปอ้างอิง
โดยเซ็นต์สัญญาการใช้ข้อมูลของเรา
ต่อไปสหการประมูล มีintangible asset คือ Big Data เป็นอีกตัวนึง ซึ่งไม่อยู่ใน 3 ขุมทรัพย์ที่กล่าวมา
คุณไม่ต้องดูเรื่องราคาเลย เพราะมันเป็นราคาfair price
วันเสาร์ ถ้ามาดู จะเห็นมีคนมาประมูล 700 คน, 40% เป็นลูกค้ารายใหม่
เราปรับตัวมา4 ปีแล้ว ทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา
โดยเฉพาะลูกค้ามอเตอร์ไซด์ ซึ่งมีเพิ่มอย่างมีนัยยะ
เราวิเคราะห์ว่าการประมูลรถมอเตอร์ไซด์กับEnduser จะเกิดขึ้นก่อน
ราคาประมูลประมาณ20,000-30,000 บาท สามารถซื้อขายได้ง่ายกว่า
(ผมเห็นการประมูลรถมอเตอร์ไซด์จริงหลังประชุมเสร็จ พบว่าราคาประมูลก็ประมาณนี้)
ตอนนี้เราเซ็นต์สัญญากับบริษัท KTC ต่อไปลูกค้าสามารถมัดจำตอนประมูลรถได้ผ่านบัตรKTCได้แล้ว
จากตัวอย่างวีดีโอ Model .”เถ้าแก่น้อยModel”
คนที่เปลี่ยนอาชีพจากขายปลา มาขายรถมือสอง กำไรคันละสี่หมื่นขึ้นไป
ไม่จำเป็นต้องมีเต้นท์รถ ซื้อมาและขายไปทีละคัน
เต้นท์รถมาประมูลรถจากสหการประมูลทั้งนั้น เขาประมูลรถและนำไปปรับปรุงพร้อมใช้แล้วค่อยขายให้Enduser
การประมูลเริ่มจาก ประมูลรถมอเตอร์ไซด์ จากนั้นก็ประมูลรถยนต์ ต่อมาก็ไปเปิดเต้นท์
คุณสุธีได้คุยกับfinance 3 ปีก่อน ตอนนั้นเราถูกกระทบจากนโยบายรถคันแรก
ต่อมาเรื่อง สคบ ออกกฎหมาย เรื่องคุ้มครองการยึดรถ
เรามีที่100 ไร่ที่คลองแปด แต่ตอนนี้ที่ก็เต็ม ไม่มีว่าง
วันนี้ดูธุรกิจรถมือสองว่าดีไม่ดี ดูจากจำนวนรถมือสองได้เลย
ผมสร้างความพึงพอใจของกลุ่มLeasing โดยทำให้เขาขายได้ราคาดีขึ้น
ถ้าเขาพอใจ ก็จะส่งรถให้เรามากขึ้น
ถ้าเคสแย่สุด เราจะเหลือกำไร76ลบต่อปี
แต่ปีนี้เป็นปีbest case กำไรดีที่สุด
ตลาดBlue ocean 2 ล้านคัน ผมรับแค่ 4% คือ 80,000 คัน ถ้าเป็นรถยนต์ น่าจะเกิน กำไรจะเป็นdouble
ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิดจริง
ถ้าใครอยู่ในตลาดปัจจุบัน แนวโน้มไปสู่การตลาดแบบretail
ทุกคนสั่งสินค้าจากลาซาด้า หรือ shopee
ผมเชื่อว่า เราวางโปรแกรมไปสู่ retail market จากเดิมที่เรายึดหัวหาดตลาดWholesales
วันนี้directionไปสู่retail market
การจะเกิดผู้มาขายรถจากรายย่อย ต้องมีรายย่อยมาประมูลก่อน
ใครอยู่อุตสาหกรรมสาหกรรมนี้ 28 ปี(หมายถึงสหการประมูล) จะเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนี้
ถ้าไม่ซื้อเงินผ่อน ก็ไม่มีโอกาสใช้รถเลย
เรามีประมูลรถเพื่อการเกษตร ซึ่งสามารถไปประมูลรถที่คลอง8
เวลารถโดนยึด เราเป็นคนกลาง เจ้าของ กับ ผู้ครอบครอง อาจตกลงกันไม่ได้
แต่สหการประมูลเป็นคนกลาง เจ้าหนี้สบายใจ ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง
เราเป็นservice ของ ห่วงโซ่อุปทาน
กลับมาที่ตลาด Blue Ocean รถเข้าออก ตอนเอารถออกโดยประมูลซื้อรถไป
ถ้าลูกค้าไม่รู้จักรถจริง สมมติราคาที่คาดไว้สองแสนบาท
ลูกค้าก็ประมูลให้มีส่วนเผื่อความไม่แน่ใจสัก 1.6 แสนบาท
ลูกค้าประมูลต่ำกว่าราคาที่คาดไว้ ผมก็จะโตเต็มที่ไม่ได้
เราเลยเสนอการตรวจสภาพ ให้คำปรึกษา รวมถึง Financeให้
มันจะโยงใยกันไป ตลาดonlineโต ก็เพราะผู้ประกอบการต้องลงทุนเรื่องonline
ซื้อแล้วไม่เอา ส่งคืน ก็แค่ขาดทุนค่าส่งของ
ดังนั้น ผมจะสร้างความพึงพอใจให้เขา เช่น
-ให้คำปรึกษาเรื่องราคา
คุณสุวิทย์ มากล่าวแนะนำผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุมวันนี้
1.คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส ประธานกรรมการบริหาร และ กรรมการ
2.คุณ วรัญญา ศิลา รองกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการบริหารความเสี่ยง
3.คุณ ศราวุธ จารุจินดา กรรมการและกรรมการบริหารความเสี่ยง
4.คุณ สุธี สมาธิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด
5.คุณ อัมพาพร หลักเรืองทรัพย์ เลขานุการบริษัท
โครงสร้างของบริษัท สหการประมูลการประมูล หรือ AUCT บริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นปีที่5
จุดแข็งอยู่ที่กรรมการบริหาร คือ ตัวประธานกรรมการ
บริษัทมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ 5,400 ลบ ถ้าดูจาก ROA 32%
พื้นฐานเราอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์
ซึ่งการคาดการณ์เรื่องเทคโนโลยียาก บางธุรกิจดูไม่ออกว่าโต แต่อุตสาหกรรมรถยนต์โตมาตลอด
สหการประมูลอยู่มา 28 ปี เรามีDatabase ข้อมูลราคารถที่ประมูลกลายเป็น green book ของเรา
(Red book เป็นข้อมูลเรื่องราคาประมูลรถของเมืองนอก ส่วน Blue Book เป็นข้อมูลของธนาคารในไทย)
เมื่อก่อนเราต้องซื้อข้อมูลBlue book หรือ ซื้อSOFTWARE ของแคนาดา สำหรับ E-auction
ตอนนี้เรามี SOFTWARE ของเราเอง
พื้นฐานของธุรกิจของเรามาจากสามส่วน
1.ตลาดเดิมของเรามาจาก การประมูลรถที่เป็นหนี้สินของสถาบันการเงิน
กำไรเกิดจากตลาดเดิมนี้เท่ากับ 90%
2.ตลาดรถมือสอง ซึ่งจะมาเสริมmarket shareเพิ่มขึ้นได้
3.บริการเสริมพิเศษ เช่น การตรวจสภาพรถ
ข้อ1 ตลาดรถที่มาจากNPL ตอนนี้เข้าไปสู่ Blue ocean
โชคดีเราไม่เข้าไปในตลาดred ocean เช่น มือถือ
เราจะไปในส่วนรายได้ภาคที่สาม เรื่องของการให้บริการเสริม
ตอนนี้กำไรของบริษัทดีสุด เทียบกับเมื่อ4ปีที่แล้วมีกำไร 202 ลบ
แต่ปีนี้กำไรน่าจะดีกว่าปีที่ดีที่สุด
Market share ตอนนี้ > 50%ของตลาด
ปีนึง มีรถใหม่ตีว่าประมาณล้านคัน ผ่านสินเชื่อมาระดับนึง มียอดหนี้เสียเฉลี่ย 2%
ส่วนใหญ่เรามีส่วนแบ่ง 50%ขึ้นไป
ตลาดเดิมของสหการประมูล คือรถที่มาจากกลุ่มleasing
การที่บริษัทจะโตโดย มีmarket share สูงขึ้น
เมื่อก่อนทำตลาด B2B ส่วนใหญ่คนที่มาประมูลคือเต้นท์รถมือสอง
เราแตกต่างกับธุรกิจอื่น คือเรามีทั้ง supplier และ consumer
ลูกค้าฝ่ายที่เอารถเข้ามาประมูลอยากได้ราคาขายสูงสุด
แต่ลูกค้าที่มาประมูลซื้ออยากได้ราคาต่ำสุด
Key success : Fair Value
ประธานกรรมการ และ อ เสาวนีย์ เป็นผู้รู้เรื่องนี้ดี คือ บริษัทต้องมี Good government
เรามีจุดนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างfair value ทำให้ทุกคนไว้ใจเราได้ โดยทุกคนพอใจ
เราได้ค่าบริการจากการขายรถยนต์ 8,000 บาทต่อคัน และ มอเตอร์ไซด์ 1,500 บาทต่อคัน
แต่รถทั้งหมดในตลาดที่ยึดมา 200,000 คัน ต่อปี การที่จะโตจาก50%ไปที่ 70%-80% ค่อนข้างจะยาก
ก็ต้องไปตลาดอื่นที่มากกว่า 200,000 คัน
รถใหม่ขายอย่างต่ำปีละล้านคัน วันนี้จะชิงลูกค้าได้ด้วยการเพิ่มคุณภาพการให้บริการ
ให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสูงสุด
การเข้าสู่Blue ocean รถเข้ามาปีละล้านคัน
เมืองไทย โดยเฉลี่ยจะใช้รถมากกว่า 10 ปี เพียงแต่เปลี่ยนclassผู้ใช้
รถไม่พังง่าย เพราะรถราคาเท่าบ้าน เรารักษารถดีกว่าที่ต่างประเทศ
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Fully synthetic จะเปลี่ยนทุก 5,000 กม
แต่เมืองนอก วิ่งครบ15,000 กม ค่อยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์
รถที่อยู่ในระบบfinance 2 ล้านคัน จาก 10 ล้านคัน
แต่ก็มีบางคนอยากไปที่เต้นท์รถ ซึ่งจากพฤติกรรมผู้บริโภค
จะเปิดwebsite: Thaisecondhand.com และดูว่าที่ไหนให้ราคาดีสุด
พอคิดว่ารถขายได้สามแสนบาท แต่จริงแล้วเจอdiscount30%ได้เงินแค่ 2.1 แสนบาท โดยที่ยอมขายเฉลี่ย 96%
สหการประมูลมีให้บริการประมูลรถ เรามีธุรกิจตรงนี้ คนที่อยากซื้อรถหรือ ขายรถให้มาที่นี่
ดังนั้นเราหวังแค่4%ที่ไม่ได้ไปที่เต้นท์ที่มาขายรถกับเรา
วันนี้เราก้าวมาสู่market place เต็มตัว
ในส่วนที่คิดจะขายรถเอง เริ่มแรกถ้ามาขายให้เพื่อน แต่คิดไปมา เพื่อนอาจด่าเรา
แต่ถ้าเรามาที่สหการประมูล เราจะตั้งราคาให้เปรียบเทียบกับราคาเมื่อวัน (Green book)
ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของเรา ตอนนี้Bankชาติก็มาเอาข้อมูลราคาประมูลรถของเรา(Green book)ไปอ้างอิง
โดยเซ็นต์สัญญาการใช้ข้อมูลของเรา
ต่อไปสหการประมูล มีintangible asset คือ Big Data เป็นอีกตัวนึง ซึ่งไม่อยู่ใน 3 ขุมทรัพย์ที่กล่าวมา
คุณไม่ต้องดูเรื่องราคาเลย เพราะมันเป็นราคาfair price
วันเสาร์ ถ้ามาดู จะเห็นมีคนมาประมูล 700 คน, 40% เป็นลูกค้ารายใหม่
เราปรับตัวมา4 ปีแล้ว ทำให้มีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา
โดยเฉพาะลูกค้ามอเตอร์ไซด์ ซึ่งมีเพิ่มอย่างมีนัยยะ
เราวิเคราะห์ว่าการประมูลรถมอเตอร์ไซด์กับEnduser จะเกิดขึ้นก่อน
ราคาประมูลประมาณ20,000-30,000 บาท สามารถซื้อขายได้ง่ายกว่า
(ผมเห็นการประมูลรถมอเตอร์ไซด์จริงหลังประชุมเสร็จ พบว่าราคาประมูลก็ประมาณนี้)
ตอนนี้เราเซ็นต์สัญญากับบริษัท KTC ต่อไปลูกค้าสามารถมัดจำตอนประมูลรถได้ผ่านบัตรKTCได้แล้ว
จากตัวอย่างวีดีโอ Model .”เถ้าแก่น้อยModel”
คนที่เปลี่ยนอาชีพจากขายปลา มาขายรถมือสอง กำไรคันละสี่หมื่นขึ้นไป
ไม่จำเป็นต้องมีเต้นท์รถ ซื้อมาและขายไปทีละคัน
เต้นท์รถมาประมูลรถจากสหการประมูลทั้งนั้น เขาประมูลรถและนำไปปรับปรุงพร้อมใช้แล้วค่อยขายให้Enduser
การประมูลเริ่มจาก ประมูลรถมอเตอร์ไซด์ จากนั้นก็ประมูลรถยนต์ ต่อมาก็ไปเปิดเต้นท์
คุณสุธีได้คุยกับfinance 3 ปีก่อน ตอนนั้นเราถูกกระทบจากนโยบายรถคันแรก
ต่อมาเรื่อง สคบ ออกกฎหมาย เรื่องคุ้มครองการยึดรถ
เรามีที่100 ไร่ที่คลองแปด แต่ตอนนี้ที่ก็เต็ม ไม่มีว่าง
วันนี้ดูธุรกิจรถมือสองว่าดีไม่ดี ดูจากจำนวนรถมือสองได้เลย
ผมสร้างความพึงพอใจของกลุ่มLeasing โดยทำให้เขาขายได้ราคาดีขึ้น
ถ้าเขาพอใจ ก็จะส่งรถให้เรามากขึ้น
ถ้าเคสแย่สุด เราจะเหลือกำไร76ลบต่อปี
แต่ปีนี้เป็นปีbest case กำไรดีที่สุด
ตลาดBlue ocean 2 ล้านคัน ผมรับแค่ 4% คือ 80,000 คัน ถ้าเป็นรถยนต์ น่าจะเกิน กำไรจะเป็นdouble
ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิดจริง
ถ้าใครอยู่ในตลาดปัจจุบัน แนวโน้มไปสู่การตลาดแบบretail
ทุกคนสั่งสินค้าจากลาซาด้า หรือ shopee
ผมเชื่อว่า เราวางโปรแกรมไปสู่ retail market จากเดิมที่เรายึดหัวหาดตลาดWholesales
วันนี้directionไปสู่retail market
การจะเกิดผู้มาขายรถจากรายย่อย ต้องมีรายย่อยมาประมูลก่อน
ใครอยู่อุตสาหกรรมสาหกรรมนี้ 28 ปี(หมายถึงสหการประมูล) จะเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนี้
ถ้าไม่ซื้อเงินผ่อน ก็ไม่มีโอกาสใช้รถเลย
เรามีประมูลรถเพื่อการเกษตร ซึ่งสามารถไปประมูลรถที่คลอง8
เวลารถโดนยึด เราเป็นคนกลาง เจ้าของ กับ ผู้ครอบครอง อาจตกลงกันไม่ได้
แต่สหการประมูลเป็นคนกลาง เจ้าหนี้สบายใจ ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง
เราเป็นservice ของ ห่วงโซ่อุปทาน
กลับมาที่ตลาด Blue Ocean รถเข้าออก ตอนเอารถออกโดยประมูลซื้อรถไป
ถ้าลูกค้าไม่รู้จักรถจริง สมมติราคาที่คาดไว้สองแสนบาท
ลูกค้าก็ประมูลให้มีส่วนเผื่อความไม่แน่ใจสัก 1.6 แสนบาท
ลูกค้าประมูลต่ำกว่าราคาที่คาดไว้ ผมก็จะโตเต็มที่ไม่ได้
เราเลยเสนอการตรวจสภาพ ให้คำปรึกษา รวมถึง Financeให้
มันจะโยงใยกันไป ตลาดonlineโต ก็เพราะผู้ประกอบการต้องลงทุนเรื่องonline
ซื้อแล้วไม่เอา ส่งคืน ก็แค่ขาดทุนค่าส่งของ
ดังนั้น ผมจะสร้างความพึงพอใจให้เขา เช่น
-ให้คำปรึกษาเรื่องราคา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 172
Better Trade ช่วง หุ้นผู้ชนะ
วิทยากร ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ,
คุณ โจ ลูกอีสาน และ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คำถาม อยากให้Review ตลาดหุ้นไทยปีนี้
คุณโจ ลูกอีสาน บอกว่า ตลาดหุ้นปีนี้คล้ายกับปีที่แล้ว
ซึ่งกลางปีทีแล้ว ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 1850 จุด และลงมาถึงปลายปีค่อนข้างแรง
ปีนี้ก็ขึ้นไปสูงสุดที่ 1750 เมื่อกลางปี และตอนนี้ก็มาอยู่ที่ 1600 จุด
ตลาดบวก1%และรวมปันผล คิดเป็น 3-4%
ตอนนี้พอร์ตของ อ โจ บวกแต่น้อยกว่าตลาด สองปีนี้ตลาดถือว่าลงทุนยาก
วันนี้ Surprise ว่า พวกเรามาฟังกันเยอะ
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า ชนะตลาดนิดหน่อย แต่ปลายปีอาจแพ้ได้ ช่วงก่อนหน้าชนะตลาดเยอะ และ ลดลง
หุ้นที่ถือเป็นตัวใหญ่ จะชนะตลาดเยอะได้ยาก
อิทธิพลต่างชาติ เวลาขาย ก็ขายตัวใหญ่ เวลาซื้อ ก็ซื้อหุ้นใหญ่
ตอนนี้พยายามประคองไป ตั้งแต่ต้นปี ภาวะของตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย
ต้นปีราคาหุ้นก็ไม่ถูก PE 17 เท่า ยากจะทำให้การลงทุนบวกเยอะ เนื่องจากค่าPEสูง (หมายถึง ซื้อของแพง)
แต่ถ้าPEต่ำ ถึงแม้สมมติว่าตลาดปรับตัวลดลงอีกมาที่ PE 8 เท่า ก็มีโอกาสกลับมาได้ง่ายกว่า
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ กำไรจะดีต่อนั้นยาก เพราะ กลุ่มปิโตรเคมีปีที่แล้วดีมาก
โอกาสจะดีอีกนั้นยาก
ดังนั้นโอกาสที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน กำไรเท่าเดิมก็ยากแล้ว ทำให้ดัชนีขึ้นยาก
และถ้ากำไรลดลง ก็มีโอกาสให้ดัชนีตลาดติดลบได้
ปีที่แล้วตลาดหุ้นติดลบ 10% ปีนี้ก็มีโอกาสrebound ซึ่งเป็นข้อดี ปีนี้น่าจะดีขึ้น
จากสถิติ โอกาสที่ตลาดหุ้นติดลบสองปีซ้อนยาก
และถ้าตลาดติดลบสองปีซ้อน ปีหน้าก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็Natural ไม่ค่อยผลต่อตลาดหุ้นเท่าไหร่
อีกปัจจัย คือ ตลาดหุ้นไทยไม่เคยเจอวิกฤตอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008
ตอนนี้ทุกคนกลัวว่าอเมริกาจะต้องเจอวิกฤต ซึ่งคาดกันว่าจะเจอในปีหน้า (2020)
แต่ไม่แน่อาจเกิดปีนี้ ปรากฏว่า หุ้นอเมริกา new high
ถ้าทายถูกว่า เกิดวิกฤตจริงในปีหน้า ต้องยกนิ้วให้ว่า ทายล่วงหน้าสองปีถูก
ตอนนี้บริษัทระวังตัว ไม่มีการกู้เงินเยอะๆ ปีนี้สถานการณ์ ตลาดหุ้นทรงๆ
ความคิดเรื่องลงทุน คือการเปลี่ยนmindsetใหม่
ถ้าดัชนีเท่าเดิมก็ดีใจ ได้ปันผล 3% ก็พอใจแล้ว
อยู่ไปเรื่อยๆ รอตลาดหุ้นขึ้นรอบใหม่
ลดความคาดหวังว่าจะได้ 15%
ถ้าไม่ขาดทุนก็พอใจแล้ว
ถ้าใครต้องการผลตอบแทนสูง อาจต้องใช้ margin , Block trade ช่วย ซึ่งก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
เสี่ยป๋อง ส่วนตัวก็ติดลบนิดหน่อย จากครึ่งปีแรกบวกนิดหน่อย
ปีนี้เล่นยาก สถานการณ์ตลาดแปลกๆ มีการrotateหุ้น(สลับกลุ่มเล่น)
เรียกว่า transportation , disruptive
กลยุทธ์ของเสี่ยป๋อง ตอนนี้ซื้อหุ้นกระจายๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือเฉพาะกลุ่ม เพราะ
สมมติว่าถ้ามี หุ้นกลุ่มธนาคาร หรือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีอยู่เยอะ ก็ติดลบเยอะ
ขาขึ้น new high ไร้แนวต้าน new low ไร้แนวรับ
ใครเล่นหุ้นแนวเทคนิค ถ้าเจอสัญญาณdivergence แล้วต้องซื้อปรากฏว่าติดหุ้น
ผมเคยเจอแบบนี้ เกิดdivergence สี่รอบหุ้นถึงจะขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่รอบแรกเลยดอย
ต้องปรับกลยุทธ์ และ เล่นตามนโยบายเดิม พยายามสลัดของถูก(ซึ่งคุณภาพไม่ดี)
เล่นหุ้นต้องมีวินัย เคยโพสว่า กราฟเสียตั้งนานแล้ว แต่ไม่คัต เนื่องจากตอนนั้นถือว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินเย็น
ดังนั้น อย่าปล่อยให้หุ้นลงลึก กราฟเสียต้องขาย
Technical ช่วยในเรื่องรู้ก่อน ขายก่อน
แต่คนจะขายต่อเมื่อรู้ว่าเกิดจากอะไร
ตรงกับสุภาษิตว่า เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย
ซึ่งกว่าจะรู้ว่าผิดเพราะอะไร คือลงไป30%ค่อยขาย
คำถามต่อไป ปรับตัวอย่างไร ในสภาวะที่การลงทุนที่ยากในปีนี้
คุณ โจ ตอบว่า ผมเริ่มสังเกตว่าตลาดหุ้นโดยรวม สัดส่วนผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง
ปี40 นักลงทุนสถาบัน มีแค่ 2-3%ของตลาด อีก 25-30% เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ที่เหลือเป็นรายย่อย
สองปีที่ผ่านมา สังเกตว่า สัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มมาเป็น 20-30% ส่วนต่างชาติเท่าเดิม
กลุ่มไหนที่ลดลง ซึ่งก็คือ รายย่อยลดสัดส่วนลงมาเหลือ 20-30% ซึ่งเหมือนแนวโน้มในต่างประเทศ
รายย่อยจะค่อยๆหายไป ถ้าไม่ปรับตัว เราต้องหาจุดแข็งของรายย่อย
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากหลังจากมี internet
ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งแล้ว การซื้อและถือหุ้นไปนานๆ ทำได้ยาก
เช่น ธุรกิจ สื่อ สิ่งพิมพ์ ซึ่งโดนdisrupt ส่วนพลาสติก รัฐให้เลิกใช้
แต่ควรมีมาตราการช่วยเหลือโรงงานที่โดนกระทบ
เทรนนี้จะมาเรื่อยๆ ทำไม ปูนซิเมนต์ไทย ทำนิวโลว์ ในรอบหลายปี
เพราะจริงๆ บริษัทนี้น่าจะชือ ปิโตรไทยมากกว่า เพราะ กำไร70%มาจากปิโตรเคมี
และตอนนี้ปูนใหญ่ไปสร้างโรงงานที่เวียดนาม เราต้องติดตามต่อว่าจะกระทบอย่างไรบ้าง
กระแส E-commerceก็มาแรง เมื่อก่อนไม่เคยซื้อของonline แต่ปีนี้ผมเริ่มลองซื้อของonlineดู ปรากฏว่าติด
จ่ายเงินซื้อไปแสนกว่าบาทแล้ว รู้สึกสนุกการซื้อ เช่น ซึ้อทุเรียนจากกรุงเทพ
คนอื่นก็คงไม่ต่างกับผมมาก ดังนั้น ต้องระวังธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
เช่น ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ราคาหุ้นตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว
แต่ไม่ควรหวาดระแวงจนเกินไป ปิโตรเคมี ได้ผลกระทบ แต่ทำไมโรงไฟฟ้าขยะยังดีอยู่ ก็น่าจะถูกกระทบด้วย
เนื่องจากปริมาณพลาสติกลดลง ทำให้ค่าความร้อนที่ได้รับลดลงด้วย
โลกเปลี่ยนไป มีสองทางเลือก ผมเลือกทางเลือกที่สองว่า
โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนตามโลก
นักลงทุนสถาบันมีอิทธิพลเยอะ เม็ดเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หุ้นที่ลงทุนได้มีไม่เยอะ
ทำให้เกิดการย้ายกลุ่มกันในตลาดหุ้น
รายย่อยทำอย่างไร ก็ต้องอดทน มันไม่ใช่แบบนี้ตลอดไป
แต่หุ้นที่ถือต้องดี เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
เชื่อว่า หุ้นเล็ก กลาง จะทรงๆ ทรุดๆไปเรื่อยๆ
มองภาพในอนาคตอย่างไร ครับ ดร นิเวศน์
ดร นิเวศน์ บอกว่า ศึกษาแล้วพบว่า คนไทยนั้นแก่ตัวลงเร็วมาก เป็นปัญหาของทุกอย่าง
ความคิด แรง การทำงาน ได้แค่นี้ สิ่งที่ตามมา คือ ความสามารถในทางแข่งขันลดลง
เมื่อก่อน เราสามารถแข่งขันได้ทั่วโลก ตอนนี้เวียดนามเหมือนเราสมัยก่อน
เขาไม่เคยกลัวประเทศอื่น
เวลานี้ ไทย ส่งออกยาก สินค้าสู้เวียดนาม จีนไม่ได้
การผลิตในไทย 70%ส่งออกไปแข่งขันกับทั่วโลก รวม ฟิลิปปินส์ อินโด
ก็แข่งขันไม่ไหว ค่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบาท เทียบกับเวียดนาม ที่ได้เปรียบจากค่าเงิน 15%แล้ว
นิคมอุตสาหกรรมในEEC ผมสังเกตดูไม่ค่อยมีใครมา นอกจากมาตั้งคลังสินค้า
การบริการ สมัยก่อนการบริการดี ป้องกันต่างชาติได้ ต่างชาติค้าขายในไทยไม่ได้
แต่ตอนนี้ การบริการแบบ 4G มีการโอนเงินได้ ธุรกิจธนาคารก็เริ่มถูกdisruptแล้ว
ห้างก็ถูกกระทบ มีแต่คนเดินเล่น เวลาซื้อก็ซื้อผ่าน E commerce
ร้านค้าก็อยู่ไม่ได้ และหายไป
การท่องเที่ยวก็ยังพอได้ เพราะคนมาชมสิ่งเก่า โบราณอย่างเดียว
มีบางส่วนที่พอได้ แต่เหลือน้อยลง
ยังมีอันไหนที่มี local monopoly ที่ต่างชาติยังเข้ามาไม่ได้ อันนี้น่าสนใจ
ธนาคารก็ถูกกระทบ ถึงแม้ราคาลงหนัก แต่มีโอกาสถูก disrupt
เมื่อก่อนชอบธนาคารขนาดใหญ่เพราะได้ค่าธรรมเนียนมจากการให้บริการ
แต่ตอนนี้ชอบธนาคารขนาดเล็ก เพราะไม่โดนdisruptจากค่าธรรมเนียม ซึ่งไม่เคยมีรายได้จากส่วนนี้
การบริโภค การผลิต โดนdisruptหมด
ส่วนเวียดนาม การทำห้างยังดีอยู่เพราะไม่ค่อยมีห้างที่เวียดนาม
ธุรกิจที่อยู่รอดได้ ต้องดูเป็นรายบริษัท เช่น ธุรกิจการบริการ
ส่วนการผลิต ต้นทุนแรงงานสูง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ค่าแรงถูก
ตอนนี้ดูรายละเอียดแต่ละตัวของretail ว่าเป็นอย่างไร แต่เมืองนอกเจ้งเป็นแถว
เสี่ยป๋อง เห็นด้วยกับ อ นิเวศน์
อะไรที่เป็นรุ่นเก่า เช่น โรงงาน เหนื่อย
มองโครงสร้าง แล้ว เหลือรอดไม่เกิน 10%
แต่ธุรกิจรุ่นเก่าอาจไม่เจ้ง เพียงแค่ธุรกิจไม่โต คนก็ไม่สนใจซื้อหุ้นแล้ว
โลกอนาคต megatrend แบ่งออกเป็นสามอย่าง
1. Alternative Energy น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นพลังงานเก่า เช่นฟอสซิล ก็จะค่อยๆหายไป
รถยนต์ก็เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน
รถไฟฟ้า การเติมไฟฟ้า โดยยกเปลี่ยนแบตน่าจะดีกว่า ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าร้อนแรงจากทุนต่างชาติเข้ามา รวมถึง เป็นหุ้นdefensive มีรายได้แน่นอน การเข้าลงทุนต้องดูราคาด้วย
2. ธุรกิจขนส่ง จะโตเนื่องจาก Ecommerce ที่ขยายตัว
3. การติดต่อสื่อสาร โลกอนาคตจะเป็น 5G หรือมากกว่านั้น ธุรกิจที่มีใบอนุญาตก็อยู่ต่อได้
คุณโจ บอกว่าทุกคนพอรู้ คือ Trendที่มีอนาคตและไม่มีอนาคต
ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงกลุ่มที่ไม่มีอนาคต เช่น ธุรกิจสื่อ หรือ ธุรกิจที่ตรงข้ามกับonline เช่น ธุรกิจการให้เช่าพื้นที่ห้าง
พลาสติก เป็นกลุ่มไม่มีอนาคต
กลุ่มที่มีอนาคต แต่มีน้อยในตลาดหุ้นไทย เราทำอะไรได้บ้าง
เราก็ไปลงทุนในเมืองนอก การซื้อขายในเมืองนอกไม่มีข้อจำกัด เราสามารถเทรดผ่านโบรกได้
เช่น บริษัท Kerry ที่list in Hongkong หรือ ซื้อบริษัทไทย ที่ไปถือหุ้นของKerry thaiก็ได้
เวียดนาม เคยไปเมื่อห้าปีที่แล้ว 1 ล้านด่อง เท่ากับ 1,580 บาท ตอนนี้เหลือ 1,300 บาท จนลงโดยอัตโนมัติ
มีความเสี่ยงอย่างอื่นเข้ามา แต่ไม่ทำให้หมดอาลัยกับตลาดหุ้นไทย
เจอเพื่อนนักลงทุนในโต๊ะอาหาร (อาจารย์ไปร่วมงานแต่งงานของน้องบิ๊ก) ดูเงียบๆไปหน่อย
ตั้งแต่ต้นปี2562 มีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ถึง 60กว่าตัว
คิดเป็น 10%ของตลาดก็เยอะ
ผมก็มีหุ้นบางตัวอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่ก็มีบางตัวขาดทุน50% ทำให้พอร์ตปีนี้ไม่ไปไหน
ถ้าเราอยากเป็นคนพิเศษ ทุกอย่างมีต้นทุน เต็มใจที่จะทำหรือเปล่า โอกาสยังมี
ตราบใดที่ยังหุ้นขึ้น 50-100% ทำไมจะเจอหุ้นเหล่านั้นไม่ได้ อย่าไปท้อ
เราต้องเกาะเกี่ยวหุ้นที่ขึ้น 100%
เทคนิคในการเลือกหุ้น
อ โจ บอกว่า การลงทุนมีสองมิติ คือคุณภาพและราคา
1. ดูหุ้นที่มีคุณภาพดี กำไรเติบโตไปเรื่อยๆ มีความสามารถในการแข่งขัน
เช่น 7-11 , AOT , BDMS
บางบริษัทเติบโตจากการกินแชร์ของคนอื่น (CPALL)
แต่มีบางบริษัทจากอุตสาหกรรมที่เติบโต เช่น AOT มีอำนาจในการผูกขาด
แต่ต้องไม่ใช่อยุ่ในธุรกิจ downtrend
2.เราต้องดูราคาหุ้นด้วย ต่อให้หุ้นดีแค่ไหน ซื้อแพง ก็ซวยได้
อย่าละเลยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ตอนนี้นักลงทุนเริ่มดูปัจจัยคุณภาพมากขึ้น
หุ้นอสังหา PE 6 เท่า ทำไมไม่มีคนสนใจซื้อ
แต่หุ้นที่ดีมีอนาคต นั้นมี PE 20กว่าเท่า
ระยะหลัง ให้ความสำคัญกับปัจจัยคุณภาพมากขึ้น แต่ดูราคาด้วย
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า พยายามหาหุ้นที่ผิดราคา
ตลาดหุ้นแปลกในช่วงนี้ ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่พบหุ้นบางตัวผิดราคา
สมัยที่ลงทุนช่วงต้มยำกุ้น ซื้อหุ้นตอน 800 จุด ได้ลงทุนหุ้นผิดราคา เวลาตลาดหุ้นลง 204จุด
ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ได้ลง เพราะมีกำไรดี ปันผลดี
ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่บางตัวพอซื้อได้แล้ว
อาจบางทีคนอาจเข้าใจผิด ทำให้ไม่สนใจ เกิดหุ้นผิดราคาขึ้น
ถ้าเราซื้อไป ก็รับปันผลในช่วงนี้ได้
นาทีนี้ มีหุ้นผิดราคา พอลงทุนได้ ไม่เหมือนกับเมื่อ สามหรือสี่ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้า ดร ไม่ได้ซื้อหุ้นมาปีครึ่ง
สรุป ดร เริ่มซื้อหุ้นที่ผิดราคาแล้ว
ส่วนเสี่ยป๋อง ตอนนี้เลือกหุ้นลำบาก เลยมาฟังหมอดูฟองสนาน
(ฟองสนาน อินเด็กซ์ ) ดาวพฤหัส พ้นจากสิ่งไม่ดี ตั้งแต่พฤหัสที่ผ่านมา จนถึง 17 มีค 2563
หลังจากนั้นค่อยมาดูกันใหม่ ก่อนหน้าเจอดาวถอยหลัง ก็เลยทำให้ตลาดไม่ดี
ผมดูจากเทคนิเคิลเป็นหลัก ดัชนี DJ จ่อHigh แล้ว
แต่ไทย เหมือนจะลงใต้ยังไงก็ไม่รู้
ถ้าตราบใดไม่ลงต่ำกว่า 1546 ก็ยังดีอยู่ ห้ามหลุดนะ ถ้าลงต่ำกว่า ก็ไม่รู้แล้ว
แรงขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านม สถาบัน R&I จากญี่ปุ่น มา upgrade thai เป็น A- แต่ลบ 11จุด
แต่เราต้องมีความหวัง คิดว่า moody,S&P น่าจะประกาศratingใหม่
ถ้าจะเลือก ตอนนี้ยังเลือกไม่ถูก แต่กลุ่มที่พูดก่อนหน้า ถ้าลงมาแนวรับ ก็เป็นโอกาส
MACD Month จ่อต่ำกว่า 0 ต้องรีบขึ้นเหนือ ดัชนีวิ่งถึง1700จุด MACD Month ถึงจะเกิน 0 ได้
มีคนคาดการณ์ว่า FED ลดดอกเบี้ยตั้งแต่ครั้งที่สอง จะไม่ดี เพราะแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดี
ปรากฏว่า ลดดอกเบี้ยไปสามครั้ง หุ้นขึ้นตลอด
อยากให้คนไทยคิดแบบสหรัฐ ป่านนี้หุ้นไทยขึ้นไป6,000 จุดแล้ว
สรุปแล้ว ผมต้องรอสัญญาณก่อน ถึงตัดสินใจเรื่องลงทุนได้
แนวทางในการจัดพอร์ตในปีหน้า
เสี่ยป๋อง เล่นไปตามป้าฟองไปก่อน 555
ปีหน้า ของจริงแน่ ที่เกิด recession
มีการtransformจากธุรกิจเก่าไปใหม่ ดังนั้น ตลาดหุ้นทั้งโลกจะมีปัญหา
ผมระแวงมาก ยิ่ง ดร มาพูด ก็ยิ่งระแวงขึ้นไปอีก
อ โจ ผมคิดถึงหลักจิตวิทยา คนที่เจ็บจากอะไร จะขยาดกับสิ่งนี้
เวลาหุ้นลง เราก็คิดว่าหุ้นลงต่อ หรือ เวลาหุ้นขึ้น ก็จะคิดว่าหุ้นขึ้นต่อ
ซึ่งเป็นจิตวิทยาของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นหลักการจัดพอร์ตของ อ โจ ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 70ตัว จาก 50 ตัวในปีที่แล้ว
ผมพึ่งมาใช้วิธิใหม่ในปีนี้ ดร พูดว่า ท่านซื้อหุ้นที่ผิดราคา ราคาหุ้นต่ำกว่าเป็นจริง
แต่ถ้าหุ้นที่ผิดราคาในอีกทาง คือ สูงกว่าที่เป็นจริง เมื่อก่อนทำอะไรไม่ได้
กลต ใจดี เพิ่มเครื่องมือมา ให้เราshort futureได้
ตัวไหน overvalue ก็ไปshort ทำมา 10 ตัวประสบความสำเร็จ 9 ตัวในช่วงนี้
ธุรกิจปีหน้าก็คิดว่าเหมือนปีนี้ เพราะกิน ใช้เหมือนเดิม
ผมคิดว่า GDP ปีหน้าก็ประมาณ 2% เพราะการกระตุ้นช่วงนี้มีผลน้อย
เพราะสินค้าเกษตรไม่ดี ถึงแม้ภาครัฐประกันราคา แต่ช่วยเฉพาะจุด จะยั่งยืนไหม
ประกอบค่าเงินบาทแข็งมาก ทำให้ส่งออกไม่ดี แข่งขันกับเพื่อนบ้านยาก
ดังนั้น คิดว่าหุ้นตัวไหนขึ้นน่าหมั่นไส้ ก็สามารถshortหุ้นนั้นเลย
ดร นิเวศน์ พูดปิดท้าย ผมมองหุ้นหลายตัวแพงเกินไป แต่ไม่ได้ไปshortหุ้น
ตอนนี้ ความมั่งคั่งเป็นเรื่อง relative
ตอนนี้มีหลายหุ้นถูก ก็ซื้อสะสมไว้
ไม่สนใจว่าหุ้นลง อนาคตหุ้นที่ถืออยู่ที่รวบรวมมานี้ น่าจะชนะบริษัทส่วนใหญ่
และเรื่องปันผลก็เป็นเรื่องสำคัญ พยายามหาหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ดูแล้วไม่น่าแพ้บริษัทอื่น
ที่สำคัญคือราคาถูกมากในช่วงนี้
สุดท้ายขอขอบคุณ E finance และ วิทยากรทุกท่านที่มาให้คำแนะนำในช่วงตลาดไม่ดีนะครับ
วิทยากร ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ,
คุณ โจ ลูกอีสาน และ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คำถาม อยากให้Review ตลาดหุ้นไทยปีนี้
คุณโจ ลูกอีสาน บอกว่า ตลาดหุ้นปีนี้คล้ายกับปีที่แล้ว
ซึ่งกลางปีทีแล้ว ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 1850 จุด และลงมาถึงปลายปีค่อนข้างแรง
ปีนี้ก็ขึ้นไปสูงสุดที่ 1750 เมื่อกลางปี และตอนนี้ก็มาอยู่ที่ 1600 จุด
ตลาดบวก1%และรวมปันผล คิดเป็น 3-4%
ตอนนี้พอร์ตของ อ โจ บวกแต่น้อยกว่าตลาด สองปีนี้ตลาดถือว่าลงทุนยาก
วันนี้ Surprise ว่า พวกเรามาฟังกันเยอะ
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า ชนะตลาดนิดหน่อย แต่ปลายปีอาจแพ้ได้ ช่วงก่อนหน้าชนะตลาดเยอะ และ ลดลง
หุ้นที่ถือเป็นตัวใหญ่ จะชนะตลาดเยอะได้ยาก
อิทธิพลต่างชาติ เวลาขาย ก็ขายตัวใหญ่ เวลาซื้อ ก็ซื้อหุ้นใหญ่
ตอนนี้พยายามประคองไป ตั้งแต่ต้นปี ภาวะของตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย
ต้นปีราคาหุ้นก็ไม่ถูก PE 17 เท่า ยากจะทำให้การลงทุนบวกเยอะ เนื่องจากค่าPEสูง (หมายถึง ซื้อของแพง)
แต่ถ้าPEต่ำ ถึงแม้สมมติว่าตลาดปรับตัวลดลงอีกมาที่ PE 8 เท่า ก็มีโอกาสกลับมาได้ง่ายกว่า
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ กำไรจะดีต่อนั้นยาก เพราะ กลุ่มปิโตรเคมีปีที่แล้วดีมาก
โอกาสจะดีอีกนั้นยาก
ดังนั้นโอกาสที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน กำไรเท่าเดิมก็ยากแล้ว ทำให้ดัชนีขึ้นยาก
และถ้ากำไรลดลง ก็มีโอกาสให้ดัชนีตลาดติดลบได้
ปีที่แล้วตลาดหุ้นติดลบ 10% ปีนี้ก็มีโอกาสrebound ซึ่งเป็นข้อดี ปีนี้น่าจะดีขึ้น
จากสถิติ โอกาสที่ตลาดหุ้นติดลบสองปีซ้อนยาก
และถ้าตลาดติดลบสองปีซ้อน ปีหน้าก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็Natural ไม่ค่อยผลต่อตลาดหุ้นเท่าไหร่
อีกปัจจัย คือ ตลาดหุ้นไทยไม่เคยเจอวิกฤตอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008
ตอนนี้ทุกคนกลัวว่าอเมริกาจะต้องเจอวิกฤต ซึ่งคาดกันว่าจะเจอในปีหน้า (2020)
แต่ไม่แน่อาจเกิดปีนี้ ปรากฏว่า หุ้นอเมริกา new high
ถ้าทายถูกว่า เกิดวิกฤตจริงในปีหน้า ต้องยกนิ้วให้ว่า ทายล่วงหน้าสองปีถูก
ตอนนี้บริษัทระวังตัว ไม่มีการกู้เงินเยอะๆ ปีนี้สถานการณ์ ตลาดหุ้นทรงๆ
ความคิดเรื่องลงทุน คือการเปลี่ยนmindsetใหม่
ถ้าดัชนีเท่าเดิมก็ดีใจ ได้ปันผล 3% ก็พอใจแล้ว
อยู่ไปเรื่อยๆ รอตลาดหุ้นขึ้นรอบใหม่
ลดความคาดหวังว่าจะได้ 15%
ถ้าไม่ขาดทุนก็พอใจแล้ว
ถ้าใครต้องการผลตอบแทนสูง อาจต้องใช้ margin , Block trade ช่วย ซึ่งก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
เสี่ยป๋อง ส่วนตัวก็ติดลบนิดหน่อย จากครึ่งปีแรกบวกนิดหน่อย
ปีนี้เล่นยาก สถานการณ์ตลาดแปลกๆ มีการrotateหุ้น(สลับกลุ่มเล่น)
เรียกว่า transportation , disruptive
กลยุทธ์ของเสี่ยป๋อง ตอนนี้ซื้อหุ้นกระจายๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือเฉพาะกลุ่ม เพราะ
สมมติว่าถ้ามี หุ้นกลุ่มธนาคาร หรือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีอยู่เยอะ ก็ติดลบเยอะ
ขาขึ้น new high ไร้แนวต้าน new low ไร้แนวรับ
ใครเล่นหุ้นแนวเทคนิค ถ้าเจอสัญญาณdivergence แล้วต้องซื้อปรากฏว่าติดหุ้น
ผมเคยเจอแบบนี้ เกิดdivergence สี่รอบหุ้นถึงจะขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่รอบแรกเลยดอย
ต้องปรับกลยุทธ์ และ เล่นตามนโยบายเดิม พยายามสลัดของถูก(ซึ่งคุณภาพไม่ดี)
เล่นหุ้นต้องมีวินัย เคยโพสว่า กราฟเสียตั้งนานแล้ว แต่ไม่คัต เนื่องจากตอนนั้นถือว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินเย็น
ดังนั้น อย่าปล่อยให้หุ้นลงลึก กราฟเสียต้องขาย
Technical ช่วยในเรื่องรู้ก่อน ขายก่อน
แต่คนจะขายต่อเมื่อรู้ว่าเกิดจากอะไร
ตรงกับสุภาษิตว่า เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย
ซึ่งกว่าจะรู้ว่าผิดเพราะอะไร คือลงไป30%ค่อยขาย
คำถามต่อไป ปรับตัวอย่างไร ในสภาวะที่การลงทุนที่ยากในปีนี้
คุณ โจ ตอบว่า ผมเริ่มสังเกตว่าตลาดหุ้นโดยรวม สัดส่วนผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง
ปี40 นักลงทุนสถาบัน มีแค่ 2-3%ของตลาด อีก 25-30% เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ที่เหลือเป็นรายย่อย
สองปีที่ผ่านมา สังเกตว่า สัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มมาเป็น 20-30% ส่วนต่างชาติเท่าเดิม
กลุ่มไหนที่ลดลง ซึ่งก็คือ รายย่อยลดสัดส่วนลงมาเหลือ 20-30% ซึ่งเหมือนแนวโน้มในต่างประเทศ
รายย่อยจะค่อยๆหายไป ถ้าไม่ปรับตัว เราต้องหาจุดแข็งของรายย่อย
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากหลังจากมี internet
ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งแล้ว การซื้อและถือหุ้นไปนานๆ ทำได้ยาก
เช่น ธุรกิจ สื่อ สิ่งพิมพ์ ซึ่งโดนdisrupt ส่วนพลาสติก รัฐให้เลิกใช้
แต่ควรมีมาตราการช่วยเหลือโรงงานที่โดนกระทบ
เทรนนี้จะมาเรื่อยๆ ทำไม ปูนซิเมนต์ไทย ทำนิวโลว์ ในรอบหลายปี
เพราะจริงๆ บริษัทนี้น่าจะชือ ปิโตรไทยมากกว่า เพราะ กำไร70%มาจากปิโตรเคมี
และตอนนี้ปูนใหญ่ไปสร้างโรงงานที่เวียดนาม เราต้องติดตามต่อว่าจะกระทบอย่างไรบ้าง
กระแส E-commerceก็มาแรง เมื่อก่อนไม่เคยซื้อของonline แต่ปีนี้ผมเริ่มลองซื้อของonlineดู ปรากฏว่าติด
จ่ายเงินซื้อไปแสนกว่าบาทแล้ว รู้สึกสนุกการซื้อ เช่น ซึ้อทุเรียนจากกรุงเทพ
คนอื่นก็คงไม่ต่างกับผมมาก ดังนั้น ต้องระวังธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
เช่น ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ราคาหุ้นตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว
แต่ไม่ควรหวาดระแวงจนเกินไป ปิโตรเคมี ได้ผลกระทบ แต่ทำไมโรงไฟฟ้าขยะยังดีอยู่ ก็น่าจะถูกกระทบด้วย
เนื่องจากปริมาณพลาสติกลดลง ทำให้ค่าความร้อนที่ได้รับลดลงด้วย
โลกเปลี่ยนไป มีสองทางเลือก ผมเลือกทางเลือกที่สองว่า
โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนตามโลก
นักลงทุนสถาบันมีอิทธิพลเยอะ เม็ดเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หุ้นที่ลงทุนได้มีไม่เยอะ
ทำให้เกิดการย้ายกลุ่มกันในตลาดหุ้น
รายย่อยทำอย่างไร ก็ต้องอดทน มันไม่ใช่แบบนี้ตลอดไป
แต่หุ้นที่ถือต้องดี เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
เชื่อว่า หุ้นเล็ก กลาง จะทรงๆ ทรุดๆไปเรื่อยๆ
มองภาพในอนาคตอย่างไร ครับ ดร นิเวศน์
ดร นิเวศน์ บอกว่า ศึกษาแล้วพบว่า คนไทยนั้นแก่ตัวลงเร็วมาก เป็นปัญหาของทุกอย่าง
ความคิด แรง การทำงาน ได้แค่นี้ สิ่งที่ตามมา คือ ความสามารถในทางแข่งขันลดลง
เมื่อก่อน เราสามารถแข่งขันได้ทั่วโลก ตอนนี้เวียดนามเหมือนเราสมัยก่อน
เขาไม่เคยกลัวประเทศอื่น
เวลานี้ ไทย ส่งออกยาก สินค้าสู้เวียดนาม จีนไม่ได้
การผลิตในไทย 70%ส่งออกไปแข่งขันกับทั่วโลก รวม ฟิลิปปินส์ อินโด
ก็แข่งขันไม่ไหว ค่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบาท เทียบกับเวียดนาม ที่ได้เปรียบจากค่าเงิน 15%แล้ว
นิคมอุตสาหกรรมในEEC ผมสังเกตดูไม่ค่อยมีใครมา นอกจากมาตั้งคลังสินค้า
การบริการ สมัยก่อนการบริการดี ป้องกันต่างชาติได้ ต่างชาติค้าขายในไทยไม่ได้
แต่ตอนนี้ การบริการแบบ 4G มีการโอนเงินได้ ธุรกิจธนาคารก็เริ่มถูกdisruptแล้ว
ห้างก็ถูกกระทบ มีแต่คนเดินเล่น เวลาซื้อก็ซื้อผ่าน E commerce
ร้านค้าก็อยู่ไม่ได้ และหายไป
การท่องเที่ยวก็ยังพอได้ เพราะคนมาชมสิ่งเก่า โบราณอย่างเดียว
มีบางส่วนที่พอได้ แต่เหลือน้อยลง
ยังมีอันไหนที่มี local monopoly ที่ต่างชาติยังเข้ามาไม่ได้ อันนี้น่าสนใจ
ธนาคารก็ถูกกระทบ ถึงแม้ราคาลงหนัก แต่มีโอกาสถูก disrupt
เมื่อก่อนชอบธนาคารขนาดใหญ่เพราะได้ค่าธรรมเนียนมจากการให้บริการ
แต่ตอนนี้ชอบธนาคารขนาดเล็ก เพราะไม่โดนdisruptจากค่าธรรมเนียม ซึ่งไม่เคยมีรายได้จากส่วนนี้
การบริโภค การผลิต โดนdisruptหมด
ส่วนเวียดนาม การทำห้างยังดีอยู่เพราะไม่ค่อยมีห้างที่เวียดนาม
ธุรกิจที่อยู่รอดได้ ต้องดูเป็นรายบริษัท เช่น ธุรกิจการบริการ
ส่วนการผลิต ต้นทุนแรงงานสูง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ค่าแรงถูก
ตอนนี้ดูรายละเอียดแต่ละตัวของretail ว่าเป็นอย่างไร แต่เมืองนอกเจ้งเป็นแถว
เสี่ยป๋อง เห็นด้วยกับ อ นิเวศน์
อะไรที่เป็นรุ่นเก่า เช่น โรงงาน เหนื่อย
มองโครงสร้าง แล้ว เหลือรอดไม่เกิน 10%
แต่ธุรกิจรุ่นเก่าอาจไม่เจ้ง เพียงแค่ธุรกิจไม่โต คนก็ไม่สนใจซื้อหุ้นแล้ว
โลกอนาคต megatrend แบ่งออกเป็นสามอย่าง
1. Alternative Energy น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นพลังงานเก่า เช่นฟอสซิล ก็จะค่อยๆหายไป
รถยนต์ก็เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน
รถไฟฟ้า การเติมไฟฟ้า โดยยกเปลี่ยนแบตน่าจะดีกว่า ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าร้อนแรงจากทุนต่างชาติเข้ามา รวมถึง เป็นหุ้นdefensive มีรายได้แน่นอน การเข้าลงทุนต้องดูราคาด้วย
2. ธุรกิจขนส่ง จะโตเนื่องจาก Ecommerce ที่ขยายตัว
3. การติดต่อสื่อสาร โลกอนาคตจะเป็น 5G หรือมากกว่านั้น ธุรกิจที่มีใบอนุญาตก็อยู่ต่อได้
คุณโจ บอกว่าทุกคนพอรู้ คือ Trendที่มีอนาคตและไม่มีอนาคต
ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงกลุ่มที่ไม่มีอนาคต เช่น ธุรกิจสื่อ หรือ ธุรกิจที่ตรงข้ามกับonline เช่น ธุรกิจการให้เช่าพื้นที่ห้าง
พลาสติก เป็นกลุ่มไม่มีอนาคต
กลุ่มที่มีอนาคต แต่มีน้อยในตลาดหุ้นไทย เราทำอะไรได้บ้าง
เราก็ไปลงทุนในเมืองนอก การซื้อขายในเมืองนอกไม่มีข้อจำกัด เราสามารถเทรดผ่านโบรกได้
เช่น บริษัท Kerry ที่list in Hongkong หรือ ซื้อบริษัทไทย ที่ไปถือหุ้นของKerry thaiก็ได้
เวียดนาม เคยไปเมื่อห้าปีที่แล้ว 1 ล้านด่อง เท่ากับ 1,580 บาท ตอนนี้เหลือ 1,300 บาท จนลงโดยอัตโนมัติ
มีความเสี่ยงอย่างอื่นเข้ามา แต่ไม่ทำให้หมดอาลัยกับตลาดหุ้นไทย
เจอเพื่อนนักลงทุนในโต๊ะอาหาร (อาจารย์ไปร่วมงานแต่งงานของน้องบิ๊ก) ดูเงียบๆไปหน่อย
ตั้งแต่ต้นปี2562 มีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ถึง 60กว่าตัว
คิดเป็น 10%ของตลาดก็เยอะ
ผมก็มีหุ้นบางตัวอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่ก็มีบางตัวขาดทุน50% ทำให้พอร์ตปีนี้ไม่ไปไหน
ถ้าเราอยากเป็นคนพิเศษ ทุกอย่างมีต้นทุน เต็มใจที่จะทำหรือเปล่า โอกาสยังมี
ตราบใดที่ยังหุ้นขึ้น 50-100% ทำไมจะเจอหุ้นเหล่านั้นไม่ได้ อย่าไปท้อ
เราต้องเกาะเกี่ยวหุ้นที่ขึ้น 100%
เทคนิคในการเลือกหุ้น
อ โจ บอกว่า การลงทุนมีสองมิติ คือคุณภาพและราคา
1. ดูหุ้นที่มีคุณภาพดี กำไรเติบโตไปเรื่อยๆ มีความสามารถในการแข่งขัน
เช่น 7-11 , AOT , BDMS
บางบริษัทเติบโตจากการกินแชร์ของคนอื่น (CPALL)
แต่มีบางบริษัทจากอุตสาหกรรมที่เติบโต เช่น AOT มีอำนาจในการผูกขาด
แต่ต้องไม่ใช่อยุ่ในธุรกิจ downtrend
2.เราต้องดูราคาหุ้นด้วย ต่อให้หุ้นดีแค่ไหน ซื้อแพง ก็ซวยได้
อย่าละเลยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ตอนนี้นักลงทุนเริ่มดูปัจจัยคุณภาพมากขึ้น
หุ้นอสังหา PE 6 เท่า ทำไมไม่มีคนสนใจซื้อ
แต่หุ้นที่ดีมีอนาคต นั้นมี PE 20กว่าเท่า
ระยะหลัง ให้ความสำคัญกับปัจจัยคุณภาพมากขึ้น แต่ดูราคาด้วย
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า พยายามหาหุ้นที่ผิดราคา
ตลาดหุ้นแปลกในช่วงนี้ ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่พบหุ้นบางตัวผิดราคา
สมัยที่ลงทุนช่วงต้มยำกุ้น ซื้อหุ้นตอน 800 จุด ได้ลงทุนหุ้นผิดราคา เวลาตลาดหุ้นลง 204จุด
ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ได้ลง เพราะมีกำไรดี ปันผลดี
ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่บางตัวพอซื้อได้แล้ว
อาจบางทีคนอาจเข้าใจผิด ทำให้ไม่สนใจ เกิดหุ้นผิดราคาขึ้น
ถ้าเราซื้อไป ก็รับปันผลในช่วงนี้ได้
นาทีนี้ มีหุ้นผิดราคา พอลงทุนได้ ไม่เหมือนกับเมื่อ สามหรือสี่ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้า ดร ไม่ได้ซื้อหุ้นมาปีครึ่ง
สรุป ดร เริ่มซื้อหุ้นที่ผิดราคาแล้ว
ส่วนเสี่ยป๋อง ตอนนี้เลือกหุ้นลำบาก เลยมาฟังหมอดูฟองสนาน
(ฟองสนาน อินเด็กซ์ ) ดาวพฤหัส พ้นจากสิ่งไม่ดี ตั้งแต่พฤหัสที่ผ่านมา จนถึง 17 มีค 2563
หลังจากนั้นค่อยมาดูกันใหม่ ก่อนหน้าเจอดาวถอยหลัง ก็เลยทำให้ตลาดไม่ดี
ผมดูจากเทคนิเคิลเป็นหลัก ดัชนี DJ จ่อHigh แล้ว
แต่ไทย เหมือนจะลงใต้ยังไงก็ไม่รู้
ถ้าตราบใดไม่ลงต่ำกว่า 1546 ก็ยังดีอยู่ ห้ามหลุดนะ ถ้าลงต่ำกว่า ก็ไม่รู้แล้ว
แรงขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านม สถาบัน R&I จากญี่ปุ่น มา upgrade thai เป็น A- แต่ลบ 11จุด
แต่เราต้องมีความหวัง คิดว่า moody,S&P น่าจะประกาศratingใหม่
ถ้าจะเลือก ตอนนี้ยังเลือกไม่ถูก แต่กลุ่มที่พูดก่อนหน้า ถ้าลงมาแนวรับ ก็เป็นโอกาส
MACD Month จ่อต่ำกว่า 0 ต้องรีบขึ้นเหนือ ดัชนีวิ่งถึง1700จุด MACD Month ถึงจะเกิน 0 ได้
มีคนคาดการณ์ว่า FED ลดดอกเบี้ยตั้งแต่ครั้งที่สอง จะไม่ดี เพราะแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดี
ปรากฏว่า ลดดอกเบี้ยไปสามครั้ง หุ้นขึ้นตลอด
อยากให้คนไทยคิดแบบสหรัฐ ป่านนี้หุ้นไทยขึ้นไป6,000 จุดแล้ว
สรุปแล้ว ผมต้องรอสัญญาณก่อน ถึงตัดสินใจเรื่องลงทุนได้
แนวทางในการจัดพอร์ตในปีหน้า
เสี่ยป๋อง เล่นไปตามป้าฟองไปก่อน 555
ปีหน้า ของจริงแน่ ที่เกิด recession
มีการtransformจากธุรกิจเก่าไปใหม่ ดังนั้น ตลาดหุ้นทั้งโลกจะมีปัญหา
ผมระแวงมาก ยิ่ง ดร มาพูด ก็ยิ่งระแวงขึ้นไปอีก
อ โจ ผมคิดถึงหลักจิตวิทยา คนที่เจ็บจากอะไร จะขยาดกับสิ่งนี้
เวลาหุ้นลง เราก็คิดว่าหุ้นลงต่อ หรือ เวลาหุ้นขึ้น ก็จะคิดว่าหุ้นขึ้นต่อ
ซึ่งเป็นจิตวิทยาของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นหลักการจัดพอร์ตของ อ โจ ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 70ตัว จาก 50 ตัวในปีที่แล้ว
ผมพึ่งมาใช้วิธิใหม่ในปีนี้ ดร พูดว่า ท่านซื้อหุ้นที่ผิดราคา ราคาหุ้นต่ำกว่าเป็นจริง
แต่ถ้าหุ้นที่ผิดราคาในอีกทาง คือ สูงกว่าที่เป็นจริง เมื่อก่อนทำอะไรไม่ได้
กลต ใจดี เพิ่มเครื่องมือมา ให้เราshort futureได้
ตัวไหน overvalue ก็ไปshort ทำมา 10 ตัวประสบความสำเร็จ 9 ตัวในช่วงนี้
ธุรกิจปีหน้าก็คิดว่าเหมือนปีนี้ เพราะกิน ใช้เหมือนเดิม
ผมคิดว่า GDP ปีหน้าก็ประมาณ 2% เพราะการกระตุ้นช่วงนี้มีผลน้อย
เพราะสินค้าเกษตรไม่ดี ถึงแม้ภาครัฐประกันราคา แต่ช่วยเฉพาะจุด จะยั่งยืนไหม
ประกอบค่าเงินบาทแข็งมาก ทำให้ส่งออกไม่ดี แข่งขันกับเพื่อนบ้านยาก
ดังนั้น คิดว่าหุ้นตัวไหนขึ้นน่าหมั่นไส้ ก็สามารถshortหุ้นนั้นเลย
ดร นิเวศน์ พูดปิดท้าย ผมมองหุ้นหลายตัวแพงเกินไป แต่ไม่ได้ไปshortหุ้น
ตอนนี้ ความมั่งคั่งเป็นเรื่อง relative
ตอนนี้มีหลายหุ้นถูก ก็ซื้อสะสมไว้
ไม่สนใจว่าหุ้นลง อนาคตหุ้นที่ถืออยู่ที่รวบรวมมานี้ น่าจะชนะบริษัทส่วนใหญ่
และเรื่องปันผลก็เป็นเรื่องสำคัญ พยายามหาหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ดูแล้วไม่น่าแพ้บริษัทอื่น
ที่สำคัญคือราคาถูกมากในช่วงนี้
สุดท้ายขอขอบคุณ E finance และ วิทยากรทุกท่านที่มาให้คำแนะนำในช่วงตลาดไม่ดีนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 173
สงครามการค้าจะอยู่ต่อหรือไม่ ดร อาร์ม จะมาเล่าให้เราฟัง
อ อาร์ม ถามคนในห้องสัมมนาว่า ระหว่าง ทรัมป์ กับ สีเจี้ยนผิง จะเชื่อใครดี
ส่วนใหญ่จะเลือกสีเจี้ยนผิง แต่ก็มีเลือกทรัมป์บ้าง
แต่ สงครามการค้า ช่องทางการติดตามข้อมูล
อาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า ไม่ต้องอ่านตำราเศรษฐศาสตร์
แค่ตามที่ทรัมป์ทวีตก็พอแล้ว ตอนนี้กำลังhappy
การเจรจาการค้ากับจีน ทรัมป์กำลังหาที่เจรจาการค้าใหม่ หลังจากชิลีเกิดการประท้วงหนัก
และยกเลิกการจัดเอเปกไป. คงต้องตามผลการเจรจาการค้าเฟสหนึ่ง
ย้อนไปเมื่อมีนาคม 62 สีเจี้ยนผิงอยู่ๆก็ออกมาพูดในหน้าหนึ่งของ นสพ คำนึงว่า ตอนนี้เหมือนการเดินทัพไกล
ซึ่งเป็นคำที่ ประธานเหมาเจ๋อตุงเคยพูดช่วงที่กำลังเดินทัพไกลไปสู้กับก๊กมินตั๋งซึ่งมีไพร่พลมากกว่า
อดทน ทรหดมากกว่าจะชนะ เป็นรหัสในการต่อสู้ เรื่องนี้เป็นหนังม้วนยาว จะจบหรือเป็นม้วนยาว
ระยะสั้น จะมีphaseI ระยะมันไม่จบ
ระยะสั้น คงจะอีก สามหรือสี่สัปดาห์ ก็ตกลงกันแล้ว
ตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐค่อยๆขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องการสงบศึก
ดูที่ทรัมป์ไม่ค่อยนอน เพราะคนถอดถอนแก มีแค่ มิกเซน คลินตัน ที่เคยโดนถอดถอน
เลยไม่มีใจไปประชุม อยากให้มีข่าวดีบ้างบางอย่าง
ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนบอกจีนให้ทำ 1,2,3,4
ตอนนี้ขู่อีกสองรอบ อันนึงเลื่อน อีกอัน15ธค ถ้าตกลงได้ ก็เลื่อน
พี่ทรัมป์ไม่น่าขึ้นจริง เพราะ ถ้าขึ้นจริง ศก สหรัฐถดถอย และ คนจะรู้สึกเรื่องราคาสินค้าแพงขึ้น
การขึ้นภาษีในรอบที่ผ่านมา เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ที่ยังไม่ขึ้นภาษีเป็นของเล่น รองเท้าสิ่งทอ
คราวนี้ถ้าขึ้น สินค้าพวกนี้จะโดนแล้ว จะเป็นการขู่โดนไม่คิดทำจริง
ต้องการเศรษฐกิจดีขึ้น คนรู้สึกดีช่วงปลายปี และใกล้เลือกตั้งใหม่
จีนต้องการอะไร
นักวิเคราะห์บอกว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจตกลง แต่จริงๆที่จีนกำลังมีปัญหา
คำเดียวที่เป็นปัญหา คือ เรื่องราคาเนื้อหมู คนจีนชอบกินเนื้อหมู
เป็นอาหารหลักของคนจีน
หมูจีนปรากฏว่า ราคาขึ้น 69.3% แพงขึ้นมาก
มีห้างนึงลดราคาหมู คนมาต่อคิวกันมาก
ช่วงประธานเหมา มีคนอดตาย แต่ออกข่าวมีภัยธรรมชาติ
ตอนนี้บอกว่ามีไวรัสทำให้หมูตาย กำลังควบคุมอยู่
จริงๆไม่ใช่ไวรัส การโต้ตอบสหรัฐ คือ ประกาศไม่ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐ
ซึ่งกระทบกับฐานเสียงของทรัมป์เลย
แต่ว่าท่านทราบไม่ว่า หมูกินถั่วเหลือง ขึ้นภาษีถั่วเหลืองทำให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงขึ้น
รวมกับไวรัส ทำให้ราคาหมูขึ้นมาก ทำให้มีโอกาสเกิดการประท้วง
ตอนเทียนอันเหมิน เนื่องจากเงินเฟ้อสูง
จีนต้องรัดเข็มขัดจากหนี้ที่เพิ่ม แต่ต้องปั้มเงินเข้าระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ได้6%
ดังนั้นจีนต้องการพักรบระยะสั้น
เลยตกลงกันในphase I จากสองฝ่ายต้องการ
เราดีใจแต่ต้องไม่เกินเลย ยังไม่จบสำหรับสงครามการค้า เป็นเพียงการพักรบ
เพราะการตกลงไม่น่าจะต่างกับเดือน พค ซึ่งมีข่าวว่าจะตกลงกันได้แล้ว
อยู่ๆ ทรัมป์ก็เพิ่มภาษี มีการขู่ไปมา ซึ่งเป็นสัญชาติของนักธุรกิจขอเพิ่มอีกหน่อย
ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ต่างกันมาก
PhaseI จีนได้แค่ทรัมป์ไม่ขึ้นอีกสองรอบที่ขู่ไว้ แต่รอบก่อนๆไม่ได้บอกว่าจะเลิก
ดังนั้นยังไม่จบสงครามการค้าแต่อยู่ที่เดิม
ที่สำคัญ ไม่มีการตกลงเรื่องใหญ่ คือ หัวเหว่ย ตอนนี้กฎหมายมีผล
ห้ามขายของกับหัวเหว่ย มือถือรุ่นใหม่ของหัวเหว่ย ไม่สามารถใช้google
ซึ่งจีนต้องการเอาเรื่องนี้มาคุยบนโต๊ะ
แต่ไม่มีการตกลงเรื่องนี้
การซื้อสินค้าเกษตรเช่นถั่วเหลือง และ เคารพลิกขสิทธิsoflwareเท่านั้น
มันคือศึกยืดเยื้อ เป็นnew normal
คนจีน คิดว่า ศก โต 6% การประท้วงที่ฮ่องกง และ สงครามการค้า เป็นเรื่องปกติแล้ว
มีผู้ใหญ่ท่านนึงพูดว่า 5ปีสำหรับสงครามการค้า ผมบอกว่า 30ปี คนลุกออกจากห้องสัมมนาเลย
ทฤษฏีหมูสามชั้น
โดย ชั้นแรก ผิว คือ ความขัดแย้งทางการค้า ทรัมป์พูดตลอดว่าสหรัฐซื้อจากจีนเยอะ
ให้จีนซื้อโบอิ้ง ซื้อเนื้อหมู ถั่วเหลือง จากสหรัฐมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลเริ่มสมดุล
แต่ไม่ใช่ง่ายแบบนั้น สหรัฐอยากได้มากกว่านี้
ชั้นที่สอง เป็นเรื่องเทคโนโลยี ไม่อยากให้เรียก Trade war แต่เป็น Tech war
ซึ่ง 5G นั้น หัวเหว่ยเป็นผู้นำ ทั้งคุณภาพและราคา
ทำไมอาลีบาบาบุกโลก เทคโนโลยีจีนไปไกลเลย
AI ,IOTทุกอย่างเชื่อมต่อ
ลำโพงฟังคำสั่งเรา ต่อไปตู้เย็นมีบอกว่า นมเหลือเท่าไหร่ มันคุยกับเราได้
ซึ่จีนก้าวหน้ามาได้ รัฐบาลอุดหนุนธุรกิจรัฐวิสาหกิจมาก
สหรัฐบอกว่าขโมยทรัพยสินทางปัญญา แต่ทำอะไรจีนไม่ได้
ทรัมป์เลยตั้งกำแพงภาษีให้จีนเจ็บใจเล่น
ชั้นที่สาม มีมิติเรื่องความมั่นคง
ตอนสหรัฐแข่งรัสเซีย แข่งจรวดไปดวงจันทร์
แต่ตอนนี้เรามีมือถือคนละเครื่อง เรามีปัญหาปลอดภัยของข้อมูล
เขาไม่สบายใจใช้มือถือหัวเหว่ย เป็นเรื่องความมั่นคง
สามชั้นถูกพันกันหมด เป็นต่อสู้ช่วงชิง
การค้า เทคโนโลยี และ ความมั่นคง
ปลายปีหน้า มีการเลือกประธานาธิบดีใหม่
บางคน บอกว่าทรัมป์ก็เกิดสันติสุขแต่จริงๆไม่มี
1.ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า จีนเป็นภัยคุกคาม โซรอสเป็นกระเป๋าใบใหญ่ของเดโมแครต
เขียนบทความว่าทรัมป์ไม่ได้เรื่อง แต่ชมว่าทรัมป์ได้ดีเรื่องจัดการจีน
ถ้าไปยอมจีน ถือว่าทรัมป์ขายชาติ
ถ้าเดโมแครตขึ้นมาก็จัดการจีนต่อ แต่วิธีการใช้เป็นแบบอื่น เช่น TPP ซึ่งไม่รวมจีน
แต่กฏเกณฑ์ข้างใน เป็นการจัดการจีน เพราะหวังว่า จีนจะขอเข้าร่วมภายหลัง
เลยเขียนไว้ก่อน ซึ่งทรัมป์ไม่เอา
คำถามคือลงทุนอย่างไร
ที่เมืองจีน คนจีนบอกว่าเป็นเรื่องปกติทั้งสามเรื่อง
ถ้าสามเรื่องปกติ ต้องทำอย่างไร
Social คุยกันเรื่องฉลามยักษ์ The meg ซึ่งสูญพันธ์ไปแล้วช่วงเดียวกับไดโนเสาร์
ทำไมถึงสูญพันธ์
ทฤษฏีแรก สงสัยว่ามีปลาวาฬยักษ์ แต่พิสูจน์แล้วไม่จริง
ทฤษฏีที่สอง สูญพันธุ์เพราะ ปลาวาฬหนีไปน้ำเย็น แต่ฉลามปรับตัวไม่ได้
เลยอดตามไป
เรื่องนี้เล่ากัน เขาบอกว่า ข้อที่หนึ่ง ฉลามใหญ่ไม่ได้สูญพันธุ์เพราะศัตรู
ดังนั้นจีนพังไม่ใช่สหรัฐ
ทฤษฏีที่สอง จีนจะพัง เพราะไม่พังตามความปกติสามเรื่องใหม่
การหาห่วงโซ่อาหารใหม่ เป็นเรื่องสำคัญ
โทรศัพท์รุ่นใหม่ของหัวเหว่ย สามซิม ใช้ googleไม่ได้
ต่อไปจะมี3os คือ App Store , play store ,หัวเหว่ย
จีนจะมีแอปที่มาแทนแอปจากสหรัฐ
มีการกระจายฐานการผลิตออกไปจากสหรัฐ
ส่วน Pixelจากgoogleก็เตรียมย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
ซึ่งเป็นเทรนสำหรับทุกบริษัท
การตกลงกันได้ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดได้อีก
จีนมีเทรนใหม่
เทรนอันแรก คือ จัดห่วงโซ่ใหม่ ลดการพึ่งสหรัฐ
ไปโฟกัสในประเทศและอาเซียน ซึ่งชนชั้นกลางเท่ากับสหรัฐ
ถือเป็นตลาดใหม่ของจีน
ต่อไป ฐานการตลาดก็เปลี่ยน จีนเข้าสู่สังคมสู่สูงอายุ
โรงงานย้ายไปเวียดนาม
รัฐบาลมีความสามารถในการจัดการเรื่องแรงงาน
ไปช่วยถ่ายโอนคนไปสู่ภาคเศรษฐกิจใหม่ เช่น อาลีบาบา
สรุปข้อคิด
โลกใบใหม่เป็นโลกทวิภพ
เดิมเป็น Global supply chain ก็เปลี่ยนเป็น2Supply chain
Internet 2 โลก (Google,จีน)
สกุลเงินดิจิตอล 2 สกุล (Libra,จีน)
แต่ไม่มีทางร้ายกันตลอด เพราะเจ็บกันทั้งคู่
เป็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าตามแกนโลกที่เปลี่ยนแปลง
สามโจทย์ที่เปลี่ยนแปลง
1.จังหวะรถไฟเหาะให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยทางเศรษฐกิจ
แต่เป็นเทคโนโลยี และ การเมือง
2.ห่วงโซ่ ศก จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ตอนนี้เริ่มแยกกัน การเติบโตต่ำลง
บริษัทที่เราลงทุนจะโดนกระทบไหม
3. คำถามที่ต้องเปลี่ยนไป ว่าควรถามว่า
เราจะคว้าโอกาสอย่างไรจากเมืองจีน
เรื่องการจับห่วงโซ่ใหม่
นายกหลี่เค่อเฉียงจากจีน ต้องมาประชุมอาเซียนเอง
เราจะคว้าโอกาสอย่างไร เรามีอำนาจในการต่อรองอย่างไร
นักธุรกิจลงทุนไทย โลกทั้งสองแกนเราจะคว้าโอกาสอย่างไรบ้าง
สุดท้ายขอขอบคุณ Krungsri Prime และ ดร อาร์ม มากๆที่มาให้มุมมองสงคราการค้าที่ลึกขึ้น
อ อาร์ม ถามคนในห้องสัมมนาว่า ระหว่าง ทรัมป์ กับ สีเจี้ยนผิง จะเชื่อใครดี
ส่วนใหญ่จะเลือกสีเจี้ยนผิง แต่ก็มีเลือกทรัมป์บ้าง
แต่ สงครามการค้า ช่องทางการติดตามข้อมูล
อาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า ไม่ต้องอ่านตำราเศรษฐศาสตร์
แค่ตามที่ทรัมป์ทวีตก็พอแล้ว ตอนนี้กำลังhappy
การเจรจาการค้ากับจีน ทรัมป์กำลังหาที่เจรจาการค้าใหม่ หลังจากชิลีเกิดการประท้วงหนัก
และยกเลิกการจัดเอเปกไป. คงต้องตามผลการเจรจาการค้าเฟสหนึ่ง
ย้อนไปเมื่อมีนาคม 62 สีเจี้ยนผิงอยู่ๆก็ออกมาพูดในหน้าหนึ่งของ นสพ คำนึงว่า ตอนนี้เหมือนการเดินทัพไกล
ซึ่งเป็นคำที่ ประธานเหมาเจ๋อตุงเคยพูดช่วงที่กำลังเดินทัพไกลไปสู้กับก๊กมินตั๋งซึ่งมีไพร่พลมากกว่า
อดทน ทรหดมากกว่าจะชนะ เป็นรหัสในการต่อสู้ เรื่องนี้เป็นหนังม้วนยาว จะจบหรือเป็นม้วนยาว
ระยะสั้น จะมีphaseI ระยะมันไม่จบ
ระยะสั้น คงจะอีก สามหรือสี่สัปดาห์ ก็ตกลงกันแล้ว
ตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐค่อยๆขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องการสงบศึก
ดูที่ทรัมป์ไม่ค่อยนอน เพราะคนถอดถอนแก มีแค่ มิกเซน คลินตัน ที่เคยโดนถอดถอน
เลยไม่มีใจไปประชุม อยากให้มีข่าวดีบ้างบางอย่าง
ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนบอกจีนให้ทำ 1,2,3,4
ตอนนี้ขู่อีกสองรอบ อันนึงเลื่อน อีกอัน15ธค ถ้าตกลงได้ ก็เลื่อน
พี่ทรัมป์ไม่น่าขึ้นจริง เพราะ ถ้าขึ้นจริง ศก สหรัฐถดถอย และ คนจะรู้สึกเรื่องราคาสินค้าแพงขึ้น
การขึ้นภาษีในรอบที่ผ่านมา เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ที่ยังไม่ขึ้นภาษีเป็นของเล่น รองเท้าสิ่งทอ
คราวนี้ถ้าขึ้น สินค้าพวกนี้จะโดนแล้ว จะเป็นการขู่โดนไม่คิดทำจริง
ต้องการเศรษฐกิจดีขึ้น คนรู้สึกดีช่วงปลายปี และใกล้เลือกตั้งใหม่
จีนต้องการอะไร
นักวิเคราะห์บอกว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจตกลง แต่จริงๆที่จีนกำลังมีปัญหา
คำเดียวที่เป็นปัญหา คือ เรื่องราคาเนื้อหมู คนจีนชอบกินเนื้อหมู
เป็นอาหารหลักของคนจีน
หมูจีนปรากฏว่า ราคาขึ้น 69.3% แพงขึ้นมาก
มีห้างนึงลดราคาหมู คนมาต่อคิวกันมาก
ช่วงประธานเหมา มีคนอดตาย แต่ออกข่าวมีภัยธรรมชาติ
ตอนนี้บอกว่ามีไวรัสทำให้หมูตาย กำลังควบคุมอยู่
จริงๆไม่ใช่ไวรัส การโต้ตอบสหรัฐ คือ ประกาศไม่ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐ
ซึ่งกระทบกับฐานเสียงของทรัมป์เลย
แต่ว่าท่านทราบไม่ว่า หมูกินถั่วเหลือง ขึ้นภาษีถั่วเหลืองทำให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงขึ้น
รวมกับไวรัส ทำให้ราคาหมูขึ้นมาก ทำให้มีโอกาสเกิดการประท้วง
ตอนเทียนอันเหมิน เนื่องจากเงินเฟ้อสูง
จีนต้องรัดเข็มขัดจากหนี้ที่เพิ่ม แต่ต้องปั้มเงินเข้าระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ได้6%
ดังนั้นจีนต้องการพักรบระยะสั้น
เลยตกลงกันในphase I จากสองฝ่ายต้องการ
เราดีใจแต่ต้องไม่เกินเลย ยังไม่จบสำหรับสงครามการค้า เป็นเพียงการพักรบ
เพราะการตกลงไม่น่าจะต่างกับเดือน พค ซึ่งมีข่าวว่าจะตกลงกันได้แล้ว
อยู่ๆ ทรัมป์ก็เพิ่มภาษี มีการขู่ไปมา ซึ่งเป็นสัญชาติของนักธุรกิจขอเพิ่มอีกหน่อย
ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ต่างกันมาก
PhaseI จีนได้แค่ทรัมป์ไม่ขึ้นอีกสองรอบที่ขู่ไว้ แต่รอบก่อนๆไม่ได้บอกว่าจะเลิก
ดังนั้นยังไม่จบสงครามการค้าแต่อยู่ที่เดิม
ที่สำคัญ ไม่มีการตกลงเรื่องใหญ่ คือ หัวเหว่ย ตอนนี้กฎหมายมีผล
ห้ามขายของกับหัวเหว่ย มือถือรุ่นใหม่ของหัวเหว่ย ไม่สามารถใช้google
ซึ่งจีนต้องการเอาเรื่องนี้มาคุยบนโต๊ะ
แต่ไม่มีการตกลงเรื่องนี้
การซื้อสินค้าเกษตรเช่นถั่วเหลือง และ เคารพลิกขสิทธิsoflwareเท่านั้น
มันคือศึกยืดเยื้อ เป็นnew normal
คนจีน คิดว่า ศก โต 6% การประท้วงที่ฮ่องกง และ สงครามการค้า เป็นเรื่องปกติแล้ว
มีผู้ใหญ่ท่านนึงพูดว่า 5ปีสำหรับสงครามการค้า ผมบอกว่า 30ปี คนลุกออกจากห้องสัมมนาเลย
ทฤษฏีหมูสามชั้น
โดย ชั้นแรก ผิว คือ ความขัดแย้งทางการค้า ทรัมป์พูดตลอดว่าสหรัฐซื้อจากจีนเยอะ
ให้จีนซื้อโบอิ้ง ซื้อเนื้อหมู ถั่วเหลือง จากสหรัฐมากขึ้น ตัวเลขขาดดุลเริ่มสมดุล
แต่ไม่ใช่ง่ายแบบนั้น สหรัฐอยากได้มากกว่านี้
ชั้นที่สอง เป็นเรื่องเทคโนโลยี ไม่อยากให้เรียก Trade war แต่เป็น Tech war
ซึ่ง 5G นั้น หัวเหว่ยเป็นผู้นำ ทั้งคุณภาพและราคา
ทำไมอาลีบาบาบุกโลก เทคโนโลยีจีนไปไกลเลย
AI ,IOTทุกอย่างเชื่อมต่อ
ลำโพงฟังคำสั่งเรา ต่อไปตู้เย็นมีบอกว่า นมเหลือเท่าไหร่ มันคุยกับเราได้
ซึ่จีนก้าวหน้ามาได้ รัฐบาลอุดหนุนธุรกิจรัฐวิสาหกิจมาก
สหรัฐบอกว่าขโมยทรัพยสินทางปัญญา แต่ทำอะไรจีนไม่ได้
ทรัมป์เลยตั้งกำแพงภาษีให้จีนเจ็บใจเล่น
ชั้นที่สาม มีมิติเรื่องความมั่นคง
ตอนสหรัฐแข่งรัสเซีย แข่งจรวดไปดวงจันทร์
แต่ตอนนี้เรามีมือถือคนละเครื่อง เรามีปัญหาปลอดภัยของข้อมูล
เขาไม่สบายใจใช้มือถือหัวเหว่ย เป็นเรื่องความมั่นคง
สามชั้นถูกพันกันหมด เป็นต่อสู้ช่วงชิง
การค้า เทคโนโลยี และ ความมั่นคง
ปลายปีหน้า มีการเลือกประธานาธิบดีใหม่
บางคน บอกว่าทรัมป์ก็เกิดสันติสุขแต่จริงๆไม่มี
1.ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า จีนเป็นภัยคุกคาม โซรอสเป็นกระเป๋าใบใหญ่ของเดโมแครต
เขียนบทความว่าทรัมป์ไม่ได้เรื่อง แต่ชมว่าทรัมป์ได้ดีเรื่องจัดการจีน
ถ้าไปยอมจีน ถือว่าทรัมป์ขายชาติ
ถ้าเดโมแครตขึ้นมาก็จัดการจีนต่อ แต่วิธีการใช้เป็นแบบอื่น เช่น TPP ซึ่งไม่รวมจีน
แต่กฏเกณฑ์ข้างใน เป็นการจัดการจีน เพราะหวังว่า จีนจะขอเข้าร่วมภายหลัง
เลยเขียนไว้ก่อน ซึ่งทรัมป์ไม่เอา
คำถามคือลงทุนอย่างไร
ที่เมืองจีน คนจีนบอกว่าเป็นเรื่องปกติทั้งสามเรื่อง
ถ้าสามเรื่องปกติ ต้องทำอย่างไร
Social คุยกันเรื่องฉลามยักษ์ The meg ซึ่งสูญพันธ์ไปแล้วช่วงเดียวกับไดโนเสาร์
ทำไมถึงสูญพันธ์
ทฤษฏีแรก สงสัยว่ามีปลาวาฬยักษ์ แต่พิสูจน์แล้วไม่จริง
ทฤษฏีที่สอง สูญพันธุ์เพราะ ปลาวาฬหนีไปน้ำเย็น แต่ฉลามปรับตัวไม่ได้
เลยอดตามไป
เรื่องนี้เล่ากัน เขาบอกว่า ข้อที่หนึ่ง ฉลามใหญ่ไม่ได้สูญพันธุ์เพราะศัตรู
ดังนั้นจีนพังไม่ใช่สหรัฐ
ทฤษฏีที่สอง จีนจะพัง เพราะไม่พังตามความปกติสามเรื่องใหม่
การหาห่วงโซ่อาหารใหม่ เป็นเรื่องสำคัญ
โทรศัพท์รุ่นใหม่ของหัวเหว่ย สามซิม ใช้ googleไม่ได้
ต่อไปจะมี3os คือ App Store , play store ,หัวเหว่ย
จีนจะมีแอปที่มาแทนแอปจากสหรัฐ
มีการกระจายฐานการผลิตออกไปจากสหรัฐ
ส่วน Pixelจากgoogleก็เตรียมย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
ซึ่งเป็นเทรนสำหรับทุกบริษัท
การตกลงกันได้ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดได้อีก
จีนมีเทรนใหม่
เทรนอันแรก คือ จัดห่วงโซ่ใหม่ ลดการพึ่งสหรัฐ
ไปโฟกัสในประเทศและอาเซียน ซึ่งชนชั้นกลางเท่ากับสหรัฐ
ถือเป็นตลาดใหม่ของจีน
ต่อไป ฐานการตลาดก็เปลี่ยน จีนเข้าสู่สังคมสู่สูงอายุ
โรงงานย้ายไปเวียดนาม
รัฐบาลมีความสามารถในการจัดการเรื่องแรงงาน
ไปช่วยถ่ายโอนคนไปสู่ภาคเศรษฐกิจใหม่ เช่น อาลีบาบา
สรุปข้อคิด
โลกใบใหม่เป็นโลกทวิภพ
เดิมเป็น Global supply chain ก็เปลี่ยนเป็น2Supply chain
Internet 2 โลก (Google,จีน)
สกุลเงินดิจิตอล 2 สกุล (Libra,จีน)
แต่ไม่มีทางร้ายกันตลอด เพราะเจ็บกันทั้งคู่
เป็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าตามแกนโลกที่เปลี่ยนแปลง
สามโจทย์ที่เปลี่ยนแปลง
1.จังหวะรถไฟเหาะให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยทางเศรษฐกิจ
แต่เป็นเทคโนโลยี และ การเมือง
2.ห่วงโซ่ ศก จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ตอนนี้เริ่มแยกกัน การเติบโตต่ำลง
บริษัทที่เราลงทุนจะโดนกระทบไหม
3. คำถามที่ต้องเปลี่ยนไป ว่าควรถามว่า
เราจะคว้าโอกาสอย่างไรจากเมืองจีน
เรื่องการจับห่วงโซ่ใหม่
นายกหลี่เค่อเฉียงจากจีน ต้องมาประชุมอาเซียนเอง
เราจะคว้าโอกาสอย่างไร เรามีอำนาจในการต่อรองอย่างไร
นักธุรกิจลงทุนไทย โลกทั้งสองแกนเราจะคว้าโอกาสอย่างไรบ้าง
สุดท้ายขอขอบคุณ Krungsri Prime และ ดร อาร์ม มากๆที่มาให้มุมมองสงคราการค้าที่ลึกขึ้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 174
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP14 Principle iPropEN
By Seminar Knowledge
ก่อนอื่นต้องขอบคุณ คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ บลจ พรินซิเพิล
ที่ให้โอกาสผมไปฟังupdateข้อมูลของอุตสาหกรรมREITs ในแต่ละsector ซึ่งได้แก่
Retail , Office , Warehouse , Factory ซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า
โดยทยอยลงสำหรับแต่ละsectorนะครับ
กลับมาที่กอง Principle iPropEN นี้ซึ่งเริ่มจะเปิดให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 14-22 พย 2562
หลายคนก็จะมีคำถามว่า กองใหม่นี้ต่างจาก กองเก่า Principle iProp อย่างไร
ทำไมต้องไปซื้อกองใหม่ด้วย
คุณวินมาเฉลยให้ผู้เข้าฟังสัมมนาให้เข้าใจว่า เหตุผลที่ต้องออกกองใหม่ก็คือ
สินทรัพย์ในการลงทุน
iProp นั้น ตั้งมา6ปีแล้ว asset เพิ่มขึ้น10เท่าจาก 3,000 ลบ เป็น 30,000 ลบ
ซึ่งสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็น Property fund & REITs ไม่น้อยกว่า 80%
ส่วน Infrastructure fund + cash ไม่เกิน 20%
ปีนี้ ราคา กอง property fund , REITs ขึ้นมากจน Dividend yield หล่นมาเหลือ 3-4%
เนื่องจาก กฎไม่สามารถถือ infrastructure fund เกิน 20% ได้
ทำให้ต้องถือ property fund,REITs ต่อไป ไม่สามารถโยกไปลงทุนใน Infrastructure fund
เพิ่มอีกได้
ส่วนกองใหม่ที่จะเปิดให้จองนั้น
สินทรัพย์ที่จะลงได้ ไม่มีข้อจำกัดในการถือ property fund , Infrastructure fund & REITs
และสามารถไปลงทุน REITs ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น
ส่วนกองเดิม ลงแค่ในไทยและสิงคโปร์
เมืองไทย ไม่ค่อยมีเจ้าของยินยอมขายขาด หรือ Freehold ดังนั้น
กอง REITsในไทย ส่วนใหญ่จะเป็นLeasehold
แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย
สินทรัพย์จะเป็น Freehold ซะเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น กองใหม่จะมีสัดส่วน Freehold มากกว่า กองเดิม iProp
ผลตอบแทน กองเดิม iProp นั้นคาดว่าได้ผลตอบแทน ประมาณ 4-5%
ส่วนกองใหม่ คาดว่าได้ผลตอบแทน ประมาณ 5-6% แต่ก็แลกกับความผันผวนที่มากขึ้น
แต่ถ้าเทียบกับหุ้นซึ่งมีความผันผวนมากกว่า 3 เท่า ดังนั้น กอง iPropEN ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
ขอบเขตของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน
จะเน้นไปทางสินทรัพย์ที่ให้รายได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น สนามบิน และ โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม
จุดเด่นของกองทุนนี้
1.เพิ่มการยืดหยุ่นในการลงทุน
2.เพิ่มการกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในกลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ Data center, Logistic.
3.เพิ่มความได้เปรียบด้านคุณภาพของสินทรัยพ์ และ โอกาสด้านผลตอบแทน
ผู้บริหารกองทุน มีทั้งในไทย ได้แก่ คุณ วิน คุณ Propot และ คุณ Thana ซึ่งไปเยี่ยมชมกิจการ
และยังมีทีมงานจากต่างประเทศเสริม ทำให้มั่นใจว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้
สรุป ว่า กองนี้ ทรัพย์สินที่ลงทุนมีความน่าสนใจ คือ ได้กระจายไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ถ้าใครชอบกองที่เป็นFreehold กองนี้จะเหมาะสุด
แต่ความผันผวนของราคาก็จะมากกว่ากองเดิมครับ
ดังนั้น นักลงทุน ควรศึกษาเพิ่มเติมว่ากองนี้เหมาะกับเราหรือไม่
โปรดติดตามตอนต่อไป EP15 นะครับ จะมาพูดถึง Sector Office
ว่าตอนนี้ มีห้างจะเปิดเพิ่มมากมาย oversupply หรือยัง
EP14 Principle iPropEN
By Seminar Knowledge
ก่อนอื่นต้องขอบคุณ คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ของ บลจ พรินซิเพิล
ที่ให้โอกาสผมไปฟังupdateข้อมูลของอุตสาหกรรมREITs ในแต่ละsector ซึ่งได้แก่
Retail , Office , Warehouse , Factory ซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า
โดยทยอยลงสำหรับแต่ละsectorนะครับ
กลับมาที่กอง Principle iPropEN นี้ซึ่งเริ่มจะเปิดให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 14-22 พย 2562
หลายคนก็จะมีคำถามว่า กองใหม่นี้ต่างจาก กองเก่า Principle iProp อย่างไร
ทำไมต้องไปซื้อกองใหม่ด้วย
คุณวินมาเฉลยให้ผู้เข้าฟังสัมมนาให้เข้าใจว่า เหตุผลที่ต้องออกกองใหม่ก็คือ
สินทรัพย์ในการลงทุน
iProp นั้น ตั้งมา6ปีแล้ว asset เพิ่มขึ้น10เท่าจาก 3,000 ลบ เป็น 30,000 ลบ
ซึ่งสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็น Property fund & REITs ไม่น้อยกว่า 80%
ส่วน Infrastructure fund + cash ไม่เกิน 20%
ปีนี้ ราคา กอง property fund , REITs ขึ้นมากจน Dividend yield หล่นมาเหลือ 3-4%
เนื่องจาก กฎไม่สามารถถือ infrastructure fund เกิน 20% ได้
ทำให้ต้องถือ property fund,REITs ต่อไป ไม่สามารถโยกไปลงทุนใน Infrastructure fund
เพิ่มอีกได้
ส่วนกองใหม่ที่จะเปิดให้จองนั้น
สินทรัพย์ที่จะลงได้ ไม่มีข้อจำกัดในการถือ property fund , Infrastructure fund & REITs
และสามารถไปลงทุน REITs ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น
ส่วนกองเดิม ลงแค่ในไทยและสิงคโปร์
เมืองไทย ไม่ค่อยมีเจ้าของยินยอมขายขาด หรือ Freehold ดังนั้น
กอง REITsในไทย ส่วนใหญ่จะเป็นLeasehold
แต่ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย
สินทรัพย์จะเป็น Freehold ซะเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น กองใหม่จะมีสัดส่วน Freehold มากกว่า กองเดิม iProp
ผลตอบแทน กองเดิม iProp นั้นคาดว่าได้ผลตอบแทน ประมาณ 4-5%
ส่วนกองใหม่ คาดว่าได้ผลตอบแทน ประมาณ 5-6% แต่ก็แลกกับความผันผวนที่มากขึ้น
แต่ถ้าเทียบกับหุ้นซึ่งมีความผันผวนมากกว่า 3 เท่า ดังนั้น กอง iPropEN ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
ขอบเขตของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน
จะเน้นไปทางสินทรัพย์ที่ให้รายได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น สนามบิน และ โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม
จุดเด่นของกองทุนนี้
1.เพิ่มการยืดหยุ่นในการลงทุน
2.เพิ่มการกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในกลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ Data center, Logistic.
3.เพิ่มความได้เปรียบด้านคุณภาพของสินทรัยพ์ และ โอกาสด้านผลตอบแทน
ผู้บริหารกองทุน มีทั้งในไทย ได้แก่ คุณ วิน คุณ Propot และ คุณ Thana ซึ่งไปเยี่ยมชมกิจการ
และยังมีทีมงานจากต่างประเทศเสริม ทำให้มั่นใจว่าน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้
สรุป ว่า กองนี้ ทรัพย์สินที่ลงทุนมีความน่าสนใจ คือ ได้กระจายไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ถ้าใครชอบกองที่เป็นFreehold กองนี้จะเหมาะสุด
แต่ความผันผวนของราคาก็จะมากกว่ากองเดิมครับ
ดังนั้น นักลงทุน ควรศึกษาเพิ่มเติมว่ากองนี้เหมาะกับเราหรือไม่
โปรดติดตามตอนต่อไป EP15 นะครับ จะมาพูดถึง Sector Office
ว่าตอนนี้ มีห้างจะเปิดเพิ่มมากมาย oversupply หรือยัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 175
Property Fund & REITs & Infrafund Series
EP15 Property Funds, REITs and Infra Outlook and Office sector
By Seminar knowledge
อัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ประเทศไทยอยู่ที่ระดับต่ำ และ มีแนวโน้มต่ำต่อไปใน
ระยะเวลายาวนานขึ้น
ทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รีทส์ และ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ยังได้รับเงิน
ปันผลในระดับสูงมีความน่าสนใจ
แต่อาจมีบางช่วงที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ขยับเพิ่มสูงขึ้นหรือ ผลตอบแทน
ของ REITs ลดลง จน Gapแคบเข้าต่ำกว่า 3% ทำให้คนหันเข้ามาถือตราสารหนี้
โดยเทขายREITsออกมา เพราะราคาในช่วงสองปีนี้สูงขึ้นมากจน
ปันผลลดต่ำเหลือแค่3%
ดังนั้นเราต้องศึกษาในแต่ละsectorว่า มีโอกาสเติบโตต่อได้ไหม นั่นหมายถึง
เงินปันผลจากกองที่จะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยได้มาก หรือ น้อยตามการเติบโต
คราวนี้เราจะมาดูในส่วนของ Office grade A ยังมีอุปสงค์แข็งแกร่ง
ถึงแม้อัตราการเติบโตของค่าเช่าจะช้าลง
จากรูปที่2 พบว่า Office grade A ของประเทศไทย ยังอยู่ในช่วง Rents Rising ยังขึ้นค่าเช่าได้อีก
แต่ถ้าเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่นนั้น อยู่ในช่วง Growth Slowing ส่วนที่จีน เซี่ยงไฮ้ ค่าเช่าอยู่ในช่วง Rents Falling
ค่าเช่าของทุกพื้นที่และทุกกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับอุปสงค์และอุปทานของพื้นที่กลุ่มสำนักงาน
ที่เติบโตและอัตราการว่างของพื้นที่เช่าที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
ช่วง Q2 2019 , Demand 8.31 Million sqm ,Supply 8.93 Million sqm. Occupancy 93.1%
อย่างไรก็ตาม อุปทานที่กำลังจะมีเพิ่มขึ้นแล้วเช่น Samyan Midtown ซึ่งพัฒนาโดยGolden Land มีพื้นที่เช่า 48,000 ตรม ในอนาคตอย่าง One Bangkok เป็นปัจจัยที่ควรจับตา มีพื้นที่เช่าของoffice 500,000 ตรม ซึ่งคาดว่าจะทยอย
เสร็จตั้งแต่ ไตรมาสสาม 2023 จนถึง ปี 2026
มองเพื่อนบ้าน อย่าง สิงคโปร์ พื้นที่เช่าเกรดA ย่านธุรกิจ ลดต่ำลงมากที่สุด
และ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 3.5%
อัตราค่าเช่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ยังมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าประเทศอื่นๆ
ในกลุ่มแปซิฟิค จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้เช่าหลัก
ซึ่งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ส่วนที่ออสเตรเลีย อัตราการว่างของพื้นที่เช่าสำนักงานออฟฟิตย่านธุรกิจ
ในSydney,Melbourne อยู่ในระดับต่ำ
เป็นประวัติการณ์ที่ 3.7%,3.3% ตามลำดับ
โดยคาดว่า อัตราดังกล่าวจะลดลงต่อเนื่องในSydney ไปจนถึง 2020
พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็น Freehold
ส่วนที่ USA อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันให้ไปข้างหน้า
ทำให้เกิดอุปสงค์พื้นที่เช่าสำนักงานสำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
มีทรัพย์สินคือ สำนักงาน Freehold 13 แห่งใน7เมือง อัตราการเช่าพื้นที่โดยเฉลี่ย 94%
จะเห็นว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่สำหรับofficeในไทย จะเป็น Leasehold ดังนั้น
ถ้าต้องการจะเพิ่มสัดส่วน Freehold เข้าพอร์ต การลงทุนในต่างประเทศเช่น
ออสเตรเลีย สหรัฐ ก็น่าสนใจไม่น้อย รวมถึง Leasehold ที่ฮ่องกง ในยามที่เหตุการณ์ไม่ปกติ
ก็อาจได้ราคาที่ไม่แพง ที่สำคัญ สินทรัพย์ที่ถือไม่ได้อยู่ในฮ่องกง
Cr: คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ Principle
และ คุณ ธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล จาก บริษัท เน็ตซัส เรียลเอสเตท แอทไวซอรี่ จำกัด
ตอนต่อไป จะมาคุยกันสำหรับ Sector Retail ครับ
EP15 Property Funds, REITs and Infra Outlook and Office sector
By Seminar knowledge
อัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ประเทศไทยอยู่ที่ระดับต่ำ และ มีแนวโน้มต่ำต่อไปใน
ระยะเวลายาวนานขึ้น
ทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รีทส์ และ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ยังได้รับเงิน
ปันผลในระดับสูงมีความน่าสนใจ
แต่อาจมีบางช่วงที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ขยับเพิ่มสูงขึ้นหรือ ผลตอบแทน
ของ REITs ลดลง จน Gapแคบเข้าต่ำกว่า 3% ทำให้คนหันเข้ามาถือตราสารหนี้
โดยเทขายREITsออกมา เพราะราคาในช่วงสองปีนี้สูงขึ้นมากจน
ปันผลลดต่ำเหลือแค่3%
ดังนั้นเราต้องศึกษาในแต่ละsectorว่า มีโอกาสเติบโตต่อได้ไหม นั่นหมายถึง
เงินปันผลจากกองที่จะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยได้มาก หรือ น้อยตามการเติบโต
คราวนี้เราจะมาดูในส่วนของ Office grade A ยังมีอุปสงค์แข็งแกร่ง
ถึงแม้อัตราการเติบโตของค่าเช่าจะช้าลง
จากรูปที่2 พบว่า Office grade A ของประเทศไทย ยังอยู่ในช่วง Rents Rising ยังขึ้นค่าเช่าได้อีก
แต่ถ้าเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่นนั้น อยู่ในช่วง Growth Slowing ส่วนที่จีน เซี่ยงไฮ้ ค่าเช่าอยู่ในช่วง Rents Falling
ค่าเช่าของทุกพื้นที่และทุกกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับอุปสงค์และอุปทานของพื้นที่กลุ่มสำนักงาน
ที่เติบโตและอัตราการว่างของพื้นที่เช่าที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
ช่วง Q2 2019 , Demand 8.31 Million sqm ,Supply 8.93 Million sqm. Occupancy 93.1%
อย่างไรก็ตาม อุปทานที่กำลังจะมีเพิ่มขึ้นแล้วเช่น Samyan Midtown ซึ่งพัฒนาโดยGolden Land มีพื้นที่เช่า 48,000 ตรม ในอนาคตอย่าง One Bangkok เป็นปัจจัยที่ควรจับตา มีพื้นที่เช่าของoffice 500,000 ตรม ซึ่งคาดว่าจะทยอย
เสร็จตั้งแต่ ไตรมาสสาม 2023 จนถึง ปี 2026
มองเพื่อนบ้าน อย่าง สิงคโปร์ พื้นที่เช่าเกรดA ย่านธุรกิจ ลดต่ำลงมากที่สุด
และ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 3.5%
อัตราค่าเช่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ยังมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าประเทศอื่นๆ
ในกลุ่มแปซิฟิค จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้เช่าหลัก
ซึ่งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ส่วนที่ออสเตรเลีย อัตราการว่างของพื้นที่เช่าสำนักงานออฟฟิตย่านธุรกิจ
ในSydney,Melbourne อยู่ในระดับต่ำ
เป็นประวัติการณ์ที่ 3.7%,3.3% ตามลำดับ
โดยคาดว่า อัตราดังกล่าวจะลดลงต่อเนื่องในSydney ไปจนถึง 2020
พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็น Freehold
ส่วนที่ USA อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนโลกในปัจจุบันให้ไปข้างหน้า
ทำให้เกิดอุปสงค์พื้นที่เช่าสำนักงานสำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
มีทรัพย์สินคือ สำนักงาน Freehold 13 แห่งใน7เมือง อัตราการเช่าพื้นที่โดยเฉลี่ย 94%
จะเห็นว่า ทรัพย์สินส่วนใหญ่สำหรับofficeในไทย จะเป็น Leasehold ดังนั้น
ถ้าต้องการจะเพิ่มสัดส่วน Freehold เข้าพอร์ต การลงทุนในต่างประเทศเช่น
ออสเตรเลีย สหรัฐ ก็น่าสนใจไม่น้อย รวมถึง Leasehold ที่ฮ่องกง ในยามที่เหตุการณ์ไม่ปกติ
ก็อาจได้ราคาที่ไม่แพง ที่สำคัญ สินทรัพย์ที่ถือไม่ได้อยู่ในฮ่องกง
Cr: คุณ วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ Principle
และ คุณ ธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล จาก บริษัท เน็ตซัส เรียลเอสเตท แอทไวซอรี่ จำกัด
ตอนต่อไป จะมาคุยกันสำหรับ Sector Retail ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 176
Read&Meet#1
อ กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรือ ชื่อทาง FB:เกตุวดี (Marumura)
Review หนังสือชื่อ This is Marketing (สร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่)
อ.บอกว่าอ่านภาษาไทยก่อน เลยตามมาอ่านเล่มภาษาอังกฤษ
How you define“ marketing “?
STP Marketing แบ่งออกเป็น3ส่วน
1.Segmentation
2.Targeting
3.Positioning
กลยุทธ์การตลาดแบบ 4P’s ได้แก่ Price, Place, Promotion , Productที่ใช้กันอยู
ทำให้สิ่งที่เราเจอ คือสินค้าเหมือนๆกัน
เช่น จังหวัดนครปฐม มี ร้านกาแฟ ทุ่งนา ห้อยขา ซึ่งต่อมามีร้านเหมือนๆกันเยอะแยะ
กลยุทธ์ต่อมา ก็หาทางลดราคาแข่งกัน เช่นเทศกาบ 11 11,1212
ดูตัวอย่างที่สร้างความแตกต่าง
ยกตัวอย่าง เรือนจรุง
คือร้านอาหารไทยในจังหวัดอยุธยา พี่เหมียวเจ้าของร้าน บอกว่า
ร้านเป็นลักษณะเรือนไทยที่ชวนเพื่อนมาทาน มีคนlike30,000คนกับเพจ เรือนจรุง
แต่มีคนจองข้ามไปสองปีแล้ว ทำไมยอดlikeไม่เยอะ แต่ยอดจองล้นไป2ปี
เหตุผลคือ ภาษาที่คุยในเพจ เป็นกันเองมาก พี่เหมียว เรียกว่าตัวเองว่าลุง
BrandThinkme , น้องกันต์เองก็มาสัมภาษณ์พี่เหมียว
มิสลินจะมาสัมภาษณ์ พี่เหมียวก็บอกไม่ต้องมาหรอก ไปหาอ่านจากเพจที่เคยมา
สัมภาษณ์ก็ได้
การตลาดแบบนี้ โฟกัสหรือเปล่า
พี่เหมียว บอกว่า มีpreorder เดือนละครั้ง
เปิดร้านแค่วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ยอดขายหลักแสนแค่ช่วงนี้
ทำการตลาดอย่างไร????
Behind The Story
พี่เหมียว เคยทำproduction houseมา และต่อมาก็อยากมาทำตามความฝัน
เลยมาลงทุนเปิดร้านอาหาร งบลงทุนไม่มาก
รับจองคิวทางจดหมาย อยากให้เหมือนเพื่อนคุยกันในบ้าน
คนที่ได้กิน จะดีใจมาก
จากที่ อ เกตุ ไปทานมาสองรอบ อาหารก็ธรรมดา แต่เสน่ห์ที่โต๊ะยาวๆ
เราได้คุยกันเพื่อนๆในโต๊ะ
พี่เหมียวก็ไปคุยกับแขกด้วย บรรยากาศเป็นกันเองมากเหมือนทานข้าวในบ้าน
อย่าลืมวัตถุประสงค์แรกว่าเราทำร้านอาหารเพราะอะไร
การทำตลาดทั่วไป
1. Where to start
ห้างCentral ก็ดูว่าคนจีนกำลังมา
normal marketing ( Market ) vs This is marketing. (Me)
การตลาดเริ่มจากตัวเอง เช่น ร้านอาหารที่เจ้าของทำเสริฟลูกค้าที่นั่งล้อมเป็นวงกลม
ร้าน pabloเปิดโล่งมีกระจกให้แขกดู และครัวอยู่ด้านหน้า
อาหาร:ชีสมีแบบ medium,rare
ขายราคาถูกกว่าปกติ แต่รสชาติเหมือนโรงแรม เช่น ราคา600เยน ซึ่งถูกกว่าราคาในโรงแรม
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ คิวยาวมากในการทาน
ช่วงที่ยืนรอ ทางร้านก็เอาชีสมาแจกให้ลูกค้าทานด้วย
2. Target Customers
Normal (Broad) vs. This Marketing is special
ตัวอย่าง จุดเริ่มต้นของ Smile Football Club
โค๊ดหนุ่ม เจอน้องที่อยากเตะบอล แต่ไม่เก่ง ปกติก็เลยทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู
โค๊ดหนุ่มเลยคิดอยากเปิดสอนการเล่นฟุตบอล ลูกค้าเริ่มแรกคือน้องอ้วนคนนี้
ให้น้องอ้วนไปชวนเพื่อนมา ซึ่งรูปร่างอ้วนเหมือนกัน ได้สามคน
Concept: สอนเด็กให้มีความสนุก มีความสุขโดยจ้างเด็กมหาลัยมาสอน
โดย ไม่เน้นสร้างเด็กเพื่อการแข่งขัน
จาก 1 สาขา เป็น7สาขาในช่วงเวลาแค่สี่ปี
กลยุทธ์: โดยหาลูกค้าที่อินสินค้าของเรา
3. 4P’S
Normal. ทำPromotion. Vs This Marketing ลูกค้าตามมาเอง Product
Invent something worthwhile
1.Balmuda เป็นบริษัททำเครื่องปิ้งขนมปัง
ครั้งนึง บริษัทจัดกิจกรรมและทำบาร์บีคิวนอกสถานที่ แต่ปรากฏว่าวันนั้นฝนตก
ไม่สามารถทำบาร์บีคิวได้ เลยได้ไอเดียเอาเครื่องปิ้งขนมปังมาทำกิน
ปรากฏว่าอร่อยมาก หลังจากนั้นก็ให้วิศวกรออกแบบเครื่องปิ้งจำลองให้เหมือนรสชาติตอนนั้น
ซึ่งขนมปัง กรอบนอก นุ่มใน
พยายามจนสรุปมาได้ 2000 desire ที่ทำให้ขนมปังกรอบนอก นุ่มใน
วิธีคือ ต้องใส่ไอน้ำเข้าไปในช่องนึงของเครื่องปิ้งขนมปัง
เครื่องปิ้งรุ่นใหม่นี้ซึ่งมีหลายโหมด รวมถึง โหมด อบครัวซองด้วย
ราคา ขายเกือบ 20,000บาท จน ร้านBig cameraเอาไปขาย
2.The Green Fan พัดลมชนิดพิเศษ
อยากให้ลูกค้าสัมผัสกับลมธรรมชาติจากลมที่ยิงตรงๆ
สรุป
Normal เริ่มจาก
1.Segmentation ,Targeting & Positioning
2.4P’s
3.Sales Talks of the town
Same tools, factories,markets, เครื่องมือเหมือนกันสุดท้ายก็ได้อะไรที่เหมือนกัน
This is Marketing นั้นแตกต่างกันโดยเริ่มจาก
1.Sustainable MKTG
2.Who we are
3.Small group of customers:
ตัวอย่างยี่ห้อSuprems เน้น สเก็ตบอร์ต เป็นแบรนด์กล้าที่ปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
4.Solve the problem(seriously) แก้ไขปัญหาลูกค้าอย่างจริงจัง
5.Relationship อย่าเรียกเขาว่าเป็นลูกค้า เรียกเป็นนักเรียนหรือสาวก ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบลูกค้า
ข้อจำกัด
แบรนด์ใหญ่จะทำได้เหรอ
1.CEO รร Centaraจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจาะกลุ่มย่อยๆ เจาะกลุ่มใหญ่ได้ลูกค้าเยอะกว่า
2.สิงห์: แบรนด์ ขนมปลาแผ่น เอนจอย ครั้งแรกออกแบบมาเฉพาะกลุ่ม คุณสันติ ไม่เห็นด้วยว่า ทำไมทำเฉพาะกับแกล้ม ทำกับส่วนรวมเพื่อขายใน7-11 สุดท้ายสินค้าเอนจอยไม่เหมาะกับใครเลย
ดังนั้น ยิ่งตลาดยิ่งเล็กยิ่งดี ถ้าไม่มีใครตอบโจทย์นี้ได้ คุณก็ทำตลาดได้ง่ายมาก
ถาม marketing 4P ยังใช้ได้อยู่ไหม
ตอบ เหมือนเดิม แต่ต้องมีpurposeเพิ่มเข้าไปด้วย แล้วค่อยตามด้วยPต่างๆ
อ กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรือ ชื่อทาง FB:เกตุวดี (Marumura)
Review หนังสือชื่อ This is Marketing (สร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่)
อ.บอกว่าอ่านภาษาไทยก่อน เลยตามมาอ่านเล่มภาษาอังกฤษ
How you define“ marketing “?
STP Marketing แบ่งออกเป็น3ส่วน
1.Segmentation
2.Targeting
3.Positioning
กลยุทธ์การตลาดแบบ 4P’s ได้แก่ Price, Place, Promotion , Productที่ใช้กันอยู
ทำให้สิ่งที่เราเจอ คือสินค้าเหมือนๆกัน
เช่น จังหวัดนครปฐม มี ร้านกาแฟ ทุ่งนา ห้อยขา ซึ่งต่อมามีร้านเหมือนๆกันเยอะแยะ
กลยุทธ์ต่อมา ก็หาทางลดราคาแข่งกัน เช่นเทศกาบ 11 11,1212
ดูตัวอย่างที่สร้างความแตกต่าง
ยกตัวอย่าง เรือนจรุง
คือร้านอาหารไทยในจังหวัดอยุธยา พี่เหมียวเจ้าของร้าน บอกว่า
ร้านเป็นลักษณะเรือนไทยที่ชวนเพื่อนมาทาน มีคนlike30,000คนกับเพจ เรือนจรุง
แต่มีคนจองข้ามไปสองปีแล้ว ทำไมยอดlikeไม่เยอะ แต่ยอดจองล้นไป2ปี
เหตุผลคือ ภาษาที่คุยในเพจ เป็นกันเองมาก พี่เหมียว เรียกว่าตัวเองว่าลุง
BrandThinkme , น้องกันต์เองก็มาสัมภาษณ์พี่เหมียว
มิสลินจะมาสัมภาษณ์ พี่เหมียวก็บอกไม่ต้องมาหรอก ไปหาอ่านจากเพจที่เคยมา
สัมภาษณ์ก็ได้
การตลาดแบบนี้ โฟกัสหรือเปล่า
พี่เหมียว บอกว่า มีpreorder เดือนละครั้ง
เปิดร้านแค่วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ยอดขายหลักแสนแค่ช่วงนี้
ทำการตลาดอย่างไร????
Behind The Story
พี่เหมียว เคยทำproduction houseมา และต่อมาก็อยากมาทำตามความฝัน
เลยมาลงทุนเปิดร้านอาหาร งบลงทุนไม่มาก
รับจองคิวทางจดหมาย อยากให้เหมือนเพื่อนคุยกันในบ้าน
คนที่ได้กิน จะดีใจมาก
จากที่ อ เกตุ ไปทานมาสองรอบ อาหารก็ธรรมดา แต่เสน่ห์ที่โต๊ะยาวๆ
เราได้คุยกันเพื่อนๆในโต๊ะ
พี่เหมียวก็ไปคุยกับแขกด้วย บรรยากาศเป็นกันเองมากเหมือนทานข้าวในบ้าน
อย่าลืมวัตถุประสงค์แรกว่าเราทำร้านอาหารเพราะอะไร
การทำตลาดทั่วไป
1. Where to start
ห้างCentral ก็ดูว่าคนจีนกำลังมา
normal marketing ( Market ) vs This is marketing. (Me)
การตลาดเริ่มจากตัวเอง เช่น ร้านอาหารที่เจ้าของทำเสริฟลูกค้าที่นั่งล้อมเป็นวงกลม
ร้าน pabloเปิดโล่งมีกระจกให้แขกดู และครัวอยู่ด้านหน้า
อาหาร:ชีสมีแบบ medium,rare
ขายราคาถูกกว่าปกติ แต่รสชาติเหมือนโรงแรม เช่น ราคา600เยน ซึ่งถูกกว่าราคาในโรงแรม
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ คิวยาวมากในการทาน
ช่วงที่ยืนรอ ทางร้านก็เอาชีสมาแจกให้ลูกค้าทานด้วย
2. Target Customers
Normal (Broad) vs. This Marketing is special
ตัวอย่าง จุดเริ่มต้นของ Smile Football Club
โค๊ดหนุ่ม เจอน้องที่อยากเตะบอล แต่ไม่เก่ง ปกติก็เลยทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู
โค๊ดหนุ่มเลยคิดอยากเปิดสอนการเล่นฟุตบอล ลูกค้าเริ่มแรกคือน้องอ้วนคนนี้
ให้น้องอ้วนไปชวนเพื่อนมา ซึ่งรูปร่างอ้วนเหมือนกัน ได้สามคน
Concept: สอนเด็กให้มีความสนุก มีความสุขโดยจ้างเด็กมหาลัยมาสอน
โดย ไม่เน้นสร้างเด็กเพื่อการแข่งขัน
จาก 1 สาขา เป็น7สาขาในช่วงเวลาแค่สี่ปี
กลยุทธ์: โดยหาลูกค้าที่อินสินค้าของเรา
3. 4P’S
Normal. ทำPromotion. Vs This Marketing ลูกค้าตามมาเอง Product
Invent something worthwhile
1.Balmuda เป็นบริษัททำเครื่องปิ้งขนมปัง
ครั้งนึง บริษัทจัดกิจกรรมและทำบาร์บีคิวนอกสถานที่ แต่ปรากฏว่าวันนั้นฝนตก
ไม่สามารถทำบาร์บีคิวได้ เลยได้ไอเดียเอาเครื่องปิ้งขนมปังมาทำกิน
ปรากฏว่าอร่อยมาก หลังจากนั้นก็ให้วิศวกรออกแบบเครื่องปิ้งจำลองให้เหมือนรสชาติตอนนั้น
ซึ่งขนมปัง กรอบนอก นุ่มใน
พยายามจนสรุปมาได้ 2000 desire ที่ทำให้ขนมปังกรอบนอก นุ่มใน
วิธีคือ ต้องใส่ไอน้ำเข้าไปในช่องนึงของเครื่องปิ้งขนมปัง
เครื่องปิ้งรุ่นใหม่นี้ซึ่งมีหลายโหมด รวมถึง โหมด อบครัวซองด้วย
ราคา ขายเกือบ 20,000บาท จน ร้านBig cameraเอาไปขาย
2.The Green Fan พัดลมชนิดพิเศษ
อยากให้ลูกค้าสัมผัสกับลมธรรมชาติจากลมที่ยิงตรงๆ
สรุป
Normal เริ่มจาก
1.Segmentation ,Targeting & Positioning
2.4P’s
3.Sales Talks of the town
Same tools, factories,markets, เครื่องมือเหมือนกันสุดท้ายก็ได้อะไรที่เหมือนกัน
This is Marketing นั้นแตกต่างกันโดยเริ่มจาก
1.Sustainable MKTG
2.Who we are
3.Small group of customers:
ตัวอย่างยี่ห้อSuprems เน้น สเก็ตบอร์ต เป็นแบรนด์กล้าที่ปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
4.Solve the problem(seriously) แก้ไขปัญหาลูกค้าอย่างจริงจัง
5.Relationship อย่าเรียกเขาว่าเป็นลูกค้า เรียกเป็นนักเรียนหรือสาวก ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบลูกค้า
ข้อจำกัด
แบรนด์ใหญ่จะทำได้เหรอ
1.CEO รร Centaraจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจาะกลุ่มย่อยๆ เจาะกลุ่มใหญ่ได้ลูกค้าเยอะกว่า
2.สิงห์: แบรนด์ ขนมปลาแผ่น เอนจอย ครั้งแรกออกแบบมาเฉพาะกลุ่ม คุณสันติ ไม่เห็นด้วยว่า ทำไมทำเฉพาะกับแกล้ม ทำกับส่วนรวมเพื่อขายใน7-11 สุดท้ายสินค้าเอนจอยไม่เหมาะกับใครเลย
ดังนั้น ยิ่งตลาดยิ่งเล็กยิ่งดี ถ้าไม่มีใครตอบโจทย์นี้ได้ คุณก็ทำตลาดได้ง่ายมาก
ถาม marketing 4P ยังใช้ได้อยู่ไหม
ตอบ เหมือนเดิม แต่ต้องมีpurposeเพิ่มเข้าไปด้วย แล้วค่อยตามด้วยPต่างๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 177
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ )เปิดเผยในงานHow to รอด รอดอย่างไรในสถานการณ์ เศรษฐกิจร้อน การเมืองแรง ว่า
ปีนี้ มีความผันผวนมากอีกปีนึง เริ่มจากทรัมป์ส่งโดรนไปถล่มอิหร่าน ต่อมาก็มีการเจรจาสงครามการค้าเฟสหนึ่ง
เรียบร้อย และเริ่มมีไวรัสโคโลน่าระบาด ดังนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ถึงแม้จะวิเคราะห์ตอนนี้ไปแล้ว อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้มีข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอก
เริ่มที่ข่าวดีก่อน
1.การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นบวกอยู่ จากตัวเลขการคาดการณ์จาก IMF,World Bank ประมาณ 2%ขึ้นไป
ดังนั้นไม่น่าเกิดวิกฤต และ ไทยก็ไม่น่าจะเจอวิกฤต เพราะเศรษฐกิจไม่หดตัวจากปีที่แล้ว แต่ยังไม่รวมไวรัสที่พึ่งเกิดขึ้น
2.ราคาน้ำมันปีนี้ยังลดต่อเนื่อง หลังจากลดมา2-3ปี demandไม่เพิ่ม และ มีsupplyจากUSมาเติม ปีนี้น่าจะลดอีก 5$
3.ค่าเงินบาทอ่อนตัวถึง 31.2 บาทต่อ$ หลังเกิดเชื้อไวรัส โคโลน่า
แต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ก็คือ
1.ทีดีอาร์ไอประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ทั้งปีนี้ไว้ที่ 2.8% ต่อปี แต่พอมีปัจจัยจากเชื้อไวรัสเข้ามา เบื้องต้น คาดว่าเชื้อไวรัสจะสามารถควบคุมได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนซึ่งเฉพาะปัจจัยเชื้อไวรัสจะส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆอาจหายไปประมาณ2.8แสนล้านคนคิดเป็นอัตรา0.7%ของจีดีพี ดังนั้นเฉพาะผลกระทบจากเชื้อไวรัสอย่างเดียวอาจทำให้จีดีพีลดเหลือประมาณ 2.00%
2.ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบอื่นๆอาทิ ความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 และปัญหาภัยแล้ง
3.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เช่น สงครามการค้า ซึ่งไว้ใจไม่ได้
เพราะทรัมป์มีการเลือกตั้งปลายปีนี้
ทำทุกอย่างให้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ส่วนสงครามจริงเช่น รบกับ อิหร่าน ก็ต้องจับตามอง
เศรษฐกิจสหรัฐโตช้า ดอกเบี้ยมีทิศทางลด ดอกเบี้ยโลกก็เป็นขาลง ดอกเบี้ยไทยน่าจะลดอีกสักครั้ง
อย่างไรก็ตามปัจจัยความล่าช้าการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนซึ่งเห็นได้ว่าเมื่องบประมาณผ่านสภาฯในเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นตัวเลขการเบิกใช้เงินงบประมาณพุ่งขึ้นอย่างมากแต่หลังจากนั้นการเบิกใช้งบประมาณก็ปรับลดลง
ปีนี้ มีความผันผวนมากอีกปีนึง เริ่มจากทรัมป์ส่งโดรนไปถล่มอิหร่าน ต่อมาก็มีการเจรจาสงครามการค้าเฟสหนึ่ง
เรียบร้อย และเริ่มมีไวรัสโคโลน่าระบาด ดังนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ถึงแม้จะวิเคราะห์ตอนนี้ไปแล้ว อาจเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้มีข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอก
เริ่มที่ข่าวดีก่อน
1.การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นบวกอยู่ จากตัวเลขการคาดการณ์จาก IMF,World Bank ประมาณ 2%ขึ้นไป
ดังนั้นไม่น่าเกิดวิกฤต และ ไทยก็ไม่น่าจะเจอวิกฤต เพราะเศรษฐกิจไม่หดตัวจากปีที่แล้ว แต่ยังไม่รวมไวรัสที่พึ่งเกิดขึ้น
2.ราคาน้ำมันปีนี้ยังลดต่อเนื่อง หลังจากลดมา2-3ปี demandไม่เพิ่ม และ มีsupplyจากUSมาเติม ปีนี้น่าจะลดอีก 5$
3.ค่าเงินบาทอ่อนตัวถึง 31.2 บาทต่อ$ หลังเกิดเชื้อไวรัส โคโลน่า
แต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ก็คือ
1.ทีดีอาร์ไอประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ทั้งปีนี้ไว้ที่ 2.8% ต่อปี แต่พอมีปัจจัยจากเชื้อไวรัสเข้ามา เบื้องต้น คาดว่าเชื้อไวรัสจะสามารถควบคุมได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนซึ่งเฉพาะปัจจัยเชื้อไวรัสจะส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆอาจหายไปประมาณ2.8แสนล้านคนคิดเป็นอัตรา0.7%ของจีดีพี ดังนั้นเฉพาะผลกระทบจากเชื้อไวรัสอย่างเดียวอาจทำให้จีดีพีลดเหลือประมาณ 2.00%
2.ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบอื่นๆอาทิ ความล่าช้าต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 และปัญหาภัยแล้ง
3.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เช่น สงครามการค้า ซึ่งไว้ใจไม่ได้
เพราะทรัมป์มีการเลือกตั้งปลายปีนี้
ทำทุกอย่างให้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ส่วนสงครามจริงเช่น รบกับ อิหร่าน ก็ต้องจับตามอง
เศรษฐกิจสหรัฐโตช้า ดอกเบี้ยมีทิศทางลด ดอกเบี้ยโลกก็เป็นขาลง ดอกเบี้ยไทยน่าจะลดอีกสักครั้ง
อย่างไรก็ตามปัจจัยความล่าช้าการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อนซึ่งเห็นได้ว่าเมื่องบประมาณผ่านสภาฯในเดือนกุมภาพันธ์จะเห็นตัวเลขการเบิกใช้เงินงบประมาณพุ่งขึ้นอย่างมากแต่หลังจากนั้นการเบิกใช้งบประมาณก็ปรับลดลง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 178
2020 Annual Outlook by Citibank
ตลาดหุ้นผันผวนในปี2019 (หุ้นต่างประเทศนั้นปิดบวกรวมไทยด้วย)
และ ปี 2018 ตลาดหุ้นก็หดตัว
ดังนั้นแนะนำว่าไม่ควรเก็งกำไรระยะสั้น
แต่ควรจัดสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสม ลงทุนให้ถูกทาง
SET แย่กว่าตลาดทั่วโลก การกระจายการลงทุนเป็นสิ่งที่ควรทำ
เศรษฐกิจโลกโต 2.6% ยังมีความเสี่ยงในเรื่อง
-ภาวการณ์ถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
-ความเสี่ยงทางการเงิน
ส่วนภาคการผลิตนั้
-เอกชนคาดการณ์ว่าผู้บริโภคใช้จ่ายในสหรัฐไม่ดี แต่จริงๆนั้นดี เศรษฐกิจสหรัฐยังดี
-FOMC ปีนี้ไม่ขยับดอกเบี้ยอีก ส่วน EU ก็ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ,UK อาจลดดอกเบี้ยจากBrexit
-จีน ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่
Earning บริษัทจดทะเบียนของโลกยังโต 7%
-Dividend ปันผลค่อนข้างดี เป็นThemeของเราCitibankในปีนี้
-ปันผลดี เพราะผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลง ทำให้เงินปันผลของหุ้นปันผลดูน่าสนใจมากขึ้น
-การถือหุ้นปันผล สามารถลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
ความถูกและแพงของหุ้น (Valuations)
- US แพงสุด
- EM , UK , JP ยังถูก
ดังนั้นปีนี้ การขยับไปลงทุนหุ้นราคาถูก เป็น Themeของปีนี้
ความเสี่ยงระดับประเทศ US ทำสงครามการค้ากับหลายประเทศ
และยังความเสี่ยงจาก
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐในปลายปีนี้
- Trade war US-China Phase II , III ตกลงกันได้หรือไม่
- Hongkong เศรษฐกิจชะลอตัว
- UK ดูในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้หลังจาก Brexit
Citibank แนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์
Key Takeaways
1.กองทุน Low volatility ซึ่งกระจายความเสี่ยงไปที่หุ้นในหลายประเทศ
: Gold , Multi asset , Long/short + Alternatives
2.Pivot to Growth Opportunity :Asia GDP โต 5.2%
PE 14 เท่า และเงินปันผล 2.6%
การเติบโตในภูมิภาคเอเชีย การขยายผังเมือง การเติบโตของประชากร
จีนมีการบริโภคที่ดี ทำให้การลงทุนในเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้น
: Asian Equities , Health Care Sector
3.ผลตอบแทนตราสารหนี้ / เงินปันผล คือ การลงทุน Hunt for Yield
ลงทุนในBond อายุ 5-10ปี สามารถbalanceกับความเสี่ยงได้
Citibank จะoverweight ในตราสารหนี้ของเอเชีย
: US Investment Grade Bonds , Emerging Market Debt(Asia) , Dividend Yielding Equities.
4.Pivot to Safe Haven Currencies
ลงทุนในค่าเงินที่ปลอดภัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้
:Safe Haven Currencies may Benefit (JPY and Gold)
Update on Corona virus : impact on markets
ซึ่งอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าSARS
วันที่ 3 กพ ตลาดหุ้นจีนตกไป 8% แต่วันรุ่งขึ้น rebound กลับมา
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 2.2% ซึ่งการเติบโตลดลงจากไวรัส Corona
ดังนั้นควรกระจายการลงทุนไปที่ประเทศอื่นนอกจากไทยด้วย
-
ตลาดหุ้นผันผวนในปี2019 (หุ้นต่างประเทศนั้นปิดบวกรวมไทยด้วย)
และ ปี 2018 ตลาดหุ้นก็หดตัว
ดังนั้นแนะนำว่าไม่ควรเก็งกำไรระยะสั้น
แต่ควรจัดสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสม ลงทุนให้ถูกทาง
SET แย่กว่าตลาดทั่วโลก การกระจายการลงทุนเป็นสิ่งที่ควรทำ
เศรษฐกิจโลกโต 2.6% ยังมีความเสี่ยงในเรื่อง
-ภาวการณ์ถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
-ความเสี่ยงทางการเงิน
ส่วนภาคการผลิตนั้
-เอกชนคาดการณ์ว่าผู้บริโภคใช้จ่ายในสหรัฐไม่ดี แต่จริงๆนั้นดี เศรษฐกิจสหรัฐยังดี
-FOMC ปีนี้ไม่ขยับดอกเบี้ยอีก ส่วน EU ก็ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ,UK อาจลดดอกเบี้ยจากBrexit
-จีน ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่
Earning บริษัทจดทะเบียนของโลกยังโต 7%
-Dividend ปันผลค่อนข้างดี เป็นThemeของเราCitibankในปีนี้
-ปันผลดี เพราะผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลง ทำให้เงินปันผลของหุ้นปันผลดูน่าสนใจมากขึ้น
-การถือหุ้นปันผล สามารถลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
ความถูกและแพงของหุ้น (Valuations)
- US แพงสุด
- EM , UK , JP ยังถูก
ดังนั้นปีนี้ การขยับไปลงทุนหุ้นราคาถูก เป็น Themeของปีนี้
ความเสี่ยงระดับประเทศ US ทำสงครามการค้ากับหลายประเทศ
และยังความเสี่ยงจาก
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐในปลายปีนี้
- Trade war US-China Phase II , III ตกลงกันได้หรือไม่
- Hongkong เศรษฐกิจชะลอตัว
- UK ดูในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้หลังจาก Brexit
Citibank แนะนำให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์
Key Takeaways
1.กองทุน Low volatility ซึ่งกระจายความเสี่ยงไปที่หุ้นในหลายประเทศ
: Gold , Multi asset , Long/short + Alternatives
2.Pivot to Growth Opportunity :Asia GDP โต 5.2%
PE 14 เท่า และเงินปันผล 2.6%
การเติบโตในภูมิภาคเอเชีย การขยายผังเมือง การเติบโตของประชากร
จีนมีการบริโภคที่ดี ทำให้การลงทุนในเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้น
: Asian Equities , Health Care Sector
3.ผลตอบแทนตราสารหนี้ / เงินปันผล คือ การลงทุน Hunt for Yield
ลงทุนในBond อายุ 5-10ปี สามารถbalanceกับความเสี่ยงได้
Citibank จะoverweight ในตราสารหนี้ของเอเชีย
: US Investment Grade Bonds , Emerging Market Debt(Asia) , Dividend Yielding Equities.
4.Pivot to Safe Haven Currencies
ลงทุนในค่าเงินที่ปลอดภัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้
:Safe Haven Currencies may Benefit (JPY and Gold)
Update on Corona virus : impact on markets
ซึ่งอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าSARS
วันที่ 3 กพ ตลาดหุ้นจีนตกไป 8% แต่วันรุ่งขึ้น rebound กลับมา
ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 2.2% ซึ่งการเติบโตลดลงจากไวรัส Corona
ดังนั้นควรกระจายการลงทุนไปที่ประเทศอื่นนอกจากไทยด้วย
-
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 179
เจาะลึก KFACHINA-A by Seminar Knowledge
กองทุนที่สร้างผลกำไรสูงสุดในปีที่แล้ว คือ KFACHINA-A
ซึ่งทำไมกองสร้างผลตอบแทนได้สูง เรามาศึกษาเนื้อในของกองกัน
ส่วนข้อมูลของตลาด A-Share ดูได้จากอีกบทความครับ
ตลาดหุ้นของประเทศจีนแบ่งออกเป็น
China H-Share ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
มีนักลงทุนสถาบัน 77% Retail 23%
แต่ China A-Share ซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีน
มีรายย่อยถืออยู่ 86% สถาบันแค่ 14%
มีนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ถือแค่ 2 วัน
ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน
ก็เป็นโอกาสในการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีหุ้นจีนที่จดทะเบียนที่ตลาดสหรัฐเช่น Alibaba
กอง KFACHINA-A ซึ่งบริหารโดยUBS
UBS เลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง และเป็นผู้นำในตลาด
เช่น เหมาไถ , Ping An Insurance , Jiansu Hengrui
พอร์ต จะเน้นลงทุนใน ( KFACHINA-A, MSCI China A onshore )
1.Financials : 25.7% : 26.8%
2.Cons Discretionary : 21% : 8.4%
3.Health Care : 17.9% : 7.9%
4.Cons Staples : 17.8% : 11.6%
ถ้ามาดูหุ้น 10 อันดับแรก ของกองทุน
1.Kweichow Moutai 9.5%
2.Jiangu Hengrui Medicine 8.5%
3.Ping An Insurance 8.4%
4.Gree Electric Appliances 8.3%
5.Wuliangye Yibin 8.2%
6.China Merchants Bank 8.2%
7.Ping An Bank 7.8%
8.Yunnan Baiyao 6.9%
9.Midea Group 4.7%
10.Alibaba Group 3.9%
รวม 10 บริษัทคิดเป็น 74.4% ถือว่าค่อนข้างเยอะเกือบทั้งพอร์ตแล้ว
มาดูบริษัทที่กองถือเยอะ
1.เหล้าเหมาไถ เป็นบริษัทเหล้าที่มีมูลค่าหุ้นของเหล้าแพงสุดของโลก
ขวดละ 500 cc ราคา10,000บาท แพงมาก ซึ่งเป็น new china
ถือเป็นnew china , Luxury เหมาะกับผู้นำ หรือ ผู้บริหาร เคยเสริฟ ให้ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ
และสามารถนำเหมาไถไปมอบให้กับผู้ที่นับถือ
เหมาไถ ใช้เวลาผลิต4-5 ปี ซึ่งต้องใช้น้ำจากที่นั่น เอาข้าวฟ่างไปหมัก ได้เหล้าขาว 53ดีกรี
ยอดขายเติบโตสูงมาก ความที่เป็นpremium คนอื่นเลืยนแบบยาก
คนจีนเริ่มมีรายได้มากขึ้น ก็อยากซื้อมากินด้วย ถือเป็น consumption upgrade
2.ประกันชีวิต ถือ เป็น consumption upgrade ด้วย รายได้ดีขึ้น ก็จะทำประกันมากขึ้น
สัดส่วนการทำประกันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
Ping An ยอดขายต่อตัวแทนสูงกว่าบริษัทอื่น
และเป็นบริษัทประกันที่ใช้เทคโนโลยีสูง
มีตู้mobileให้คนไข้ไปคุยกับหมอได้ หรือ ใช้ Application : Ping An good doctor ก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยกู้ personal loanด้วย ถ้ามีrecordมาก่อน
ถ้าเราลงAppเสร็จ พิสูจน์ตัวตนเสร็จ AI จะพิจารณาสักครู่ก็อนุมัติได้ เร็วขึ้น การdefaultก็น้อยลง
Performance กองทุน:MSCI china A share
1. ตั้งแต่ก่อตั้ง 206% : 35.6%
2. 1Y 57.3% : 37.5%
ส่วนผลตอบแทนของกองนี้ 1 ปี 51.31%
กองแม่คือ UBS China A Opportunity USD P-acc ค่าเงินเป็น $
กองนี้ในไทย ป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน
ถ้าหยวนอ่อนมากๆ ก็อาจจะขาดทุนได้ ถึงแม้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จาก บาท/$
รายละเอียดค่าธรรมเนียม ของกอง KFACHINA-A
ค่าธรรมเนียมขาเข้า 1.5% และค่าธรรมเนียมบริหาร KFACHINA-A 1% ซื้อขายได้ทุกวัน
เมื่อก่อน2ปีที่แล้ว ซื้อขายได้ สัปดาห์ละครั้ง เพราะสภาพคล่องน้อย ลูกค้าอาจไม่สนใจ
แต่ถ้าไปเลือกกองอันดับสองก็ดูไม่น่าสนใจ เลยเลือกกองนี้มาขายลูกค้าของ บลจ กรุงศรี
กองทุนที่สร้างผลกำไรสูงสุดในปีที่แล้ว คือ KFACHINA-A
ซึ่งทำไมกองสร้างผลตอบแทนได้สูง เรามาศึกษาเนื้อในของกองกัน
ส่วนข้อมูลของตลาด A-Share ดูได้จากอีกบทความครับ
ตลาดหุ้นของประเทศจีนแบ่งออกเป็น
China H-Share ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
มีนักลงทุนสถาบัน 77% Retail 23%
แต่ China A-Share ซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีน
มีรายย่อยถืออยู่ 86% สถาบันแค่ 14%
มีนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ถือแค่ 2 วัน
ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน
ก็เป็นโอกาสในการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีหุ้นจีนที่จดทะเบียนที่ตลาดสหรัฐเช่น Alibaba
กอง KFACHINA-A ซึ่งบริหารโดยUBS
UBS เลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง และเป็นผู้นำในตลาด
เช่น เหมาไถ , Ping An Insurance , Jiansu Hengrui
พอร์ต จะเน้นลงทุนใน ( KFACHINA-A, MSCI China A onshore )
1.Financials : 25.7% : 26.8%
2.Cons Discretionary : 21% : 8.4%
3.Health Care : 17.9% : 7.9%
4.Cons Staples : 17.8% : 11.6%
ถ้ามาดูหุ้น 10 อันดับแรก ของกองทุน
1.Kweichow Moutai 9.5%
2.Jiangu Hengrui Medicine 8.5%
3.Ping An Insurance 8.4%
4.Gree Electric Appliances 8.3%
5.Wuliangye Yibin 8.2%
6.China Merchants Bank 8.2%
7.Ping An Bank 7.8%
8.Yunnan Baiyao 6.9%
9.Midea Group 4.7%
10.Alibaba Group 3.9%
รวม 10 บริษัทคิดเป็น 74.4% ถือว่าค่อนข้างเยอะเกือบทั้งพอร์ตแล้ว
มาดูบริษัทที่กองถือเยอะ
1.เหล้าเหมาไถ เป็นบริษัทเหล้าที่มีมูลค่าหุ้นของเหล้าแพงสุดของโลก
ขวดละ 500 cc ราคา10,000บาท แพงมาก ซึ่งเป็น new china
ถือเป็นnew china , Luxury เหมาะกับผู้นำ หรือ ผู้บริหาร เคยเสริฟ ให้ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ
และสามารถนำเหมาไถไปมอบให้กับผู้ที่นับถือ
เหมาไถ ใช้เวลาผลิต4-5 ปี ซึ่งต้องใช้น้ำจากที่นั่น เอาข้าวฟ่างไปหมัก ได้เหล้าขาว 53ดีกรี
ยอดขายเติบโตสูงมาก ความที่เป็นpremium คนอื่นเลืยนแบบยาก
คนจีนเริ่มมีรายได้มากขึ้น ก็อยากซื้อมากินด้วย ถือเป็น consumption upgrade
2.ประกันชีวิต ถือ เป็น consumption upgrade ด้วย รายได้ดีขึ้น ก็จะทำประกันมากขึ้น
สัดส่วนการทำประกันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
Ping An ยอดขายต่อตัวแทนสูงกว่าบริษัทอื่น
และเป็นบริษัทประกันที่ใช้เทคโนโลยีสูง
มีตู้mobileให้คนไข้ไปคุยกับหมอได้ หรือ ใช้ Application : Ping An good doctor ก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยกู้ personal loanด้วย ถ้ามีrecordมาก่อน
ถ้าเราลงAppเสร็จ พิสูจน์ตัวตนเสร็จ AI จะพิจารณาสักครู่ก็อนุมัติได้ เร็วขึ้น การdefaultก็น้อยลง
Performance กองทุน:MSCI china A share
1. ตั้งแต่ก่อตั้ง 206% : 35.6%
2. 1Y 57.3% : 37.5%
ส่วนผลตอบแทนของกองนี้ 1 ปี 51.31%
กองแม่คือ UBS China A Opportunity USD P-acc ค่าเงินเป็น $
กองนี้ในไทย ป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน
ถ้าหยวนอ่อนมากๆ ก็อาจจะขาดทุนได้ ถึงแม้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จาก บาท/$
รายละเอียดค่าธรรมเนียม ของกอง KFACHINA-A
ค่าธรรมเนียมขาเข้า 1.5% และค่าธรรมเนียมบริหาร KFACHINA-A 1% ซื้อขายได้ทุกวัน
เมื่อก่อน2ปีที่แล้ว ซื้อขายได้ สัปดาห์ละครั้ง เพราะสภาพคล่องน้อย ลูกค้าอาจไม่สนใจ
แต่ถ้าไปเลือกกองอันดับสองก็ดูไม่น่าสนใจ เลยเลือกกองนี้มาขายลูกค้าของ บลจ กรุงศรี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
โพสต์ที่ 180
Riding High in China with the Top China Fund
By Krungsri Prime
ภาพของปีที่แล้วไม่ค่อยจะดี มีแต่ข่าวร้าย
แต่NAV ของ กองทุนที่บลจKrungsri บริหารคือ KFAchina-A ขึ้นมา 51%
ย้อนเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ตลาดผันผวนในปีที่แล้ว
1.ย้อนไป เมื่อ พค 62 สงครามการค้าเดือด และเกิดขึ้นตลอดทั้งปี2019
และสถานการณ์การค้า ทำให้คนกลัวเรื่องRecession เมื่อตอน เดือน สค
2.GDPของจีนใน Q3 ซึ่งประกาศตอน Q4 ประกาศว่าGDPต่ำสุดในรอบ21ปี
ล่าสุด เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ก็ ประกาศ GDPของจีน ใน Q4 จีนต่ำสุดในรอบ21ปี
3.ตราสารหนี้เริ่มมีdefaultในเดือน ธค 2019
แต่NAVของกองทุน กลับปรับขึ้นได้หลังลงหนักมาก่อนหน้า
NAVปรับขึ้นซึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัท
หุ้นที่ถืออยู่ในกอง ได้แก่
1. Kweichow Moutai
2. Jiangsu Hengrui medicine
3. Ping An
4. Gree Electric
5. Wuliangye Yibin
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ EPS growth มากกว่า 10% ในรอบ 9เดือน
ภาพใหญ่ศก จีน ถึงแม้ GDP โตต่ำสุดในรอบ 21 ปี
ประเทศที่ขนาดสูงสุดในโลก
ที่1 คือ US และ จีนเป็นอันดับสอง 13 ล้านล้าน $
ดังนั้นการเติบโตต่ำแค่6% แต่ขนาดGDPใหญ่มาก ก็ไม่ได้แย่
หนี้อยู่กับจีนมานาน
ปี18 จำนวนการdefaultใหม่ 38 บริษัท
แต่ปี19 ก็มี 35 บริษัทที่เพิ่มใหม่ แต่ไม่กระทบต่อตลาดหุ้น
สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น มาจากเจตนาของจีนพยายามลดหนี้
พยายามดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ
เมื่อก่อนใส่เงินเยอะ บริษัทก็กู้เงินง่าย ทำให้ระบบไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น บริษัทเหล่านี้ ขาดสภาพคล่อง ก็เลยทำให้ตราสารหนี้defaultไป
สงครามการค้า
ปีที่แล้วเป็นผู้ร้าย ประทุตั้งแต่ พค และ รุนแรงขึ้น มีการปรับภาษีวงกว้างมากขึ้น
ไม่รู้ว่าจุดพีค และ จบเมื่อไหร่ ในปีที่แล้ว แต่ปีนี้เป็นปัจจัยบวก เพราะผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว
ไม่เชื่อว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีแบบนี้อีก แต่ก็อาจไม่แน่ว่าจะกลับมา
Phase II ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะคืบหน้ามาก ถึงแม้เจรจาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
Phase I ก้อนที่จะขึ้น 15%ก็ไม่ได้ขึ้น และ ก้อนที่ขึ้น15% ก็ลดไปครึ่งนึง
สรุปแล้ว มีแต่ดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง
สมมติว่าถ้าขึ้นภาษีอีกรอบ ก็ไม่ได้กระทบโดยตรงกับหุ้นในพอร์ตของกองทุน
เพราะรายได้ 95%มาจากประเทศ แต่อาจกระทบทางอ้อม
ช่องสีแดง Net Export 2%ของGDP จีน แต่ที่เหลือเป็นการบริโภคและการลงทุน
ซึ่งกองนี้เน้นการบริโภคในประเทศ
Invert Yield Curve พูดบ่อยในปีที่แล้ว ถ้าไปถามresearch ระดับโลก
จะพูดว่ามีโอกาสเกิดrecession แต่ก็พูดเบาๆว่าอาจจะเกิด
แต่ปีนี้ พูดเสียงดังฟังชัด ว่า ไม่น่าจะเกิด recession
เราเห็นบริษัทที่ลงทุนเติบโตค่อนข้างดี ล้วนอยู่ใน new economy
บริษัทที่มีสินค้าที่ทันสมัย หรือ premium เป็นที่ต้องการของสังคม
สามารถเติบโตได้ดี
มาดูแต่ละsector ของธุรกิจจีน
SOE รัฐวิสาหกิจในจีน ไม่ค่อยมี ปสภ CAR 5%
Private Old economy เช่น พลังงาน ฟอสซิล CAR 19%
Private new economy CAR 30% เติบโตได้สูงมาก
ปัจจัยทำให้โตสำหรับ new china คือ consumption upgrade , Technology
Consumption upgrade เป็นการขายสินค้าที่แพงขึ้น เช่น จากกินมาม่า ก็มากินหม้อไฟแทน
China see explosive growth of millenaries (Asset > 1 M$)
จีน มีคนได้เป็น dollar millionaires เป็น 4,447,000 คนในปีที่แล้ว จากเดิม 38,000 คน ในปี2010
แสดงว่าคนจีนรวยขึ้น
อัตราการเพิ่มขึ้น มีเร็วและแรงมาก 65sec เกิด millionaires 1 คน
คนที่รวยขึ้น ก็ต้องใช้จ่ายมากขึ้น
ตลาดสินค้า Luxury 2012 สัดส่วนคนจีนไปซื้อ 19%
ผ่านไป 8 ปี ตอนนี้กลายเป็น 35%
และปี 2025 คาดว่า จะเป็น 40%ของ millionaires
เพื่อนเคยเล่า สมัยก่อน คนรวยจะซื้อสินค้ามาอวด เป็นสินค้าbrand name , Logo ใหญ่
ต่อมาเน้นสุขภาพ เช่น เสื้อราคา7000บาท หรือ หมอนสุขภาพราคาหลายหมื่น
คุ้นว่าน่าจะเป็นทีน่าเล่านะ 555
ตลาดเหล้าราคาถูก จะโตติดลบ แต่ตลาดpremiumจะเติบโตดี ราคาขวดละหมื่นยิ่งขายดี
นี่คือภาพของ consumption upgrade
Shopping online: Alibaba
เมื่อก่อนจัดวันที่ 11.11 หรือวันคนโสด จัดทุกปี และ ทำลายสถิติทุกปี
ปีที่แล้ว 11/11/2019 ยอดขายในวันเดียว 1,100,000 ล้านบาท หรือเทียบกับยอดขาย 7-11 ใน4ปี
Technology จีนเป็นผู้นำด้านนี้ไปแข่งกับสหรัฐ สิทธิบัตรก็ปรับตัวสูงขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องย้อนมาหลายปีที่ส่งเสริมคนไปเรียนวิทยศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ตอนนี้เยอะสุดในโลก และ สมองเริ่มไหลกลับมาจีน เพราะจ่ายเงินได้สูงขึ้น
ไทยมีการประมูล 5Gในปีนี้ และหลายประเทศเริ่มประมูลและวางโครงข่าย
5G อันดับหนึ่งคือจีน
สองเดือนที่แล้ว จีนได้พัฒนา 6G แล้ว แน่นอนว่าอาจใช้เวลา 7-10ปี
แต่ประเทศอื่นพึ่งเริ่มวางโครงข่ายเอง
อยากให้เห็นวิสัยทัศน์ของจีน ทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น
Ping An ทุ่มงบไปใช้ระบบ Block Chain 22,000 M$ ซึ่งเป็นภาพสะท้อน
ให้เห็นว่า Tech กระจายไปอยู่หลายsectorแล้ว
ตัวอย่างการใช้จ่ายผ่าน QR Code ที่จีน ขอทานรับ QR codeแล้ว
ตอนนี้มีบางร้านค้า ใช้สแกนใบหน้าเพื่อจ่ายเงินด้วย
จีนมีหลายตลาดหุ้น เช่น เซี่ยงไฮ้ เซิ่นเจิ้น หรือ US
A-share จะรวม เซี่ยงไฮ้ และ เซิ่นเจิ้น ซึ่งรวมบริษัท new china ค่อนข้างเยอ
ถ้าลงทุนในจีน ก็ควรลงทุนใน A-share ซึ่งสองตลาดนี้ ติดหนึ่งในสิบตลาดที่มีmarket cap
ถ้ารวมสองตลาดจะใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแล้ว
ตอนนี้ MSCI EM เพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในA share 20%
และ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ
แสดงว่า Fund Flow ก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้คิดเป็น 7% มีupsideไหลเข้าได้อีกเยอะ
นอกจากนี้ยังมีกองทุนทั่วไปที่ไปลงทุนในจีนได้
จีนก็พยายามเปิดประเทศ และ จะออกกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลให้มีความโปร่งใส
นี่คือเสน่ห์ของตลาดหุ้น A-share
ตราสารหนี้ตอนนี้อยู่ในระดับสูง และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพมีความหลากหลายก็ต้องเลือก
ปีที่แล้วขึ้นไป 51% แพงไปหรือเปล่า
มาจากตลาดขึ้น 20กว่า% และ มาจากฝีมือผู้จัดการกองทุน 20%กว่า
PE ratio ปีที่แล้วเริ่มจาก 9 เท่ากว่าในต้นปี 2019
พอขึ้นมาเรื่อยๆ PE 12.5 เท่า เมื่อวานลง 8% PE 12 เท่า
ซึ่งยังขึ้นมาน้อยเมื่อเทียบกับ PE ในอดีต
จากรูป Equity Market : PE Ratio
A-share PE ต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น แค่ขึ้นเป็น 16-17 เท่า ก็พอแล้ว จากอดีตเคยขึ้นถึง 22 เท่า
ตลาดหุ้นถูกแพง ดูที่ PE Ratio
เพราะตลาดหุ้น กำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน ซึ่งPE Ratio ก็จะเท่าเดิม
แต่ถ้ากำไรของตลาดหุ้นทำกำไรได้ 5% แต่ราคาหุ้น ขึ้น 10% แสดงว่า PE จะขยับเพิ่มขึ้น
ปีที่แล้ว หุ้นส่วนใหญ่ของ A-Share กำไรของบริษัทเติบโตทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
By Krungsri Prime
ภาพของปีที่แล้วไม่ค่อยจะดี มีแต่ข่าวร้าย
แต่NAV ของ กองทุนที่บลจKrungsri บริหารคือ KFAchina-A ขึ้นมา 51%
ย้อนเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ตลาดผันผวนในปีที่แล้ว
1.ย้อนไป เมื่อ พค 62 สงครามการค้าเดือด และเกิดขึ้นตลอดทั้งปี2019
และสถานการณ์การค้า ทำให้คนกลัวเรื่องRecession เมื่อตอน เดือน สค
2.GDPของจีนใน Q3 ซึ่งประกาศตอน Q4 ประกาศว่าGDPต่ำสุดในรอบ21ปี
ล่าสุด เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ก็ ประกาศ GDPของจีน ใน Q4 จีนต่ำสุดในรอบ21ปี
3.ตราสารหนี้เริ่มมีdefaultในเดือน ธค 2019
แต่NAVของกองทุน กลับปรับขึ้นได้หลังลงหนักมาก่อนหน้า
NAVปรับขึ้นซึ่งมาจากผลประกอบการของบริษัท
หุ้นที่ถืออยู่ในกอง ได้แก่
1. Kweichow Moutai
2. Jiangsu Hengrui medicine
3. Ping An
4. Gree Electric
5. Wuliangye Yibin
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ EPS growth มากกว่า 10% ในรอบ 9เดือน
ภาพใหญ่ศก จีน ถึงแม้ GDP โตต่ำสุดในรอบ 21 ปี
ประเทศที่ขนาดสูงสุดในโลก
ที่1 คือ US และ จีนเป็นอันดับสอง 13 ล้านล้าน $
ดังนั้นการเติบโตต่ำแค่6% แต่ขนาดGDPใหญ่มาก ก็ไม่ได้แย่
หนี้อยู่กับจีนมานาน
ปี18 จำนวนการdefaultใหม่ 38 บริษัท
แต่ปี19 ก็มี 35 บริษัทที่เพิ่มใหม่ แต่ไม่กระทบต่อตลาดหุ้น
สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น มาจากเจตนาของจีนพยายามลดหนี้
พยายามดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ
เมื่อก่อนใส่เงินเยอะ บริษัทก็กู้เงินง่าย ทำให้ระบบไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น บริษัทเหล่านี้ ขาดสภาพคล่อง ก็เลยทำให้ตราสารหนี้defaultไป
สงครามการค้า
ปีที่แล้วเป็นผู้ร้าย ประทุตั้งแต่ พค และ รุนแรงขึ้น มีการปรับภาษีวงกว้างมากขึ้น
ไม่รู้ว่าจุดพีค และ จบเมื่อไหร่ ในปีที่แล้ว แต่ปีนี้เป็นปัจจัยบวก เพราะผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว
ไม่เชื่อว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีแบบนี้อีก แต่ก็อาจไม่แน่ว่าจะกลับมา
Phase II ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะคืบหน้ามาก ถึงแม้เจรจาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
Phase I ก้อนที่จะขึ้น 15%ก็ไม่ได้ขึ้น และ ก้อนที่ขึ้น15% ก็ลดไปครึ่งนึง
สรุปแล้ว มีแต่ดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง
สมมติว่าถ้าขึ้นภาษีอีกรอบ ก็ไม่ได้กระทบโดยตรงกับหุ้นในพอร์ตของกองทุน
เพราะรายได้ 95%มาจากประเทศ แต่อาจกระทบทางอ้อม
ช่องสีแดง Net Export 2%ของGDP จีน แต่ที่เหลือเป็นการบริโภคและการลงทุน
ซึ่งกองนี้เน้นการบริโภคในประเทศ
Invert Yield Curve พูดบ่อยในปีที่แล้ว ถ้าไปถามresearch ระดับโลก
จะพูดว่ามีโอกาสเกิดrecession แต่ก็พูดเบาๆว่าอาจจะเกิด
แต่ปีนี้ พูดเสียงดังฟังชัด ว่า ไม่น่าจะเกิด recession
เราเห็นบริษัทที่ลงทุนเติบโตค่อนข้างดี ล้วนอยู่ใน new economy
บริษัทที่มีสินค้าที่ทันสมัย หรือ premium เป็นที่ต้องการของสังคม
สามารถเติบโตได้ดี
มาดูแต่ละsector ของธุรกิจจีน
SOE รัฐวิสาหกิจในจีน ไม่ค่อยมี ปสภ CAR 5%
Private Old economy เช่น พลังงาน ฟอสซิล CAR 19%
Private new economy CAR 30% เติบโตได้สูงมาก
ปัจจัยทำให้โตสำหรับ new china คือ consumption upgrade , Technology
Consumption upgrade เป็นการขายสินค้าที่แพงขึ้น เช่น จากกินมาม่า ก็มากินหม้อไฟแทน
China see explosive growth of millenaries (Asset > 1 M$)
จีน มีคนได้เป็น dollar millionaires เป็น 4,447,000 คนในปีที่แล้ว จากเดิม 38,000 คน ในปี2010
แสดงว่าคนจีนรวยขึ้น
อัตราการเพิ่มขึ้น มีเร็วและแรงมาก 65sec เกิด millionaires 1 คน
คนที่รวยขึ้น ก็ต้องใช้จ่ายมากขึ้น
ตลาดสินค้า Luxury 2012 สัดส่วนคนจีนไปซื้อ 19%
ผ่านไป 8 ปี ตอนนี้กลายเป็น 35%
และปี 2025 คาดว่า จะเป็น 40%ของ millionaires
เพื่อนเคยเล่า สมัยก่อน คนรวยจะซื้อสินค้ามาอวด เป็นสินค้าbrand name , Logo ใหญ่
ต่อมาเน้นสุขภาพ เช่น เสื้อราคา7000บาท หรือ หมอนสุขภาพราคาหลายหมื่น
คุ้นว่าน่าจะเป็นทีน่าเล่านะ 555
ตลาดเหล้าราคาถูก จะโตติดลบ แต่ตลาดpremiumจะเติบโตดี ราคาขวดละหมื่นยิ่งขายดี
นี่คือภาพของ consumption upgrade
Shopping online: Alibaba
เมื่อก่อนจัดวันที่ 11.11 หรือวันคนโสด จัดทุกปี และ ทำลายสถิติทุกปี
ปีที่แล้ว 11/11/2019 ยอดขายในวันเดียว 1,100,000 ล้านบาท หรือเทียบกับยอดขาย 7-11 ใน4ปี
Technology จีนเป็นผู้นำด้านนี้ไปแข่งกับสหรัฐ สิทธิบัตรก็ปรับตัวสูงขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องย้อนมาหลายปีที่ส่งเสริมคนไปเรียนวิทยศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ตอนนี้เยอะสุดในโลก และ สมองเริ่มไหลกลับมาจีน เพราะจ่ายเงินได้สูงขึ้น
ไทยมีการประมูล 5Gในปีนี้ และหลายประเทศเริ่มประมูลและวางโครงข่าย
5G อันดับหนึ่งคือจีน
สองเดือนที่แล้ว จีนได้พัฒนา 6G แล้ว แน่นอนว่าอาจใช้เวลา 7-10ปี
แต่ประเทศอื่นพึ่งเริ่มวางโครงข่ายเอง
อยากให้เห็นวิสัยทัศน์ของจีน ทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น
Ping An ทุ่มงบไปใช้ระบบ Block Chain 22,000 M$ ซึ่งเป็นภาพสะท้อน
ให้เห็นว่า Tech กระจายไปอยู่หลายsectorแล้ว
ตัวอย่างการใช้จ่ายผ่าน QR Code ที่จีน ขอทานรับ QR codeแล้ว
ตอนนี้มีบางร้านค้า ใช้สแกนใบหน้าเพื่อจ่ายเงินด้วย
จีนมีหลายตลาดหุ้น เช่น เซี่ยงไฮ้ เซิ่นเจิ้น หรือ US
A-share จะรวม เซี่ยงไฮ้ และ เซิ่นเจิ้น ซึ่งรวมบริษัท new china ค่อนข้างเยอ
ถ้าลงทุนในจีน ก็ควรลงทุนใน A-share ซึ่งสองตลาดนี้ ติดหนึ่งในสิบตลาดที่มีmarket cap
ถ้ารวมสองตลาดจะใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแล้ว
ตอนนี้ MSCI EM เพิ่มสัดส่วนในการลงทุนในA share 20%
และ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ
แสดงว่า Fund Flow ก็ไหลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้คิดเป็น 7% มีupsideไหลเข้าได้อีกเยอะ
นอกจากนี้ยังมีกองทุนทั่วไปที่ไปลงทุนในจีนได้
จีนก็พยายามเปิดประเทศ และ จะออกกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลให้มีความโปร่งใส
นี่คือเสน่ห์ของตลาดหุ้น A-share
ตราสารหนี้ตอนนี้อยู่ในระดับสูง และ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพมีความหลากหลายก็ต้องเลือก
ปีที่แล้วขึ้นไป 51% แพงไปหรือเปล่า
มาจากตลาดขึ้น 20กว่า% และ มาจากฝีมือผู้จัดการกองทุน 20%กว่า
PE ratio ปีที่แล้วเริ่มจาก 9 เท่ากว่าในต้นปี 2019
พอขึ้นมาเรื่อยๆ PE 12.5 เท่า เมื่อวานลง 8% PE 12 เท่า
ซึ่งยังขึ้นมาน้อยเมื่อเทียบกับ PE ในอดีต
จากรูป Equity Market : PE Ratio
A-share PE ต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น แค่ขึ้นเป็น 16-17 เท่า ก็พอแล้ว จากอดีตเคยขึ้นถึง 22 เท่า
ตลาดหุ้นถูกแพง ดูที่ PE Ratio
เพราะตลาดหุ้น กำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็สามารถเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน ซึ่งPE Ratio ก็จะเท่าเดิม
แต่ถ้ากำไรของตลาดหุ้นทำกำไรได้ 5% แต่ราคาหุ้น ขึ้น 10% แสดงว่า PE จะขยับเพิ่มขึ้น
ปีที่แล้ว หุ้นส่วนใหญ่ของ A-Share กำไรของบริษัทเติบโตทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น