Google แถลงข่าวสัปดาห์นี้เรื่องความสำเร็จของคอมพิวเตอร์แบบ quantum ที่พยายามแอบสร้างและเก็บเป็นความลับมากว่า 13 ปี ซึ่งถึงวันนี้สามารถคำนวณสิ่งที่ซับซ้อนซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดในปัจจุบันต้องคำนวณถึง 10,000 ปี แต่คอมพิวเตอร์ตัวใหม่จะสามารถคำนวณได้ภายในไม่เกิน 200 วินาที
ข่าวนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า เรากำลังก้าวกระโดดเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มนุษย์จะมีเครื่องมือมหัศจรรย์ที่สามารถจะนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์วิจัย ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เปรียบเสมือนกติกาของการทำมาหากินและการดำรงชีวิตเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ
ภาคเอกชนและภาครัฐหลายมุมโลกกำลังแข่งกันเรื่องนี้ทั้งทางลับและแจ้ง ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้จะถูกนำเสนอออกมาเป็นระยะ และจะมีการปรับแต่งเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป้าหมายใหญ่คือต้องการใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ต้องการเพิ่มคุณภาพชีวิตในเชิงสร้างสรรค์ ช่วยประหยัดเวลาและวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่างๆ รวมทั้งการดูแลสุขภาพ และความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ฯลฯ
แต่ขณะเดียวกัน เครื่องมือเหล่านี้ก็อาจเป็นภาระเพิ่มความเสี่ยงต่างๆอย่างที่เรากังวลกันอยู่ว่า สิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็จะมีโทษมหันต์ ปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม และส่งผลเชิงทำลายหลายกรณีแล้ว ที่ค่อนข้างชัดเจนมากคือ การใช้ข้อมูลที่เก็บได้โดยทางสุจริตและไม่สุจริตก็เริ่มกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจส่วนบุคคลและสาธารณะ ตามที่เป็นข่าวแทบทุกวัน
ผู้นำของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศไทยได้กล่าวในที่ประชุมเมื่อไม่นานมานี้แสดงความกังวลว่าอุตสาหกรรมธนาคารได้รีบเร่งเตรียมตัวรับสถานการณ์เรื่องการที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้บริการการเงิน และการพาณิชย์ต่างๆ โดยปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทรกแซงแทบทุกอณูภายในระยะเวลา 10 ถึง 15 ปี แต่ถึงวันนี้ อุตสาหกรรมธนาคารอาจต้องเตรียมตัวเรื่องมาตรการอยู่รอดให้ได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่สามถึงห้าปีเท่านั้น
การแข่งขันเรื่องปัญญาประดิษฐ์ระหว่างมหาอำนาจที่เป็นข่าวมากคือ จีนและอเมริกา ผู้นำจีนได้ประกาศเมื่อปี 2017 ว่าจีนจะต้องเป็นผู้นำทางด้านปัญญาประดิษฐ์ของโลกให้ได้ภายในปี 2030 ซึ่งผู้รู้ประเมินว่าปัจจุบันจีนยังตามฝ่ายตะวันตก คือ อเมริกาและยุโรป อยู่ประมาณห้าถึงเจ็ดปี แต่แนวโน้มที่จีนจะสามารถจะแซงและถึงเป้าหมายที่ประกาศไว้มีความเป็นไปได้สูงมาก อินเดียและประเทศอื่นๆ ก็มีศักยภาพที่ทำเรื่องนี้ได้เช่นกัน
มีการทดลองใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในการเก็บข้อมูลในห้องเรียน โดยบริษัท BrainCo Inc. USA ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีนเพื่อเก็บข้อมูลในห้องเรียนจากนักเรียนประถม โดยส่งเครื่องวัดสมาธิของนักเรียนโดยเก็บข้อมูลจากหลายหมื่นคน และมีเป้าหมายจะรวบรวมข้อมูลไปถึง 200 ล้านคน ข้อมูลที่สะสมไว้นี้ จะนำไปพัฒนาเพื่อจุดประสงค์หลายอย่าง การทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างใหญ่ขนาดนี้ อาจจะทำได้ในบางประเทศ เช่นจีน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อาจไม่แปลกนัก เนื่องจากมีการให้ความสำคัญกับการศึกษา และอยากร่วมมือในการพัฒนาเครื่องมือให้ช่วยการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Facebook มีสมาชิกถึง 2,300 ล้านคน และมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับทุกประเทศ ทุกกลุ่มประชากร ทุกอาชีพและพฤติกรรมความสนใจส่วนบุคคลต่างๆ ส่วน LINE ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ชาวไทยและหลายประเทศในเอเชีย กรอกเก็บสะสมข้อมูลต่างๆเหล่านี้ไว้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าเช่นกัน ยังมีอีกหลายบริษัทนับไม่ถ้วนที่แข่งขันกันเรื่องข้อมูล การรู้จักผู้บริโภคโดยข้อมูลละเอียดเหล่านี้ (บริษัทผู้เก็บข้อมูลชั้นนำของจีนอ้างว่ามีข้อมูลละเอียดเฉพาะบุคคลโดยเฉลี่ยถึงกว่าหมื่นอย่าง) ทำให้มีการชี้ชวนและโน้มน้าวจิตใจให้ตัดสินใจซื้อขายหรือทำกิจกรรมในสังคม โดยที่ผู้บริโภคอาจคิดว่าตนตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ อาจช่วยชี้แนะ สะกดจิต และโน้มน้าวให้ตัดสินใจโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้
การเลือกตั้งทั่วโลกก็มีการแทรกแซงโดยเครื่องมือสมองกลเหล่านี้ สหรัฐอเมริกากำลังกังวลมากเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะมาถึงในปี 2020 นี้ เนื่องจากมีหลักฐานของการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา และปัจจุบันก็ยังไม่มีมาตรการที่มั่นใจว่าจะป้องกันการแทรกแซงได้
ปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์ป้อนข้อมูลเข้าไป ดังนั้นการคำนวณทุกอย่างก็จะเกิดจากความจำจากข้อมูลที่ได้รับ จากความรู้และพฤติกรรมของมนุษย์ ความจำและข้อมูลเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด ถึงแม้ว่าจะมีความหลากหลายและปริมาณมหาศาล และปัญญาประดิษฐ์สามารถจะปรับเรื่องความฉับไว สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มนุษย์ก็คงสามารถที่จะควบคุมคิดจำกัดและสมรรถภาพของมันได้ แต่ที่เราต้องเตรียมตัวให้รอบคอบคือ อีกไม่นานนัก น่าจะมีการก้าวกระโดดไปอีกระดับหนึ่งคือ ปัญญาประดิษฐ์สามารถจะคิดได้เองและมีความสามารถมากกว่ามนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงในวิชาชีพนี้ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์จะเก่งกว่ามนุษย์นั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก
ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้และจะต้องเผชิญหน้ากับมัน เราอาจต้องใช้มาตรการเหนือปัญญาประดิษฐ์ โดยการใช้สมาธิและจิตเป็นหลัก เราคงต้องหวนกลับไปสู่ความรู้พื้นฐานที่เรามีทุนอยู่แล้ว หมายถึงความเป็นมนุษย์มีความฉลาดโดยธรรมชาติที่ประเมินค่ามิได้ นักปรัชญาจากหลายสถาบันทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจเรื่องความฉลาดโดยธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเราอาจมองข้ามไป ปัจจุบันมีแนวโน้มการเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างจริงจังเรื่องการฝึกจิตและสมาธิ สถาบันที่ผลิตปัญญาประดิษฐ์ต่างๆก็นำเรื่องจิตและสมาธิเข้ามาให้บุคลากรศึกษาและปฏิบัติ เพื่อฟื้นฟูความฉลาดโดยธรรมชาติของมนุษย์ Google เชิญ Sadhguru นักปรัชญาชาวอินเดีย ไปพูดให้บุคลากรฟัง และเป็นเนื้อหาที่อยากจะแนะนำให้ท่านผู้อ่านค้นคว้าเพิ่มเติม
ชาวไทยเรามีการปฏิบัติเรื่องจิตและสมาธิแพร่หลายมากอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นทุนที่มีประโยชน์มาก หากเรารู้จักผสมผสานสมาธิและความนิ่งเชิงลึกของจิต กับ นวัตกรรมแปลกใหม่ที่กำลังจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว บ้านเรามีบุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก นี่อาจเป็นโอกาสให้เราเปิดโลกมิติใหม่จากปัญญาประดิษฐ์เป็นประดิษฐ์ปัญญานะครับ
ปัญญาประดิษฐ์ : ประดิษฐ์ปัญญา/กฤษฎา บุญเรือง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1