ฝ่าวิกฤติลงทุนครึ่งปีแรก/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1827
ผู้ติดตาม: 1

ฝ่าวิกฤติลงทุนครึ่งปีแรก/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นักลงทุนทุกคนคงเห็นพ้องต้องกันว่า ครึ่งแรกของปีนี้ผ่านไปเหมือนฝันร้าย แต่ก็ไม่ใช่ฝันร้ายตลอด 6 เดือน โดยเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนที่ฝันร้ายสุดๆ และค่อยผ่อนคลายลงในเดือนเมษายน และพฤษภาคม

สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนแบบผสมผสาน และติดตามการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดิฉันแนะนำ ขอเรียนให้ทราบว่า รูปแบบพอร์ต 5 แบบที่แนะนำไปในเดือนมกราคม นั้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ติดลบทุกพอร์ตค่ะ

ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 สินทรัพย์หลักที่ดิฉันติดตามและนำเสนอข้อมูลเป็นระยะๆ ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมีเพียงของกลุ่มคือ ทองคำและพันธบัตร โดยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ ทองคำ ซึ่งให้ผลตอบแทน 16.2% โดยมีค่าความผันผวน 18.29% ตามมาด้วยพันธบัตรรัฐบาลไทย ให้ผลตอบแทน 1.4% และมีค่าความผันผวนเพียง 4.58%

ส่วนสินทรัพย์ที่เหลือให้ผลตอบแทนติดลบหมดเลยค่ะ โดยที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดคือ น้ำมัน ขาดทุนถึง 35.7% มีค่าความผันผวนถึง 404.68% ถัดมาคือโภคภัณฑ์ ขาดทุน 25.7% ค่าความผันผวน 30.36% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โลก ให้ผลขาดทุน 20.6% โดยมีค่าความผันผวน 39.96% และหุ้นไทย ขาดทุน 15.2% มีค่าความผันผวน 31.01%

รองลงมาคือ ดัชนีหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ปรับตัวลดลง 9.8% มีค่าความผันผวน 25.23% ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวลดลง 9.6% ค่าความผันผวน 41.21% หุ้นของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก วัดจากดัชนี MSCI World ปรับตัวลดลง 5.8% มีค่าความผันผวน 32.39% ส่วนดัชนีหุ้นญี่ปุ่น นิเคอิ ปรับตัวลดลง 5.8% เท่ากันกับดัชนีหุ้นทั่วโลก แต่มีค่าความผันผวนน้อยกว่าเล็กน้อย คือผันผวน 27.34%

พอร์ตการลงทุนแบบอนุรักษนิยมที่แนะนำไว้ คาดหวังผลตอบแทน 3.63% แต่กลับขาดทุน 4.92% ส่วนพอร์ตความเสี่ยงปานกลาง คาดหวังผลตอบแทนไว้ 4.88% กลายเป็นขาดทุน 6.73% และพอร์ตรับความเสี่ยงได้เพิ่ม คาดหวังผลตอบแทน 5.23% กลับขาดทุน 6.94% ส่วนพอร์ตเสี่ยงได้สูง คาดหวัง 5.65% กลับขาดทุน 7.12% และพอร์ตเสี่ยงสูงมาก คาดหวัง 6.53% กลับขาดทุน 5.23% ค่ะ

สรุปแล้วทุกพอร์ตได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ คือ ขาดทุนหมดนะคะ เพราะปีนี้เป็นปีที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น ยังมีเวลาเหลืออยู่อีก 5 เดือนค่ะ คาดว่าทุกพอร์ตน่าจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ จึงต้องรอปีหน้า

ทั้งนี้ ค่าความผันผวนในครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นมีที่มีเหตุการณ์พิเศษเรื่องโรคระบาด ไวรัสโควิด-19 มีตัวเลขสูงมากค่ะ ดิฉันตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่าในสองปีที่ผ่านมา ค่าความผันผวนในการลงทุนลดลงไปต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และเป็นห่วงว่าอาจมีความผันผวนแรงๆเกิดขึ้น

ค่าความผันผวนในครึ่งแรกของปี ของพอร์ตแรกที่เป็นแบบอนุรักษนิยม เท่ากับ 14.59% จากที่คาดไว้ 5.58% พอร์ตความเสี่ยงปานกลาง มีค่าความผันผวน 19.22% จากที่คาดไว้ 7.47% พอร์ตเสี่ยงได้เพิ่ม มีค่าความผันผวน 20.75% จากที่คาดไว้ 8.06% พอร์ตเสี่ยงได้สูง มีค่าความผันผวน 22.5% จากที่คาดไว้ 8.8% และพอร์ตเสี่ยงสูงมาก มีค่าความผันผวน 27.0% จากที่คาดไว้ 10.4%

จะเห็นว่า การจัดพอร์ตการลงทุนแบบผสม จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ทำให้สินทรัพย์ไม่กระจุกตัวอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่ง ทำให้การขาดทุนไม่รุนแรง ในขณะเดียวกันหากตลาดเป็นขาขึ้น ก็เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆประเภท ทั้งนี้ ในช่วงเวลาใดที่เห็นว่าสินทรัพย์ใดจะมีแนวโน้มไม่ดี หรือมีความเสี่ยงสูงเกินไป เราก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนได้ เช่น ในพอร์ตทั้ง 5 พอร์ต ดิฉันไม่แนะนำให้ลงทุนในโภคภัณฑ์เลยในปีนี้ ซึ่งครึ่งปีแรกขาดทุนถึง 25.7% (โภคภัณฑ์จะรวมถึงน้ำมันซึ่งขาดทุนสูงที่สุด ถึง 35.7% ด้วย)

ท่านผู้อ่านที่สนใจลงทุนในลักษณะพอร์ตแบบผสมอย่างนี้ ต้องผสมกองทุนหลายกองทุนหน่อยค่ะ เพราะส่วนใหญ่กองทุนแบบผสม ก็จะไม่ค่อยมีการลงทุนในต่างประเทศ หรือทองคำ ท่านก็ต้องแบ่งเงินออกมาลงทุนเพิ่มในกองทุนรวมเหล่านี้ ด้วยตนเอง

สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนครบ น่าจะเป็นพอร์ตของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. เพราะลงทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และกระจายการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆอย่างทั่วถึง โดยมีการทบทวนน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆเป็นระยะๆ และสมาชิกยังสามารถเลือกแผนการลงทุนตามความสามารถในการรับความเสี่ยงและการคาดหวังผลตอบแทนของตนเองได้ด้วยค่ะ มีให้เลือกถึง 7 แผน แต่แผนผสมผสานมี 4 แผนค่ะ ที่เหลือเป็นแผนตราสารทุนไทย และแผนตราสารหนี้ กับตลาดเงิน ซึ่ง ตราสารหนี้กับตลาดเงินนั้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการลงทุนระยะสั้น ที่ไม่ต้องการความผันผวน เพราะผลตอบแทนที่คาดหวังจะน้อย

สำหรับในครึ่งปีหลัง ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆน่าจะผันผวนน้อยกว่าในครึ่งแรกของปี สำหรับพันธบัตรอาจจะคาดหวังได้เพียงให้เดินไปตามดอกเบี้ยที่จะได้รับ ส่วนหุ้นกู้ต้องระวังผลการดำเนินงานและสภาพคล่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยของผู้ออก ส่วนการลงทุนในหุ้นทุน ในครึ่งหลังของปี เราจะเห็นผู้แพ้ผู้ชนะชัดเจนขึ้น จึงต้องคัดสรรทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและตัวบริษัทด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ต้องจับตาดูทองคำนะคะ เนื่องจากราคาขึ้นมามากแล้ว ณ ราคา 1,960 เหรียญต่อออนซ์ ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่ม ควรซื้อเมื่ออ่อนตัวเท่านั้น แต่ผู้ที่ถือลงทุนอยู่แล้ว สามารถรอขายทำกำไรหลังจากขึ้นไปสูงสุดได้ หมายถึง ขายเมื่อเริ่มตกก็ยังทันค่ะ และหากซื้อกองทุนทองคำ ควรซื้อกองทุนที่มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงินนะคะ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อไปค่ะ

ทั้งนี้อย่าลืมนะคะว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง”
ข้อมูลผลตอบแทนและค่าความผันผวนจาก Bloomberg รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โพสต์โพสต์