ตลาดหุ้นไทยลงทุนได้อีกเพียง 4-5 ปี ?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
ตลาดหุ้นไทยลงทุนได้อีกเพียง 4-5 ปี ?
โพสต์ที่ 1
1/12/2020 ตลาดหุ้นไทยลงทุนได้อีกเพียง 4-5 ปี ? สรุปโดย Money work
ผมยังดูรายการ Money Talk ของกลุ่มดร.ไพบูลย์อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะที่ไม่ได้เกี่ยวกับกับหุ้นรายตัว แม้จะไม่ได้เขียนถึงก็ตาม ล่าสุดที่ดูคือของวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งมีการเชิญ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาประชันกันในหัวข้อ .. ฟันธงหุ้นไทย!!! เซียนกราฟ vs กูรูวีไอ
ในช่วงกลางๆ ผมได้ยินคำพูดที่น่าตกใจ ก็เลยจะเอามาเล่าวันนี้
ขออนุญาตไม่พูดถึงเสี่ยป๋องที่ดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพราะกำลังจับจ้องหน้าจอทั้ง 8 อยู่ที่บ้าน มีการพิมพ์อะไรก๊อกแก๊กอยู่เกือบตลอดเวลายกเว้นตอนพูด เขาเคยบอกว่าบางช่วงก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการเทรดเท่าไหร่นัก แต่บางช่วงก็จะเกาะติดจออย่างใกล้ชิด เช่นในตอนนี้น่าจะใช่ เพราะว่าตลาดหุ้นกำลังร้อนแรง
หลักๆคือมีการคุยกันเรื่องตลาดหุ้นไทยในปีหน้า และในระยะยาว ปีหน้าผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เศรษฐกิจคงจะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ตลาดหุ้นจะเป็นยังไงนี่เสียเวลาไปทำนาย เพราะว่าไม่ถูกหรอก ส่วนในระยะยาวผู้อ่านก็คงเห็นภาพเลือนรางที่จะค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆว่า การเมืองวุ่นวาย + สังคมผู้สูงอายุ + ขาดเทคโนโลยี จะส่งผลให้ปลายทางของ Thailand ไปอยู่ที่ใด
ดร.นิเวศน์เปิดออกมาว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยราคาไม่ถูก อนาคตก็ดูไม่ดี แต่ได้การกลับมาซื้อของฝรั่ง และเงินที่ถมเข้ามาเรื่อยๆของประชาชนที่มีเงินออม ทำให้หุ้นขึ้นแรง เหตุการณ์นี้อาจจะดำเนินต่อไปอีกราว 3 ปี โดยที่พื้นฐานก็ไม่ได้รองรับ ที่สุดแล้วหุ้นอาจจะขึ้นไปถึง 1,800 จุดในตอนนั้น (ซึ่งเสี่ยป๋องเสริมด้วยแนวคิด “ขา 3 ใหญ่” อาจจะไปถึง 2,600 - 2,900 จุดเลยทีเดียว แต่ต้องราวปี 2027)
ที่ผมว่าน่าสนใจมากคือ ดร.นิเวศน์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้บุกเบิกการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย และได้โลดแล่นในตลาดมากกว่า 20 ปี ถึงแม้ท่านจะเป็นแนวหน้าไปลงทุนที่เวียดนาม แต่นั่นก็เป็นเงินส่วนน้อยราว 10% เท่านั้น เมื่อวานท่านกลับบอกว่า ตอนนี้มีความคิดลึกๆว่า ตัวเองน่าจะ bet บนพื้นฐานของประเทศไทยอีกได้แค่ 4-5 ปี หลังจากนั้นถ้าไม่มีอะไรดีขึ้นก็คงจะจบแล้ว ต้องย้ายเงิน (ส่วนใหญ่) ออกไปต่างประเทศ หรือไม่ก็ซื้อพันธบัตร !!!
ซึ่งก็ไม่เห็นว่าอะไรมันจะดีขึ้นได้ยังไง ท่านยังไล่ให้ดูทีละ Sector เช่น พลังงานก็ไม่มีอนาคต ธนาคาร สื่อสาร ก็ไม่โต
“โรงไฟฟ้าน่ะไปซื้อที่ต่างประเทศ ดีกว่า ถูกกว่า”
แม้แต่ค้าปลีกก็อิ่มตัว ... เป็นต้น
แต่ก็ออกตัวว่า นี่มันเป็นแค่เพียงทฤษฎี ที่จะต้องติดตามความก้าวหน้าเรื่อยๆ ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า
สรุปสั้นๆว่า นี่เป็นการขึ้นครั้งสุดท้ายของตลาดหุ้น หลังจากนั้นถ้าพื้นฐานยังเหมือนเดิม ดร.นิเวศน์ก็จะไม่อยู่เมืองไทยแล้ว แม้แต่ CPALL หุ้นที่ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของกูรูท่านนี้ในปัจจุบัน ก็อาจจะขายด้วย
มีอีกคำพูดหนึ่งที่ทำผมให้เชื่อว่า ท่านน่าจะเอาจริง ดร.นิเวศน์บอกว่า ตอนใกล้ตายต้องส่งมอบมรดกให้ลูก จากเดิมจะให้เป็นหุ้น ต่อไปให้เป็นกองทุนที่ลงในต่างประเทศน่าจะดีกว่า หาประเทศที่ยังเติบโตได้ดี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความมั่งคั่งเอาไว้
ถ้าผู้อ่านไม่แน่ใจ คิดว่าผมฟังผิด ลองฟังเองที่นี่ครับ
https://youtu.be/6gXch3tKCzY
ก่อนหน้านั้นไม่เกินสองสัปดาห์ ดร.นิเวศน์ให้ตัวเลขผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 7% ต่อปี รวมทุกอย่างแล้ว ยังไม่ได้รวมผลประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อกองทุนรวมบางชนิด
ผู้อ่านอย่าเพิ่งถอดใจนะครับ (และก็อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าหุ้นขึ้นคราวนี้เรากลายเป็นเซียนแล้ว) ท่านเป็นเป็นนักลงทุนที่เน้นดูภาพใหญ่ เลือกอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยหาผู้ชนะ ถ้าเราเป็นนักลงทุนแนวพลิกหินทุกก้อน ก็ยังจะเจออะไรดีๆในตลาดต่อไปแน่นอน
แต่ก็ต้องเตือนว่าแนวนี้ฉลามเยอะน้า ไม่เก่งจริง+เฮงจริง ประสบความสำเร็จยากครับ
ภาพประกอบ : ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาลง รูปนี้มาจากสวนสัตว์เชียงใหม่ที่ผมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมยังดูรายการ Money Talk ของกลุ่มดร.ไพบูลย์อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะที่ไม่ได้เกี่ยวกับกับหุ้นรายตัว แม้จะไม่ได้เขียนถึงก็ตาม ล่าสุดที่ดูคือของวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งมีการเชิญ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาประชันกันในหัวข้อ .. ฟันธงหุ้นไทย!!! เซียนกราฟ vs กูรูวีไอ
ในช่วงกลางๆ ผมได้ยินคำพูดที่น่าตกใจ ก็เลยจะเอามาเล่าวันนี้
ขออนุญาตไม่พูดถึงเสี่ยป๋องที่ดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพราะกำลังจับจ้องหน้าจอทั้ง 8 อยู่ที่บ้าน มีการพิมพ์อะไรก๊อกแก๊กอยู่เกือบตลอดเวลายกเว้นตอนพูด เขาเคยบอกว่าบางช่วงก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการเทรดเท่าไหร่นัก แต่บางช่วงก็จะเกาะติดจออย่างใกล้ชิด เช่นในตอนนี้น่าจะใช่ เพราะว่าตลาดหุ้นกำลังร้อนแรง
หลักๆคือมีการคุยกันเรื่องตลาดหุ้นไทยในปีหน้า และในระยะยาว ปีหน้าผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เศรษฐกิจคงจะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ตลาดหุ้นจะเป็นยังไงนี่เสียเวลาไปทำนาย เพราะว่าไม่ถูกหรอก ส่วนในระยะยาวผู้อ่านก็คงเห็นภาพเลือนรางที่จะค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆว่า การเมืองวุ่นวาย + สังคมผู้สูงอายุ + ขาดเทคโนโลยี จะส่งผลให้ปลายทางของ Thailand ไปอยู่ที่ใด
ดร.นิเวศน์เปิดออกมาว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยราคาไม่ถูก อนาคตก็ดูไม่ดี แต่ได้การกลับมาซื้อของฝรั่ง และเงินที่ถมเข้ามาเรื่อยๆของประชาชนที่มีเงินออม ทำให้หุ้นขึ้นแรง เหตุการณ์นี้อาจจะดำเนินต่อไปอีกราว 3 ปี โดยที่พื้นฐานก็ไม่ได้รองรับ ที่สุดแล้วหุ้นอาจจะขึ้นไปถึง 1,800 จุดในตอนนั้น (ซึ่งเสี่ยป๋องเสริมด้วยแนวคิด “ขา 3 ใหญ่” อาจจะไปถึง 2,600 - 2,900 จุดเลยทีเดียว แต่ต้องราวปี 2027)
ที่ผมว่าน่าสนใจมากคือ ดร.นิเวศน์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้บุกเบิกการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย และได้โลดแล่นในตลาดมากกว่า 20 ปี ถึงแม้ท่านจะเป็นแนวหน้าไปลงทุนที่เวียดนาม แต่นั่นก็เป็นเงินส่วนน้อยราว 10% เท่านั้น เมื่อวานท่านกลับบอกว่า ตอนนี้มีความคิดลึกๆว่า ตัวเองน่าจะ bet บนพื้นฐานของประเทศไทยอีกได้แค่ 4-5 ปี หลังจากนั้นถ้าไม่มีอะไรดีขึ้นก็คงจะจบแล้ว ต้องย้ายเงิน (ส่วนใหญ่) ออกไปต่างประเทศ หรือไม่ก็ซื้อพันธบัตร !!!
ซึ่งก็ไม่เห็นว่าอะไรมันจะดีขึ้นได้ยังไง ท่านยังไล่ให้ดูทีละ Sector เช่น พลังงานก็ไม่มีอนาคต ธนาคาร สื่อสาร ก็ไม่โต
“โรงไฟฟ้าน่ะไปซื้อที่ต่างประเทศ ดีกว่า ถูกกว่า”
แม้แต่ค้าปลีกก็อิ่มตัว ... เป็นต้น
แต่ก็ออกตัวว่า นี่มันเป็นแค่เพียงทฤษฎี ที่จะต้องติดตามความก้าวหน้าเรื่อยๆ ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า
สรุปสั้นๆว่า นี่เป็นการขึ้นครั้งสุดท้ายของตลาดหุ้น หลังจากนั้นถ้าพื้นฐานยังเหมือนเดิม ดร.นิเวศน์ก็จะไม่อยู่เมืองไทยแล้ว แม้แต่ CPALL หุ้นที่ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของกูรูท่านนี้ในปัจจุบัน ก็อาจจะขายด้วย
มีอีกคำพูดหนึ่งที่ทำผมให้เชื่อว่า ท่านน่าจะเอาจริง ดร.นิเวศน์บอกว่า ตอนใกล้ตายต้องส่งมอบมรดกให้ลูก จากเดิมจะให้เป็นหุ้น ต่อไปให้เป็นกองทุนที่ลงในต่างประเทศน่าจะดีกว่า หาประเทศที่ยังเติบโตได้ดี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความมั่งคั่งเอาไว้
ถ้าผู้อ่านไม่แน่ใจ คิดว่าผมฟังผิด ลองฟังเองที่นี่ครับ
https://youtu.be/6gXch3tKCzY
ก่อนหน้านั้นไม่เกินสองสัปดาห์ ดร.นิเวศน์ให้ตัวเลขผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 7% ต่อปี รวมทุกอย่างแล้ว ยังไม่ได้รวมผลประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อกองทุนรวมบางชนิด
ผู้อ่านอย่าเพิ่งถอดใจนะครับ (และก็อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าหุ้นขึ้นคราวนี้เรากลายเป็นเซียนแล้ว) ท่านเป็นเป็นนักลงทุนที่เน้นดูภาพใหญ่ เลือกอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยหาผู้ชนะ ถ้าเราเป็นนักลงทุนแนวพลิกหินทุกก้อน ก็ยังจะเจออะไรดีๆในตลาดต่อไปแน่นอน
แต่ก็ต้องเตือนว่าแนวนี้ฉลามเยอะน้า ไม่เก่งจริง+เฮงจริง ประสบความสำเร็จยากครับ
ภาพประกอบ : ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาลง รูปนี้มาจากสวนสัตว์เชียงใหม่ที่ผมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไทยลงทุนได้อีกเพียง 4-5 ปี ?
โพสต์ที่ 3
เห็นด้วยกับอาจารย์เลยครับ ผมสังเกตว่าตอน Subprime ตลาดหุ้นก็ไปต่อหลังวิกฤตได้ราวๆ4-5ปี โดยเฉพาะการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน2ปีแรก และจากมาตรการQE แต่พอหมดQE ตลาดหุ้นไทยก็ซึมมาตลอดจนกระทั่งโควิต รอบนี้ก็คงไม่ต่างกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดหุ้นไทยลงทุนได้อีกเพียง 4-5 ปี ?
โพสต์ที่ 4
รอบนี้ผมคิดว่าน่าจะหนักกว่ารอบที่แล้ว
เพราะปัจจัยแตกต่างกัน
1.เราเข้าสู่สังคมสูงอายุ เด็กเกิดใหม่ลดลงทำให้การบริโภคลดลง
2.เรามีแต่ธุรกิจแบบเก่า การเติบโตก็ลดลง การส่งออกก็ลดลง
3.COVID-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนGDP10%กว่าถูกกระทบอีกหลายปี
แต่การลงทุนยังสามารถเสาะหาหุ้นที่ยังได้ประโยชน์อยู่
เหมือนกับที่อาจารย์พูดถึงข้อ4ที่ยังลงทุนในไทยได้
แต่สัดส่วนอาจไม่มากเหมือนปัจจุบันที่ลง80%
เพราะปัจจัยแตกต่างกัน
1.เราเข้าสู่สังคมสูงอายุ เด็กเกิดใหม่ลดลงทำให้การบริโภคลดลง
2.เรามีแต่ธุรกิจแบบเก่า การเติบโตก็ลดลง การส่งออกก็ลดลง
3.COVID-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนGDP10%กว่าถูกกระทบอีกหลายปี
แต่การลงทุนยังสามารถเสาะหาหุ้นที่ยังได้ประโยชน์อยู่
เหมือนกับที่อาจารย์พูดถึงข้อ4ที่ยังลงทุนในไทยได้
แต่สัดส่วนอาจไม่มากเหมือนปัจจุบันที่ลง80%