กลยุทธ์ลงทุนในต่างประเทศ โดย อาจารย์ชาย มโนภาส

การลงทุนอื่นๆนอกจากหุ้น วีไอ กองทุนรวมชนิดต่างๆ RMF LTFตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ อนุพันธ์ และเกษตรล่วงหน้า

โพสต์ โพสต์
amornkowa
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2576
ผู้ติดตาม: 1

กลยุทธ์ลงทุนในต่างประเทศ โดย อาจารย์ชาย มโนภาส

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่5 ในปีแห่งการฟื้นตัว
ข้อคิด:การลงทุนในต่างประเทศ?
และเส้นทางลงทุนกับเส้นทางธรรม
โดย อาจารย์ชาย มโนภาส

พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร

อาจารย์นิเวศน์เริ่มคำถามแรก กับอดีตนายกThaivi
ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ไหม
เพราะเจอหุ้นที่อยู่ๆก็ขึ้นและลงทีละ20-30%
Volumnซื้อขายของSETสูง 100,000กว่าล้านบาท

อาจารย์ชายตอบว่า สำหรับผม หลักการลงทุนในการลงทุนแบบวีไอก็เหมือนเดิม
ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไป
ผมอ่านresearchของตปท ตอนนี้ในโลกสภาวะที่คล้ายกัน
เงินล้นโลก ปริมาณเงินM1,M2 สภาพคล่องสูงล้นโลก
การเก็งกำไรก็สูง สินทรัพย์แบบบิตคอยก็ผันผวนสูง
ดอกเบี้ยต่ำ คนเลยเอาเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงดีกว่า
ไม่แน่ใจที่ขึ้นจาก ปัจจัยพื้นฐาน หรือ การเก็งกำไร

หลักการของผมคล้ายเดิม ที่เปลี่ยนแปลงคือ
สนใจในบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น จากการอ่านresearch
ทุกอย่างจะต่อเชื่อมกันด้วยinternet
4Gที่เกิดขึ้นทำให้การเชื่อมโยงผ่านinternet
ข้อมูลข่าวสาร ทั้งข้อมูลวิเคราะห์ ด้านสาระ และบันเทิง
ข้อมูลได้รับการเชื่อมผ่าน4G
พอ5Gเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า
การเชื่อมโยงinternet of thing (IOT)มากขึ้น ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่า
เปรียบเหมือนกับ ถนนเปลี่ยนจาก 1 เลน เป็น 100เลน
การเชื่อมโยงของอุปกรณ์ง่ายขึ้น
เช่น Telemedical, Smart Manufacturing , Autonomous จะสนใจมากเป็นพิเศษ
ที่เปลี่ยนไปในการดู Ratio เช่น PB จะมีผลค่อนข้างมาก ซึ่งสินทรัพย์เมื่อก่อนเรามาจาก
Manufacturing base สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นสินทรัพย์จับต้องได้(Tangible )
ต่อไปเชื่อว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็น สินทรัพย์แบบจับต้องไม่ได้ (Intangible)
เช่นบริษัท Software company
ต้องดูทรัพย์สินมากกว่าเดิม มีpatientอะไรบ้าง Softwareอะไรบ้างที่ก่อให้เกิด
กระแสเงินสด
อะไรที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่ลงทุนเหมือนเดิม

อาจารย์ไพบูลย์ถามอาจารย์นิเวศน์ ว่าหุ้นที่ผันผวน ได้กำไรในเวลาเพียง1-2 วัน
อาจารย์นิเวศน์ตอบว่า ไม่ทำอยู่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวไปลงทุนแบบนี้ได้
คนรุ่นใหม่คิดกำไรกันเป็นรายวันเช่น ต้องได้วันละแสนบาท
เขาจะทนไหวเหรอ ที่ถือหุ้นและไม่ไปไหนเลย แต่หุ้นอยู่บนกระดาน
ที่ขึ้นทุกวัน เลยย้ายไปหุ้นที่ผันผวน ตอนนี้หุ้นที่ถูกconnerกำไรวันละ
25% แต่เขาบอกว่ามีวิธีในการลงทุน
มีผู้นำในการจับตาหุ้นแต่ละตัว อาจารย์ไม่อยากไปยุ่งถึงแม้จะเจ็บใจก็ตาม
หุ้นที่ถือจะนิ่งไปอีกกี่ปี

อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า ประวัติศาสตร์สอนเราว่า
ปีนี้จะมีนักลงทุนรวยหุ้นด้วยการลงทุนแบบนี้100คน
แต่พอผ่านไปปีนึงจะเหลือแค่5คน อีก90กว่าคนก็ตายจะตลาดไป
เป็นแบบนี้มาตลอด ใครจะเป็น5คนที่รอดซึ่งจะรวยมากๆ
และจะไปสร้างความรู้สึกว่าลงทุนแบบนี้จะได้กำไรมากๆ

กลับมาถามอาจารย์ชายว่า ที่พูดมาทั้งหมดในไทยมีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เมืองไทยหายาก เพราะเรายังเป็นmanufacturing base
และขึ้นกับการท่องเที่ยวด้วย(17%ของGDPในปี62)
ถ้าเป็นเทคโนโลยีสูง , Software company , Software as a service
หายาก ถ้ามีก็จะเป็นบริษัทเล็กๆ 2-3 บริษัทในตลาดต่างประเทศ
แต่หาได้เยอะในตลาดต่างประเทศ
ถ้าเป็นนักลงทุนในตลาดมา5ปี ควรศึกษาสัก1-2ปี
เพื่อศึกษาความรู้และกฏเกณฑ์ต่างๆ
แต่ถ้าใครที่คิดว่าเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ไปลงทุนตปทก็จะได้ความรู้กว้างขวาง
นำไปใช้กับตลาดหุ้นไทยได้ แต่ต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย
เพราะภาพแมคโครเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
เช่นในละตินอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน10%กว่า
ถ้ากำไรหุ้นแล้วมาขาดทุนค่าเงิน อยู่ตลาดหุ้นไทยจะดีกว่า

อาจารย์ไพบูลย์ถามว่า มีบลจเปิดกองทุนใหม่ๆเยอะ โดยเฉพาะ
ไตรมาสสี่ปีที่แล้ว นักลงทุนไทยซื้อกองทุนหุ้นแบบนี้ดีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เป็นทางเลือกที่ดี กองทุนมีหลากหลายต้องจัดสรรให้ดี
หลายกองคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างแพง ซื้อตรงจะดีกว่า
ถ้าเราเชื่อใจ ผจก กองทุน และถืออย่างเข้าใจ
แต่ไม่เห็นด้วยที่ซื้อกองทุนตามแห่
อยู่ดีๆNAVกองทุนลดลงอย่างมาก
ดังนั้นควรศึกษากองทุนให้ดีก่อนลงทุน เหมือนกับการซื้อหุ้น
ที่เราต้องศึกษาก่อนการลงทุน ให้รู้ว่ากิจการทำอะไรอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร

เราต้องรู้ว่า กองทุนนี้ปันผลหรือเปล่า มีการhedgeอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ลงทุนfeeder fundกองเดียวหรือเปล่า

ปี63ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน20%ของport
ปีนี้ก็คงสัดส่วนเท่าเดิม เพราะยังลงทุนหุ้นไทยได้ดี
ต้องรักษาสุขภาพ เพราะการลงทุนต่างประเทศ ต้องนอนดึกเพื่อดูหุ้น
บริษัทที่ขึ้นราคาสูงๆได้ในต่างประเทศ ทุกๆปีต่อเนื่องยาวนาน
มีค่อนข้างมาก แต่หายากในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าสนใจเหลืออยู่บ้าง
ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Domestic play ทางด้านบริการ
แต่ถ้าพวกการผลิต ไม่ค่อยมีหุ้นในเมืองไทยมากนัก
มีบ้างซึ่งไม่ได้ลงcapexไม่มาก แต่สามารถขยายงานต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามมีpotential
อาจารย์ชายมองว่าศักยภาพในการลงทุน ไม่สามารถลงทุนได้3-4ประเทศ
ผมเลยลงทุนในต่างประเทศแค่ที่เดียว ไม่ต้องไปศึกษา accounting policy
หลายประเทศ ซึ่งมีกฏเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน
การลงทุนในไทยได้ผลตอบแทนชนะเงินฝากมาหลายปี
มีecosystem ที่ทำให้การลงทุนได้ผลตอบแทนดี เช่น
มีเเหล่งข้อมูลที่ดีมากจาก Webboard Thaivi, Settrade.com,set.or.th
นอกจากนี้ มีรายการหลายรายการที่ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสาร เช่น Moneytalk
เลยเลือกอเมริกา ซึ่งมีecosystemพอๆกับที่หาได้ในเมืองไทย
มีwebboard รายการที่ให้ข่าวสารเยอะมาก
ปัญหาคือดูไม่ทัน ก็เลยเลือกลงทุนในอเมริกา
ส่วนที่เวียดนาม ก็สนใจ ถ้าดูจาก GDP, รายได้ประชากรต่อหัว มีโอกาสเติบโตอีกมาก
แต่ได้ยินว่า นักลงทุนบางท่านไปเรียนภาษาเวียดนาม ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้

อาจารย์นิเวศน์ ไปลงทุนที่เวียดนามแบบETFในช่วงหลัง
ส่วนอาจารย์ก็ลงทุน5 ตัวในตลาดหุ้นอเมริกา
โดยเน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
ส่วนหุ้นที่ถือ market cap อย่างน้อยสุด 20,000ล้าน$
หุ้นในBig tech สามารถทำได้หลายธุรกิจและเปลี่ยนไปทำธุรกิจได้ง่ายมาก
ก็เลยมีถือหุ้นลักษณะไว้เหมือนกัน
หุ้นฮุนได ขึ้นมา20%กว่าหลังมีข่าวว่าจะพัฒนารถกับบริษัทApple

อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า อาจารย์ชายดำเนินชีวิตในสายธรรมด้วย
เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์ภาวนาวิสุทธิญาณเถร(แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์
ปฎิบัติธรรมตลอด อายุเพียง49ปี ถึงเวลาปรับชีวิตไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้นไหม

อาจารย์ชายตอบว่า ทุกวันนี้ที่ปฏิบัตอยู่ คู่ขนานกันไป ทั้งสายธรรมและการลงทุน
ตอนเช้าตื่นมาปฏิบัติ เดินจงกรม หนึ่ง ชม และนั่งสมาธิ หนึ่งชม
สามารถเดินในคอนโดได้เลย ถ้าจดจ่อกับการมีสติ ก็จะไปเดินในสวนสาธารณะก็ได้
อาจารย์ไพบูลย์บอก เดินจงกรม โดยอยู่กับที่ก็ได้
ส่วนการออกกำลังกาย โดยตีแบตสัปดาห์ละสองครั้ง

สำหรับการให้คำแนะนำกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นวีไอ
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ควรลงทุนอะไรที่ไม่เข้าใจ โดยไม่เข้ากลไกของบริษัท
อาจารย์ชายจะไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ตลาด
เปรียบเหมือน ชอบเล่นบาส แล้วมีคนมาชวนเล่นบอล โดยมีรางวัล
ซึ่งถ้าเราย้ายไปเล่นบอล ก็อาจแพ้ได้เพราะเราไม่ชำนาญกับกีฬาใหม่
ดังนั้นผมอยู่กับที่ลงทุนแบบเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างไร เข้าใจผู้บริหารของบริษัทนั้น

ในโลกของการลงทุนที่สภาพคล่องสูง จะมีเหนือการคาดหมาย
คนที่ไปซื้อ negative bond yield มูลค่าของบอนด์ 15ล้านล้าน $
เท่ากับmarket cap ของตลาดแนสแดกตอนนี้
เกิดจากการเก็งกำไร และ regulationของบริษัทประกันว่าต้องซื้อ
ถึงแม้ดอกเบี้ยติดลบก็ตาม
ซึ่งมูลค่าขนาดนี้อาจทำให้เกิด super bubble
ถ้าโรคระบาดหายไป เงินเฟ้อจะกลับมาเร็วมาก เพราะดอกเบี้ยของบอนด์กินดอกเบี้ยต่ำมาก
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า เงินเฟ้อเพิ่ม จะทำให้เกิดการซื้อทรัพย์สินมาก และจะเกิดฟองสบู่

อาจารย์ชายไม่ห่วงว่าพอร์ตจะunderperformถ้าไม่ได้ลงทุนสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ
แต่อาจมีเล่นบ้างเล็กน้อยเพื่อหาประสบการณ์ เช่น
เทสล่า ตอนแรกก็ไม่สนใจ พอศึกษามากขึ้น ก็เห็นเหตุผลที่ทำไมราคาขึ้น
แต่ไม่เอาเงินส่วนใหญ่มาลงทุน

ส่วนอาจารย์นิเวศน์ ไม่ลงทุนแบบนี้เลย ไม่รู้จะทำไปทำไม อายุขนาดนี้
Enjoyกับชีวิตดีกว่า
อย่างตลาดเวียดนาม ควรศึกษามากกว่านี้ แต่ก็ไปลงทุนผ่านETFดีกว่า

อาจารย์ชายบอกว่า เมืองไทยยังมีสิ่งนึงที่undervalue
ทางภูมิศาสตร์ เราเหมาะเป็นศูนย์การlogistic โดยต่อรถไฟรางเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน
รวมทั้งถนน ทำให้เพิ่มมูลค่ากับที่ดิน
ที่ดินเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านถูกมาก และเป็นfreeholdด้วย
Wealthของประเทศไทยมีโอกาสขยับขึ้นอีก จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดิน
และสำหรับคำถามเรื่องสัดส่วนในการลงทุนต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นไหมในอนาคต
อาจารย์ชายตอบว่า มีแนวโน้มจะขยายพอร์ตลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
จะหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่สามารถต่อเชื่อมกับinternet , IOTได้
บริษัทคาร์เทอพิลาร์ ผลิตรถขุดดิน ตอนนี้เป็นAutonomousแล้ว
ถ้าเราเข้าไปที่เหมือง จะไม่เห็นคนในเหมือง รถทำงานเองหมด
บริษัทที่เป็น old economy แต่ก็เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็ดูน่าสนใจ
แต่valuationอาจไม่เท่าบริษัทเทคโนโลยี
มีmarket share ใหญ่กว่าอันดับสองและสามรวมกัน

สำหรับหุ้นเทคโนโลยี น่าลงทุนแต่ต้องดูว่าราคาแพงไปหรือไม่
บัฟเฟตต์ ตอนที่ซื้อapple ก็ซื้อในราคาที่ดีมาก ซึ่งห้าปีที่ผ่านมา
ชนะamazon , google (สรุปคือเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)

สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์ชาย ที่มาให้ความรู้
และขอบคุณอาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ สำหรับคำถามดีๆครับ
โพสต์โพสต์