BT ควบรวมกับ IFCT ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
BT ควบรวมกับ IFCT ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 1
:lol: เมื่อ บุ้คแวลู ของ BT = 7.23 book value ของ IFCT = 7.71 ประจำงวด 3 เดือน ที่ 30/9/2003
หาก มาดู จำนวนหุ้นของ BT มี 1,493,450,000 หุ้น ( x 7.23 = 10,797,643,500 บาท )
มาดู จำนวนหุ้นของ IFCT มี 1,461,624, 281 หุ้น ( x 7.71 = 11,269,123,210 บาท )
รวมกันเลย ( วิธีการนี้ผิดนะ จำไว้ว่าผิด ) จะได้ 7.46 บาท นี่คือค่าเฉลี่ยมั่วๆ
การดำเนินการต้องไปหักหนี้สงสัยจะสูญ ต่างๆ และกันสำรองหนี้ ใหม่ หมด ต้องดูว่า การทำ ดิว ดิลิเจนซ์ ออกมาเท่าไร
ต้องฟังของจริงจากผู้รู้ ละ .......อันนี้ที่ทำ คณฺตศาสตร์เด็กๆ ไม่ถูกสักนิด :lol:
หาก มาดู จำนวนหุ้นของ BT มี 1,493,450,000 หุ้น ( x 7.23 = 10,797,643,500 บาท )
มาดู จำนวนหุ้นของ IFCT มี 1,461,624, 281 หุ้น ( x 7.71 = 11,269,123,210 บาท )
รวมกันเลย ( วิธีการนี้ผิดนะ จำไว้ว่าผิด ) จะได้ 7.46 บาท นี่คือค่าเฉลี่ยมั่วๆ
การดำเนินการต้องไปหักหนี้สงสัยจะสูญ ต่างๆ และกันสำรองหนี้ ใหม่ หมด ต้องดูว่า การทำ ดิว ดิลิเจนซ์ ออกมาเท่าไร
ต้องฟังของจริงจากผู้รู้ ละ .......อันนี้ที่ทำ คณฺตศาสตร์เด็กๆ ไม่ถูกสักนิด :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
บทวิเคราะห์ จากกิมเอ็ง วันนี้ 22-12-2546 เกี่ยวกับ IFCT
โพสต์ที่ 2
ทางเลือกอื่นน่าจะดีกว่าเนื่องจากความล่าช้าในการควบรวมกิจการ :lol:
อาทิตย์ที่แล้วเราได้มีโอกาสพูดคุยกับฝ่ายบริหารของ IFCT เพื่อสอบถามความคืบหน้าของการควบรวมกิจการกับ BT ซึ่งทาง IFCT ก็ยังมีมุมมองในเชิงบวกกับการรวมกิจการ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ขั้นตอนการรวมกิจการอาจมีการล่าช้าจากการดำเนินการทางกฎหมาย
ปัญหาหลักเนื่องจาก IFCT เป็นสถาบันการเงินพิเศษที่จัดตั้งตาม พระราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม โดย พรบ. ห้ามการขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่า Par ที่ 10 บาท ในขณะที่ปัจจุบัน หุ้นของ IFCT มีการซื้อขายที่ระดับ 5.55 บาท ดังนั้นจึงต้องมีการแก้ไขหรือดำเนินการทางด้านกฎหมายหากมีการรวมกิจการกับ BT
ในเบื้องต้น ฝ่ายบริหารชี้แจงว่า การดำเนินการแก้ไขกฎหมายน่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามหลังจากสำนักงานกฤษฏีกาได้พิจารณาว่าไม่สามารถแก้ไขพรบ. เพื่อให้รวมกิจการกันได้ภายในปีนี้และอาจต้องนำเข้าสภาเพื่อทำการพิจารณาใหม่ จึงอาจทำให้การควบรวมกิจการต้องล่าช้าออกไป โดยหาแนวทางแก้ไขอื่นๆ เช่นการออกพระราชกำหนด ฯลฯ
แม้ว่าเรามีมุมมองทางบวกต่อการควบรวมกิจการและเชื่อว่า ทั้ง IFCT และ BT มีราคาค่อนข้างถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความไม่แน่นอนของเวลาใน การควบรวมกิจการ และทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในกลุ่มธนาคาร เราเชื่อว่า BBL, BAY หรือ KTB น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในกลุ่มนี้
ในครึ่งปีแรกของ 2004 เราเชื่อว่าตลาดหน้าจะพุ่งความสนใจมาที่กลุ่มธนาคาร จากผลประกอบการที่ดีขึ้น BBL และ BAY น่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีขึ้นจากการไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ส่วน KTB ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ดีจากสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น และ yield ที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้เดิมที่ต่ำในรูปของ P/Ns
ทั้งนี้เราเชื่อว่าหากไม่มีการควบรวมกิจการ IFCT จะมีแนวโน้มระยะสั้นในเชิงลบทีเดียวเนื่องจาก
เงินให้สินเชื่อของ IFCT ลดลงจาก 1.55 แสนล้านบาทในเดือนธันวา 45 เหลือ 1.50 แสนล้านบาทในเดือนกันยา 46 เนื่องจากสินเชื่อบางส่วนถูก refinance โดยสถาบันการเงินอื่น
หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPLs เพิ่มขึ้นเป็น 12.5% สิ้นสุด ณ เดือนกันยา 46 เปรียบเทียบกับ 10.8% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
เงินสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำหรือเท่ากับขั้นต่ำตามเกณฑ์ของ BoT เท่านั้น ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ที่ต้องตั้งสำรองเพิ่ม
บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ได้จัดอันดับ IFCT ว่ามีแนวโน้มในเชิงลบ และ remove หุ้น IFCT จาก CreditWatch.
ปัจจุบัน หุ้น IFCT มีการซื้อขายที่ระดับ 0.7 เท่าของมูลค่าบัญชีของเดือนกันยา 46 (มูลค่าบัญชีเท่ากับ 7.71 บาท) ขณะที่กลุ่มธนาคารจะมีการซื้อขายที่ระดับ 1.7-2.0 เท่าของมูลค่าบัญชี แต่เราเชื่อว่ากลุ่มธนาคารอื่นน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนคำแนะนำของ IFCT จากซื้อเก็งกำไร เป็น เปลี่ยนตัวเล่น....................................
ครั้งหนึ่งกิมเอ็งเขาเคยแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร ........
จากบทวิเคราะห์ แสดงว่า หุ้นตัวนี้ ราคาจะทรงรอข่าว เพราะการควบรวมเกิดขึ้นแน่นอน 100 %
และสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ราคาถูกเหลือกำลัง นะ
อาทิตย์ที่แล้วเราได้มีโอกาสพูดคุยกับฝ่ายบริหารของ IFCT เพื่อสอบถามความคืบหน้าของการควบรวมกิจการกับ BT ซึ่งทาง IFCT ก็ยังมีมุมมองในเชิงบวกกับการรวมกิจการ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ขั้นตอนการรวมกิจการอาจมีการล่าช้าจากการดำเนินการทางกฎหมาย
ปัญหาหลักเนื่องจาก IFCT เป็นสถาบันการเงินพิเศษที่จัดตั้งตาม พระราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม โดย พรบ. ห้ามการขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่า Par ที่ 10 บาท ในขณะที่ปัจจุบัน หุ้นของ IFCT มีการซื้อขายที่ระดับ 5.55 บาท ดังนั้นจึงต้องมีการแก้ไขหรือดำเนินการทางด้านกฎหมายหากมีการรวมกิจการกับ BT
ในเบื้องต้น ฝ่ายบริหารชี้แจงว่า การดำเนินการแก้ไขกฎหมายน่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามหลังจากสำนักงานกฤษฏีกาได้พิจารณาว่าไม่สามารถแก้ไขพรบ. เพื่อให้รวมกิจการกันได้ภายในปีนี้และอาจต้องนำเข้าสภาเพื่อทำการพิจารณาใหม่ จึงอาจทำให้การควบรวมกิจการต้องล่าช้าออกไป โดยหาแนวทางแก้ไขอื่นๆ เช่นการออกพระราชกำหนด ฯลฯ
แม้ว่าเรามีมุมมองทางบวกต่อการควบรวมกิจการและเชื่อว่า ทั้ง IFCT และ BT มีราคาค่อนข้างถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความไม่แน่นอนของเวลาใน การควบรวมกิจการ และทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในกลุ่มธนาคาร เราเชื่อว่า BBL, BAY หรือ KTB น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในกลุ่มนี้
ในครึ่งปีแรกของ 2004 เราเชื่อว่าตลาดหน้าจะพุ่งความสนใจมาที่กลุ่มธนาคาร จากผลประกอบการที่ดีขึ้น BBL และ BAY น่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีขึ้นจากการไถ่ถอนตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ส่วน KTB ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ดีจากสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น และ yield ที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้เดิมที่ต่ำในรูปของ P/Ns
ทั้งนี้เราเชื่อว่าหากไม่มีการควบรวมกิจการ IFCT จะมีแนวโน้มระยะสั้นในเชิงลบทีเดียวเนื่องจาก
เงินให้สินเชื่อของ IFCT ลดลงจาก 1.55 แสนล้านบาทในเดือนธันวา 45 เหลือ 1.50 แสนล้านบาทในเดือนกันยา 46 เนื่องจากสินเชื่อบางส่วนถูก refinance โดยสถาบันการเงินอื่น
หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPLs เพิ่มขึ้นเป็น 12.5% สิ้นสุด ณ เดือนกันยา 46 เปรียบเทียบกับ 10.8% ในช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
เงินสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำหรือเท่ากับขั้นต่ำตามเกณฑ์ของ BoT เท่านั้น ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ที่ต้องตั้งสำรองเพิ่ม
บริษัทจัดอันดับเครดิต S&P ได้จัดอันดับ IFCT ว่ามีแนวโน้มในเชิงลบ และ remove หุ้น IFCT จาก CreditWatch.
ปัจจุบัน หุ้น IFCT มีการซื้อขายที่ระดับ 0.7 เท่าของมูลค่าบัญชีของเดือนกันยา 46 (มูลค่าบัญชีเท่ากับ 7.71 บาท) ขณะที่กลุ่มธนาคารจะมีการซื้อขายที่ระดับ 1.7-2.0 เท่าของมูลค่าบัญชี แต่เราเชื่อว่ากลุ่มธนาคารอื่นน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนคำแนะนำของ IFCT จากซื้อเก็งกำไร เป็น เปลี่ยนตัวเล่น....................................
ครั้งหนึ่งกิมเอ็งเขาเคยแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร ........
จากบทวิเคราะห์ แสดงว่า หุ้นตัวนี้ ราคาจะทรงรอข่าว เพราะการควบรวมเกิดขึ้นแน่นอน 100 %
และสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ราคาถูกเหลือกำลัง นะ
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
บทวิเคราะห์ IFCT (21 august 46)
โพสต์ที่ 3
การควบรวมกิจการจะช่วย ให้ความสารถทำกำไรดีขึ้นในระยะยาว
เราเชื่อว่าการประกาศควบกิจการกันระหว่าง BT และ IFCT จะเป็นผลดีกับทั้ง 2 ในระยะยาว BT จะเป็นได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของ IFCT ส่วน IFCT จะได้ประโยชน์จากการเป็นธนาคาร, เครือข่ายสาขา และมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำของ BT
ทั้งนี้ IFCT ได้เสร็จสิ้นการเพิ่มทุน และออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และ warrant ให้ ก.การคลัง, ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ส่วน BT เป็นธนาคารที่มีฐานทุนมาก แต่เป็นแบงก์ที่ดี หุ้นของ BT เท่าที่ผ่านมาปรับตัวช้าเมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากผลกำไรออกมาน่าผิดหวังในหลายไตรมาสที่ผ่านมา สินทรัพย์ของ BT ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำและก็ยังไม่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้เร็วตามที่ได้คาดการณ์ไว้
IFCT และ BT มีขนาดของ market cap. ใกล้เคียงกัน 9.4 พันล้านบาท และ 11.8 พันล้านบาทตามลำดับ มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ผู้ถือหุ้น IFCT จะ SWAP หุ้น BT ซึ่งเราคาดว่าราคา SWAP น่าจะอยู่ที่มูลค่าตามบัญชี (BV) หุ้น IFCT ยังมี upside อยู่อีก และปัจจุบันซื้อขายกันที่ PBV 0.8 เท่า และ BT 1.12 เท่า
เปรียบเทียบระหว่าง IFCT and BT (as of June 03)
IFCT* ส่วนของผู้ถือหุ้น Bt11,770mn จำนวนหุ้น 1,521.6mn
BT ส่วนของผู้ถือหุ้น Bt10,520mn จำนวนหุ้น 1,493.45mn
มูลค่าหุ้นทางบัญชี/ ต่อหุ้น
Bt7.74
Bt7.04
มูลค่าตลาด
Bt9,358mn
Bt11,798mn
มูลค่าหุ้นปัจจุบัน
Bt6.15
Bt7.90
Current price/book value
0.80x
1.12x
* adjusted to include the 300mn shares and 60mn warrants sold to Ministry of Finance, Government Savings Bank and Krung Thai Bank in July 2003.
เราค่อนข้างมีมุมมองเป็นบวกกับ IFCT หลังจากที่มีการประกาศรวมกิจการกัน นอกจากนี้ ฐานะทางการเงิน และ ผลประกอบการของ IFCT สิ้นสุด มิ.ย. 46ก็ดีขึ้น และแม้จะมีความเป็นไปได้สูงในการควบรวมกิจการ แต่อย่างไรก็ตามการควบรวมกิจการยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้น ความเสี่ยงที่มีอยู่บ้างคือขั้นตอนการควบรวมกิจการ ระยะเวลา และรายละเอียด ดังนั้น เราปรับคำแนะนำ IFCT จาก "ขายทำกำไร" เป็น "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีราคาเหมาะสมตาม BV ที่ 7.74 บาท
......................................................................................................
จาก ที่ ยกมา ให้อ่าน จะพบ ว่า แนวโน้ม ระยะยาว ดีเยี่ยม แต่ตอนนี้ ( 22 - 12 - 2546 ) รอ รอ รอ รอ รอ .........
เราเชื่อว่าการประกาศควบกิจการกันระหว่าง BT และ IFCT จะเป็นผลดีกับทั้ง 2 ในระยะยาว BT จะเป็นได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าของ IFCT ส่วน IFCT จะได้ประโยชน์จากการเป็นธนาคาร, เครือข่ายสาขา และมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำของ BT
ทั้งนี้ IFCT ได้เสร็จสิ้นการเพิ่มทุน และออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และ warrant ให้ ก.การคลัง, ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ส่วน BT เป็นธนาคารที่มีฐานทุนมาก แต่เป็นแบงก์ที่ดี หุ้นของ BT เท่าที่ผ่านมาปรับตัวช้าเมื่อเทียบกับกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากผลกำไรออกมาน่าผิดหวังในหลายไตรมาสที่ผ่านมา สินทรัพย์ของ BT ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำและก็ยังไม่สามารถขยายพอร์ตสินเชื่อได้เร็วตามที่ได้คาดการณ์ไว้
IFCT และ BT มีขนาดของ market cap. ใกล้เคียงกัน 9.4 พันล้านบาท และ 11.8 พันล้านบาทตามลำดับ มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ผู้ถือหุ้น IFCT จะ SWAP หุ้น BT ซึ่งเราคาดว่าราคา SWAP น่าจะอยู่ที่มูลค่าตามบัญชี (BV) หุ้น IFCT ยังมี upside อยู่อีก และปัจจุบันซื้อขายกันที่ PBV 0.8 เท่า และ BT 1.12 เท่า
เปรียบเทียบระหว่าง IFCT and BT (as of June 03)
IFCT* ส่วนของผู้ถือหุ้น Bt11,770mn จำนวนหุ้น 1,521.6mn
BT ส่วนของผู้ถือหุ้น Bt10,520mn จำนวนหุ้น 1,493.45mn
มูลค่าหุ้นทางบัญชี/ ต่อหุ้น
Bt7.74
Bt7.04
มูลค่าตลาด
Bt9,358mn
Bt11,798mn
มูลค่าหุ้นปัจจุบัน
Bt6.15
Bt7.90
Current price/book value
0.80x
1.12x
* adjusted to include the 300mn shares and 60mn warrants sold to Ministry of Finance, Government Savings Bank and Krung Thai Bank in July 2003.
เราค่อนข้างมีมุมมองเป็นบวกกับ IFCT หลังจากที่มีการประกาศรวมกิจการกัน นอกจากนี้ ฐานะทางการเงิน และ ผลประกอบการของ IFCT สิ้นสุด มิ.ย. 46ก็ดีขึ้น และแม้จะมีความเป็นไปได้สูงในการควบรวมกิจการ แต่อย่างไรก็ตามการควบรวมกิจการยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้น ความเสี่ยงที่มีอยู่บ้างคือขั้นตอนการควบรวมกิจการ ระยะเวลา และรายละเอียด ดังนั้น เราปรับคำแนะนำ IFCT จาก "ขายทำกำไร" เป็น "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีราคาเหมาะสมตาม BV ที่ 7.74 บาท
......................................................................................................
จาก ที่ ยกมา ให้อ่าน จะพบ ว่า แนวโน้ม ระยะยาว ดีเยี่ยม แต่ตอนนี้ ( 22 - 12 - 2546 ) รอ รอ รอ รอ รอ .........
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวบีที
โพสต์ที่ 4
ไทยธนาคารเล็งเป็นแบงก์เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ
โดย ผู้จัดการออนไลน์
ไทยธนาคารเล็งเป็นแบงก์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ เนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่ ชี้แผนของรัฐที่ต้องการให้แบงก์ควบรวมนั้นเป็นเรื่องที่ดี พร้อมระบุแบงก์ที่เหลือในระบบควรมี 2 แบบ
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง จุดยืนของธนาคารภายหลังจากมีการประกาศแผนแม่บททางการเงินของรัฐบาลว่า การควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้เหลือธนาคารขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี และเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ตามความเข้าใจ ธนาคารที่จะมีเหลืออยู่ในระบบน่าจะเป็นธนาคารที่ทำธุรกิจครบวงจรกับธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะกิจ (Niche Bank) ซึ่งแบงก์ไทย ณ ปัจจุบันในสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าตัวเองเป็นแบงก์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ไม่ได้เป็น Universal Bank ที่ต้องทำธุรกิจให้ครบทุกอย่างของธนาคารพาณิชย์
สำหรับความคืบหน้าในการควบรวมกับ IFCT นายพีรศิลป์ กล่าวว่า ขั้นตอนขณะนี้คงกำลังรอเกี่ยวกับการแก้กฎหมาย แต่ผลการควบรวมจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ในส่วนตนเองถือว่าเป็นเพียงพนักงานของธนาคาร ส่วนการควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นนอกเหนือจาก IFCT ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ทราบเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว
ในเรื่องของแผนแม่บทส่วนของธนาคาร ผู้ใหญ่ของธนาคารคงจะเป็นผู้พิจารณา แต่เข้าใจว่า ณ ขณะนี้ธนาคารมีความเหมาะสมที่จะเป็นธนาคารที่เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ไม่ได้เป็น Universal Bank เนื่องจากปัจจุบันแบงก์ไทยไม่ได้เป็นแบงก์ที่มีขนาดใหญ่ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ทั้งนี้การดำเนินกิจการของระบบสถาบันการเงินถือว่ามีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจ ซึ่งทางการคงเข้ามาเกี่ยวข้องดูแล นายพีรศิลป์ กล่าว
โดย ผู้จัดการออนไลน์
ไทยธนาคารเล็งเป็นแบงก์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ เนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่ ชี้แผนของรัฐที่ต้องการให้แบงก์ควบรวมนั้นเป็นเรื่องที่ดี พร้อมระบุแบงก์ที่เหลือในระบบควรมี 2 แบบ
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง จุดยืนของธนาคารภายหลังจากมีการประกาศแผนแม่บททางการเงินของรัฐบาลว่า การควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้เหลือธนาคารขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี และเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ตามความเข้าใจ ธนาคารที่จะมีเหลืออยู่ในระบบน่าจะเป็นธนาคารที่ทำธุรกิจครบวงจรกับธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะกิจ (Niche Bank) ซึ่งแบงก์ไทย ณ ปัจจุบันในสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าตัวเองเป็นแบงก์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ไม่ได้เป็น Universal Bank ที่ต้องทำธุรกิจให้ครบทุกอย่างของธนาคารพาณิชย์
สำหรับความคืบหน้าในการควบรวมกับ IFCT นายพีรศิลป์ กล่าวว่า ขั้นตอนขณะนี้คงกำลังรอเกี่ยวกับการแก้กฎหมาย แต่ผลการควบรวมจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ในส่วนตนเองถือว่าเป็นเพียงพนักงานของธนาคาร ส่วนการควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นนอกเหนือจาก IFCT ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ทราบเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว
ในเรื่องของแผนแม่บทส่วนของธนาคาร ผู้ใหญ่ของธนาคารคงจะเป็นผู้พิจารณา แต่เข้าใจว่า ณ ขณะนี้ธนาคารมีความเหมาะสมที่จะเป็นธนาคารที่เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ไม่ได้เป็น Universal Bank เนื่องจากปัจจุบันแบงก์ไทยไม่ได้เป็นแบงก์ที่มีขนาดใหญ่ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ทั้งนี้การดำเนินกิจการของระบบสถาบันการเงินถือว่ามีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจ ซึ่งทางการคงเข้ามาเกี่ยวข้องดูแล นายพีรศิลป์ กล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวบีที อีก
โพสต์ที่ 5
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2546
ไทยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปีหน้าโต 11%
โดย ผู้จัดการออนไลน์
ไทยธนาคารตั้งเป้าปีหน้าปล่อยสินเชื่ออีก 11% จากพอร์ตที่มี 60,000ล้านบาท โดยเน้นการกระจายสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่งออก-นำเข้า
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในปี 2547 ธนาคารมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อ 11% จากพอร์ตสินเชื่อในปี 2546 ที่มี
60,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการกระจายสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่งออก-นำเข้า ซึ่งสินเชื่อในปีนี้ของธนาคารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปี 2545 ประมาณ 7-8% ทั้งนี้การกำหนดสัดส่วนสินเชื่อคิดจากสินเชื่อในส่วนที่ธนาคารรับผิดชอบเท่านั้น ไม่ได้คิดจากสินเชื่อที่เกิดจากการควบรวมกิจการตั้งแต่วิกฤตการเงินครั้งที่แล้ว
นอกจากนั้น ธนาคารวางแผนที่จะเพิ่มรายได้ในส่วนที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ถือเป็นการต่อยอด ROA และ ROE ให้สูงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจบริหารเงินและค้าผลิตภัณฑ์การเงิน
นายปัญญา จรรยารุ่งโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหารเงินและค้าผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการทำธุรกิจด้านบริหารเงิน และค้าผลิตภัณฑ์การเงินในปี 2547 ว่า ในปีหน้าตลาดตราสารอนุพันธ์และตลาดตราสารการเงินในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตสูงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจโลกที่เป็นแบบระบบเปิด ตลาดการเงินมีความผันผวน เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรองรับความผันผวน ซึ่งธนาคารถือว่าเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่มีความสามารถในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยธนาคารได้พัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านตลาดเงินและตลาดทุน
ในปี 47 ธนาคารจะเน้นให้การสนับสนุนลูกค้าขนาดกลาง ขนาดย่อมเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นเอกชนขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอี ให้ออกไปแข่งขันกับตลาดโลกได้ นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญในการสร้างทีมงานและระบบงาน เพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพทัดเทียมสากลให้แก่ลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารได้ใช้ระบบบริหารเงินแบบอิเลคทรอนิกส์ ที่รองรับได้ครบวงจรทั้งด้านปริวรรตเงินตรา และซื้อขายตราสารหนี้ นายปัญญา กล่าว
ไทยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปีหน้าโต 11%
โดย ผู้จัดการออนไลน์
ไทยธนาคารตั้งเป้าปีหน้าปล่อยสินเชื่ออีก 11% จากพอร์ตที่มี 60,000ล้านบาท โดยเน้นการกระจายสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่งออก-นำเข้า
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในปี 2547 ธนาคารมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อ 11% จากพอร์ตสินเชื่อในปี 2546 ที่มี
60,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการกระจายสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่งออก-นำเข้า ซึ่งสินเชื่อในปีนี้ของธนาคารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าปี 2545 ประมาณ 7-8% ทั้งนี้การกำหนดสัดส่วนสินเชื่อคิดจากสินเชื่อในส่วนที่ธนาคารรับผิดชอบเท่านั้น ไม่ได้คิดจากสินเชื่อที่เกิดจากการควบรวมกิจการตั้งแต่วิกฤตการเงินครั้งที่แล้ว
นอกจากนั้น ธนาคารวางแผนที่จะเพิ่มรายได้ในส่วนที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ถือเป็นการต่อยอด ROA และ ROE ให้สูงขึ้น โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจบริหารเงินและค้าผลิตภัณฑ์การเงิน
นายปัญญา จรรยารุ่งโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหารเงินและค้าผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการทำธุรกิจด้านบริหารเงิน และค้าผลิตภัณฑ์การเงินในปี 2547 ว่า ในปีหน้าตลาดตราสารอนุพันธ์และตลาดตราสารการเงินในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตสูงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจโลกที่เป็นแบบระบบเปิด ตลาดการเงินมีความผันผวน เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรองรับความผันผวน ซึ่งธนาคารถือว่าเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่มีความสามารถในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยธนาคารได้พัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านตลาดเงินและตลาดทุน
ในปี 47 ธนาคารจะเน้นให้การสนับสนุนลูกค้าขนาดกลาง ขนาดย่อมเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นเอกชนขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอี ให้ออกไปแข่งขันกับตลาดโลกได้ นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญในการสร้างทีมงานและระบบงาน เพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพทัดเทียมสากลให้แก่ลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารได้ใช้ระบบบริหารเงินแบบอิเลคทรอนิกส์ ที่รองรับได้ครบวงจรทั้งด้านปริวรรตเงินตรา และซื้อขายตราสารหนี้ นายปัญญา กล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าว จากนสพ. กรุงเทพธุรกิจ ............
โพสต์ที่ 6
นายกฯเผยควบธนาคาร "IFCT-ไทยธนาคาร" คู่แรก
[ 00:00 น. ]
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน" ทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ว่า ได้เชิญม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย , เลขาธิการ ก.ล.ต. , ตลาดหลักทรัพย์ฯ , รัฐมนตรีคลัง , นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พบเพื่อหารือถึงเศรษฐกิจทั่วไปและการควบรวมกิจการธนาคารของรัฐเพื่อให้เกิดความแข็งแรง
"คู่แรกที่กำลังทำกันอยู่คือ IFCT กับไทยธนาคาร ส่วนธนาคารอื่นกำลังดูความเหมาะสมแต่นครหลวงไทย กรุงไทยยังไม่ได้แตะ "
นายกฯกล่าวว่า การควบรวมจะทำให้ธนาคารภาครัฐเข้มแข็ง แข็งแรง สมัยนี้ตัวเล็กสู้เขาไม่ค่อยได้ต้องตัวโต ๆ เพราะว่าการแข่งขันจากภายในและภายนอกจะรุนแรงมากขึ้น อันนี้คือผลพวงจากการที่จะต้องมี FTA ฉะนั้นความเข้มแข็งจะต้องมี เราจึงต้องเตรียมความเข้มแข็งของเราไว้ ส่วนภาคเอกเชนจะไม่ไปยุ่งเป็นเรื่องของกลไกที่เขาจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว
[ 00:00 น. ]
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน" ทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ว่า ได้เชิญม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย , เลขาธิการ ก.ล.ต. , ตลาดหลักทรัพย์ฯ , รัฐมนตรีคลัง , นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พบเพื่อหารือถึงเศรษฐกิจทั่วไปและการควบรวมกิจการธนาคารของรัฐเพื่อให้เกิดความแข็งแรง
"คู่แรกที่กำลังทำกันอยู่คือ IFCT กับไทยธนาคาร ส่วนธนาคารอื่นกำลังดูความเหมาะสมแต่นครหลวงไทย กรุงไทยยังไม่ได้แตะ "
นายกฯกล่าวว่า การควบรวมจะทำให้ธนาคารภาครัฐเข้มแข็ง แข็งแรง สมัยนี้ตัวเล็กสู้เขาไม่ค่อยได้ต้องตัวโต ๆ เพราะว่าการแข่งขันจากภายในและภายนอกจะรุนแรงมากขึ้น อันนี้คือผลพวงจากการที่จะต้องมี FTA ฉะนั้นความเข้มแข็งจะต้องมี เราจึงต้องเตรียมความเข้มแข็งของเราไว้ ส่วนภาคเอกเชนจะไม่ไปยุ่งเป็นเรื่องของกลไกที่เขาจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
รัฐหนุน"ควบรวม"จี้ธปท.เตรียมยกเว้นภาษีฯ
โพสต์ที่ 7
ธปท.เตรียมยกเว้นภาษี ค่าธรรมเนียมให้กับสถาบันการเงินที่ต้องการควบรวมในปี 2547 พร้อมมั่นใจแบงก์ไทยแข็งแกร่งขึ้น ผลจากการเพิ่มทุน และสำรองหนี้ถึง 140%
- [กลับไปหน้าเดิม]........... ติดตามข่าวเต็มในกระแสหุ้นรายวัน หรือ สมัครสมาชิกกระแสหุ้นออนไลน์
...........................................................................................................
อ่านข่าวอื่นๆ ไป ผ่านๆ คาดหมายว่า แบงก์ รัฐจะเหลือเพียง 3 แบงก์ จากที่มี คือ กรุงไทย , นครหลวงไทย ,ทหารไทย , ไทยธนาคาร และการควบรวมกิจการ คาดหมาย ว่า ไอเอฟซีที + ไทยธนาคาร + ...... ไอ้ตัวที่ 3 คืออะไร ไม่รู้เช่นกัน นะ
- [กลับไปหน้าเดิม]........... ติดตามข่าวเต็มในกระแสหุ้นรายวัน หรือ สมัครสมาชิกกระแสหุ้นออนไลน์
...........................................................................................................
อ่านข่าวอื่นๆ ไป ผ่านๆ คาดหมายว่า แบงก์ รัฐจะเหลือเพียง 3 แบงก์ จากที่มี คือ กรุงไทย , นครหลวงไทย ,ทหารไทย , ไทยธนาคาร และการควบรวมกิจการ คาดหมาย ว่า ไอเอฟซีที + ไทยธนาคาร + ...... ไอ้ตัวที่ 3 คืออะไร ไม่รู้เช่นกัน นะ
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
คลังตั้งเป้าควบแบงก์รัฐเหลือ 3 แห่งรู้ชัดปลายม.ค.
โพสต์ที่ 8
คลังตั้งเป้าควบแบงก์รัฐเหลือ 3 แห่งรู้ชัดปลายม.ค.
กระทรวงการคลังเดินหน้าควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐให้เหลือเพียง 3 แห่ง โดยแนวทางควบรวมกิจการที่ชัดเจนจะทราบปลายเดือนมกราคมปีหน้า
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ตามแผนแม่บทพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 6 มกราคม 2547 จะมีแนวทางในการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐเข้าด้วยกันเพื่อให้ในระบบสถาบันการเงินคงเหลือธนาคารพาณิชย์ของรัฐเพียง 3 แห่ง โดยเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ และสามารถแข่งขัน และบริการประชาชนได้ทั่วถึง
ทั้งนี้ จะมีความชัดเจนในแนวทางการดำเนินการในปลายเดือนมกราคมปีหน้า หลังรวมกิจการแล้ว ในระบบธนาคารพาณิชย์ ควรจะเหลือธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของรัฐบาลเหลืออยู่ที่ 3 แห่งก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะบริการประชาชน ธนาคารที่เกิดขึ้นใหม่จากการควบรวมกิจการจะเป็น ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง สำหรับตัวเลขขนาดสินทรัพย์ที่เหมาะสมของธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการคือ 1 ล้านล้านบาท
รมว.คลัง กล่าวว่า การดำเนินการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ไม่จำเป็นที่ต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาล และเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันก็คือเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการของแต่ละสถาบันการเงินลงเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แต่ความเหมาะสมว่าธนาคารพาณิชย์แห่งใด สมควรรวมกับแห่งใดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมในดำเนินธุรกิจของแต่ละแห่ง
"ธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งใดจะรวมกับแห่งใดบ้างนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ คงต้องรอประมาณปลายเดือนมกราคม แต่เท่าที่พูดได้ตอนนี้คือ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) กับไทยธนาคาร จะควบรวมกิจการเข้าด้วยกันอยู่แล้ว อาจจะมีการรวมอีกธนาคารเข้าไปด้วยเพื่อความเหมาะสม เป็นต้น ส่วนแห่งอื่น ๆ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือธนาคารพาณิชย์รัฐยังต้องขอเวลาดูก่อน แต่เมื่อจับ 2-3 แห่งรวมกันแล้วทั้งหมดจะเหลือไม่เกิน 3 แห่ง" ร.อ.สุชาติ กล่าว
31 ธ.ค. 2546 14:40 น.
...........................................................................................................
BT + IFCT + คาดเดา แบงก์รัฐ มีอะไร บ้าง ละนี่ ก็ KTB , SCIB , TMB หรือจะเป็นธนาคารออมสินละ อิอิ .................
ต้องไปดู หากรวม บีที กะไอเอฟซีที แล้ว มูลค่าสินทรัพย์
กระทรวงการคลังเดินหน้าควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐให้เหลือเพียง 3 แห่ง โดยแนวทางควบรวมกิจการที่ชัดเจนจะทราบปลายเดือนมกราคมปีหน้า
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ตามแผนแม่บทพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 6 มกราคม 2547 จะมีแนวทางในการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐเข้าด้วยกันเพื่อให้ในระบบสถาบันการเงินคงเหลือธนาคารพาณิชย์ของรัฐเพียง 3 แห่ง โดยเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ และสามารถแข่งขัน และบริการประชาชนได้ทั่วถึง
ทั้งนี้ จะมีความชัดเจนในแนวทางการดำเนินการในปลายเดือนมกราคมปีหน้า หลังรวมกิจการแล้ว ในระบบธนาคารพาณิชย์ ควรจะเหลือธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของรัฐบาลเหลืออยู่ที่ 3 แห่งก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะบริการประชาชน ธนาคารที่เกิดขึ้นใหม่จากการควบรวมกิจการจะเป็น ยูนิเวอร์แซล แบงกิ้ง สำหรับตัวเลขขนาดสินทรัพย์ที่เหมาะสมของธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการคือ 1 ล้านล้านบาท
รมว.คลัง กล่าวว่า การดำเนินการควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ไม่จำเป็นที่ต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาล และเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันก็คือเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินการของแต่ละสถาบันการเงินลงเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ แต่ความเหมาะสมว่าธนาคารพาณิชย์แห่งใด สมควรรวมกับแห่งใดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมในดำเนินธุรกิจของแต่ละแห่ง
"ธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งใดจะรวมกับแห่งใดบ้างนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ คงต้องรอประมาณปลายเดือนมกราคม แต่เท่าที่พูดได้ตอนนี้คือ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) กับไทยธนาคาร จะควบรวมกิจการเข้าด้วยกันอยู่แล้ว อาจจะมีการรวมอีกธนาคารเข้าไปด้วยเพื่อความเหมาะสม เป็นต้น ส่วนแห่งอื่น ๆ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือธนาคารพาณิชย์รัฐยังต้องขอเวลาดูก่อน แต่เมื่อจับ 2-3 แห่งรวมกันแล้วทั้งหมดจะเหลือไม่เกิน 3 แห่ง" ร.อ.สุชาติ กล่าว
31 ธ.ค. 2546 14:40 น.
...........................................................................................................
BT + IFCT + คาดเดา แบงก์รัฐ มีอะไร บ้าง ละนี่ ก็ KTB , SCIB , TMB หรือจะเป็นธนาคารออมสินละ อิอิ .................
ต้องไปดู หากรวม บีที กะไอเอฟซีที แล้ว มูลค่าสินทรัพย์
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวมาอีกแล้ว ไปพิจารณากัน SCIB+BT+IFCT
โพสต์ที่ 9
Story Number : 9690
2004 Jan 13 07:49:18
สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
13 ม.ค.--ผู้จัดการรายวัน
สคิบประกาศเป็นแกนนำควบแบงก์รัฐฝุ่นเริ่มจาง
ธนาคารนครหลวงไทยยอมเพื่อชาติ สนับสนุนการควบรวมแบงก์พาณิชย์รัฐ แต่ขอเป็นเกนนำ ทำให้อนาคตแบงก์รัฐ 4 แห่งชัดเจนขึ้น คลังเผยปัญหา "ไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที" มีทางเลือกมากขึ้น อาจยุบทั้งสองแห่งไปควบกับนครหลวงไทยเพื่อเป็นแบงก์รัฐแห่งที่ 2 รองจากกรุงไทยตามแผนแม่บททางการเงิน ส่วนทหารไทยรอคัดพันธมิตร 3 ราย "สมคิด" ปฏิเสธอุ้มนครหลวงไทย
2004 Jan 13 07:49:18
สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
13 ม.ค.--ผู้จัดการรายวัน
สคิบประกาศเป็นแกนนำควบแบงก์รัฐฝุ่นเริ่มจาง
ธนาคารนครหลวงไทยยอมเพื่อชาติ สนับสนุนการควบรวมแบงก์พาณิชย์รัฐ แต่ขอเป็นเกนนำ ทำให้อนาคตแบงก์รัฐ 4 แห่งชัดเจนขึ้น คลังเผยปัญหา "ไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที" มีทางเลือกมากขึ้น อาจยุบทั้งสองแห่งไปควบกับนครหลวงไทยเพื่อเป็นแบงก์รัฐแห่งที่ 2 รองจากกรุงไทยตามแผนแม่บททางการเงิน ส่วนทหารไทยรอคัดพันธมิตร 3 ราย "สมคิด" ปฏิเสธอุ้มนครหลวงไทย
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
สวัสดี 14-1-2547 กับสินทรัพย์รวม และสินเชื่อรวม ของแบงก์
โพสต์ที่ 10
:lol: :lol: มาดูสินทรัพย์รวม และสินเชื่อรวม ของแบงก์
ข้อมูล ณ 30 กย. 46 ( กรุณาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง )
สินทรัพย์รวม ( ล้านบาท ) ........... สินเชื่อรวม ( ล้านบาท )
BBL 1,289,250 906,650
KTB 1,125,000 695,113
KBANK 811,473 456,155
SCB 708,627 417,297
BAY 518,682 368,047
SCIB 454,109 296,885
TMB 380,972 277,397
BT 255,684 109,195
IFCT 194,532 ( ณ มิย. 46 ) 151,473 (เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ (สุทธิ)
BOA 165,413 106,023
DTDB 100,526 73,318
เมื่อ สินทรัพย์รวม IFCT + BT = 450,216
เมื่อ สินทรัพย์รวม TMB + DTDB = 481,498
สมมุติ IFCT + BT + SCIB = 904,325 ( จะกลายเป็นแบงก์ ใหญ่ ลำดับที่ 3 เชียวนะ )
โอโห หาก นำ IFCT + BT + SCB = 1,158,843 ( จะกลายเป็นแบงก์ใหญ่ ลำดับ สอง โอโห ใหญ่กว่า กรุงไทยอีกหรือนี่ )
หากนำ IFCT + BT + TMB + SCIB = 1,285,297 ( ก็ยังเป็นแบงก์ ใหญ่ อันดับ 2 แหมหากนำ SCB ไปรวมอีก ก็จะเท่ากับ 1,993,924 ใหญ่ไปเลย )
หากสมมุติ เหลือแบบสุดท้าย อ้าวแบงก์รัฐ ก็เหลือ 2 แห่ง เองสินี่ .......
หากสมมุติ รองสุดท้าย ก็จะเหลือ 4 หวาว ........
ข้อมูล ณ 30 กย. 46 ( กรุณาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง )
สินทรัพย์รวม ( ล้านบาท ) ........... สินเชื่อรวม ( ล้านบาท )
BBL 1,289,250 906,650
KTB 1,125,000 695,113
KBANK 811,473 456,155
SCB 708,627 417,297
BAY 518,682 368,047
SCIB 454,109 296,885
TMB 380,972 277,397
BT 255,684 109,195
IFCT 194,532 ( ณ มิย. 46 ) 151,473 (เงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ (สุทธิ)
BOA 165,413 106,023
DTDB 100,526 73,318
เมื่อ สินทรัพย์รวม IFCT + BT = 450,216
เมื่อ สินทรัพย์รวม TMB + DTDB = 481,498
สมมุติ IFCT + BT + SCIB = 904,325 ( จะกลายเป็นแบงก์ ใหญ่ ลำดับที่ 3 เชียวนะ )
โอโห หาก นำ IFCT + BT + SCB = 1,158,843 ( จะกลายเป็นแบงก์ใหญ่ ลำดับ สอง โอโห ใหญ่กว่า กรุงไทยอีกหรือนี่ )
หากนำ IFCT + BT + TMB + SCIB = 1,285,297 ( ก็ยังเป็นแบงก์ ใหญ่ อันดับ 2 แหมหากนำ SCB ไปรวมอีก ก็จะเท่ากับ 1,993,924 ใหญ่ไปเลย )
หากสมมุติ เหลือแบบสุดท้าย อ้าวแบงก์รัฐ ก็เหลือ 2 แห่ง เองสินี่ .......
หากสมมุติ รองสุดท้าย ก็จะเหลือ 4 หวาว ........
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าววันนี้ 15-1-2547 จากนสพ. กรุงเทพธุรกิจ
โพสต์ที่ 12
"ไอเอฟซีที" หวั่นลูกค้าหลุดมือ เหตุแบงก์ตามจีบเสนอเงื่อนไข
โดย กรุงเทพธุรกิจ
ี้"ไอเอฟซีที" ประสบปัญหาลูกค้าดีอาจแห่หนี หลังฐานลูกค้าสินเชื่อตกเป็นเป้าของแบงก์พาณิชย์ ที่หวังฉวยโอกาสหลังไอเอฟซีทีควบรวมกับไทยธนาคาร มายื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อหวังชิงลูกค้า
แหล่งข่าวจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือไอเอฟซีที เปิดเผยถึงสถานการณ์ลูกค้าสินเชื่อของไอเอฟซีที ว่า หากเกิดความไม่ชัดเจนในนโยบายหลังจากที่ไอเอฟซีทีดำเนินการควบรวมกับธนาคารไทยธนาคารแล้ว ไอเอฟซีทีอาจต้องพบกับปัญหาในการรักษาฐานลูกค้าสินเชื่อโดยเฉพาะลูกค้าชั้นดีที่อาจถูกสถาบันการเงินอื่นหรือธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ช่วงชิงลูกค้ากลุ่มนี้ไป เพราะในขณะนี้มีธนาคารหลายแห่งต่างพยายามยื่นข้อเสนอทางการเงินรูปแบบต่างๆเพื่อจูงใจลูกค้าสินเชื่อของไอเอฟซีทีให้มาใช้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินตัวเอง
"ที่ผ่านมาเราจะทำธุรกิจโดยมุ่งปล่อยสินเชื่อ ที่เน้นการช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเป็นหลัก แต่เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์แล้ว วัตถุประสงค์การทำธุรกิจอาจต้องหันไปมุ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินเป็นสำคัญ ตรงนี้ทำให้ลูกค้าเกิดความกังวลใจ และจุดนี้เองที่จะทำให้ไอเอฟซีทีอาจต้องเสียลูกค้าที่ดีไปให้กับธนาคารแห่งอื่นได้ ถึงแม้ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นลูกค้าของไอเอฟซีทีมานานก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวรายนี้กล่าวอีกว่า ฐานลูกค้ากลุ่มนี้ของไอเอฟซีทีจะมีประวัติการชำระเงินที่ดี เป็นธุรกิจที่มีอนาคต แต่เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงในการควบรวมกิจการ ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะหันมาแย่งชิงฐานลูกค้าของไอเอฟซีทีไป
ทั้งนี้โดยปกติ นอกจากไอเอฟซีทีจะสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการแล้วยัง ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอีกด้วย เช่น จัดอบรมผู้ประกอบการให้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ไอเอฟซีทีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ต้องอาศัยความเป็นมิตร และความช่วยเหลืออย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าเกิดปัญหาทางการเงินหรือขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจกะทันหัน
อย่างปีก่อน ช่วงที่ธุรกิจหลายแห่งต้องประสบกับวิกฤติภาวะโรคซาร์สระบาด หรือในช่วงสงครามอิรัก ทำให้หลายธุรกิจต้องขาดสภาพคล่องไประยะหนึ่ง เราก็เข้าไปสนับสนุนเงินในส่วนนี้อย่างเต็มที่ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการให้สินเชื่อเขา" แหล่งข่าวกล่าว
ผู้ประกอบการจากห้างหุ้นส่วนจำกัด บ้านศิลาดล ผู้ผลิตเซรามิครายใหญ่ ใน จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับรางวัลโพรดักส์ แชมเปี้ยน และยังเป็นผู้ผลิตสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาว ได้กล่าวว่า ตนเองเป็นลูกค้าที่อยู่กับไอเอฟซีทีมานานกว่า 10 ปี และกำลังต้องการขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะนี้กำลังถูกธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อีก 1-2 แห่งมายื่นข้อเสนอสินเชื่อที่จูงใจ
ขณะที่นายวิชิต ไชยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองดี แกลเลอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นลูกค้าของไอเอฟซีทีมาเกือบ 10 ปี โดยประกอบธุรกิจด้านการผลิตสินค้าตกแต่งบ้าน ของชำร่วย และเฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า บริษัทของเขาเคยประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ เพราะได้รับเงินสนับสนุนจากไอเอฟซีที
"หลายปีก่อนเราต้องขยายกำลังการผลิต จึงต้องเพิ่มกำลังคน แล้วนำคนกลุ่มนี้มาอบรมพัฒนาฝีมือให้ได้มาตรฐานตามที่เราต้องการ แต่เมื่อบริษัทเกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา การจะเลิกจ้างคนงานที่มีฝีมือกลุ่มนี้ออกไปเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้ เพราะเสียดายฝีมือและระยะเวลาที่เราพัฒนาเขาขึ้นมา" เขากล่าว
.........................................................................................................................
ราคาปิดวันนี้ 5.1 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.71 ล้านบาท ต่ำสุดที่ 5.1 สูงสุดที่ 5.3 บาท
................................................................................................................................ :lol: :lol: :lol:
รอก่อน ให้ .....เก็บของให้หมดก่อน ............................... 8) 8) 8)
โดย กรุงเทพธุรกิจ
ี้"ไอเอฟซีที" ประสบปัญหาลูกค้าดีอาจแห่หนี หลังฐานลูกค้าสินเชื่อตกเป็นเป้าของแบงก์พาณิชย์ ที่หวังฉวยโอกาสหลังไอเอฟซีทีควบรวมกับไทยธนาคาร มายื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อหวังชิงลูกค้า
แหล่งข่าวจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือไอเอฟซีที เปิดเผยถึงสถานการณ์ลูกค้าสินเชื่อของไอเอฟซีที ว่า หากเกิดความไม่ชัดเจนในนโยบายหลังจากที่ไอเอฟซีทีดำเนินการควบรวมกับธนาคารไทยธนาคารแล้ว ไอเอฟซีทีอาจต้องพบกับปัญหาในการรักษาฐานลูกค้าสินเชื่อโดยเฉพาะลูกค้าชั้นดีที่อาจถูกสถาบันการเงินอื่นหรือธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ช่วงชิงลูกค้ากลุ่มนี้ไป เพราะในขณะนี้มีธนาคารหลายแห่งต่างพยายามยื่นข้อเสนอทางการเงินรูปแบบต่างๆเพื่อจูงใจลูกค้าสินเชื่อของไอเอฟซีทีให้มาใช้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินตัวเอง
"ที่ผ่านมาเราจะทำธุรกิจโดยมุ่งปล่อยสินเชื่อ ที่เน้นการช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเป็นหลัก แต่เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์แล้ว วัตถุประสงค์การทำธุรกิจอาจต้องหันไปมุ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินเป็นสำคัญ ตรงนี้ทำให้ลูกค้าเกิดความกังวลใจ และจุดนี้เองที่จะทำให้ไอเอฟซีทีอาจต้องเสียลูกค้าที่ดีไปให้กับธนาคารแห่งอื่นได้ ถึงแม้ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นลูกค้าของไอเอฟซีทีมานานก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวรายนี้กล่าวอีกว่า ฐานลูกค้ากลุ่มนี้ของไอเอฟซีทีจะมีประวัติการชำระเงินที่ดี เป็นธุรกิจที่มีอนาคต แต่เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงในการควบรวมกิจการ ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ จะหันมาแย่งชิงฐานลูกค้าของไอเอฟซีทีไป
ทั้งนี้โดยปกติ นอกจากไอเอฟซีทีจะสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการแล้วยัง ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอีกด้วย เช่น จัดอบรมผู้ประกอบการให้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงในการประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ไอเอฟซีทีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ต้องอาศัยความเป็นมิตร และความช่วยเหลืออย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าเกิดปัญหาทางการเงินหรือขาดสภาพคล่องในการทำธุรกิจกะทันหัน
อย่างปีก่อน ช่วงที่ธุรกิจหลายแห่งต้องประสบกับวิกฤติภาวะโรคซาร์สระบาด หรือในช่วงสงครามอิรัก ทำให้หลายธุรกิจต้องขาดสภาพคล่องไประยะหนึ่ง เราก็เข้าไปสนับสนุนเงินในส่วนนี้อย่างเต็มที่ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการให้สินเชื่อเขา" แหล่งข่าวกล่าว
ผู้ประกอบการจากห้างหุ้นส่วนจำกัด บ้านศิลาดล ผู้ผลิตเซรามิครายใหญ่ ใน จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับรางวัลโพรดักส์ แชมเปี้ยน และยังเป็นผู้ผลิตสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาว ได้กล่าวว่า ตนเองเป็นลูกค้าที่อยู่กับไอเอฟซีทีมานานกว่า 10 ปี และกำลังต้องการขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะนี้กำลังถูกธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อีก 1-2 แห่งมายื่นข้อเสนอสินเชื่อที่จูงใจ
ขณะที่นายวิชิต ไชยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองดี แกลเลอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นลูกค้าของไอเอฟซีทีมาเกือบ 10 ปี โดยประกอบธุรกิจด้านการผลิตสินค้าตกแต่งบ้าน ของชำร่วย และเฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า บริษัทของเขาเคยประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน แต่ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ เพราะได้รับเงินสนับสนุนจากไอเอฟซีที
"หลายปีก่อนเราต้องขยายกำลังการผลิต จึงต้องเพิ่มกำลังคน แล้วนำคนกลุ่มนี้มาอบรมพัฒนาฝีมือให้ได้มาตรฐานตามที่เราต้องการ แต่เมื่อบริษัทเกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา การจะเลิกจ้างคนงานที่มีฝีมือกลุ่มนี้ออกไปเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้ เพราะเสียดายฝีมือและระยะเวลาที่เราพัฒนาเขาขึ้นมา" เขากล่าว
.........................................................................................................................
ราคาปิดวันนี้ 5.1 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.71 ล้านบาท ต่ำสุดที่ 5.1 สูงสุดที่ 5.3 บาท
................................................................................................................................ :lol: :lol: :lol:
รอก่อน ให้ .....เก็บของให้หมดก่อน ............................... 8) 8) 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวการควบรวม สรุปแล้ว
โพสต์ที่ 13
โล่งใจ เก็บมาระยะหนึ่ง และแล้ว มาถึงวันนี้สะที รอเก็บมานาน BT ก็ไม่รวม กับ IFCT แต่ บีที ขึ้นไป 20 กว่าเปอร์เซนต์ ไปแตะ ที่ 8 บาทกว่า จาก 6 บาท นิดนิด ......แหม รมต. คลังเก่ง นี่ เยี่ยมยุทธ์ ปากก็ออกมาพูดอย่างและผลออกมาทำอย่าง ........แต่ก็ช่างหัวมัน ( กลับดีสะอีก )
มาดูข่าว ดีกว่า
" ครม.เห็นชอบรวม"ไอเอฟซีที-ทหารไทย-ดีบีเอสไทยทนุ"
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง แถลงว่า ครม.เห็นชอบให้ออก พ.ร.ก แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) เพื่อเปิดโอกาสให้ไอเอฟซีทีสามารถควบรวมกิจการได้ โดย กระทรวงการคลัง ได้กำหนดให้ไอเอฟซีที ควบรวมกิจการกับ ธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังจะมีธนาคาร ดีบีเอสไทยทนุ อีกแห่งหนึ่งจะเข้ามาควบรวมกิจการกับ ไอเอฟซีทีและธนาคาร ทหารไทย ซึ่งสัปดาห์หน้าทางธนาคารดีบีไทยทนุจะประชุมคณะกรรมการ และจะประกาศการควบรวมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
20 ม.ค. 2547 15:30 น. "
ดีนะนี่ ค่อยๆ เก็บ IFCT เก็บไว้ร่วม 2 แสนหุ้น ต้นทุนเฉลี่ยที่ 5.1 กะว่าขึ้นไปสัก 25 % สูงกว่าที่ บีที ขึ้น ไปนิดนึง ก็ 6.35 บาท ก็กำไรเหนาะๆ 1.25 บาท ต่อหุ้น อิอิ ลงทุนไป 1 ล้านกำไร 250,000 บาท รอรับอานิสงค์ เราเลย อาศัยผลการรวม นี้อาจจะ ได้เงินไปกิน สนุกอีกมื้อ อิอิอิ :lol: :lol: :lol: มื้อนี้เห็นตาแม๊วจะว่าค่าก๋วยเตี๊ยว ไม่ได้กระมัง ที่บ้านมันคงไม่กิน ก๋วยเตี๊ยว ชามละ 2 แสน นะ อิอิ
ลองมาคิดเล่นๆ นะ
สินทรัพย์รวมของ IFCT + TMB + DTDB = 676,030 ล้านบาท ก็จะกลายเป็นแบงก์ใหญ่ ลำดับที่ 5 แต่ลองไปดูผู้ถือหุ้น ทหารไทย ก็น่าจะรู้ ว่า ทหารไทย น่าจะขึ้น เพราะเป็นแกนนำ การควบรวม และดีบีเอส ไทยทนุก็น่าจะขึ้น ......เรียกได้ว่า อานิสงค์ ครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ เหลือหลาย เพราะมีสุนัขฝูงใหญ่ เก็บ หุ้นที่จะรวมกันนี้มานานแล้ว เหอ วงในได้เปรียบ แต่เราก็ไม่เบา รอปลด ไอ้ฮอลเม็ดนี้ก่อน ดู กันไป
หากพิจารณา BV จะพบว่า IFCT ( bv 7.71 ) TMB ( bv 2.67 ) DTDB ( bv 1.5 ) มาคิดแบบ ของเราเอง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.13 ( ผลรวมของแต่ละตัว bv คูณ ปริมาณหุ้น )/(จำนวนหุ้นทั้งหมด ) หากคิดผิดๆ อย่างนี้ ร่วงทุกตัว แต่ นี่คือคณิตศาสตร์ แบบตาแม๊ว มันต้องคิด หลากหลาย คือ จำนวนหุ้น ทหารไทย มหาศาล คือ 8 พันกว่าล้านหุ้น แต่ bv แค่ 2.67 ไม่น่าจะขึ้น หากขึ้น ต้องมีสุนัขล่าเนื้อฝูงใหญ่ดัน ............สำหรับ ไทยทนุ มีหุ้น 1.7 พ้นล้านหุ้น bv แค่ 1.5 ต่ำสุด ราคา ในตลาด มากกว่า บีวี น่าจะลง .........สำหรับ พระเอก งานนี้ คือ IFCT ที่มีสุนัขฝูงใหญ่ เก็บหุ้นกันมานาน รอวันควบรวม และมาวันนี้ ในฐานะ ที่ bv สูงสุด ( แต่อย่าชะล่าใจ เพราะ การสำรอง หนี้ ต้องสำรองเพิ่มอีกเท่าไร อันนี้ แหละ จะทำให้ราคาผันผวน ) แต่เชื่อแน่ ว่า ใครๆก็เชียร์ ตัวนี้ นะเวลานี้ พระเอก ย่อมเป็นพระเอก ......พระรอง ก็ต้องรองตามลำดับ .........ขอให้ สนุกกับเหยื่ออันโอชะ ตัวนี้ ........
มาดูข่าว ดีกว่า
" ครม.เห็นชอบรวม"ไอเอฟซีที-ทหารไทย-ดีบีเอสไทยทนุ"
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง แถลงว่า ครม.เห็นชอบให้ออก พ.ร.ก แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) เพื่อเปิดโอกาสให้ไอเอฟซีทีสามารถควบรวมกิจการได้ โดย กระทรวงการคลัง ได้กำหนดให้ไอเอฟซีที ควบรวมกิจการกับ ธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังจะมีธนาคาร ดีบีเอสไทยทนุ อีกแห่งหนึ่งจะเข้ามาควบรวมกิจการกับ ไอเอฟซีทีและธนาคาร ทหารไทย ซึ่งสัปดาห์หน้าทางธนาคารดีบีไทยทนุจะประชุมคณะกรรมการ และจะประกาศการควบรวมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
20 ม.ค. 2547 15:30 น. "
ดีนะนี่ ค่อยๆ เก็บ IFCT เก็บไว้ร่วม 2 แสนหุ้น ต้นทุนเฉลี่ยที่ 5.1 กะว่าขึ้นไปสัก 25 % สูงกว่าที่ บีที ขึ้น ไปนิดนึง ก็ 6.35 บาท ก็กำไรเหนาะๆ 1.25 บาท ต่อหุ้น อิอิ ลงทุนไป 1 ล้านกำไร 250,000 บาท รอรับอานิสงค์ เราเลย อาศัยผลการรวม นี้อาจจะ ได้เงินไปกิน สนุกอีกมื้อ อิอิอิ :lol: :lol: :lol: มื้อนี้เห็นตาแม๊วจะว่าค่าก๋วยเตี๊ยว ไม่ได้กระมัง ที่บ้านมันคงไม่กิน ก๋วยเตี๊ยว ชามละ 2 แสน นะ อิอิ
ลองมาคิดเล่นๆ นะ
สินทรัพย์รวมของ IFCT + TMB + DTDB = 676,030 ล้านบาท ก็จะกลายเป็นแบงก์ใหญ่ ลำดับที่ 5 แต่ลองไปดูผู้ถือหุ้น ทหารไทย ก็น่าจะรู้ ว่า ทหารไทย น่าจะขึ้น เพราะเป็นแกนนำ การควบรวม และดีบีเอส ไทยทนุก็น่าจะขึ้น ......เรียกได้ว่า อานิสงค์ ครั้งนี้ ยิ่งใหญ่ เหลือหลาย เพราะมีสุนัขฝูงใหญ่ เก็บ หุ้นที่จะรวมกันนี้มานานแล้ว เหอ วงในได้เปรียบ แต่เราก็ไม่เบา รอปลด ไอ้ฮอลเม็ดนี้ก่อน ดู กันไป
หากพิจารณา BV จะพบว่า IFCT ( bv 7.71 ) TMB ( bv 2.67 ) DTDB ( bv 1.5 ) มาคิดแบบ ของเราเอง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.13 ( ผลรวมของแต่ละตัว bv คูณ ปริมาณหุ้น )/(จำนวนหุ้นทั้งหมด ) หากคิดผิดๆ อย่างนี้ ร่วงทุกตัว แต่ นี่คือคณิตศาสตร์ แบบตาแม๊ว มันต้องคิด หลากหลาย คือ จำนวนหุ้น ทหารไทย มหาศาล คือ 8 พันกว่าล้านหุ้น แต่ bv แค่ 2.67 ไม่น่าจะขึ้น หากขึ้น ต้องมีสุนัขล่าเนื้อฝูงใหญ่ดัน ............สำหรับ ไทยทนุ มีหุ้น 1.7 พ้นล้านหุ้น bv แค่ 1.5 ต่ำสุด ราคา ในตลาด มากกว่า บีวี น่าจะลง .........สำหรับ พระเอก งานนี้ คือ IFCT ที่มีสุนัขฝูงใหญ่ เก็บหุ้นกันมานาน รอวันควบรวม และมาวันนี้ ในฐานะ ที่ bv สูงสุด ( แต่อย่าชะล่าใจ เพราะ การสำรอง หนี้ ต้องสำรองเพิ่มอีกเท่าไร อันนี้ แหละ จะทำให้ราคาผันผวน ) แต่เชื่อแน่ ว่า ใครๆก็เชียร์ ตัวนี้ นะเวลานี้ พระเอก ย่อมเป็นพระเอก ......พระรอง ก็ต้องรองตามลำดับ .........ขอให้ สนุกกับเหยื่ออันโอชะ ตัวนี้ ........
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
เปาะแปะ
โพสต์ที่ 15
ได้รับอังเปา ตรุษจีน ตามที่คำนวณ ก็ 25 % จริงๆ ปล่อยไป ราคา ไฮ เหอกลุ้ม เดี๊ยวจะเอาเศษ เงิน คือ 250,000 ไปซื้อ ทหารไทย
-
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เปาะแปะ
โพสต์ที่ 16
ผมติด [email protected] มีโอกาสรอดไม๊ครับ
แล้วตัวนี้เป้าหมายที่เท่าไหร่ครับ เห็นเขาว่าจะเป็น ITV ภาค 2
ก็เลยใส่ไปเต็มๆเลยครับ
แล้วตัวนี้เป้าหมายที่เท่าไหร่ครับ เห็นเขาว่าจะเป็น ITV ภาค 2
ก็เลยใส่ไปเต็มๆเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
TMB ปิดวันนี้ 5.20 บาท วอลุ่ม 95 ล้าน
โพสต์ที่ 17
ติด ที่ 5.80 บาท เราลองมาคิดเล่นๆ ว่า หาก ทหารไทย ขึ้นไปสัก 10 % เท่ากับ 5.2 + 0.52 เท่ากับ 5.72 บาท รอผ่านการควบรวม ได้ชื่อใหม่ จากดีลแม่ คือทหารไทย คุณน่าจะฝันไปเห็นแบบ กรุงไทย ได้สบาย เพราะ ทหารไทย จะปลดการขาดทุน สะสม ออกไป จากการดีล ครั้งนี้แน่นอน ......ตัวอื่นๆ คุณไม่ต้องไปสนใจแล้ว หาก จะซื้อให้ซื้อทหารไทย เท่านั้น คาดว่า ไม่น่าจะเกินไตรมาสแรกของปี ที่ เสร็จสิ้น ถือ ต่อ มั่นใจได้
-
- ผู้ติดตาม: 0
Re: TMB ปิดวันนี้ 5.20 บาท วอลุ่ม 95 ล้าน
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณครับ ดร กบ (ถ้าอ่านผิดต้องขออภัย)
อ่านแล้วค่อยมีกำลังใจเป็นนักลงทุนระยะยาวหน่อยครับ
ชอบการวิเคราะห์ของ ดร ครับ ไม่ทราบว่าพอแนะนำหุ้นตัวไหนให้ไปศึกษาบ้างไหมครับ
ผมประเภทชอบลงทุนระยะกลาง แต่สามารถถือยาวเป็นปีได้
ตอนนี้กำลังเก็บ cpf-w2 เพิ่ม
อ่านแล้วค่อยมีกำลังใจเป็นนักลงทุนระยะยาวหน่อยครับ
ชอบการวิเคราะห์ของ ดร ครับ ไม่ทราบว่าพอแนะนำหุ้นตัวไหนให้ไปศึกษาบ้างไหมครับ
ผมประเภทชอบลงทุนระยะกลาง แต่สามารถถือยาวเป็นปีได้
ตอนนี้กำลังเก็บ cpf-w2 เพิ่ม
- มดง่าม
- Verified User
- โพสต์: 584
- ผู้ติดตาม: 0
BT ควบรวมกับ IFCT ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
โพสต์ที่ 19
สำหรับผมได้คัทลอสบีทีไปนานแล้ว แล้วตั้งใจว่าถ้าไม่เข้าใจธุรกิจนั้นก็ไม่ยุ่งแล้ว แต่ถ้าแบงค์เหลือน้อยลงก็ดีครับ ต้นทุนลดลงจะได้ลดค่าธรรมเนียมบ้าง
เหงาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เธอ(หุ้นดี) ไม่เอา
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ