ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 1
ตัวอย่าง CPALL - บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่:27/05/20
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float):97,382การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (%Free float):56.65%
ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่:10/03/21ประเภท:XMจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด:131,972%การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น:72.46%
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น ร้อยละ
บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด 2,734,748,100 30.44%
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 786,671,336 8.76%
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 614,951,252 6.85%
STATE STREET EUROPE LIMITED 296,929,756 3.31%
สำนักงานประกันสังคม 238,282,500 2.65%
GIC PRIVATE LIMITED 223,785,489 2.49%
บริษัท ยู เอ็น เอส อโกรเคมีคัล จำกัด 180,000,000 2.00%
BNY MELLON NOMINEES LIMITED 166,863,545 1.86%
THE BANK OF NEW YORK MELLON 122,115,655 1.36%
บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) 100,000,000 1.11%
นาย ปริญญา เธียรวร 100,000,000 1.11%
อยากให้เหมือนเดิมจังครับ คือเกิน0.5% ขอความเห็นหน่อยครับ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ วันที่:27/05/20
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float):97,382การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (%Free float):56.65%
ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่:10/03/21ประเภท:XMจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด:131,972%การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น:72.46%
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น ร้อยละ
บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด 2,734,748,100 30.44%
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 786,671,336 8.76%
SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 614,951,252 6.85%
STATE STREET EUROPE LIMITED 296,929,756 3.31%
สำนักงานประกันสังคม 238,282,500 2.65%
GIC PRIVATE LIMITED 223,785,489 2.49%
บริษัท ยู เอ็น เอส อโกรเคมีคัล จำกัด 180,000,000 2.00%
BNY MELLON NOMINEES LIMITED 166,863,545 1.86%
THE BANK OF NEW YORK MELLON 122,115,655 1.36%
บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) 100,000,000 1.11%
นาย ปริญญา เธียรวร 100,000,000 1.11%
อยากให้เหมือนเดิมจังครับ คือเกิน0.5% ขอความเห็นหน่อยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 3
ผมขอ comment ในประเด็นเรื่อง โอกาสในการศึกษาและการพัฒนาตัวเองของนักลงทุนรายย่อยแล้วกันนะครับ
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% ของ SET นี่แหละครับ เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการเลือกอาจารย์ (คือเอามาประกอบเหตุผลอื่นๆเพื่อเลือกว่าจะเชื่อใคร) เพื่อศึกษาติดตามบทความ บทสัมภาษณ์ และความเห็นของท่านเหล่านั้น และนำความรู้ที่ได้จากท่านเหล่านั้นไปพัฒนาตัวเองครับ
แน่นอนข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนความมั่งคั่งของเจ้าของชื่อได้ เพราะเค้าอาจจะถือหุ้นตัวอื่นๆอีกหลายตัวเลย แต่ถือไม่ถึง 0.5% ของบริษัทนั้นๆ และแน่นอนว่าจะต้องมีคนที่รวยกว่าเค้าแต่ไม่มีรายชื่อติดเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยซักบริษัท เพราะเค้าอาจจะถือแต่หุ้นตัวใหญ่ หรือลงทุนแบบกระจายมากๆ หรืออาจจะไปเน้นลงทุนหุ้นต่างประเทศก็ได้
แต่ที่ผ่านมาข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นฯดังกล่าว ก็คงจะเป็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวที่ให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเรายึดเป็นหลักฐานได้บ้างว่าใครเล่นจริงเจ็บจริง ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆครับ คือผมไม่ได้อยากได้หลักฐานว่าใครร่ำรวยเท่าไร หรืออยากจะลอกหุ้นใครหรอกนะครับ ผมต้องการทราบแค่หลักฐานแสดงให้เห็นว่าท่านนั้นๆลงทุนจริงๆ (มี track record อยู่บ้าง) อาจจะซัก 2-3 ล้านก็ได้ (ในกรณีที่หุ้นตัวเล็กมากๆ) ผมก็เลือกติดตามนักลงทุนท่านนั้นแล้วครับ
ซึ่งการปรับเกณฑ์ใหม่ของ SET ที่โชว์แค่ผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรก ไม่ใช่ 0.5% เหมือนเดิมนั้น ส่งผลให้ชื่อของบรรดาอาจารย์ที่ผมติดตามอยู่หายไปเกือบหมดเลยครับ ทำให้ต่อไปเวลาเลือกฟังใครอาจจะต้องใช้ศรัทธามากกว่าหลักฐาน ซึ่งก็อันตรายอยู่เหมือนกันครับ
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% ของ SET นี่แหละครับ เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการเลือกอาจารย์ (คือเอามาประกอบเหตุผลอื่นๆเพื่อเลือกว่าจะเชื่อใคร) เพื่อศึกษาติดตามบทความ บทสัมภาษณ์ และความเห็นของท่านเหล่านั้น และนำความรู้ที่ได้จากท่านเหล่านั้นไปพัฒนาตัวเองครับ
แน่นอนข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนความมั่งคั่งของเจ้าของชื่อได้ เพราะเค้าอาจจะถือหุ้นตัวอื่นๆอีกหลายตัวเลย แต่ถือไม่ถึง 0.5% ของบริษัทนั้นๆ และแน่นอนว่าจะต้องมีคนที่รวยกว่าเค้าแต่ไม่มีรายชื่อติดเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยซักบริษัท เพราะเค้าอาจจะถือแต่หุ้นตัวใหญ่ หรือลงทุนแบบกระจายมากๆ หรืออาจจะไปเน้นลงทุนหุ้นต่างประเทศก็ได้
แต่ที่ผ่านมาข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นฯดังกล่าว ก็คงจะเป็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวที่ให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเรายึดเป็นหลักฐานได้บ้างว่าใครเล่นจริงเจ็บจริง ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆครับ คือผมไม่ได้อยากได้หลักฐานว่าใครร่ำรวยเท่าไร หรืออยากจะลอกหุ้นใครหรอกนะครับ ผมต้องการทราบแค่หลักฐานแสดงให้เห็นว่าท่านนั้นๆลงทุนจริงๆ (มี track record อยู่บ้าง) อาจจะซัก 2-3 ล้านก็ได้ (ในกรณีที่หุ้นตัวเล็กมากๆ) ผมก็เลือกติดตามนักลงทุนท่านนั้นแล้วครับ
ซึ่งการปรับเกณฑ์ใหม่ของ SET ที่โชว์แค่ผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรก ไม่ใช่ 0.5% เหมือนเดิมนั้น ส่งผลให้ชื่อของบรรดาอาจารย์ที่ผมติดตามอยู่หายไปเกือบหมดเลยครับ ทำให้ต่อไปเวลาเลือกฟังใครอาจจะต้องใช้ศรัทธามากกว่าหลักฐาน ซึ่งก็อันตรายอยู่เหมือนกันครับ
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 4
เอาตรงๆ ผมใช้รายชื่อไว้สำหรับลอกการบ้านนี่แหละ
เข้าใจเอาเองว่า เหมือนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือเปล่า
แต่ถ้าเข้าใจแบบนั้นก็น่าจะปิดชื่อให้หมดเลย
ในมุมกลับ ถ้าคิดว่าการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้น
ดูโปร่งใส่ดี การแสดงรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เป็นสิ่งจำเป็น
ส่วนตัวผมไม่รู้หรอกว่าหลักเกณฑ์ควรเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อย รายชื่อที่เปิดเผย ควรเป็นรายชื่อ
ของผู้ที่มีผลกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญครับ
เข้าใจเอาเองว่า เหมือนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือเปล่า
แต่ถ้าเข้าใจแบบนั้นก็น่าจะปิดชื่อให้หมดเลย
ในมุมกลับ ถ้าคิดว่าการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้น
ดูโปร่งใส่ดี การแสดงรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เป็นสิ่งจำเป็น
ส่วนตัวผมไม่รู้หรอกว่าหลักเกณฑ์ควรเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อย รายชื่อที่เปิดเผย ควรเป็นรายชื่อ
ของผู้ที่มีผลกับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญครับ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 5
ผมชอบแบบเดิมมากกว่า นักลงทุนรายย่อยควรรู้ว่าบริษัทที่เร่ลงทุนมีใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
0.5% ไม่ใช่ว่าน้อย เพราะหลายบริษัทแค่มีชื่อใครคนมาถือ 0.5% ก็อาจมีนัยยะสำคัญแล้ว เช่นกรณีผู้มีชื่อเสียง ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท หรือนักการเมือง
ในทางกลับกัน ผู้บริหารบริษัทยังมีสิทธิ์ "เช็คชื่อ" นักลงทุนรายย่อยได้ โดยมีค่าธรรมเนียมไม่แพง แบบนี้ผมคิดว่าทำให้รายย่อยเสียเปรียบครับ
0.5% ไม่ใช่ว่าน้อย เพราะหลายบริษัทแค่มีชื่อใครคนมาถือ 0.5% ก็อาจมีนัยยะสำคัญแล้ว เช่นกรณีผู้มีชื่อเสียง ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท หรือนักการเมือง
ในทางกลับกัน ผู้บริหารบริษัทยังมีสิทธิ์ "เช็คชื่อ" นักลงทุนรายย่อยได้ โดยมีค่าธรรมเนียมไม่แพง แบบนี้ผมคิดว่าทำให้รายย่อยเสียเปรียบครับ
Vi IMrovised
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 6
ผมแจ้งตลาดทรัพย์ไปแล้ว ถ้าเพื่อนๆช่วยกันแสดงความเห็นในกระทู้นี้เยอะๆน่าจะมีน้ำหนักครับ รบกวนพี่adminช่วยปักหมุดด้วยครับ
- romee
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 7
คืออยากรู้เหตุผลของตลาดก่อนนะครับ ว่าทำไมถึงเลือกใช้วิธีนี้
แต่ถ้าเลือกได้ ขอแบบเก่าดีกว่าครับ
แต่ถ้าเลือกได้ ขอแบบเก่าดีกว่าครับ
การลงทุนแนวvi ไม่ได้แปลว่า นักลงทุนคนนั้นดีกว่า หรือมีวรรณะสูงกว่าคนที่ลงทุนแนวอื่นๆหรอก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 178
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 8
อยากได้แบบเก่าเหมือนกันครับ
จากเคสหุ้นบางตัวในอดีตที่กลุ่มผู้บริหาร/เจ้าของ ลดสัดส่วนการถือครองลง ทำให้ผมไม่สบายใจน่ะครับ ..
กลุ่มผู้บริหาร/เจ้าของ/ญาติเจ้าของ อาจจะถือครองสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 10อันดับแรก
การที่ตลาดหลักทรัพย์รายงานแค่ 10อันดับแรก ทำให้เราไม่ทราบเลยว่า กลุ่มข้างต้นขายหุ้นออกไปแล้วหรือไม่
อีกอย่าง ผมคิดไปเองว่า การรายงานแค่ 10อันดับแรก .. บริษัทที่จะ IPO สามารถจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้น (นอมินี) จะขายหุ้นออกมาได้ง่ายขึ้น และตรวจสอบได้ยากขึ้นด้วยครับ
จากเคสหุ้นบางตัวในอดีตที่กลุ่มผู้บริหาร/เจ้าของ ลดสัดส่วนการถือครองลง ทำให้ผมไม่สบายใจน่ะครับ ..
กลุ่มผู้บริหาร/เจ้าของ/ญาติเจ้าของ อาจจะถือครองสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 10อันดับแรก
การที่ตลาดหลักทรัพย์รายงานแค่ 10อันดับแรก ทำให้เราไม่ทราบเลยว่า กลุ่มข้างต้นขายหุ้นออกไปแล้วหรือไม่
อีกอย่าง ผมคิดไปเองว่า การรายงานแค่ 10อันดับแรก .. บริษัทที่จะ IPO สามารถจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้น (นอมินี) จะขายหุ้นออกมาได้ง่ายขึ้น และตรวจสอบได้ยากขึ้นด้วยครับ
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 9
รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดย: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเข้าใจว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เปลี่ยนเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ของบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่ต้นปี 2564 จากที่เคยรายงานชื่อผู้ถือหุ้นทุกคนที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% ขึ้นไป เป็นการรายงานเฉพาะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดเพียง 10 อันดับ
ผมเองไม่รู้ว่าเหตุผลจริง ๆ คืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นคงจะ “น้อยลง” เพราะ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” 10 อันดับแรกนั้น ส่วนใหญ่จะมีหุ้นมากกว่า 0.5% ของบริษัท ที่จะมีน้อยกว่า 0.5% ก็มักจะเป็นบริษัทที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนไม่นานและ/หรือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เจ้าของเดิมไม่ขายหุ้นออกมา เช่นหุ้น AOT OR หรือ BCPG เป็นต้น
การ “ลด” การเปิดเผยข้อมูลชื่อผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นหลังจากบริษัทปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิเข้าประชุมใหญ่ประจำปีผู้ถือหุ้นและการจ่ายปันผล ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยรู้สึก “หงุดหงิด” และเห็นว่าตลาดไม่ควรเปลี่ยน เพราะสำหรับนักลงทุนแล้ว ข้อมูลรายชื่อ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” มีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนอยู่ไม่น้อย แม้แต่ในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ เวลาที่มีการรายงานว่าบัฟเฟตต์เข้าไปลงทุนในบริษัทไหน หุ้นตัวนั้นก็มักจะวิ่งกระฉูด เช่นเดียวกับเวลาที่กองทุนของอาร์คอินเวสเม้นต์เข้าไปลงทุนในหุ้นตัวไหน หุ้นตัวนั้นก็ปรับตัวขึ้นแรงเหมือนกัน เพราะคนที่ “เล่นหุ้นตามเซียน” นั้น มีมากมายโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงมากอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้
นอกจากคนที่ตั้งใจจะ “ลอกหุ้น” เพราะคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่จะทำกำไรได้ดีและเร็วมากแล้ว ก็ยังมีคนอีกหลายกลุ่มและหลายคนที่อยากจะให้ตลาดนำข้อมูลเดิมกลับมาด้วย เพราะเขาได้ใช้ข้อมูลนั้นในการศึกษาและตัดสินใจลงทุนโดยไม่ใช่เป็นการลอกหุ้น แต่เป็นเรื่องของการนำมาศึกษาต่อ พวกเขาอาจจะคิดหาเหตุผลว่าทำไม “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่หรือผู้บริหารกองทุนรวมจึงสนใจและเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนั้น นี่เป็นแค่จุดตั้งต้นให้พวกเขาได้ศึกษาต่อไปว่าเขาควรจะลงทุนตามไหม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาเคยติดตาม “เซียน” เหล่านั้นมานานพอจะรู้ว่าแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนอย่างไร และถ้าเขามีความชื่นชอบหรือมีสไตล์แบบเดียวกัน เขาก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นตัวนั้น
คนที่เป็นสื่อทางด้านการเงินและการลงทุนเองนั้น การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้ก็อาจจะพบว่ารายงานและการศึกษาเกี่ยวกับ “ความมั่งคั่งของนักลงทุน” ที่คิดจากการถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะมีความถูกต้องน้อยลงไปอีกเนื่องจากคนที่ถือหุ้นเกิน 0.5% แต่ต่ำกว่า 10 อันดับแรกของผู้ถือหุ้นสูงสุดจะไม่ถูกรายงาน
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีลักษณะ “มหาชน” จริง ๆ นั้น รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 อันดับมักจะเป็นสถาบันหรือเป็นคัสโตเดียนหรือนอมินีที่ถือหุ้นแทนผู้ถือหุ้นอื่นจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ส่วนตัวผมเองที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวและไม่เคยคิดที่จะใช้ข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตัวตัดสินว่าหุ้นดีหรือไม่ดีหรือควรซื้อหรือไม่นั้น ผมเองก็สนใจ “รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่” หรือรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นอย่างมี “นัยสำคัญ” ซึ่งรวมถึงคนที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% อย่างที่เคยเป็นด้วย ที่จริง แนวทางที่ควรจะเป็นก็คือ ให้รายงานแบบเดิมแต่ถ้าบริษัทไหนมีผู้ถือหุ้นที่ถือถึง 0.5% น้อยกว่า 10 รายก็ให้รายงานผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ราย ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้ไม่ต้องตัดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่แบบเดิมออก และการเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ก็จะดูดีขึ้นเพราะมันเพิ่มขึ้นไม่ใช่ลดลง
เหตุผลที่ผมสนใจข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีนัยสำคัญก็คือ ผมดูเพื่อเอาไว้ “อ่านหุ้น” ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ถือหุ้นหลัก ๆ จำนวนมากก็คือสถาบันโดยเฉพาะจากต่างประเทศโดยที่มีนักลงทุนส่วนบุคคลที่เป็นคนไทยน้อย แบบนี้ผมก็บอกได้ว่าหุ้นของบริษัทจะเป็นหุ้นที่ทุกอย่าง “อิงกับพื้นฐานที่แท้จริง” ราคาหุ้นจะถูกหรือแพงจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานและผลประกอบการของบริษัทและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องภาวะดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในท้องตลาด เป็นหลัก เราจะสบายใจได้ว่าไม่มีใครไปเชียร์ สร้างสตอรี่หรือปั่นหุ้น ราคาหุ้นโดยทั่วไปก็จะไม่หวือหวาขึ้นลงแรงโดยไม่มีเหตุผลพิเศษเช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
หุ้นขนาดกลางและอาจจะรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดเป็นบุคคลธรรมดาและผู้ถือหุ้นรอง ๆ ลงมาส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลธรรมดา โดยมีผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันอยู่บ้างแต่มักจะไม่ใช่ที่เป็นคัสโตเดียนหลัก ๆ ที่เป็นตัวแทนของนักลงทุนต่างประเทศ ในกรณีแบบนี้ผมก็จะต้องระมัดระวังเวลาวิเคราะห์หุ้น เนื่องจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่หรือแม้แต่นักลงทุนรายใหญ่อาจจะเป็นคน “เล่นหุ้น” และหุ้นอาจจะถูก “จัดการ” หรือ “ปั่น” ให้มีราคาที่สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็น เพราะนั่นคือผลประโยชน์ของเขา
โดยวิธีที่จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงนั้น ก็มักจะรวมถึงการทำให้กิจการดูดี มีสตอรี่และการเติบโตทั้งปัจจุบันและอนาคตโดยที่ความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรือน้อยกว่ามาก นอกจากเรื่องของสตอรี่แล้ว ราคาหุ้นก็มักจะเป็นสิ่งที่ถูกใช้ในการชี้นำให้คนมีความลำเอียงว่าบริษัทเป็นกิจการที่ดีเยี่ยมกว่าความเป็นจริงได้โดยเฉพาะกรณีที่หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้น
ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ยังบอกถึงระดับของการ “Corner” หุ้นว่ามีมากน้อยแค่ไหน รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใครหรืออยู่กลุ่มเดียวกันหรือเปล่า คนใหม่ที่เข้ามาน่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหน หลังจากนั้นราคาหุ้นมีพฤติกรรมอย่างไร เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแค่ไหน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถึงจะไม่ได้นำมาใช้แต่ผมก็พยายามมองให้ออกว่าเกิดอะไรกับหุ้นและหุ้นมีพฤติกรรมอย่างไร แน่นอนว่าบางครั้งผมก็เข้าไปวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทบ้างเพื่อจะอ่านว่าเกิดอะไรขึ้นและอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป นี่เป็น “กระบวนการเรียนรู้” ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่ได้เอามาใช้ แต่ช่วยให้ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทำนองอย่างที่ ชาร์ลี มังเกอร์ พูดว่า “ผมอยากรู้ว่าผมอาจจะตายที่ไหนเพื่อที่ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น”
ทั้งหมดที่พูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมาย “ความเป็นส่วนตัว” ของข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังออกมาใหม่หรือไม่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ต้องปรับแก้เรื่องรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีกฎหมายแบบนั้น ถ้าหากว่าตลาดต้องการที่จะคงการเปิดเผยข้อมูลแบบเดิมเอาไว้ ผมคิดว่าก็น่าจะมีทางแก้ได้ บางทีตลาดอาจจะต้องกำหนดเกณฑ์ของการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นว่าบริษัทจะยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นที่ถือเกิน 0.5% ของบริษัท คนที่เข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นก็อาจจะต้องยอมตามนั้น อะไรทำนองนี้
เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือตั้งแต่ 0.5% ขึ้นไปก็คือ ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปไม่รู้ แต่ผมเข้าใจว่าบริษัทเองหรือผู้บริหารบริษัทกลับสามารถขอรายชื่อผู้ถือหุ้นได้ทุกเวลาจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ซึ่งนี่ก็ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมของคนภายในบริษัทกับบุคคลภายนอก
ประเด็นสำคัญที่อาจจะต้องถกเถียงกันก็คือ ข้อมูล “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” นั้น เป็นสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของกิจการที่จะมีผลต่อราคาหุ้นหรือไม่? และแค่ไหนถึงจะถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นแค่ 0.2% แต่อยู่ใน 10 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่สุดนั้นถือว่าเป็นรายใหญ่หรือไม่? สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผมก็ไม่รู้ว่าเคยมีการพูดคุยถกเถียงกันหรือไม่ และส่วนตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง อย่างเช่นเรื่องของพื้นฐานของกิจการนั้น
ถ้าคิดเร็ว ๆ ผมเองก็คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวว่าใครเป็นผู้ถือหุ้น แต่พอมาคิดอีกทีก็ไม่แน่ใจ อย่างหุ้นเทสลานั้น ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ใช่ อีลอน มัสก์ หรือเขาขายหุ้นไปจนเหลือไม่ถึง 10% หรือ 5% แบบนี้ เราจะไม่คิดหรือว่าพื้นฐานของกิจการอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะถ้าไม่มี อีลอน มัสก์ เทสลาอาจจะไม่โดดเด่นอีกต่อไปก็เป็นได้
พูดถึงเรื่องของข้อมูลที่เปิดเผยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรวมเองนั้น ผมมีความรู้สึกว่าเราเคยเปิดเผยค่อนข้างมากและดีแม้ว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะ “ช้า” บ้าง แต่ในระยะหลัง ๆ หลาย ๆ ปีมาแล้วที่ไม่ค่อยมีอะไรเคลื่อนไหว ข้อมูลบางอย่างคนใช้จะต้อง “ซื้อ” อาจจะเนื่องจากความต้องการที่จะสร้างรายได้ให้กับตลาดซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตก็อาจจะต้องปรับตัวเป็นบริษัท “ธุรกิจ” และในที่สุดก็อาจจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับอีกหลายแห่งในโลก แต่ผมเองกลับคิดว่า เรื่องของข้อมูลนั้น ตลาดควรยอมจ่ายหรือให้ฟรี เพื่อสร้างให้ตลาดมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากกว่า
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเข้าใจว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เปลี่ยนเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ของบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่ต้นปี 2564 จากที่เคยรายงานชื่อผู้ถือหุ้นทุกคนที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% ขึ้นไป เป็นการรายงานเฉพาะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดเพียง 10 อันดับ
ผมเองไม่รู้ว่าเหตุผลจริง ๆ คืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นคงจะ “น้อยลง” เพราะ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” 10 อันดับแรกนั้น ส่วนใหญ่จะมีหุ้นมากกว่า 0.5% ของบริษัท ที่จะมีน้อยกว่า 0.5% ก็มักจะเป็นบริษัทที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนไม่นานและ/หรือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เจ้าของเดิมไม่ขายหุ้นออกมา เช่นหุ้น AOT OR หรือ BCPG เป็นต้น
การ “ลด” การเปิดเผยข้อมูลชื่อผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นหลังจากบริษัทปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิเข้าประชุมใหญ่ประจำปีผู้ถือหุ้นและการจ่ายปันผล ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยรู้สึก “หงุดหงิด” และเห็นว่าตลาดไม่ควรเปลี่ยน เพราะสำหรับนักลงทุนแล้ว ข้อมูลรายชื่อ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” มีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนอยู่ไม่น้อย แม้แต่ในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ เวลาที่มีการรายงานว่าบัฟเฟตต์เข้าไปลงทุนในบริษัทไหน หุ้นตัวนั้นก็มักจะวิ่งกระฉูด เช่นเดียวกับเวลาที่กองทุนของอาร์คอินเวสเม้นต์เข้าไปลงทุนในหุ้นตัวไหน หุ้นตัวนั้นก็ปรับตัวขึ้นแรงเหมือนกัน เพราะคนที่ “เล่นหุ้นตามเซียน” นั้น มีมากมายโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงมากอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้
นอกจากคนที่ตั้งใจจะ “ลอกหุ้น” เพราะคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่จะทำกำไรได้ดีและเร็วมากแล้ว ก็ยังมีคนอีกหลายกลุ่มและหลายคนที่อยากจะให้ตลาดนำข้อมูลเดิมกลับมาด้วย เพราะเขาได้ใช้ข้อมูลนั้นในการศึกษาและตัดสินใจลงทุนโดยไม่ใช่เป็นการลอกหุ้น แต่เป็นเรื่องของการนำมาศึกษาต่อ พวกเขาอาจจะคิดหาเหตุผลว่าทำไม “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่หรือผู้บริหารกองทุนรวมจึงสนใจและเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนั้น นี่เป็นแค่จุดตั้งต้นให้พวกเขาได้ศึกษาต่อไปว่าเขาควรจะลงทุนตามไหม
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาเคยติดตาม “เซียน” เหล่านั้นมานานพอจะรู้ว่าแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนอย่างไร และถ้าเขามีความชื่นชอบหรือมีสไตล์แบบเดียวกัน เขาก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นตัวนั้น
คนที่เป็นสื่อทางด้านการเงินและการลงทุนเองนั้น การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้ก็อาจจะพบว่ารายงานและการศึกษาเกี่ยวกับ “ความมั่งคั่งของนักลงทุน” ที่คิดจากการถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะมีความถูกต้องน้อยลงไปอีกเนื่องจากคนที่ถือหุ้นเกิน 0.5% แต่ต่ำกว่า 10 อันดับแรกของผู้ถือหุ้นสูงสุดจะไม่ถูกรายงาน
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีลักษณะ “มหาชน” จริง ๆ นั้น รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 อันดับมักจะเป็นสถาบันหรือเป็นคัสโตเดียนหรือนอมินีที่ถือหุ้นแทนผู้ถือหุ้นอื่นจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ส่วนตัวผมเองที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวและไม่เคยคิดที่จะใช้ข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตัวตัดสินว่าหุ้นดีหรือไม่ดีหรือควรซื้อหรือไม่นั้น ผมเองก็สนใจ “รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่” หรือรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นอย่างมี “นัยสำคัญ” ซึ่งรวมถึงคนที่ถือหุ้นตั้งแต่ 0.5% อย่างที่เคยเป็นด้วย ที่จริง แนวทางที่ควรจะเป็นก็คือ ให้รายงานแบบเดิมแต่ถ้าบริษัทไหนมีผู้ถือหุ้นที่ถือถึง 0.5% น้อยกว่า 10 รายก็ให้รายงานผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ราย ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้ไม่ต้องตัดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่แบบเดิมออก และการเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ก็จะดูดีขึ้นเพราะมันเพิ่มขึ้นไม่ใช่ลดลง
เหตุผลที่ผมสนใจข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีนัยสำคัญก็คือ ผมดูเพื่อเอาไว้ “อ่านหุ้น” ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ถือหุ้นหลัก ๆ จำนวนมากก็คือสถาบันโดยเฉพาะจากต่างประเทศโดยที่มีนักลงทุนส่วนบุคคลที่เป็นคนไทยน้อย แบบนี้ผมก็บอกได้ว่าหุ้นของบริษัทจะเป็นหุ้นที่ทุกอย่าง “อิงกับพื้นฐานที่แท้จริง” ราคาหุ้นจะถูกหรือแพงจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานและผลประกอบการของบริษัทและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องภาวะดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในท้องตลาด เป็นหลัก เราจะสบายใจได้ว่าไม่มีใครไปเชียร์ สร้างสตอรี่หรือปั่นหุ้น ราคาหุ้นโดยทั่วไปก็จะไม่หวือหวาขึ้นลงแรงโดยไม่มีเหตุผลพิเศษเช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
หุ้นขนาดกลางและอาจจะรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดเป็นบุคคลธรรมดาและผู้ถือหุ้นรอง ๆ ลงมาส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลธรรมดา โดยมีผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันอยู่บ้างแต่มักจะไม่ใช่ที่เป็นคัสโตเดียนหลัก ๆ ที่เป็นตัวแทนของนักลงทุนต่างประเทศ ในกรณีแบบนี้ผมก็จะต้องระมัดระวังเวลาวิเคราะห์หุ้น เนื่องจากเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่หรือแม้แต่นักลงทุนรายใหญ่อาจจะเป็นคน “เล่นหุ้น” และหุ้นอาจจะถูก “จัดการ” หรือ “ปั่น” ให้มีราคาที่สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็น เพราะนั่นคือผลประโยชน์ของเขา
โดยวิธีที่จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงนั้น ก็มักจะรวมถึงการทำให้กิจการดูดี มีสตอรี่และการเติบโตทั้งปัจจุบันและอนาคตโดยที่ความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรือน้อยกว่ามาก นอกจากเรื่องของสตอรี่แล้ว ราคาหุ้นก็มักจะเป็นสิ่งที่ถูกใช้ในการชี้นำให้คนมีความลำเอียงว่าบริษัทเป็นกิจการที่ดีเยี่ยมกว่าความเป็นจริงได้โดยเฉพาะกรณีที่หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้น
ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ยังบอกถึงระดับของการ “Corner” หุ้นว่ามีมากน้อยแค่ไหน รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใครหรืออยู่กลุ่มเดียวกันหรือเปล่า คนใหม่ที่เข้ามาน่าจะเป็นนักลงทุนแนวไหน หลังจากนั้นราคาหุ้นมีพฤติกรรมอย่างไร เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแค่ไหน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถึงจะไม่ได้นำมาใช้แต่ผมก็พยายามมองให้ออกว่าเกิดอะไรกับหุ้นและหุ้นมีพฤติกรรมอย่างไร แน่นอนว่าบางครั้งผมก็เข้าไปวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทบ้างเพื่อจะอ่านว่าเกิดอะไรขึ้นและอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป นี่เป็น “กระบวนการเรียนรู้” ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่ได้เอามาใช้ แต่ช่วยให้ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทำนองอย่างที่ ชาร์ลี มังเกอร์ พูดว่า “ผมอยากรู้ว่าผมอาจจะตายที่ไหนเพื่อที่ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น”
ทั้งหมดที่พูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมาย “ความเป็นส่วนตัว” ของข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังออกมาใหม่หรือไม่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ต้องปรับแก้เรื่องรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีกฎหมายแบบนั้น ถ้าหากว่าตลาดต้องการที่จะคงการเปิดเผยข้อมูลแบบเดิมเอาไว้ ผมคิดว่าก็น่าจะมีทางแก้ได้ บางทีตลาดอาจจะต้องกำหนดเกณฑ์ของการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นว่าบริษัทจะยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นที่ถือเกิน 0.5% ของบริษัท คนที่เข้ามาลงทุนซื้อขายหุ้นก็อาจจะต้องยอมตามนั้น อะไรทำนองนี้
เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือตั้งแต่ 0.5% ขึ้นไปก็คือ ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปไม่รู้ แต่ผมเข้าใจว่าบริษัทเองหรือผู้บริหารบริษัทกลับสามารถขอรายชื่อผู้ถือหุ้นได้ทุกเวลาจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ซึ่งนี่ก็ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมของคนภายในบริษัทกับบุคคลภายนอก
ประเด็นสำคัญที่อาจจะต้องถกเถียงกันก็คือ ข้อมูล “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” นั้น เป็นสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของกิจการที่จะมีผลต่อราคาหุ้นหรือไม่? และแค่ไหนถึงจะถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นแค่ 0.2% แต่อยู่ใน 10 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่สุดนั้นถือว่าเป็นรายใหญ่หรือไม่? สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผมก็ไม่รู้ว่าเคยมีการพูดคุยถกเถียงกันหรือไม่ และส่วนตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง อย่างเช่นเรื่องของพื้นฐานของกิจการนั้น
ถ้าคิดเร็ว ๆ ผมเองก็คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวว่าใครเป็นผู้ถือหุ้น แต่พอมาคิดอีกทีก็ไม่แน่ใจ อย่างหุ้นเทสลานั้น ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ใช่ อีลอน มัสก์ หรือเขาขายหุ้นไปจนเหลือไม่ถึง 10% หรือ 5% แบบนี้ เราจะไม่คิดหรือว่าพื้นฐานของกิจการอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะถ้าไม่มี อีลอน มัสก์ เทสลาอาจจะไม่โดดเด่นอีกต่อไปก็เป็นได้
พูดถึงเรื่องของข้อมูลที่เปิดเผยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรวมเองนั้น ผมมีความรู้สึกว่าเราเคยเปิดเผยค่อนข้างมากและดีแม้ว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะ “ช้า” บ้าง แต่ในระยะหลัง ๆ หลาย ๆ ปีมาแล้วที่ไม่ค่อยมีอะไรเคลื่อนไหว ข้อมูลบางอย่างคนใช้จะต้อง “ซื้อ” อาจจะเนื่องจากความต้องการที่จะสร้างรายได้ให้กับตลาดซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตก็อาจจะต้องปรับตัวเป็นบริษัท “ธุรกิจ” และในที่สุดก็อาจจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับอีกหลายแห่งในโลก แต่ผมเองกลับคิดว่า เรื่องของข้อมูลนั้น ตลาดควรยอมจ่ายหรือให้ฟรี เพื่อสร้างให้ตลาดมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากกว่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 215
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 10
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ยิ่งข้อมูลมาก transparent มากยิ่งดีต่อทุกฝ่าย
ปรับมาเป็นแบบนี้ไม่มีส่วนไหนที่เป็นผลดีต่อนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อย
ทั้งที่ผลประโยชน์ของนักลงทุนควรเป็นจุดประสงค์หลักในการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์
ปรับมาเป็นแบบนี้ไม่มีส่วนไหนที่เป็นผลดีต่อนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อย
ทั้งที่ผลประโยชน์ของนักลงทุนควรเป็นจุดประสงค์หลักในการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 156
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 11
ขอดู 100% เลยก็ได้ แต่ต้องจ่ายเงินครับ
และถ้าขอเป็น file electronic บังคับให้จ่ายค่ารับรองสำเนา หน้าละ50บาท
ถ้าถือหุ้น 1000 คน คงจ่ายหลายพันอยู่ (แต่อ.นิเวศน์ น่าจะจ่ายได้)
ถ้าขอสำเนาเป็นกระดาษหน้าละ 3 บาทก็พอไหวแต่ต้อง search ด้วยตาคน ยากหน่อย
Data มีราคา แต่เราได้ฟรีจนเคย ไม่อยากจ่าย
หมายเหตุ: ทำใน pc หรือ Mac นะครับ ใน mobile ผมเคยทำแล้วไม่ได้
https://ecert.dbd.go.th/e-service/index.xhtml
และถ้าขอเป็น file electronic บังคับให้จ่ายค่ารับรองสำเนา หน้าละ50บาท
ถ้าถือหุ้น 1000 คน คงจ่ายหลายพันอยู่ (แต่อ.นิเวศน์ น่าจะจ่ายได้)
ถ้าขอสำเนาเป็นกระดาษหน้าละ 3 บาทก็พอไหวแต่ต้อง search ด้วยตาคน ยากหน่อย
Data มีราคา แต่เราได้ฟรีจนเคย ไม่อยากจ่าย
หมายเหตุ: ทำใน pc หรือ Mac นะครับ ใน mobile ผมเคยทำแล้วไม่ได้
https://ecert.dbd.go.th/e-service/index.xhtml
-
- Verified User
- โพสต์: 361
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่แค่สิบอันดับแรกเท่านั้นครับ
โพสต์ที่ 12
อยากให้กลับมาเป็นรูปแบบเดิมเหมือนกันครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 156
- ผู้ติดตาม: 0
วิธีตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น
โพสต์ที่ 15
ผม พยายามหาทางตรวจสอบผู้ถือหุ้น
นอกจากไปขอจาก กรมพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังมีวิธีตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น อีก 2 วิธี
1.ซื้อหุ้นบริษัทนั้นแล้วใช้สิทธิตามกฎหมายขอดูผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้จากบริษัท (หรือ tsdในฐานะนายทะเบียนถ้าเป็นบริษัทในตลาดหุ้น)
2.ซื้อข้อมูลจาก https://creden.co/ บริษัทละ 300 บาท ได้รายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการ (แถมดูเพิ่มได้อีกว่าแต่ละคนไปเป็นกรรมการบริษัทและถือหุ้นไหนอีก)
https://www.facebook.com/watch/?v=237599163896736
นอกจากไปขอจาก กรมพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังมีวิธีตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น อีก 2 วิธี
1.ซื้อหุ้นบริษัทนั้นแล้วใช้สิทธิตามกฎหมายขอดูผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้จากบริษัท (หรือ tsdในฐานะนายทะเบียนถ้าเป็นบริษัทในตลาดหุ้น)
2.ซื้อข้อมูลจาก https://creden.co/ บริษัทละ 300 บาท ได้รายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการ (แถมดูเพิ่มได้อีกว่าแต่ละคนไปเป็นกรรมการบริษัทและถือหุ้นไหนอีก)
https://www.facebook.com/watch/?v=237599163896736
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 377
- ผู้ติดตาม: 1
Re: วิธีตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น
โพสต์ที่ 16
creden.co ก็ดูได้แค่10อันดับผู้ถือหุ้นแรกของแต่ละบริษัทนะครับhuatoh เขียน: ↑อาทิตย์ พ.ค. 02, 2021 8:35 pmผม พยายามหาทางตรวจสอบผู้ถือหุ้น
นอกจากไปขอจาก กรมพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังมีวิธีตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้น อีก 2 วิธี
1.ซื้อหุ้นบริษัทนั้นแล้วใช้สิทธิตามกฎหมายขอดูผู้ถือหุ้นทั้งหมดได้จากบริษัท (หรือ tsdในฐานะนายทะเบียนถ้าเป็นบริษัทในตลาดหุ้น)
2.ซื้อข้อมูลจาก https://creden.co/ บริษัทละ 300 บาท ได้รายชื่อผู้ถือหุ้นและกรรมการ (แถมดูเพิ่มได้อีกว่าแต่ละคนไปเป็นกรรมการบริษัทและถือหุ้นไหนอีก)
https://www.facebook.com/watch/?v=237599163896736