ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
-
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 1
สมมติว่าเราซื้อหุ้นA มาที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพราะเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี กำไรเติบโตดี ปันผลสูงสม่ำเสมอทุกปี ซื้อมาเพราะคิดแบบชาวVIว่าอยากร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจ
คราวนี้2สัปดาห์ผ่านมาเกิดโชคดีมีคนมาสนใจหุ้นตัวนี้เหมือนกันไล่ราคาขึ้นมาสูงถึง 20 บาทต่อหุ้น โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนเลย และที่แน่ๆคงมีการไล่ราคาไม่ขึ้นไปกว่านี้แน่ในช่วงก่อนที่จะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่จะถึงนี้ ถ้าแนวทางของvalue investor(ถ้าเป็นบัฟเฟต)จะทำอย่างไร
ก. รอดูเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย รู้ว่าราคาเดี๋ยวก็กลับลงมาแล้วก็ต้องกลับขึ้นไปตามพื้นฐานที่ดีในอนาคต
ข.ขายออกไปบางส่วนแล้วรอซื้อกลับเมื่อราคาลงมาที่เหมาะสม(แต่คงไม่ต่ำกว่า 10 บาทแน่) แต่ก็มีความเสี่ยงว่า เราไม่รู้ว่าราคาจะลงมาที่เท่าใด อาจลงมาเล็กน้อยแล้วขึ้นต่อทำให้เราช้อนซื้อกลับไม่ทัน เลยเสียโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น
ค.รอให้ราคาต่ำลงมาแล้วซื้อเพิ่ม แต่ราคาต้นทุนเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10 บาทต่อหุ้น
ง.วิธีอื่นๆช่วยออกความเห็นหน่อยครับ
คราวนี้2สัปดาห์ผ่านมาเกิดโชคดีมีคนมาสนใจหุ้นตัวนี้เหมือนกันไล่ราคาขึ้นมาสูงถึง 20 บาทต่อหุ้น โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนเลย และที่แน่ๆคงมีการไล่ราคาไม่ขึ้นไปกว่านี้แน่ในช่วงก่อนที่จะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่จะถึงนี้ ถ้าแนวทางของvalue investor(ถ้าเป็นบัฟเฟต)จะทำอย่างไร
ก. รอดูเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย รู้ว่าราคาเดี๋ยวก็กลับลงมาแล้วก็ต้องกลับขึ้นไปตามพื้นฐานที่ดีในอนาคต
ข.ขายออกไปบางส่วนแล้วรอซื้อกลับเมื่อราคาลงมาที่เหมาะสม(แต่คงไม่ต่ำกว่า 10 บาทแน่) แต่ก็มีความเสี่ยงว่า เราไม่รู้ว่าราคาจะลงมาที่เท่าใด อาจลงมาเล็กน้อยแล้วขึ้นต่อทำให้เราช้อนซื้อกลับไม่ทัน เลยเสียโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น
ค.รอให้ราคาต่ำลงมาแล้วซื้อเพิ่ม แต่ราคาต้นทุนเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10 บาทต่อหุ้น
ง.วิธีอื่นๆช่วยออกความเห็นหน่อยครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 3
อันนี้เป็นข้อยืนยันอย่างชัดเจนว่าขายยากกว่าซื้อแน่นอนครับ
อิอิ เป็นจุดอ่อนของผมเลยนะเนี่ยการขายหุ้นเนี่ย ขาดทุน (กำไร) ปีที่แล้วก้อมาจากการไม่ขายหุ้นนี่แหละ ปีนี้ก้อเหมือนกันครับ
ถ้าทำตามแนวของ philip fisher ก้อคือเค้าบอกว่ามีปัจจัยในการเลือกซื้อหุ้นยังไง ก้อจะต้องขายอย่างนั้น fisher เค้าบอกไว้ในหนังสือของเค้า (Common Stock, Uncommon Profit) ก้อคือว่าเค้าจะมีวิธีเลือกซื้อหุ้นอยู่ประมาณ 10 กว่าข้อ ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์ก้อจะซื้อ
ทีนี้เวลาจะขายเค้าบอกว่าก้อต้องดูว่าหุ้นที่เราซื้อมันไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ซื้อหรือยัง มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทำให้หุ้นมันเปลี่ยนหรือเปล่า ถ้ามีถึงจะขาย เหตุผลอื่นๆ เค้าไม่ขายเลย เพราะเค้าคิดว่าถ้าขายไปแล้วโอกาสจะกลับมาซื้อใหม่มีน้อยมาก ดังนั้น fisher บอกว่าขายเพราะราคาขึ้นไปมากไม่ใช่เหตุผลที่ดี
พูดง่ายทำยากครับ อันนี้ สำหรับผมแล้วถ้ายังหาหุ้นตัวที่ดีกว่าไม่ได้ผมก้อจะไม่ขายถึงแม้ว่าหุ้นจะขึ้นมามากก้อตาม (ส่วนใหญ่พอขึ้นมาเยอะ ก้อจะเริ่มลง ฮือ ฮือ ) มันก้อไม่รู้ถูกหรือเปล่า แต่ผมก้อไม่ค่อยมีเวลาจัดพอร์ตของตัวเองตลอดเวลา ก้อเลย ดูแค่ปีละครั้งเองครับ
อิอิ เป็นจุดอ่อนของผมเลยนะเนี่ยการขายหุ้นเนี่ย ขาดทุน (กำไร) ปีที่แล้วก้อมาจากการไม่ขายหุ้นนี่แหละ ปีนี้ก้อเหมือนกันครับ
ถ้าทำตามแนวของ philip fisher ก้อคือเค้าบอกว่ามีปัจจัยในการเลือกซื้อหุ้นยังไง ก้อจะต้องขายอย่างนั้น fisher เค้าบอกไว้ในหนังสือของเค้า (Common Stock, Uncommon Profit) ก้อคือว่าเค้าจะมีวิธีเลือกซื้อหุ้นอยู่ประมาณ 10 กว่าข้อ ถ้ามีหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์ก้อจะซื้อ
ทีนี้เวลาจะขายเค้าบอกว่าก้อต้องดูว่าหุ้นที่เราซื้อมันไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ซื้อหรือยัง มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทำให้หุ้นมันเปลี่ยนหรือเปล่า ถ้ามีถึงจะขาย เหตุผลอื่นๆ เค้าไม่ขายเลย เพราะเค้าคิดว่าถ้าขายไปแล้วโอกาสจะกลับมาซื้อใหม่มีน้อยมาก ดังนั้น fisher บอกว่าขายเพราะราคาขึ้นไปมากไม่ใช่เหตุผลที่ดี
พูดง่ายทำยากครับ อันนี้ สำหรับผมแล้วถ้ายังหาหุ้นตัวที่ดีกว่าไม่ได้ผมก้อจะไม่ขายถึงแม้ว่าหุ้นจะขึ้นมามากก้อตาม (ส่วนใหญ่พอขึ้นมาเยอะ ก้อจะเริ่มลง ฮือ ฮือ ) มันก้อไม่รู้ถูกหรือเปล่า แต่ผมก้อไม่ค่อยมีเวลาจัดพอร์ตของตัวเองตลอดเวลา ก้อเลย ดูแค่ปีละครั้งเองครับ
- sirivajj
- Verified User
- โพสต์: 985
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 4
ถ้าขึ้นมามากมาก ผมก็จะแบ่งมาขายบางส่วนครับ
เผื่อว่า จะได้ทำ Short against port แล้วมาซื้อคืนตอนราคาถูก
แต่ แหะ แหะ ถ้าพลาดก็ขายหมูไป
ซึ่ง ก็ยังพอทนได้ เพราะไม่ถึงกับขายยกเล้า
ยังมีโอกาส เฮ กับเพื่อนๆ คนอื่นได้ ถ้าหุ้นมันยังขึ้นไปอีก
เผื่อว่า จะได้ทำ Short against port แล้วมาซื้อคืนตอนราคาถูก
แต่ แหะ แหะ ถ้าพลาดก็ขายหมูไป
ซึ่ง ก็ยังพอทนได้ เพราะไม่ถึงกับขายยกเล้า
ยังมีโอกาส เฮ กับเพื่อนๆ คนอื่นได้ ถ้าหุ้นมันยังขึ้นไปอีก
What do you mean.?
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 5
ผมคิดแบบลูกทุ่งนะครับ ไม่มีทฤษฎีอ้างอิงใดๆ เป็น VI หรือเปล่าก็ยัง งงครับ
ยังไงก็ขอขายที่ราคาสูงสุดและกลับมาซื้อที่ราคาต่ำสุด **ถ้าทำได้** แต่จะขายหมดหรือไม่คงต้องดูสถานการณ์
////การปล่อยให้เงินมันลอยไปลอยมาผ่านหน้าเราไปแล้วไปอยู่ในมือคนอื่นนั้นไม่ควรอย่างยิ่งครับ/// สุภาษิตของผมเอง
ถ้าหากว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยนแน่ในอนาคตอันใกล้หรือเดาไม่ออกผมว่าราคามันจะเป็นในลักษณะการสั่นของสปริงที่มี damperนะครับ ในช่วงสั้นๆ
การซื้อที่ราคาต้นทุนสูงขึ้นนั้นไม่ใช่ปัญหาในเมื่อเราได้กำไรไป 10 บาทแล้ว
เดาล้วนๆครับ
ถ้าคุณผมหงอกเต็มหัวแล้วโอกาศเดาถูกมากว่าครึ่งมีแน่ครับ
ยังไงก็ขอขายที่ราคาสูงสุดและกลับมาซื้อที่ราคาต่ำสุด **ถ้าทำได้** แต่จะขายหมดหรือไม่คงต้องดูสถานการณ์
////การปล่อยให้เงินมันลอยไปลอยมาผ่านหน้าเราไปแล้วไปอยู่ในมือคนอื่นนั้นไม่ควรอย่างยิ่งครับ/// สุภาษิตของผมเอง
ถ้าหากว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยนแน่ในอนาคตอันใกล้หรือเดาไม่ออกผมว่าราคามันจะเป็นในลักษณะการสั่นของสปริงที่มี damperนะครับ ในช่วงสั้นๆ
การซื้อที่ราคาต้นทุนสูงขึ้นนั้นไม่ใช่ปัญหาในเมื่อเราได้กำไรไป 10 บาทแล้ว
เดาล้วนๆครับ
ถ้าคุณผมหงอกเต็มหัวแล้วโอกาศเดาถูกมากว่าครึ่งมีแน่ครับ
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
-
- Verified User
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 7
คำตอบของคุณ chatchai แสดงให้เห็นถึงการตกผลึกทางความคิดอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าความคิดอันนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ รับรองได้ว่าคุณ chatchai จะต้องลองผิดลองถูก และต้องเสียค่าเล่าเรียนในตลาดหุ้นนี้มาพอสมควร จึงสามารถค้นพบสัจจธรรม และการดำรงชีวิตในตลาดหุ้นอันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ได้ ผมขอแสดงความชื่นชมครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
ชื่นชมคุณchatchai ครับ
โพสต์ที่ 8
ขอขอบคุณคุณchatchai ที่บอกแนวทางได้ชัดเจนมากเลยครับ แต่ตัวผมเองก็ยังมีประสบการณ์น้อย เพิ่งเริ่มลงทุนไม่นาน ยังไม่เชี่ยวชา่ญ แม้กระทั่งยังไม่แน่ใจเลยว่าราคาที่เราซื้อมีmargin of safty พอหรือไม่ และก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าราคาที่เหมาะสมกับพื้นฐานอยู่จุดไหน ก็ลงทุนไปศึกษาไปครับ แต่ระหว่างนี้ก็มีบทเรียนใหม่ๆเกิดขึ้นเลยมาขอคำแนะนำ ขอบคุณในคำแนะนำของคุณchatchai นะครับ แล้วผมจะพยายามศึกษาเพิ่มเติมและปฏิบัติตาม เพราะอยากให้เป็นการลงทุนอย่างมีความสุข มากกว่ามาทุกข์ต้องติดตามราคาตลอดเวลาจนไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ขอบคุณครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 9
ขอขอบคุณK.Chatchai ครับ ผมเพิ่งเป็นแมงเม่าไม่นาน อยากขอคำแนะนำเพิ่มครับ อยากเป็น VI แบบที่ชื่นชมบทความ ดร.นิเวศน์ แต่ผมมองแบบนี้ครับ ผมทำงานเก็บเงินมาลงทุนแต่ port แค่ 3-4 แสนถ้าเล่นแบบ VI คงโตช้า ตอนนี้เลยมาเล่นหุ้นปั่นแบบไม่โลภมากกำไร 1-2 พันก็พอใจแล้ว คิดว่าเมื่อ port โตพอค่อยไปเป็น VI อยากรบกวน K.Chatchai แนะนำด้วยครับ จะขอบมากครับถ้ามีอะไรแนะนำได้ที่ [email protected]
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 11
คณ a-ke ลงทนแบบ VI ไม่รวยช้าเสมอไปนะครับ แต่รวยแน่นอนและมั่นคงครับ
ลองดูแบบผมซิครับ ใครๆก็ร้ว่าผมลงทุนด้วยเงิน 6 แสนบาท ในเวลา 5 ปี ผมกำไรประมาณ 20 ล้านบาทครับ
ไม่ได้อวดหรือแสดงตนว่าเก่ง เพียงแต่ว่าอยากบอกว่าการลงทุนแบบ VI ก็รวยเร็วได้นะครับ ไม่ต้องเป็น VS หรอกครับ
ถ้ากำไรครั้งละพันสองพัน ต้องกำไรกี่ครั้งครับถึงจะกำไร 20 ล้านบาทในเวลา 5 ปี
แถมผมลงทุนแบบก้นบุหรี่ด้วยครับ ไม่ได้ค้นพบ Super Stock อะไรเลย
เพียงแต่ศึกษาหาความรู้ที่เป็นแก่นสารครับ อาทิ บัญชี การเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์ และอื่นที่สอนใน MBA นะครับ
ผมว่าดีกว่าเอาเวลาไปศึกษาทางเทคนิคนะครับ (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ)
ลองดูแบบผมซิครับ ใครๆก็ร้ว่าผมลงทุนด้วยเงิน 6 แสนบาท ในเวลา 5 ปี ผมกำไรประมาณ 20 ล้านบาทครับ
ไม่ได้อวดหรือแสดงตนว่าเก่ง เพียงแต่ว่าอยากบอกว่าการลงทุนแบบ VI ก็รวยเร็วได้นะครับ ไม่ต้องเป็น VS หรอกครับ
ถ้ากำไรครั้งละพันสองพัน ต้องกำไรกี่ครั้งครับถึงจะกำไร 20 ล้านบาทในเวลา 5 ปี
แถมผมลงทุนแบบก้นบุหรี่ด้วยครับ ไม่ได้ค้นพบ Super Stock อะไรเลย
เพียงแต่ศึกษาหาความรู้ที่เป็นแก่นสารครับ อาทิ บัญชี การเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์ และอื่นที่สอนใน MBA นะครับ
ผมว่าดีกว่าเอาเวลาไปศึกษาทางเทคนิคนะครับ (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ)
แก้ไขล่าสุดโดย chatchai เมื่อ เสาร์ ต.ค. 27, 2007 8:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 12
โค้ด: เลือกทั้งหมด
คราวนี้2สัปดาห์ผ่านมาเกิดโชคดีมีคนมาสนใจหุ้นตัวนี้เหมือนกันไล่ราคาขึ้นมาสูงถึง 20 บาทต่อหุ้น โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนเลย
ขอตอบว่า ถ้าเป็นหุ้นแนว VI จริงๆ โอกาสที่จะถูกลาก จาก 10 ไป 20 น้อยมาก เพราะไม่มีหุ้นให้ลาก และเจ้ามือก็จะไม่ลาก เพราะ ลากไปแล้ว เจ้าของรวย เจ้ามืออาจเจ๊งได้
ถ้าเป็นหุ้น VI แล้วขึ้นจาก 10 ไป 20 จริงๆ โอกาสที่กิจการจะมีกำไร ไปรับกับราคาจะสูงมาก การที่มองว่าเรามีต้นทุนที่ 10 ถือเป็นโชคของเรา
แต่อย่าเอาราคามา ลบกัน
ลองคำนวณราคาใหม่ เพราะอาจจะมีโครงการอะไรซ่อนอยู่ แล้วกำลังจะประกาศออกมา ทำให้ราคาวิ่งได้
ยกตัวอย่าง Picnic ราคาวิ่งเอา วิ่งเอา ตอนแรกผมนึกว่า เป็นการลากไปเชือด อย่างเดียว แต่ดูไปดูมา เขาก็มีแนวโน้มที่ดีจริงๆ
.......................................................................
สรุปว่าเป็นคำถาม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
หมายถึงเท่าที่ผมดูหุ้นมานะครับ
อย่างเช่น TCB มาตั้งหลายลิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ลากไปเชือด
ถ้าราคาวิ่งขึ้นมามาก เพราะบริษัทนั้นดีจริงๆ ตามหลัก ในหนังสือ The New Buffettology ที่แมรี่ เขียนไว้ และตอนนี้กำลังจะวางตลาด ในเมืองไทย ที่ร้าน se-ed
หนังสือเขียนว่า ยิ่งต้องเก็บไว้ เพราะ มันยังมีโอกาสโตได้อีกมาก
.......................................................................................
.......................................................................
แก้ไขล่าสุดโดย Jeng เมื่อ พุธ ธ.ค. 24, 2003 12:50 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 13
ขอเสริมอีกเรื่องเพื่อให้เข้าใจตรงกัน
คือถ้าเป็นหุ้นที่ดีจริง แล้ว ราคาขึ้นจาก 10 ไป 20 เราก็ถือไว้
ถ้าเป็นหุ้นเน่า แล้วมีการเก็บของแล้วลากขึ้นไป กำไร 10 บาท เราก็ขายให้หมดเลย
ไม่จำเป็นต้องทำคลายเครียดเรโช เพราะ มันเป็นหุ้นเน่า กำไรแล้วก็เลิก
ถ้าเป็นหุ้น VI แต่ตัวเล็ก แล้วถือไว้มาก อย่างคุณฉัตรชัย ยิ่งขายไม่ได้ใหญ่เลย ขายปุ๊ปเดี๋ยวราคาวิ่งลงไปเลย
ในมุมของผม ผมคิดว่า ราคาเป็นเพียง โอกาสที่ทำให้เราได้ซื้อขายกันเท่านั้นเอง
คำถามนี้จะตอบได้ก็ต่อเมื่อเจอสถานการณ์จริง
ซึ่งจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น
1. เรามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
2. เราขายแล้ว เราจะกลับมาซื้ออีกหรือไม่ ถ้าเราจะกลับมาซื้อ ซื้อเพราะหุ้นดี หรือซื้อเพราะราคาต่ำ
ถ้าซื้อเพราะหุ้นดี ระวังจะไม่ได้ซ์อ ถ้าตลาดกำลังขาขึ้น
ถ้าซื้อเพราะราคาต่ำ ระวัง จะมีราคาต่ำกว่าไปเรื่อยๆ
ขอให้โชคดีครับ
คือถ้าเป็นหุ้นที่ดีจริง แล้ว ราคาขึ้นจาก 10 ไป 20 เราก็ถือไว้
ถ้าเป็นหุ้นเน่า แล้วมีการเก็บของแล้วลากขึ้นไป กำไร 10 บาท เราก็ขายให้หมดเลย
ไม่จำเป็นต้องทำคลายเครียดเรโช เพราะ มันเป็นหุ้นเน่า กำไรแล้วก็เลิก
ถ้าเป็นหุ้น VI แต่ตัวเล็ก แล้วถือไว้มาก อย่างคุณฉัตรชัย ยิ่งขายไม่ได้ใหญ่เลย ขายปุ๊ปเดี๋ยวราคาวิ่งลงไปเลย
ในมุมของผม ผมคิดว่า ราคาเป็นเพียง โอกาสที่ทำให้เราได้ซื้อขายกันเท่านั้นเอง
คำถามนี้จะตอบได้ก็ต่อเมื่อเจอสถานการณ์จริง
ซึ่งจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น
1. เรามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
2. เราขายแล้ว เราจะกลับมาซื้ออีกหรือไม่ ถ้าเราจะกลับมาซื้อ ซื้อเพราะหุ้นดี หรือซื้อเพราะราคาต่ำ
ถ้าซื้อเพราะหุ้นดี ระวังจะไม่ได้ซ์อ ถ้าตลาดกำลังขาขึ้น
ถ้าซื้อเพราะราคาต่ำ ระวัง จะมีราคาต่ำกว่าไปเรื่อยๆ
ขอให้โชคดีครับ
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 16
ผมขอแยกตรงจุดนี้ไปกระทู้ใหม่ครับเพราะอยากได้ความรู้จากคุณChatchai จริงๆchatchai เขียน:คณ a-ke ลงทนแบบ VI ไม่รวยช้าเสมอไปนะครับ แต่รวยแน่นอนและมั่นคงครับ
ลองดแบบผมซิครับ ใครๆก็ร้ว่าผมลงทนด้วยเงิน 6 แสนบาท ในเวลา 5 ปี ผมกำไรประมาณ 20 ล้านบาทครับ
ไม่ได้อวดหรือแสดงตนว่าเก่ง เพียงแต่ว่าอยากบอกว่าการลงทนแบบ VI ก็รวยเร็วได้นะครับ ไม่ต้องเป็น VS หรอกครับ
ถ้ากำไรครั้งละพันสองพัน ต้องกำไรกี่ครั้งครับถึงจะกำไร 20 ล้านบาทในเวลา 5 ปี
แถมผมลงทนแบบก้นบหรี่ด้วยครับ ไม่ได้ค้นพบ Super Stock อะไรเลย
เพียงแต่ศึกษาหาความร้ที่เป็นแก่นสารครับ อาทิ บัญชี การเงิน การลงทน เศรษฐศาสตร์ และอื่นที่สอนใน MBA นะครับ
ผมว่าดีกว่าเอาเวลาไปศึกษาทางเทคนิคนะครับ (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ)
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
-
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 18
สวัสดีครับพี่Jeng คืออยากบอกว่าเหตุการณ์ที่เล่าเป็นเหตุการณ์สมมติครับ คงไม่เหมือนจริงซะทีเดียว แต่ก็มีส่วนคล้ายๆอยู่เหมือนกัน ประเด็นที่ผมอยากเรียนรู้คือเรื่องแนวคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาของชาวVI ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เท่านั้นแหละครับ แต่ก็ขอบคุณพี่Jeng ที่ตอบนะครับ
- +++
- Verified User
- โพสต์: 199
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 19
Graham บอกว่า
การเป็น Value Investor
อยู่ที่ Attitude
หมายถึง การมี " Intrinsic Value" ใน" สันดาน" ของคนๆนั้น
ซึ่ง ไม่เกี่ยวกับการทำกำไรระยะสั้น
ตราบใดที่เขาใช้ หลักการและ เขาสามารถตอบคำถามได้
ว่า ทำไมถึงซื้อ หุ้นตัวนั้น และทำไมถึงขาย หุ้นตัวนั้น
และต้องเป็นหลักการที่ไม่ขัดแย้งกับ Attitude หรือ Paradigm ที่อยู่ใน สันดานของเขา
ถ้าเกิดมีการทำกำไรได้ มันจะไม่ใช่เรื่องฟลุค
และ การทำกำไรได้โดยไม่ฟลุค นี่แหละครับ ผมคิดว่า จะทำให้เราอยู่ได้ในสังคมหุ้น โดยที่ไม่ต้องอาศัยโชคดี
ส่วนตัวผมคิดว่า จุดนี้สำคัญที่สุดครับ
อิอิ....
การเป็น Value Investor
อยู่ที่ Attitude
หมายถึง การมี " Intrinsic Value" ใน" สันดาน" ของคนๆนั้น
ซึ่ง ไม่เกี่ยวกับการทำกำไรระยะสั้น
ตราบใดที่เขาใช้ หลักการและ เขาสามารถตอบคำถามได้
ว่า ทำไมถึงซื้อ หุ้นตัวนั้น และทำไมถึงขาย หุ้นตัวนั้น
และต้องเป็นหลักการที่ไม่ขัดแย้งกับ Attitude หรือ Paradigm ที่อยู่ใน สันดานของเขา
ถ้าเกิดมีการทำกำไรได้ มันจะไม่ใช่เรื่องฟลุค
และ การทำกำไรได้โดยไม่ฟลุค นี่แหละครับ ผมคิดว่า จะทำให้เราอยู่ได้ในสังคมหุ้น โดยที่ไม่ต้องอาศัยโชคดี
ส่วนตัวผมคิดว่า จุดนี้สำคัญที่สุดครับ
อิอิ....
...."เวลา" คือสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุด...
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่าง
โพสต์ที่ 20
ผมขอตั้งข้อสังเกตตรงนี้ครับว่าการไล่ราคามันเป็นพฤติกรรมการเก็งกำไรbe my guest เขียน:สมมติว่าเราซื้อหุ้นA มาที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพราะเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี กำไรเติบโตดี ปันผลสูงสม่ำเสมอทุกปี ซื้อมาเพราะคิดแบบชาวVIว่าอยากร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจ
คราวนี้2สัปดาห์ผ่านมาเกิดโชคดีมีคนมาสนใจหุ้นตัวนี้เหมือนกันไล่ราคาขึ้นมาสูงถึง 20 บาทต่อหุ้น โดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนเลย และที่แน่ๆคงมีการไล่ราคาไม่ขึ้นไปกว่านี้แน่ในช่วงก่อนที่จะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่จะถึงนี้ ถ้าแนวทางของvalue investor(ถ้าเป็นบัฟเฟต)จะทำอย่างไร
ก. รอดูเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย รู้ว่าราคาเดี๋ยวก็กลับลงมาแล้วก็ต้องกลับขึ้นไปตามพื้นฐานที่ดีในอนาคต
ข.ขายออกไปบางส่วนแล้วรอซื้อกลับเมื่อราคาลงมาที่เหมาะสม(แต่คงไม่ต่ำกว่า 10 บาทแน่) แต่ก็มีความเสี่ยงว่า เราไม่รู้ว่าราคาจะลงมาที่เท่าใด อาจลงมาเล็กน้อยแล้วขึ้นต่อทำให้เราช้อนซื้อกลับไม่ทัน เลยเสียโอกาสที่จะได้กำไรมากขึ้น
ค.รอให้ราคาต่ำลงมาแล้วซื้อเพิ่ม แต่ราคาต้นทุนเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10 บาทต่อหุ้น
ง.วิธีอื่นๆช่วยออกความเห็นหน่อยครับ
ถ้ามีการเข้าเก็งกำไรมันย่อมไม่ผิดถ้าจะใช้วิธีเดียวกันในเวลานั้น
เพราะถ้าเราอยู่เฉยกลับกลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ถ้าไม่มีการไล่ราคาหรือมีการเก็งกำไรขึ้นเราก็ไม่ควรจะไปทำอะไรเพราะราคามันจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้มีการเก็งกำไร ราคามันก็จะเข้าสู่สมดลในที่สุดโดยจะวิ่งเข้าหามูลค่าแท้จริง แต่ถ้าการไล่ราคากระทำในจุดที่เต็มมูลค่าแล้วและทำให้มันวิ่งเกินมูลค่าไปมากๆจะทำให้มีการเทขายอย่างรุนแรงจนเกือบจะกลายเป็นของไร้มูลค่าไปและกลายเป็นของที่ไม่มีคนสนใจไปนานเช่นหุ้น VNG
-
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 21
ขอเรียกพี่ Chatchai ละกันนะครับ
ขอบคุณมากครับทำให้มีกำลังใจขึ้นมากเลยครับ
รบกวนขยายความตรงนี้ด้วยครับ
"ผมลงทนแบบก้นบหรี่ด้วยครับ ไม่ได้ค้นพบ Super Stock อะไรเลย"
ขอบคุณมากครับทำให้มีกำลังใจขึ้นมากเลยครับ
รบกวนขยายความตรงนี้ด้วยครับ
"ผมลงทนแบบก้นบหรี่ด้วยครับ ไม่ได้ค้นพบ Super Stock อะไรเลย"
-
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 22
ผมก็รู้ว่าตลาดหุ้นมันเป็นเกมส์การเงินอย่างนึง ในสถานการณ์ที่สมมติขึ้นนี้ หากเกิดขึ้นจริง ก็แสดงว่าต้องมีคนที่ติดอยู่ที่ราคาสูงแน่ ซึ่งผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็คือนักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราๆ บางทีถ้าลองนึกถึงคนเหล่านี้ว่ายังอยู่ในภาวะที่ลำบากกว่าเรา (แม้ว่าจะเป็นหุ้นพื้นฐานไม่เลวก็ตาม) จิดใจอาจจะสงบขึ้นก็ได้นะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 23
รายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นก้นบุหรี่และหุ้น Super stock นั้น ลองอ่านบทความของท่าน ดร.นิเวศน์ดูครับ ท่านเคยเขียนถึง หรือไม่ก็กระทู้ของน้อง VIB007 ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย chatchai เมื่อ เสาร์ ต.ค. 27, 2007 8:30 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามพี่ฉัตรชัยครับ
โพสต์ที่ 25
[quote="chatchai"]
แต่ผมยึดหลักที่ว่า ผมซื้อห้นบริษัทนี้เพื่อการลงทนในตัวกิจการ ผมหวังกำไรจากพื้นฐานของบริษัท ดังนั้นผมจึงหวังแค่ส่วนต่างของราคาระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ผมคำนวณไว้ตามปัจจัยพื้นฐาน
ดังนั้นถ้าราคายังไม่ถึงที่ผมคำนวณไว้ ผมก็จะไม่ขาย และไม่เสียดายอะไรที่ไม่ได้ทำ Short ออกไปก่อน เพราะผมไม่ได้หวังที่จะได้กำไรลักษณะนั้นมาก่อน
แต่ถ้าราคาวิ่งถึงราคาที่ผมคำนวณไว้ ผมก็จะขาย ถึงแม้ราคาจะไปต่อ ผมก็ไม่เคยนึกเสียดาย เพราะกำไรส่วนเกินที่ว่า ผมไม่ได้คาดหมายไว้แต่ต้นอย่แล้ว
ข้อสรปจากผม คือเปรียบเทียบกับราคาที่เราคำนวณจากพื้นฐานของบริษัทครับ ยึดไว้เป็นหลัก แล้วชีวิตในการลงทนของคณจะสขสงบ ไม่กระวนกระวายใจครับ
เรียนถามพี่ฉัตรชัยหรือพี่คนอื่นๆก็ได้นะครับ คือตอนนี้ผมมีเริ่มมีปัญหาสงสัยอีกแล้วครับ ว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่าราคาของหุ้นตัวนั้นขึ้นไปถึงปัจจัยพื้นฐานหรือยัง (คำนวนได้อย่างไร) ยกตัวอย่างละกันนะครับ
สมมติว่าซื้อหุ้น ptt มา 500 หุ้น ที่ 82.50 บาท เมื่อตอน 3 เดือนก่อน ขณะนั้น P/E ประมาณ 8 เท่า P/B ประมาณ 2 เท่า EPS ขณะนั้น ประมาณ 7 บาทต่อหุ้น แค่ 3 เดือนผ่านมา ราคาหุ้นขึ้นมาถึง 170 บาทแล้ววันนี้ P/E 12.21 P/B 4.27 EPS 10บาทต่อหุ้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ปัจจัยพื้นฐานขณะนี้ ผลการดำเนินงานของ ptt ควรจะมี P/E P/B เท่าไหร่ และราคาควรจะเป็นเท่าไหร่
และถ้าสมมติว่าเราประเมินว่า ปีนี้ P/E ของ ptt ควรอยู่ที่ 10 เท่า แล้วเราตัดสินใจขาย แต่ปีหน้า P/E ก็จะเปลี่ยนไป เนื่องจาก EPS ที่สูงขึ้น จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แล้วเราจะคาดได้อย่างไรว่า ปีหน้าราคาควรเป็นเท่าไหร่ถ้าผลงานยังดีเท่าเดิม (ไม่รู้พวกโบรกเกอร์เค้าคำนวนมาได้อย่างไร) รบกวนพี่ๆให้ความรู้เจ้าเด็กขี้สงสัยหน่อยนะครับ
แต่ผมยึดหลักที่ว่า ผมซื้อห้นบริษัทนี้เพื่อการลงทนในตัวกิจการ ผมหวังกำไรจากพื้นฐานของบริษัท ดังนั้นผมจึงหวังแค่ส่วนต่างของราคาระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ผมคำนวณไว้ตามปัจจัยพื้นฐาน
ดังนั้นถ้าราคายังไม่ถึงที่ผมคำนวณไว้ ผมก็จะไม่ขาย และไม่เสียดายอะไรที่ไม่ได้ทำ Short ออกไปก่อน เพราะผมไม่ได้หวังที่จะได้กำไรลักษณะนั้นมาก่อน
แต่ถ้าราคาวิ่งถึงราคาที่ผมคำนวณไว้ ผมก็จะขาย ถึงแม้ราคาจะไปต่อ ผมก็ไม่เคยนึกเสียดาย เพราะกำไรส่วนเกินที่ว่า ผมไม่ได้คาดหมายไว้แต่ต้นอย่แล้ว
ข้อสรปจากผม คือเปรียบเทียบกับราคาที่เราคำนวณจากพื้นฐานของบริษัทครับ ยึดไว้เป็นหลัก แล้วชีวิตในการลงทนของคณจะสขสงบ ไม่กระวนกระวายใจครับ
เรียนถามพี่ฉัตรชัยหรือพี่คนอื่นๆก็ได้นะครับ คือตอนนี้ผมมีเริ่มมีปัญหาสงสัยอีกแล้วครับ ว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่าราคาของหุ้นตัวนั้นขึ้นไปถึงปัจจัยพื้นฐานหรือยัง (คำนวนได้อย่างไร) ยกตัวอย่างละกันนะครับ
สมมติว่าซื้อหุ้น ptt มา 500 หุ้น ที่ 82.50 บาท เมื่อตอน 3 เดือนก่อน ขณะนั้น P/E ประมาณ 8 เท่า P/B ประมาณ 2 เท่า EPS ขณะนั้น ประมาณ 7 บาทต่อหุ้น แค่ 3 เดือนผ่านมา ราคาหุ้นขึ้นมาถึง 170 บาทแล้ววันนี้ P/E 12.21 P/B 4.27 EPS 10บาทต่อหุ้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ปัจจัยพื้นฐานขณะนี้ ผลการดำเนินงานของ ptt ควรจะมี P/E P/B เท่าไหร่ และราคาควรจะเป็นเท่าไหร่
และถ้าสมมติว่าเราประเมินว่า ปีนี้ P/E ของ ptt ควรอยู่ที่ 10 เท่า แล้วเราตัดสินใจขาย แต่ปีหน้า P/E ก็จะเปลี่ยนไป เนื่องจาก EPS ที่สูงขึ้น จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แล้วเราจะคาดได้อย่างไรว่า ปีหน้าราคาควรเป็นเท่าไหร่ถ้าผลงานยังดีเท่าเดิม (ไม่รู้พวกโบรกเกอร์เค้าคำนวนมาได้อย่างไร) รบกวนพี่ๆให้ความรู้เจ้าเด็กขี้สงสัยหน่อยนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 26
การหามูลค่าของกิจการนั้นมีหลายวิธีครับ รายละเอียดรู้สึกว่าจะมีอยู่ในกระทู้ของน้อง VIB007 ครับ
แต่ถ้าให้ชัดเจนก็ลองหารตำราต่างประเทศมาอ่านครับ (ตำราในนี้ยังไม่เคยเจอ) ผมเพิ่งอ่าน Investment Valuation ครับของ DAMODARAN ครับ แต่เล่มใหญ่มาก
ส่วนวิธีที่ผมใช้เป็นหลักก็คือ Discounted Free Cash Flow ครับ
แต่ถ้าให้ชัดเจนก็ลองหารตำราต่างประเทศมาอ่านครับ (ตำราในนี้ยังไม่เคยเจอ) ผมเพิ่งอ่าน Investment Valuation ครับของ DAMODARAN ครับ แต่เล่มใหญ่มาก
ส่วนวิธีที่ผมใช้เป็นหลักก็คือ Discounted Free Cash Flow ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 341
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คนที่เป็นvalue investorจะทำอย่างไรดี
โพสต์ที่ 29
เปิดกราฟดูสัญญาณทางเทคนิค ถ้ากราฟราคามีแนวโน้มลดลงเมื่อไหร่ก็เทขายให้หมด แล้วรอรับใหม่เมื่อราคาตกลงไปจนใกล้ถึงจุดกลับตัวแล้ว :)