อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 1
ติดต่อกันเป็นสิบๆปี มีไหมครับ
เท่าทีทราบ
อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขายในประเทศโตประมาณ 4-5 %ต่อปี
ยอดขายคอมพิวเตอร์ในประเทศทั้งปลีกทั้งส่งโตประมาณ 12 %ต่อปี
เท่าทีทราบ
อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขายในประเทศโตประมาณ 4-5 %ต่อปี
ยอดขายคอมพิวเตอร์ในประเทศทั้งปลีกทั้งส่งโตประมาณ 12 %ต่อปี
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 3
ขอเป็น 5 ปีย้อนหลังแล้วกันครับ (2001 - 2005)อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
ติดต่อกันเป็นสิบๆปี มีไหมครับ
ถ้าให้ดัชนีของหมวดอุตสาหกรรม (Sector) เป็นตัวแทนการเติบโต
พบว่ามีกลุ่มเดียวที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ต่อปี
นั่นคือ กลุ่มที่คุณหมอทำงานนั่นแหละครับ... :lol:
หมวด การแพทย์ (Health Care Services)
มีการปรับตัวขึ้นจาก 75.84 จุด เมื่อปี 2001
มาปิดที่ 607.8 จุด เมื่อปี 2005
หรือมีการเติบโตของดัชนีโดยเฉลี่ยปีละกว่า 61% ... :shock: :shock: :shock:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 4
อีกหมวดหนึ่งที่ใกล้เคียงเงื่อนไขดังกล่าวมากๆ นั่นคือ
หมวด ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (Personal Products & Pharmaceuticals)
(มีหุ้นชื่อประหลาดๆ ที่เป็นตัวโปรดของบางท่าน ... :D )
มีการปรับตัวขึ้นจาก 99.6 จุด เมื่อปี 2001
มาปิดที่ 314.16 จุด เมื่อปี 2005
หรือมีการเติบโตของดัชนีโดยเฉลี่ยปีละกว่า 34% ... :shock: :shock: :shock:
(แต่ไม่เข้าเงื่อนไขที่คุณหมอตั้งเนื่องจาก ระหว่างปี 2001 กับ 2002 โตเพียง 9.3%)
นอกนั้นทั้งตลาดไม่มีแล้วครับ ...
:lol:
หมวด ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ (Personal Products & Pharmaceuticals)
(มีหุ้นชื่อประหลาดๆ ที่เป็นตัวโปรดของบางท่าน ... :D )
มีการปรับตัวขึ้นจาก 99.6 จุด เมื่อปี 2001
มาปิดที่ 314.16 จุด เมื่อปี 2005
หรือมีการเติบโตของดัชนีโดยเฉลี่ยปีละกว่า 34% ... :shock: :shock: :shock:
(แต่ไม่เข้าเงื่อนไขที่คุณหมอตั้งเนื่องจาก ระหว่างปี 2001 กับ 2002 โตเพียง 9.3%)
นอกนั้นทั้งตลาดไม่มีแล้วครับ ...
:lol:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 5
ขอเป็น 5 ปีย้อนหลังแล้วกันครับ (2001 - 2005)HVI เขียน:
ถ้าให้ดัชนีของหมวดอุตสาหกรรม (Sector) เป็นตัวแทนการเติบโต
พบว่ามีกลุ่มเดียวที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ต่อปี
นั่นคือ กลุ่มที่คุณหมอทำงานนั่นแหละครับ...
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 6
ถ้าเป็น 10 ปีคงเจอสกัดดาวรุ่งช่วงปี 1997 กันหมดมั้งครับ ... :D
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 8
[quote="por_jai"]
8) 1997ผมว่าไม่ใช่สกัดดาวรุ่งนะ
8) 1997ผมว่าไม่ใช่สกัดดาวรุ่งนะ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 470
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 9
การแพทย์ เติบโตได้เรื่อยๆ
-----new technology
-----new medication
-----over treatment
-----patieni"s demand
ยิ่งมีแพทย์มากขึ้น คนไข้ก็มากขึ้นตาม แทนที่จะลดลง
แพทย์เป็นผู้กระตุ้นให้เกิด demand อย่างไม่รู้จบสิ้น โดยเฉพาะ specialist สาขาต่างๆ
=======================================
4-5 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเปิดโรงพยาบาลเพิ่มเลย การแข่งขันไม่รุนแรง
โรงพยาบาลใหม่ๆเกิดยาก เพราะต้นทุนสูง
โรงพยาบาลขนาดกลางในต่างจังหวัด โดน takover โดย BGH ไปมาก
ในอนาคต BGH จะกลายเป็น superstock
-----new technology
-----new medication
-----over treatment
-----patieni"s demand
ยิ่งมีแพทย์มากขึ้น คนไข้ก็มากขึ้นตาม แทนที่จะลดลง
แพทย์เป็นผู้กระตุ้นให้เกิด demand อย่างไม่รู้จบสิ้น โดยเฉพาะ specialist สาขาต่างๆ
=======================================
4-5 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเปิดโรงพยาบาลเพิ่มเลย การแข่งขันไม่รุนแรง
โรงพยาบาลใหม่ๆเกิดยาก เพราะต้นทุนสูง
โรงพยาบาลขนาดกลางในต่างจังหวัด โดน takover โดย BGH ไปมาก
ในอนาคต BGH จะกลายเป็น superstock
-
- Verified User
- โพสต์: 470
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 10
ไปโรงพยาบาลสมัยนี้ ครั้งเดียวมักไม่พอ คุณหมอขอสอง
มักจะมีการนัด 2-3 ครั้ง ตรวจสุขภาพประจำปีอีก
กำไรหลายต่อมาก กำไรค่ายา กำไรค่าหมอ ค่าห้องพัก ค่าห้องผ่าตัด
ค่าทำแผล ค่ารถพยาบาล ค่าเครื่องมือแพทย์
==================================
ไม่มี low season
มีแต่ low risk for investor
เคยมีคนคิดทำ low-cost hospital แต่ไม่ work ดังนั้นการแข่งขันเรื่องราคาจึงยังไม่เกิดขึ้น
มักจะมีการนัด 2-3 ครั้ง ตรวจสุขภาพประจำปีอีก
กำไรหลายต่อมาก กำไรค่ายา กำไรค่าหมอ ค่าห้องพัก ค่าห้องผ่าตัด
ค่าทำแผล ค่ารถพยาบาล ค่าเครื่องมือแพทย์
==================================
ไม่มี low season
มีแต่ low risk for investor
เคยมีคนคิดทำ low-cost hospital แต่ไม่ work ดังนั้นการแข่งขันเรื่องราคาจึงยังไม่เกิดขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 12
ผมว่าธุรกิจเกี่ยวกับเด็ก เช่น พัฒนาการเด็ก สุขภาพเด็ก การเรียนรู้เด็ก จะโตไปอีกนาน เพราะ พ่อแม่จะทุ่มเทให้เด็กไม่อั้น (เท่าที่ทำได้) สำหรับเด็กคนนึงก็สิบกว่าปีทีเดียว (หลายครอบครัวมากกว่านั้น)
ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ gross margin ที่สูงได้ และ economy of scale
แต่ก็อีกแล้ว ผมใช้แต่สิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน โดยไม่มีตัวเลขรองรับอีกแล้ว อาจจะเป็นความคิดเห็น ไม่ได้ เป็น fact
แต่ก็ตอบเท่าที่จะคิดออกนะครับ ท่านหมอศรราม ณ หิมะใต้เงาพระจันทร์
ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ gross margin ที่สูงได้ และ economy of scale
แต่ก็อีกแล้ว ผมใช้แต่สิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน โดยไม่มีตัวเลขรองรับอีกแล้ว อาจจะเป็นความคิดเห็น ไม่ได้ เป็น fact
แต่ก็ตอบเท่าที่จะคิดออกนะครับ ท่านหมอศรราม ณ หิมะใต้เงาพระจันทร์
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 13
ไม่ทราบว่าถ้าดูแต่ Earnings แล้วจะเติบโตอย่างไรครับ ไม่ทราบว่าเรามีข้อมูลส่วนนี้ไหมครับขอเป็น 5 ปีย้อนหลังแล้วกันครับ (2001 - 2005)
ถ้าให้ดัชนีของหมวดอุตสาหกรรม (Sector) เป็นตัวแทนการเติบโต
พบว่ามีกลุ่มเดียวที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ต่อปี
นั่นคือ กลุ่มที่คุณหมอทำงานนั่นแหละครับ... Laughing
หมวด การแพทย์ (Health Care Services)
มีการปรับตัวขึ้นจาก 75.84 จุด เมื่อปี 2001
มาปิดที่ 607.8 จุด เมื่อปี 2005
หรือมีการเติบโตของดัชนีโดยเฉลี่ยปีละกว่า 61% ...
ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง Irrational Exuberance ของ R J Shiller ที่บอกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นของสหรัฐในช่วงที่ดีมากทุกๆช่วง มาจากการเพิ่ม PE ไม่ได้มาจากการเติบโตจริงของบริษัทหรือการเพิ่ม E ในหนังสือมีกราฟที่แสดงเรื่องนี้อยู่กราฟหนึ่ง น่าสนใจมากครับ ถ้ามีเวลาผมจะ Scan มาดูกันครับ
ผมเลยคิดว่า ถ้าลองเอา PE ของหมวดอุตสาหกรรม ณ ตอนแรกของช่วงเวลา มาเปรียบเทียบกับ PE ณ ตอนสุดท้ายของช่วงเวลา ก็อาจจะสรุปได้ว่า อุตสาหกรรมนั้นเติบโตมากจริง หรือ คนส่วนใหญ่ให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้น ในความเป็นจริง คงจะมีทั้งสองส่วน แต่ส่วนไหนจะใหญ่กว่ากัน
อยากวิเคราะห์ดูจริงๆครับ แต่ข้อมูลถ้าจะหาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเป็นหมวดอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งทั้งตลาด ผมเคยลองค้นดูใน www.set.or.th ยังไม่พบข้อมูล Earnings รวมทั้งตลาดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 14
สำหรับผมได้จาก Set Smart สามารถดูดัชนีของแต่ละ sector ย้อนหลังสูงสุดได้ 5 ปีครับคุณหมอสามัญชน เขียน:ขอบคุณครับ ว่าแต่ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากเวปไหนครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 15
[quote="nanakorn"]
ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง Irrational Exuberance ของ R J Shiller ที่บอกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นของสหรัฐในช่วงที่ดีมากทุกๆช่วง มาจากการเพิ่ม PE ไม่ได้มาจากการเติบโตจริงของบริษัทหรือการเพิ่ม E
ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง Irrational Exuberance ของ R J Shiller ที่บอกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นของสหรัฐในช่วงที่ดีมากทุกๆช่วง มาจากการเพิ่ม PE ไม่ได้มาจากการเติบโตจริงของบริษัทหรือการเพิ่ม E
"Winners never quit, and quitters never win."
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อุตสาหกรรมที่โดยธรรมชาติแล้วสามารถโตได้มากกว่า10%
โพสต์ที่ 16
ผมขอคิดเรื่องgrowth ดังๆต่อนะครับ
1. ผมคิดว่าจำนวนผู้บริโภคเป็นปัจจัยหลักตัวหนึ่งที่ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
2. โลกเรามีการเพิ่มขึ้นของประชากรปีละประมาณ 1%นิดหน่อย ยุโรปอาจจะเพิ่มน้อยกว่านี้หรือแทบไม่เพิ่มเช่นเดียวกับจีน แต่ประเทศโลกที่สามอาจจะเพิ่มมากกว่านี้ ของไทยเราเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 2 แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่าประชากรโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยมาก
3. ส่งผลให้ gdp โลกก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำเช่นเดียวกัน ประเทศที่พัฒนาแล้วและเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่แล้ว gdp แทบจะไม่เพิ่ม ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาหรือเศรษฐกิจถูกกดไว้มาก่อน ก็ย่อมจะเติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเยอะหน่อย
4. ทั้งจีนและอินเดียซึ่งถูกกดไว้ยาวนาน จึงสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 8-12% เวียดนามก็รองลงมาหน่อย และไทยเราอยู่ที่ระดับ3-5% ซึ่งก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย
5.ไทยเราคงจะไม่โตมากกว่านี้และคงไม่สามารถโตได้ถึง10%+ แน่ๆ ดังนั้นการมองหาอุตสาหกรรมที่โตมากกว่า10%ในอนาคตจึงต้องนำพฤติกรรมมนุษย์มาร่วมพิจารณาด้วยเพราะลำพังปัจจัยด้านปริมาณ(จำนวนคน)อย่างเดียวก็คงจะโตได้แค่ 2%
6. พฤติกรรมทั่วๆไปของไทยผลักดันให้การบริโภคสูงขึ้นประมาณ 2 เท่า แปลว่าคนปัจจุบันบริโภคมากกว่าอดีต 2 เท่า (ผมคิดง่ายๆจากจำนวนคนเพิ่มปีละ2% แต่ gdp เพิ่มปีละ 4%)
7. ดังนั้นต้องมองหาพฤติกรรมพิเศษ ที่สามารถเพิ่มการบริโภคได้สัก 5 เท่าขึ้นไป ถึงจะเจออุตสาหกรรมที่โตมากกว่า 10%ต่อปี และเป็นพฤติกรรมที่ยั่งยืนพอสมควร
8. ประเด็นของน้องกั๊มน่าสนใจมากครับ ธุรกิจเกี่ยวกับเด็ก น่าจะเป็นแนวโน้มของพฤติกรรมที่เติบโตอย่างยั่งยืนได้เลยทีเดียว เสียดายที่ผมเองก็ไม่สามารถหาตัวเลขยืนยันได้
9.ประเด็นหมวด การแพทย์ (Health Care Services)ของน้องหวีก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากการสนใจในสุขภาพจะเป็นแฟชั่นที่มาแรงในปัจจุบันและอนาคต และคงจะพัฒนาไปเป็นกระแสที่ยั่งยืนได้เช่นเดียวกัน
10. ส่วนสาเหตุที่หมวด การแพทย์ (Health Care Services) โตด้วยตัวเลขสูงๆขนาดนี้ น่าจะมีหลายปัจจัยนอกเหนือจากเรื่องพฤติกรรมและปริมาณคน เช่น ก่อนหน้านี้ถูกกดมาก่อนโดยเฉพาะช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและเรื่องโครงสร้างประชากร
11. มีคนบอกว่าโครงสร้างประชากรของเรานั้นมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์มากกว่ากลุ่มอื่น(อาจจะยกเว้นกลุ่มเด็ก) แต่แม้กลุ่มสูงอายุนี้จะต้องการน้อยกว่ากลุ่มเด็กก็ตามแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ากลุ่มเด็กมาก และสาเหตุที่ผู้สูงอายุมีมากขึ้นเกิดจากสิ่งที่เราเรียกว่า เบบี้บูม
12.ทั้งหมดนี้ก็เป็นการคิดจากผลลัพธ์มาหาสาเหตุ คือมองเห็น(คำเฉลย)แล้วว่าอะไรโต ก็เลยอธิบายได้เป็นวรรคเป็นเวร ถ้าให้เห็นเหตุแล้วและให้คาดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ตอนนี้ผมก็มองไม่ออกเหมือนเดิม 555 โฮะ ๆ ๆ กำ....
1. ผมคิดว่าจำนวนผู้บริโภคเป็นปัจจัยหลักตัวหนึ่งที่ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
2. โลกเรามีการเพิ่มขึ้นของประชากรปีละประมาณ 1%นิดหน่อย ยุโรปอาจจะเพิ่มน้อยกว่านี้หรือแทบไม่เพิ่มเช่นเดียวกับจีน แต่ประเทศโลกที่สามอาจจะเพิ่มมากกว่านี้ ของไทยเราเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 2 แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่าประชากรโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยมาก
3. ส่งผลให้ gdp โลกก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำเช่นเดียวกัน ประเทศที่พัฒนาแล้วและเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่แล้ว gdp แทบจะไม่เพิ่ม ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาหรือเศรษฐกิจถูกกดไว้มาก่อน ก็ย่อมจะเติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเยอะหน่อย
4. ทั้งจีนและอินเดียซึ่งถูกกดไว้ยาวนาน จึงสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 8-12% เวียดนามก็รองลงมาหน่อย และไทยเราอยู่ที่ระดับ3-5% ซึ่งก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย
5.ไทยเราคงจะไม่โตมากกว่านี้และคงไม่สามารถโตได้ถึง10%+ แน่ๆ ดังนั้นการมองหาอุตสาหกรรมที่โตมากกว่า10%ในอนาคตจึงต้องนำพฤติกรรมมนุษย์มาร่วมพิจารณาด้วยเพราะลำพังปัจจัยด้านปริมาณ(จำนวนคน)อย่างเดียวก็คงจะโตได้แค่ 2%
6. พฤติกรรมทั่วๆไปของไทยผลักดันให้การบริโภคสูงขึ้นประมาณ 2 เท่า แปลว่าคนปัจจุบันบริโภคมากกว่าอดีต 2 เท่า (ผมคิดง่ายๆจากจำนวนคนเพิ่มปีละ2% แต่ gdp เพิ่มปีละ 4%)
7. ดังนั้นต้องมองหาพฤติกรรมพิเศษ ที่สามารถเพิ่มการบริโภคได้สัก 5 เท่าขึ้นไป ถึงจะเจออุตสาหกรรมที่โตมากกว่า 10%ต่อปี และเป็นพฤติกรรมที่ยั่งยืนพอสมควร
8. ประเด็นของน้องกั๊มน่าสนใจมากครับ ธุรกิจเกี่ยวกับเด็ก น่าจะเป็นแนวโน้มของพฤติกรรมที่เติบโตอย่างยั่งยืนได้เลยทีเดียว เสียดายที่ผมเองก็ไม่สามารถหาตัวเลขยืนยันได้
9.ประเด็นหมวด การแพทย์ (Health Care Services)ของน้องหวีก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากการสนใจในสุขภาพจะเป็นแฟชั่นที่มาแรงในปัจจุบันและอนาคต และคงจะพัฒนาไปเป็นกระแสที่ยั่งยืนได้เช่นเดียวกัน
10. ส่วนสาเหตุที่หมวด การแพทย์ (Health Care Services) โตด้วยตัวเลขสูงๆขนาดนี้ น่าจะมีหลายปัจจัยนอกเหนือจากเรื่องพฤติกรรมและปริมาณคน เช่น ก่อนหน้านี้ถูกกดมาก่อนโดยเฉพาะช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและเรื่องโครงสร้างประชากร
11. มีคนบอกว่าโครงสร้างประชากรของเรานั้นมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์มากกว่ากลุ่มอื่น(อาจจะยกเว้นกลุ่มเด็ก) แต่แม้กลุ่มสูงอายุนี้จะต้องการน้อยกว่ากลุ่มเด็กก็ตามแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ากลุ่มเด็กมาก และสาเหตุที่ผู้สูงอายุมีมากขึ้นเกิดจากสิ่งที่เราเรียกว่า เบบี้บูม
12.ทั้งหมดนี้ก็เป็นการคิดจากผลลัพธ์มาหาสาเหตุ คือมองเห็น(คำเฉลย)แล้วว่าอะไรโต ก็เลยอธิบายได้เป็นวรรคเป็นเวร ถ้าให้เห็นเหตุแล้วและให้คาดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ตอนนี้ผมก็มองไม่ออกเหมือนเดิม 555 โฮะ ๆ ๆ กำ....
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด