ขออภัยหากผมโพสท์เยอะจนน่ารำคาญ
****************************
มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนทุกคนมีความกลัว ตัวอย่างความกลัวของนักลงทุนเช่น
1. กลัวขาดทุน ขายคัทลอส
2. กลัวหุ้นติดดอย กลัวตกรถ (FOMO)
สองข้อแรก เป็นเรื่องปกติ แต่ผมได้มองไปลึกกว่านั้น โดยผมได้รวบรวมจากที่ผมได้เจอมากับตัวและได้รับรู้จากคนอื่น ทั้งจากที่นี่ pantip reddit seekingalpha fools ... ความกลัวนั้นมีหลายแบบมาก
3. กลัวการเปลี่ยนทางการปกครอง ทำให้ประเทศถดถอย เช่น Venezuela Iran Afghanistan และ Rhodesia (pre-Zimbabwe)
4. กลัว technology disruption ทำให้บริษัทที่ตนถืออยู่ขาดทุน (อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายๆคน มีอคติกับหุ้น tech ผมเคยเป็นแต่ตอนนี้เลิกแล้ว) - แล้วหุ้น tech (บางตัวนะครับ เดี๋ยวผมถูกแซวว่า bias อีก 5555) ก็แพงเกินไป แต่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ ที่จะทำกำไรได้ (TINA)
5. กลัวว่าถ้าไม่ฟังนักวิเคราะห์คนนี้ หรือแม้แต่เพื่อน จะเสียโอกาสทำกำไร โดยเฉพาะ 'หุ้นที่เพื่อนแนะนำ แต่เราไม่ได้ซื้อ มันขึ้น!' และ 'ผมเตือนคุณแล้วนะ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะเหมือนนายxxxที่ขาดทุนบักโกรก'
6. กลัวว่าจะ end-up อย่างเหมือนนายxxx กลัวว่าจะ end-up ถือหุ้นที่ bearish มานานอย่าง BANPU
7. กลัวว่าจะตกหล่นในข้อมูลและมองกว้างไม่มากพอ เช่น 'เห้ย ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง เราตกข่าวได้ยังไง' และ 'ลืมมองข้อมูลการแข่งขันที่ไม่ได้อยู่ใน 56-1/annual report'
8. กลัวว่าจะตกเป็นทาสทาง technology ของ megacorporations
9. กลัวว่าจะหาหุ้นถูกๆ ที่พฐดี ไม่ได้อีกแล้ว
10. กลัวว่าหุ้นจะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่า cryptocurrencies เป็นเวลานาน
และอื่นๆ
ขอเชิญแชร์ความกลัวเพิ่มเติมและวิธีรับมือบ้าง สำหรับผมแล้ววิธีรับมือคือ "การตั้งสติและรับรู้ว่าเรากลัวอยู่"
ความกลัวของนักลงทุนมีอะไรบ้างและจะรับมือกับมันอย่างไร
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความกลัวของนักลงทุนมีอะไรบ้างและจะรับมือกับมันอย่างไร
โพสต์ที่ 2
เท่าที่ผมศึกษาในทางพุทธ และประสบการณ์จริงจากการสำรวจลึกเข้าใจไปจิตใจตัวเอง ได้ข้อสรุปว่า ที่เรากลัว คือ เรากลัวทุกข์
ทุกข์ที่สุด ที่คนส่วนใหญ่คิด คือ ความตาย
แต่ถ้าสำรวจลึกลงไปอีกว่าทำไมถึงกลัวตาย ความตายคืออะไร จะพบเรื่องที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ประสบการณ์ความตายในหลายๆ กรณี ไม่มีเจ็บปวด ทรมานอะไรมากมาย บางกรณีความตายนำมาซึ่งความรู้สึกที่ดีและสงบ เบาสบายด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังกลัวตายกันอยู่ดี ดังนั้นที่เรากลัวจริงๆ คืออะไรกันแน่
ผมเคยสำรวจความรู้สึกตัวเองเข้าไปลึกๆ แล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า เรากลัวความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตอนเราตายจริงๆ เราจะตายแบบทุกข์ทรมานไหม กลัวว่าเราต้องพลัดพรากของรักของหวง คนที่รัก คนที่ห่วง และไม่รู้ว่าตายไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราต่อไป
ผมเชื่อว่าถ้าเราศึกษาและฝึกฝนจนมีความสามารถ มีความรู้ เราจะสามารถลดความกลัวตรงนี้ลงได้ ซึ่งผลของการศึกษา ผมพยามฝึกแก้ 3 เรื่อง คือ
1. ฝึกที่จะสังเกตความทุกข์ทางกายของตัวเองอยู่เนืองๆ ฝึกที่จะอยู่กับความทุกข์ทางกายที่มีเป็นปกติของชีวิตมนุษย์ โดยรักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ไปด้วย ให้เป็นลักษณะ ปวดแต่กาย แต่ใจไม่ปวด
2. ฝึกที่จะลดภาระ ห่วง ของรัก ที่เรายึดมั่นถือมั่น ตลอดจนเตรียมใจที่จะเสียสิ่งอันเป็นที่รักของตัวเอง ฝึกที่จะสละมันออก ยกมันให้กับคนอื่นในระหว่างมีชีวิต แทนที่จะถูกบีบให้ปล่อยมันออกไปในวันตาย ฝึกที่จะทำ simulation จินตนาการบ่อยๆ ว่าถ้าเราตาย เรายังมีอะไรที่เป็นห่วงอยู่บ้างไหม
3. ศึกษา และหาศรัทธา ในชีวิตหลังความตาย จากประสบการณ์ คือ ถ้าสำรวจ ศึกษามากๆ จนเข้าใจมากๆ เข้า จนเข้าใจกระบวนการตาย มีศรัทธาในหลักอะไรสักอย่าง ในศาสนาอะไรสักอัน ในชีวิตหลังความตาย และประพฤติปฏิบัติตัวสอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสดา ความกลัวตรงนี้จะลดลง เพราะ เราจะมองชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่เป็นของชั่วคราว เป็นช่วงเวลาเล็กๆ เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของภาพ หรือช่วงเวลาอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่า
และเมื่อมีความสามารถในการถอยมามองชีวิตของเราเป็นภาพเล็กๆ ในภาพใหญ่ได้ ความกลัวจะลดลง ความเป็นกลาง สติ สัมปชัญญะจะมีมากขึ้น
ความกลัวในเรื่องเล็กๆ ที่เราไปยึดถือ อยากจะชนะ ไม่อยากแพ้ ในเกมส์ย่อยๆ อย่างเรื่องการลงทุน ในเรื่องกิน กาม เกียรติ อำนาจ ต่างๆ จะมีอิทธิพลกับเราน้อยลง จะเล่นหุ้นชนะ หรือเล่นหุ้นแพ้ สุดท้ายก็ตาย ถ้าแค่เรื่องตายเป็นแค่เรื่องเล็กๆ การที่จะไปเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องเล่นหุ้นสู้คนอื่นเค้าไม่ได้ ฉลาด เก่ง ไว สู้คนอื่นเค้าไม่ได้ ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กลงๆ
เมื่อไม่เป็นเดือดเป็นร้อน หรือสามารถพ้นจากความเป็นเดือดเป็นร้อนจากความกลัวในสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ก็จะมีสติได้มากขึ้น เมื่อมีสติได้มากขึ้น ใจก็จะเป็นกลางได้มากขึ้น เมื่อใจเป็นกลางได้มากขึ้น ก็สามารถที่จะมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
ความจริงที่ผมเห็นจากการลงทุน คือ การลงทุนเป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ใช้เวลาน้อย แต่หาเงินได้มาก ไม่ติดปัญหาเรื่อง scalable มากนัก เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ถ้ามีฐานเงินและองค์ความรู้มากถึงจุดหนึ่ง เราสามารถ "เลือก" ที่จะใช้เวลาน้อยมากๆ กันการลงทุนได้ ถ้าหากเราเจอกิจการที่ runway ยาวจริงๆ สามารถโตได้เป็น สิบปี ธุรกิจเป็น winner take most แข็งแกร่ง สามารถเติบโตได้ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรก็แล้วแต่ ข่าวสาร เศรษฐกิจ ตัวเลข อะไรทั้งหลายแหล่ ที่ออกมารายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน จะเป็นเพียงคลื่นรบกวน เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีนัยยะสำคัญ และถ้าหากเรามีสิ่งที่สำคัญกว่าในชีวิต ที่ต้องเอาวันและเวลาไปใช้กับมัน เราไม่ต้องไปเสียเวลารู้ เสียเวลาฟัง ข่าวหรือข้อมูลเหล่านั้นก็ได้
เมื่อได้เวลามา เป็นอิสระจากการลงทุน ก็สามารถเอาเวลาไปทำประโยชน์กับสิ่งอื่นๆ ที่มีประโยชน์มากกว่าการหาเงิน เช่น การเอาเวลาไปช่วยเหลือคนอื่น การเอาเวลาไปใช้ศึกษาให้รู้แจ้งในจิตของตัวเอง การเอาเวลาไปวางแผน และดำเนินการเตรียมชีวิตหลังความตายให้พร้อม เป็นต้น
โดยส่วนตัวทุกวันนี้ ผมมีความกลัวน้อยลงไปมากครับ ตอนนี้สติจะจับได้ตั้งแต่ตอนที่เกิดการเปลี่ยนสภาพ และเกิดความสั่นไหวในจิต เมื่อดูความกลัว ความสั่นไหวในจิตไปสักพัก ความสั่นไหวนั้นๆ ก็จะดับลง เหลือเพียงแค่ องค์ความรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำ และดำเนินการกระทำตามสมควร
COVID-19 อาจจะทำให้เราได้ตระหนักว่าความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดไหน แต่การได้รู้ความจริงข้อนี้ และได้ศึกษา พิจารณา ความตายอย่างละเอียดลึกซึ้ง ก็อาจจะเป็นคุณประโยชน์อะไรบางอย่างในอนาคต และเมื่อเอาชนะความกลัวตายได้ เรื่องกลัวเพื่อนจะได้กำไรมากกว่าเรา จะกลายเป็นเศษผงที่อาจจะมีเข้ามาบ้าง แต่ก็ปัดมันออกไปได้ไม่ยากนัก
ทุกข์ที่สุด ที่คนส่วนใหญ่คิด คือ ความตาย
แต่ถ้าสำรวจลึกลงไปอีกว่าทำไมถึงกลัวตาย ความตายคืออะไร จะพบเรื่องที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ประสบการณ์ความตายในหลายๆ กรณี ไม่มีเจ็บปวด ทรมานอะไรมากมาย บางกรณีความตายนำมาซึ่งความรู้สึกที่ดีและสงบ เบาสบายด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังกลัวตายกันอยู่ดี ดังนั้นที่เรากลัวจริงๆ คืออะไรกันแน่
ผมเคยสำรวจความรู้สึกตัวเองเข้าไปลึกๆ แล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า เรากลัวความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตอนเราตายจริงๆ เราจะตายแบบทุกข์ทรมานไหม กลัวว่าเราต้องพลัดพรากของรักของหวง คนที่รัก คนที่ห่วง และไม่รู้ว่าตายไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราต่อไป
ผมเชื่อว่าถ้าเราศึกษาและฝึกฝนจนมีความสามารถ มีความรู้ เราจะสามารถลดความกลัวตรงนี้ลงได้ ซึ่งผลของการศึกษา ผมพยามฝึกแก้ 3 เรื่อง คือ
1. ฝึกที่จะสังเกตความทุกข์ทางกายของตัวเองอยู่เนืองๆ ฝึกที่จะอยู่กับความทุกข์ทางกายที่มีเป็นปกติของชีวิตมนุษย์ โดยรักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ไปด้วย ให้เป็นลักษณะ ปวดแต่กาย แต่ใจไม่ปวด
2. ฝึกที่จะลดภาระ ห่วง ของรัก ที่เรายึดมั่นถือมั่น ตลอดจนเตรียมใจที่จะเสียสิ่งอันเป็นที่รักของตัวเอง ฝึกที่จะสละมันออก ยกมันให้กับคนอื่นในระหว่างมีชีวิต แทนที่จะถูกบีบให้ปล่อยมันออกไปในวันตาย ฝึกที่จะทำ simulation จินตนาการบ่อยๆ ว่าถ้าเราตาย เรายังมีอะไรที่เป็นห่วงอยู่บ้างไหม
3. ศึกษา และหาศรัทธา ในชีวิตหลังความตาย จากประสบการณ์ คือ ถ้าสำรวจ ศึกษามากๆ จนเข้าใจมากๆ เข้า จนเข้าใจกระบวนการตาย มีศรัทธาในหลักอะไรสักอย่าง ในศาสนาอะไรสักอัน ในชีวิตหลังความตาย และประพฤติปฏิบัติตัวสอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสดา ความกลัวตรงนี้จะลดลง เพราะ เราจะมองชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่เป็นของชั่วคราว เป็นช่วงเวลาเล็กๆ เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของภาพ หรือช่วงเวลาอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่า
และเมื่อมีความสามารถในการถอยมามองชีวิตของเราเป็นภาพเล็กๆ ในภาพใหญ่ได้ ความกลัวจะลดลง ความเป็นกลาง สติ สัมปชัญญะจะมีมากขึ้น
ความกลัวในเรื่องเล็กๆ ที่เราไปยึดถือ อยากจะชนะ ไม่อยากแพ้ ในเกมส์ย่อยๆ อย่างเรื่องการลงทุน ในเรื่องกิน กาม เกียรติ อำนาจ ต่างๆ จะมีอิทธิพลกับเราน้อยลง จะเล่นหุ้นชนะ หรือเล่นหุ้นแพ้ สุดท้ายก็ตาย ถ้าแค่เรื่องตายเป็นแค่เรื่องเล็กๆ การที่จะไปเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องเล่นหุ้นสู้คนอื่นเค้าไม่ได้ ฉลาด เก่ง ไว สู้คนอื่นเค้าไม่ได้ ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กลงๆ
เมื่อไม่เป็นเดือดเป็นร้อน หรือสามารถพ้นจากความเป็นเดือดเป็นร้อนจากความกลัวในสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ก็จะมีสติได้มากขึ้น เมื่อมีสติได้มากขึ้น ใจก็จะเป็นกลางได้มากขึ้น เมื่อใจเป็นกลางได้มากขึ้น ก็สามารถที่จะมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
ความจริงที่ผมเห็นจากการลงทุน คือ การลงทุนเป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ใช้เวลาน้อย แต่หาเงินได้มาก ไม่ติดปัญหาเรื่อง scalable มากนัก เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ถ้ามีฐานเงินและองค์ความรู้มากถึงจุดหนึ่ง เราสามารถ "เลือก" ที่จะใช้เวลาน้อยมากๆ กันการลงทุนได้ ถ้าหากเราเจอกิจการที่ runway ยาวจริงๆ สามารถโตได้เป็น สิบปี ธุรกิจเป็น winner take most แข็งแกร่ง สามารถเติบโตได้ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรก็แล้วแต่ ข่าวสาร เศรษฐกิจ ตัวเลข อะไรทั้งหลายแหล่ ที่ออกมารายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน จะเป็นเพียงคลื่นรบกวน เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีนัยยะสำคัญ และถ้าหากเรามีสิ่งที่สำคัญกว่าในชีวิต ที่ต้องเอาวันและเวลาไปใช้กับมัน เราไม่ต้องไปเสียเวลารู้ เสียเวลาฟัง ข่าวหรือข้อมูลเหล่านั้นก็ได้
เมื่อได้เวลามา เป็นอิสระจากการลงทุน ก็สามารถเอาเวลาไปทำประโยชน์กับสิ่งอื่นๆ ที่มีประโยชน์มากกว่าการหาเงิน เช่น การเอาเวลาไปช่วยเหลือคนอื่น การเอาเวลาไปใช้ศึกษาให้รู้แจ้งในจิตของตัวเอง การเอาเวลาไปวางแผน และดำเนินการเตรียมชีวิตหลังความตายให้พร้อม เป็นต้น
โดยส่วนตัวทุกวันนี้ ผมมีความกลัวน้อยลงไปมากครับ ตอนนี้สติจะจับได้ตั้งแต่ตอนที่เกิดการเปลี่ยนสภาพ และเกิดความสั่นไหวในจิต เมื่อดูความกลัว ความสั่นไหวในจิตไปสักพัก ความสั่นไหวนั้นๆ ก็จะดับลง เหลือเพียงแค่ องค์ความรู้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำ และดำเนินการกระทำตามสมควร
COVID-19 อาจจะทำให้เราได้ตระหนักว่าความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดไหน แต่การได้รู้ความจริงข้อนี้ และได้ศึกษา พิจารณา ความตายอย่างละเอียดลึกซึ้ง ก็อาจจะเป็นคุณประโยชน์อะไรบางอย่างในอนาคต และเมื่อเอาชนะความกลัวตายได้ เรื่องกลัวเพื่อนจะได้กำไรมากกว่าเรา จะกลายเป็นเศษผงที่อาจจะมีเข้ามาบ้าง แต่ก็ปัดมันออกไปได้ไม่ยากนัก
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความกลัวของนักลงทุนมีอะไรบ้างและจะรับมือกับมันอย่างไร
โพสต์ที่ 3
กลัวหุ้นลง
ปุจฉา...
หุ้นอยู่ที่ไหน ?
กายอยู่ที่ไหน ?
และใจล่ะ
อยู่ที่ไหน ?
ใครเจอแล้วช่วยบอกด้วย
ใครคนนึงกำลังมองหาอยู่
ปุจฉา...
หุ้นอยู่ที่ไหน ?
กายอยู่ที่ไหน ?
และใจล่ะ
อยู่ที่ไหน ?
ใครเจอแล้วช่วยบอกด้วย
ใครคนนึงกำลังมองหาอยู่
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...