สอบถามเรื่องการซื้อหุ้นเพิ่มกรณีที่เราซื้อน้อยๆแล้วมันขึ้นไปเยอะแล้วครับ

[Albino]

สวัสดีครับขอสอบถามแนวคิดในการเลือกซื้อหุ้นในกรณี พอร์ตยังเล็กๆนะครับ

กรณีที่เราซื้อหุ้นไปแล้ว สมมุต 10 ตัว เพื่อรับปันผล แต่คราวนี้ มันทยอยขึ้นไปแล้วยังซื้อไม่ครบ เช่น
15 -50 % แบบนี้พี่ๆเพื่อนๆจะทำอย่างไรกันครับ

ถ้าซื้อเพิ่ม มันจะทำให้เราต้นทุนเพิ่ม จากเงินปันผลที่อาจจะได้ 5-10 % ต่อปี อาจทำให้ทุนกระโดดมาสูงมาก
แล้วเงินปันผลลดได้เยอะ แต่ว่าหุ้นมันก็ยังไม่ถึงมุลค่าที่เราคิดไว้นะครับแต่ใกล้เคียง

หรือ ตัดใจขายไปมองหาหุ้นตัวอื่นๆ( แพงขึ้นมา อาจไม่ถูกเท่า 10 ตัวแรก) แล้วเข้าซื้อในปริมาณให้เยอะขึ้นเลย
แต่ความเสี่ยงก็อาจมีเพราะตลาดก็ขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้วเหมือนกันครับ

อยากค่อยๆปั้นพอร์ตให้โตครับ แต่ด้วยปริมาณหุ้นที่ถือ 10 ตัว++ (ไม่ได้ focus ตั้งแต่แรกตัวไหนถูกก็ซื้อทิ้งไว้หมดเลย) จะมีวิธีการ แนวทางอย่างไรได้บ้างครับ ณ ตลาดระดับ 1500 จุดแบบนี้

ขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ ^^

[XO]

แนะนำว่าอย่าไปคิดว่าเรามีหุ้นตัวนี้อยู่แล้วมั้ย มีแล้วต้นทุนเดิมเราอยู่ที่เท่าไร

ทุกครั้งที่เอาเงินเข้าซื้อหุ้น คิดเสมือนว่าเป็นการหาผลตอบแทนของ new money ไม้นั้นๆ
ลองคิดซะว่า ถ้าพอรตเราว่างเปล่าไม่มีหุ้นใดๆอยู่เลย แล้วเราจะซื้อหุ้นตัวไหนเป็นตัวแรก ที่คุ้มสุดในราคาขณะนั้นครับ
ในทางกรณีหนึ่ง ถ้าไม่มีตัวไหนเราพบว่าน่าซื้อเลย ก็ไม่จำเป็น ต้องซื้อเพื่อเพ่ิมความเสี่ยงให้ตัวเองเลยครับ

[odin]

มีปัจจัยบางอย่างครับ ที่ทำให้เราตัดสินใจยาก อย่างแรกคือ มีสัดส่วนเงินสดมากกว่าหุ้นมากๆ ทำให้เราอยากเติมลงพอร์ตไวๆ เพราะกลัวจะเสียผลตอบแทนที่ดี อย่างที่สอง คือ ตลาดขึ้นมาเยอะแล้ว 1,500 จุด ทำให้กลัวจะซื้อแพง

คือทั้งสองปัจจัยนี้ เราต้องตัดออกไปจากจิตใจให้ได้ครับ เพราะมันคือbias(ผมก็เป็นประจำ) และ จะทำให้เราตัดสินใจยากเปล่าๆ

ให้มาวิเคราะห์ตัวหุ้นแทน ควรวิเคราะแบบเจาะลึก ให้ได้มาซึ่งมูลค่าของมันให้มากที่สุด โดยดูว่าช่วงราคาที่เท่าไหร่ ที่เราซื้อแล้ว ยังปลอดภัย มีupsideพอสมควร (เพราะจะคุ้มที่ใช้เวลาติดตามมัน) และdownsideน้อย ถ้าราคาหุ้นยังไม่วิ่งขึ้นจนเกินช่วงราคานั้น ก็ซื้อได้ ซึ่งจะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

คือหุ้นจะถูกหรือจะแพง มันคือการเราวัดมูลค่ามันแล้วเทียบกับราคา ถ้าเรามั่นใจในมูลค่าที่เราหามาได้ จะทำให้เราไม่ลังเลที่จะขาย สับเปลี่ยน หรือซื้อเพิ่มครับ

[romee]

หรือ ตัดใจขายไปมองหาหุ้นตัวอื่นๆ( แพงขึ้นมา อาจไม่ถูกเท่า 10 ตัวแรก) แล้วเข้าซื้อในปริมาณให้เยอะขึ้นเลย
แต่ความเสี่ยงก็อาจมีเพราะตลาดก็ขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้วเหมือนกันครับ

อ่านเผินๆ เหมือนกลัวตกรถ อยากเร่งผลตอบแทนป่ะครับ, จริงๆก็ไม่มีผิด ถูกนะครับ
ตามที่โซรอสบอก ถ้าเราคิดผิด จะเกิดอะไรกับเราบ้าง... ลองคิดเผื่ออีกทางดูก็ได้ครับ

อีกเรื่องคือโจทย์ของ จขกท. มองว่าพอร์ตนี้เพื่อรับปันผล
ถ้าปันผลไม่คุ้ม แถมมูลค่าที่คิดไว้ก็เริ่มใกล้เคียง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเพิ่มนี้ครับ ??

อยากค่อยๆปั้นพอร์ตให้โตครับ แต่ด้วยปริมาณหุ้นที่ถือ 10 ตัว++ (ไม่ได้ focus ตั้งแต่แรกตัวไหนถูกก็ซื้อทิ้งไว้หมดเลย) จะมีวิธีการ แนวทางอย่างไรได้บ้างครับ ณ ตลาดระดับ 1500 จุดแบบนี้

งั้นก็มาโฟกัสหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตก่อนดีกว่าครับ ว่าไอ้10กว่าตัวนี้ ตัวไหนใกล้เต็มมูลค่า จะถือต่อ หรือหาตัวใหม่, น่าจะดีนะครับ

[ส.สลึง]

มาแชร์ไอเดียบ้างฮะ
หลักการที่ผมใช้เสมอ

มั่นใจมากซื้อมาก
มั่นใจน้อยซื้อน้อย

กรณีราคาหุ้นที่ทยอยเก็บจะเพิ่มขึ้น
ถ้ายังเป็นการลงทุนที่ดีอยู่
และมั่นใจมาก
ก็ทยอยเก็บเพิ่ม

แต่ถ้ามั่นใจน้อย
ผมอาจจะเลือกอยู่เฉยๆ

หรือเลือกเอามาชั่งกับหุ้นตัวอื่นในปอด

ถ้าชั่งแล้วหุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า
ผมก็อาจจะเลือกลดน้ำหนักลง
หรือขายไปเลยก็ได้

[durunvo]

1. ประเมินก่อนเสมอว่าเงินที่จะนำไปซื้อหุ้น (ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีอยู่หรือหุ้นใหม่) หุ้นมันมีมูลค่าโดยประมานเท่าไหร่ เช่น ตอบให้ได้ว่ามันยัง ถูกมาก ถูกปานกลาง แพงนิดหน่อย หรือ แพงมาก
2. มันจะขึ้นหรือลงเยอะก็จะไม่เกี่ยวเลย ถ้าหากตอบได้ว่า มันยัง ถูกมาก ถูกปานกลาง แพงนิดหน่อย หรือ แพงมาก

[MAUYREPUS]

ถ้าตั้งเป้าว่าอยากได้ปันผล 5% ขึ้นไป และหุ้นที่ต้องการซื้อเพิ่มคำนวณแล้วว่ายังได้ปันผล 5%+ ก็แปลว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่า ก็ซื้อเพิ่มได้นะครับ

ผมว่ามูลค่ามันมาจากผลตอบแทนที่คาดหวังนะครับ

[VALUEKUN]

เคยอ่านสัมภาษณ์คุณฮง เขาเคยซื้อ PTL ที่ 7.5 บาทไป 30% ของพอร์ต พอหุ้นขึ้นไป 15 บาท ซื้ออีก 70% + Margin อีก 60%

แต่อันนี้เป็นหุ้นคอมโมนะครับ ไม่ได้ซื้อเอาปันผล แต่เป็นเคสที่ตอนได้ยินแล้วประหลาดใจดี ว่าเขาซื้อหุ้นไม้ใหญ่หลังจากราคาขึ้นไปเยอะมากแล้ว (แต่หลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปอีกเยอะเลย กำไรเพียบ)

[picatos]

ถ้าตอบในมุมของ VI ที่ผมเข้าใจ คือ ถ้าหุ้นขึ้น เราจะซื้อเพิ่ม ก็ต่อเมื่อ เราไปศึกษาเหตุผลว่าทำไมมันถึงขึ้น แล้วพบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่ออกมา ที่ทำให้มูลค่าของกิจการเปลี่ยนแปลง สูงขึ้น และทำให้มี upside มากขึ้น

แต่ถ้าไปประเมินมูลค่าแล้วมูลค่าเปลี่ยนจากเดิมไม่มากไปกว่าราคาที่เพิ่มขึ้น แสดงว่า upside น้อยลง การจะไปซื้อเพิ่ม หรือให้น้ำหนักเท่าเดิมหรือมากขึ้น ผมว่าไม่สมเหตุผลในมุมของ VI

ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกเราซื้อหุ้นไปโดยคาดว่ากิจการพยายามขยายตลาดใหม่ หรือมีโครงการอะไรบางอย่างที่ทำอยู่ แต่เรายังไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จไหม แล้วอยู่ๆ วันดีคืนดีหุ้นก็พุ่งขึ้น จากเหตุผลว่ามีคนไปเจาะมาว่า ผลตอบรับดีมากกว่าที่คิด หรือโครงการประสบความสำเร็จ แล้วทำให้มูลค่ากิจการสูงขึ้น แบบนี้ก็อาจซื้อเพิ่มได้ เพราะ upside มีมากขึ้น

ถ้าศึกษาวิธีการประเมินมูลค่ากิจการด้วย DCF จะพบว่ามูลค่ากิจการมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน แม้ปัจจัยต่างๆ จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ดอกเบี้ยเท่าเดิม outlook เหมือนเดิม แค่วันที่ขยับไป 1 วัน ก็ทำให้กระแสเงินสดขยับเข้ามาใกล้ 1 วัน และทำให้มูลค่าสูงขึ้นแล้ว

ดังนั้นถ้าหากเราเป็น vi ตัวจริง ต้องมีความเข้าใจครับ ว่ามูลค่ากิจการไม่ใช่อะไรที่ นิ่งสนิท ตายตัว มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และผลของมูลค่าที่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีส่วนต่างที่มากกว่าราคาที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ทางถึง จะเป็นผลที่ผลักดันให้เราตัดสินใจ ซื้อ/ขาย เพิ่ม/ลด switch หุ้น

ผมคิดว่าการที่จะทะยอยซื้อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจราคา ใช้ได้ในระดับการลงทุนในกองทุน หรือ index fund สำหรับการลงทุนหุ้นรายตัว ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่า 20 ตัวไม่ควรทำการซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆ แบบไม่สนใจราคา

โดยส่วนตัวในการบริหารพอร์ต ผมจะมีทำ valuation ออกมา 3 ค่าใส่เอาไปด้วย คือ worst case, base case และ best case โดยทำการ standardize ออกมาดูเป็น % เพื่อใช้เทียบหุ้นแต่ละตัว ว่ามี upside และ downside ขนาดไหนอยู่ตลอด

เมื่อทำแบบนี้ เวลาเราถือหุ้นตัวหนึ่งเยอะกว่าอีกตัวทั้งๆ ที่ upside เหลือน้อยกว่าอีกตัว เราจะต้องตอบตัวเองเสมอว่า เพราะอะไร ทำไมเราถึงตัดสินใจแบบนี้ แล้วเราจะวางแผนเพิ่มหรือลดสัดส่วนหุ้นตัวนั้นเมื่อไร เรารอดูอะไร เรากังวลเรื่องอะไร เราติดปัญหาอะไร คำถามที่ตามมาเหล่านี้ จะถูกเปลี่ยนเป็นแผนปฏิบัติการต่อไปในที่สุด

[psarapad]

เป็นเหมือนกันครับ..

แต่ตอนนี้คิดกลยุทธ์ใหม่ โดนผสมเรื่องกราฟเข้ามาตัดสินใจ

ถ้าเป็นหุ้นที่เรายังอยากได้ อาจเป็นเพราะว่าซื้อหรือมีอยู่ในพอร์ตน้อยไปหรือคาดการณ์ว่ากำไรจะยังโตอยู่ จะทยอยเข้าไม้เล็กๆแต่ตามแนวรับของกรอบเทรนไลน์ขาขึ้น

ทำอย่างงี้มาซักพักหลายตัวแล้วครับ ต้นทุนของหุ้นหลายตัวก็สูงขึ้น แต่พอร์ตโดยรวมโตเป็นเปอร์เซนต์มากกว่าเดิม เป็นเพราะจำนวนหุ้นที่มากขึ้นจากการซื้อเพิ่ม

อ่อ ก่อนหน้านี้ก็กลัวเพราะกังวลเรื่องปันผล แต่พอเปลี่ยนเป็นแนวคิดนี้ ผมแทบไม่ได้สนใจปันผลเท่าไหร่ คิดว่าถ้าพอร์ตโตมากๆปันผลจะเยอะตามมาเอง