GVREIT
-
- Verified User
- โพสต์: 2607
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 2
คุยกับทางirมานะครับ
-มี2 office คือpark ventureแยกเพลินจิต กับ สาทรสแควร์ Prime areaทั้งคู่
-ราคาตกลงมา40%กว่าๆ ราคาปัจจุบันต่ำกว่าnav,bv, yieldเกือบๆ8%
-occลดลงเล็กน้อยปัจจุบันประมาณ95% , สาเหตุเพราะผู้เช่าขอลดspaceเช่าที่เล็กลงและยังเช่าที่ต่อเหมือนเดิม
-Cash collectionไม่มีปัญหาเก็บกันเดือนต่อเดือนได้ตลอด ลูกค้าที่มีปัญหาเช่นพวกretailก็ให้ส่วดลดกับเค้าและจ่ายค่าเช่ากันได้
-yieldเกือบๆ8%คือการจ่ายปันผลจากการดำเนินงาน90% ไม่ได้มีปันผลพิเศษหรือเอากำไรสะสมมาจ่าย อนาคตก็คาดว่าจะจ่ายได้ต่อเนื่องแบบนี้
-มี2 office คือpark ventureแยกเพลินจิต กับ สาทรสแควร์ Prime areaทั้งคู่
-ราคาตกลงมา40%กว่าๆ ราคาปัจจุบันต่ำกว่าnav,bv, yieldเกือบๆ8%
-occลดลงเล็กน้อยปัจจุบันประมาณ95% , สาเหตุเพราะผู้เช่าขอลดspaceเช่าที่เล็กลงและยังเช่าที่ต่อเหมือนเดิม
-Cash collectionไม่มีปัญหาเก็บกันเดือนต่อเดือนได้ตลอด ลูกค้าที่มีปัญหาเช่นพวกretailก็ให้ส่วดลดกับเค้าและจ่ายค่าเช่ากันได้
-yieldเกือบๆ8%คือการจ่ายปันผลจากการดำเนินงาน90% ไม่ได้มีปันผลพิเศษหรือเอากำไรสะสมมาจ่าย อนาคตก็คาดว่าจะจ่ายได้ต่อเนื่องแบบนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1724
- ผู้ติดตาม: 1
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 3
https://www.ryt9.com/s/iq05/3171143
จากข่าวนี้มีผู้เช่ารายใหญ่ 10 ราย ครบสัญญาปีนี้ ทำเล ผมว่าดีทั้ง 2 แห่ง อายุยังพอมีประมาณเกือบ 20 ปี แต่สถานการณ์แบบนี้ + เทรนด์ WFH มีโอกาสที่ผู้เช่าจะไม่ต่อ แล้วหาผู้เช่าใหม่ไม่ได้ มีท่านใดมีมุมมองต่อข่าวนี้มั้ยครับ
จากข่าวนี้มีผู้เช่ารายใหญ่ 10 ราย ครบสัญญาปีนี้ ทำเล ผมว่าดีทั้ง 2 แห่ง อายุยังพอมีประมาณเกือบ 20 ปี แต่สถานการณ์แบบนี้ + เทรนด์ WFH มีโอกาสที่ผู้เช่าจะไม่ต่อ แล้วหาผู้เช่าใหม่ไม่ได้ มีท่านใดมีมุมมองต่อข่าวนี้มั้ยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 4
ผมมองว่าถ้าจะลงทุน REIT ที่เป็น สนง ให้เช่า ส่วนตัวผมมอง TPRIME น่าลงทุนที่สุดแล้ว
เพราะทำเลตึกที่เป็น FH แถว interchange BTS-MRT อโศก ราคาที่ดินใกล้เคียงกับราคา
Mktcap+หนี้ แถม Yield ช่วงโควิดอยู่ 6% หลังโควิดปี 2023 Yield กลับไป 8% ได้ เพราะ
ค่าเช่า สนง ต่ำกว่าตึกเกรด A ทั่วไป ส่วนตึกที่เป็น LH ยังมีเวลาเหลือ 14 ปี ลองคำนวณ
IRR ดูครับ ว่า TPRIME หรือ GVREIT ตัวไหนสูงกว่ากัน
เพราะทำเลตึกที่เป็น FH แถว interchange BTS-MRT อโศก ราคาที่ดินใกล้เคียงกับราคา
Mktcap+หนี้ แถม Yield ช่วงโควิดอยู่ 6% หลังโควิดปี 2023 Yield กลับไป 8% ได้ เพราะ
ค่าเช่า สนง ต่ำกว่าตึกเกรด A ทั่วไป ส่วนตึกที่เป็น LH ยังมีเวลาเหลือ 14 ปี ลองคำนวณ
IRR ดูครับ ว่า TPRIME หรือ GVREIT ตัวไหนสูงกว่ากัน
-
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 6
1. XN XD เข้าบัญชีออมทรัพย์เดียวกัน
2. ดูงบดุล XD จ่ายจากกำไร ถ้ากำไรสะสมไม่มี ซึ่งมีสาเหตุมาจาก
ด้อยค่าจากการประเมิน จะจ่ายเป็น XN แทน
3. ตลาด สนง ให้เช่า อนาคตไม่สดใส เพราะ supply เพิ่ม แต่ demand
ลด แต่ผมมอง REIT เป็นลูกผสม หุ้นกู้+หุ้น ถ้า yield ราว 4-5% และ
เป็น FH แถมทำเล CBD อนาคตน่ามีคนมาซื้อตึกปิดกอง ให้ผลตอบแทน
ที่ดีได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 9
-
- Verified User
- โพสต์: 2607
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 11
พอทราบไหมครับทำไมปี60-62 ถึงจ่ายปันผลน้อยจัง ดูในset yield .6%-3%soros เขียน: ↑พฤหัสฯ. มิ.ย. 03, 2021 10:03 amผมมองว่าถ้าจะลงทุน REIT ที่เป็น สนง ให้เช่า ส่วนตัวผมมอง TPRIME น่าลงทุนที่สุดแล้ว
เพราะทำเลตึกที่เป็น FH แถว interchange BTS-MRT อโศก ราคาที่ดินใกล้เคียงกับราคา
Mktcap+หนี้ แถม Yield ช่วงโควิดอยู่ 6% หลังโควิดปี 2023 Yield กลับไป 8% ได้ เพราะ
ค่าเช่า สนง ต่ำกว่าตึกเกรด A ทั่วไป ส่วนตึกที่เป็น LH ยังมีเวลาเหลือ 14 ปี ลองคำนวณ
IRR ดูครับ ว่า TPRIME หรือ GVREIT ตัวไหนสูงกว่ากัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2301
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 12
5 ข้อดีสุดๆจากการทำงาน work from home
1. ชุดนอน คือ ชุดทำงานของคุณ
หลายคนเลือกที่จะใส่ชุดนอนแทนชุดทำงาน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะหากคุณต้องทำงาน work from home แบบที่ไม่ต้องการประชุมผ่านวิดีโอ หรือคุณต้องเดินทางไปข้างนอก ชุดนอน = ชุดทำงาน ตอบโจทย์คนขี้เกียจนั่นเอง (แต่ต้องอาบน้ำด้วยนะ)
2. ลดการขัดจังหวะในการทำงาน
เป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน คุณอาจโดนขัดจังหวะในการทำงานจากอุปสรรคหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการต้องเข้าประชุมด่วนกับเจ้านาย ผู้บริหาร หรือแผนกอื่นๆ รวมไปถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอื่นๆอีกมากมาย การ work from home ทำให้คุณเลี่ยงเรื่องดังกล่าวได้ดีทีเดียว จริงๆแล้ว คุณจะทำงานได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
3. ยืดหยุ่นในการทำงาน
การทำงานแบบ work from home ช่วยให้คุณมีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มเติมระหว่างวันมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่ไม่กระทบกับการทำงานหลักๆของคุณ หากคุณสามารถเคลียร์งานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือแพลนและจบงานได้ คุณสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้ เช่น จ่ายค่าสาธารณูปโภค ซื้อของตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงการพักผ่อนอื่นๆ
4. เลือกทำหลายอย่างได้ขณะประชุม
เมื่อการประชุมทางไกลส่วนใหญ่ หลายๆคนเป็นเพียงผู้นั่งฟังเพียงอย่างเดียว คุณสามารถเลือกสลับไปทำงานร่วมกันระหว่างฟังการประชุมด้วยก็ได้ ต้องให้แน่ใจว่าในการประชุมนั้นๆไม่ได้มีเรื่องสำคัญที่คุณควรต้องฟังและมีการตัดสินใจ
5. work from home คือสถานที่คุณอยากทำอะไรก็ทำได้
คุณเคยใช่ไหม ทำงานจนเครียด จนอยากตะโกนออกมาดังๆ ? เปิดเพลงฟังตามใจชอบผ่านลำโพงพร้อมเร่งเสียงตามใจชอบ นี่คือสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้จากการทำงานในออฟฟิศ คุณอาจจะเลือกนั่งทำงานที่โต๊ะหน้าบ้าน ไปจนถึงในห้องนอนก็แล้วแต่คุณ บางคนอาจเลือกห้องครัวเป็นสถานที่ทำงานหลัก เพราะสามารถรับประทานอาหารเมื่อหิวได้ทุกเวลา
5 ข้อเสียจากการทำงานแบบ work from home
1. เหงา และเบื่อ
แม้ว่าจะมีแอพพลิเคชั่นในการทำงานแบบ work from home หลากหลายแบบที่ช่วยให้คุณทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่เชื่อเถอะว่า คุณจะต้องรู้สึกเหงาและเบื่ออย่างแน่นอน เมื่อการเปลี่ยนจากการพักเที่ยงไปหาข้าวกลางวันกินกับเพื่อนๆหรือทักทาย คุยกันระหว่างหรือข้ามแผนก ขอแนะนำให้คุณหาเวลาพักระหว่างการทำงานหรือหลังเลิกงานออกไปข้างนอกเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกดังกล่าว
2. ที่ทำงาน = บ้าน
ถ้าคุณยังจำความรู้สึกเมื่อคุณเสร็จงานและกลับบ้านได้ การ work from home จะไม่มีสิ่งนั้นให้คุณได้รู้สึกอีกต่อไป คุณอาจโดนตามงานนอกเหนือเวลาที่กำหนดไว้ (เพราะทุกคนก็คาดหวังว่าเมื่อทำงานที่บ้าน คุณสามารถเตรียมพร้อมทำงานได้เสมอ ถึงแม้จะอยุ่นอกเหนือเวลางาน) ลองกำหนด to do lists เพื่อบริหารเวลาและทำให้เสร็จในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อนในการทำงานบ้าง
3. บ้าน = ที่ทำงาน
การทำงาน work from home ทำให้คุณต้องทำงานแบบเคร่งครัดตลอดชั่วโมงการทำงาน หลายคนที่อยู่คนเดียวอาจไม่ได้พบแสงเดือนแสงตะวันภายนอกเลยก็มี อย่าลืมให้เวลาตัวเองพักผ่อนบ้าง แบ่งเวลาในการทำงานแบบ 25-5 เมื่อกำหนดตารางการทำงานแล้ว ลองจัดเวลาให้กับตัวเองเป็นช่วง ช่วงละ 30 นาที โดยใช้เทคนิคโพโมโดโร คือ กำหนดว่าทุก ๆ 25 นาที จะต้องพัก 5 นาที เพื่อให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลายไม่เครียดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือ “สายตา” เพราะเราไม่ควรทำงานอยู่หน้าจอตลอดทั้งวัน ต้องมีการพักสายตาจากหน้าจอเป็นระยะ รวมถึงลุกจากเก้าอี้บ่อยๆ เพื่อป้องกันออฟฟิศซินโดรม
4. ไม่มี IT คอยช่วยเหลือตลอดเวลา
ปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนที่ทำงาน work from home คือเรื่องของใช้โปรแกรมต่างๆ (อาทิ แอพลิเคชั่นสำหรับ work from home ในการทำงานหรือประชุมทางไกล) หรือปัญหาการทำงานผ่านระบบ VPN ซึ่งอาจจะเกิดการล่ม ทำให้ไม่สามารถดูข้อมูลส่วนกลางได้นั่นเอง หรือรวมถึงปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ผ่านคอมพิวเตอร์/แล็ปท็อปซึ่งทำให้คุณไม่สามารถทำงานต่อได้นั่นเอง
5. ขาดแรงบันดาลใจ
การทำงานที่บ้าน คุณต้องเจอกับอุปสรรคที่ทำให้คุณขี้เกียจและไม่อยากทำงานหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์เรื่องโปรด เครื่องเกมส์แบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งเตียงนอนที่ชวนให้คุณอยากพักผ่อนตลอด ต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศที่คุณอาจโดนเจ้านายเรียกหรือตามงานอยู่บ่อยๆ การทำงานที่บ้านคุณจะไม่มีคนคอยกระตุ้นการทำงานอย่างแน่นอน นอกเสียจากการโดนตามงานผ่านไลน์หรืออีเมลล์ บางคนถึงขนาดโดนตามงานจากปลายสายโทรศัพท์เลยก็มี
ที่มา : https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e ... kfromhome/
1. ชุดนอน คือ ชุดทำงานของคุณ
หลายคนเลือกที่จะใส่ชุดนอนแทนชุดทำงาน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะหากคุณต้องทำงาน work from home แบบที่ไม่ต้องการประชุมผ่านวิดีโอ หรือคุณต้องเดินทางไปข้างนอก ชุดนอน = ชุดทำงาน ตอบโจทย์คนขี้เกียจนั่นเอง (แต่ต้องอาบน้ำด้วยนะ)
2. ลดการขัดจังหวะในการทำงาน
เป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน คุณอาจโดนขัดจังหวะในการทำงานจากอุปสรรคหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการต้องเข้าประชุมด่วนกับเจ้านาย ผู้บริหาร หรือแผนกอื่นๆ รวมไปถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอื่นๆอีกมากมาย การ work from home ทำให้คุณเลี่ยงเรื่องดังกล่าวได้ดีทีเดียว จริงๆแล้ว คุณจะทำงานได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
3. ยืดหยุ่นในการทำงาน
การทำงานแบบ work from home ช่วยให้คุณมีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มเติมระหว่างวันมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่ไม่กระทบกับการทำงานหลักๆของคุณ หากคุณสามารถเคลียร์งานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือแพลนและจบงานได้ คุณสามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้ เช่น จ่ายค่าสาธารณูปโภค ซื้อของตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงการพักผ่อนอื่นๆ
4. เลือกทำหลายอย่างได้ขณะประชุม
เมื่อการประชุมทางไกลส่วนใหญ่ หลายๆคนเป็นเพียงผู้นั่งฟังเพียงอย่างเดียว คุณสามารถเลือกสลับไปทำงานร่วมกันระหว่างฟังการประชุมด้วยก็ได้ ต้องให้แน่ใจว่าในการประชุมนั้นๆไม่ได้มีเรื่องสำคัญที่คุณควรต้องฟังและมีการตัดสินใจ
5. work from home คือสถานที่คุณอยากทำอะไรก็ทำได้
คุณเคยใช่ไหม ทำงานจนเครียด จนอยากตะโกนออกมาดังๆ ? เปิดเพลงฟังตามใจชอบผ่านลำโพงพร้อมเร่งเสียงตามใจชอบ นี่คือสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้จากการทำงานในออฟฟิศ คุณอาจจะเลือกนั่งทำงานที่โต๊ะหน้าบ้าน ไปจนถึงในห้องนอนก็แล้วแต่คุณ บางคนอาจเลือกห้องครัวเป็นสถานที่ทำงานหลัก เพราะสามารถรับประทานอาหารเมื่อหิวได้ทุกเวลา
5 ข้อเสียจากการทำงานแบบ work from home
1. เหงา และเบื่อ
แม้ว่าจะมีแอพพลิเคชั่นในการทำงานแบบ work from home หลากหลายแบบที่ช่วยให้คุณทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่เชื่อเถอะว่า คุณจะต้องรู้สึกเหงาและเบื่ออย่างแน่นอน เมื่อการเปลี่ยนจากการพักเที่ยงไปหาข้าวกลางวันกินกับเพื่อนๆหรือทักทาย คุยกันระหว่างหรือข้ามแผนก ขอแนะนำให้คุณหาเวลาพักระหว่างการทำงานหรือหลังเลิกงานออกไปข้างนอกเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกดังกล่าว
2. ที่ทำงาน = บ้าน
ถ้าคุณยังจำความรู้สึกเมื่อคุณเสร็จงานและกลับบ้านได้ การ work from home จะไม่มีสิ่งนั้นให้คุณได้รู้สึกอีกต่อไป คุณอาจโดนตามงานนอกเหนือเวลาที่กำหนดไว้ (เพราะทุกคนก็คาดหวังว่าเมื่อทำงานที่บ้าน คุณสามารถเตรียมพร้อมทำงานได้เสมอ ถึงแม้จะอยุ่นอกเหนือเวลางาน) ลองกำหนด to do lists เพื่อบริหารเวลาและทำให้เสร็จในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อนในการทำงานบ้าง
3. บ้าน = ที่ทำงาน
การทำงาน work from home ทำให้คุณต้องทำงานแบบเคร่งครัดตลอดชั่วโมงการทำงาน หลายคนที่อยู่คนเดียวอาจไม่ได้พบแสงเดือนแสงตะวันภายนอกเลยก็มี อย่าลืมให้เวลาตัวเองพักผ่อนบ้าง แบ่งเวลาในการทำงานแบบ 25-5 เมื่อกำหนดตารางการทำงานแล้ว ลองจัดเวลาให้กับตัวเองเป็นช่วง ช่วงละ 30 นาที โดยใช้เทคนิคโพโมโดโร คือ กำหนดว่าทุก ๆ 25 นาที จะต้องพัก 5 นาที เพื่อให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลายไม่เครียดจนเกินไป สิ่งสำคัญคือ “สายตา” เพราะเราไม่ควรทำงานอยู่หน้าจอตลอดทั้งวัน ต้องมีการพักสายตาจากหน้าจอเป็นระยะ รวมถึงลุกจากเก้าอี้บ่อยๆ เพื่อป้องกันออฟฟิศซินโดรม
4. ไม่มี IT คอยช่วยเหลือตลอดเวลา
ปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนที่ทำงาน work from home คือเรื่องของใช้โปรแกรมต่างๆ (อาทิ แอพลิเคชั่นสำหรับ work from home ในการทำงานหรือประชุมทางไกล) หรือปัญหาการทำงานผ่านระบบ VPN ซึ่งอาจจะเกิดการล่ม ทำให้ไม่สามารถดูข้อมูลส่วนกลางได้นั่นเอง หรือรวมถึงปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ผ่านคอมพิวเตอร์/แล็ปท็อปซึ่งทำให้คุณไม่สามารถทำงานต่อได้นั่นเอง
5. ขาดแรงบันดาลใจ
การทำงานที่บ้าน คุณต้องเจอกับอุปสรรคที่ทำให้คุณขี้เกียจและไม่อยากทำงานหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์เรื่องโปรด เครื่องเกมส์แบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งเตียงนอนที่ชวนให้คุณอยากพักผ่อนตลอด ต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศที่คุณอาจโดนเจ้านายเรียกหรือตามงานอยู่บ่อยๆ การทำงานที่บ้านคุณจะไม่มีคนคอยกระตุ้นการทำงานอย่างแน่นอน นอกเสียจากการโดนตามงานผ่านไลน์หรืออีเมลล์ บางคนถึงขนาดโดนตามงานจากปลายสายโทรศัพท์เลยก็มี
ที่มา : https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e ... kfromhome/
-
- Verified User
- โพสต์: 2301
- ผู้ติดตาม: 0
Re: GVREIT
โพสต์ที่ 15
แนบไฟล์