หลังจากที่กระต่ายพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในภาค 3. ความผิดหวังและความอับอายที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ทำให้กระต่ายต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองขนานใหญ่กระต่ายกับเต่า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นิทานอีสบที่มีคนอ้างถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือเรื่องกระต่ายกับเต่า เพราะในแทบทุกเรื่องที่มีการแข่งขันกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจหรือชีวิต หรือการแข่งขันกันของสังคมหรือแม้แต่ในระดับนานาชาติ การเป็น เต่า นั้นมักจะได้รับการสรรเสริญและยอมรับนับถือและเป็นที่น่าทึ่งจากผู้คนจำนวนมาก เหตุคงเป็นเพราะว่าเต่านั้นดูเหมือนจะเป็นรองมากทางด้านสรีระ ดังนั้น การได้ชัยชนะจึงเป็นเรื่องที่มาจากจิตใจล้วน ๆ
เรื่องที่เล่ากันมานานนับพันปีก็คือ เต่าถูกกระต่ายเยาะเย้ยว่าเชื่องช้าจึงท้ากระต่ายแข่งขันวิ่งเข้าเส้นชัย การแข่งขันเริ่มขึ้นจากการที่กระต่ายวิ่งนำเต่าไปมากโขในเวลาอันสั้น แต่หลังจากนำไปมาก กระต่ายก็ชะล่าใจแวะพักและงีบหลับไป พอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอึกทึกของหมู่สัตว์น้อยใหญ่ก็พบว่าเต่ากำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัย กระต่ายพยายามวิ่งตามสุดกำลังแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าขี้เกียจและประมาทก็จะพ่ายแพ้และนำมาซึ่งความผิดหวัง ผู้ที่มุ่งมั่น ขยันและมีความเพียรพยายามจะเป็นผู้ชนะและประสบความสำเร็จ นั่นคือกระต่ายกับเต่าภาคแรกดั้งเดิมที่มีมานาน แต่ในระยะหลังที่โลกของการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปมาก คนพูดกันแต่เรื่องของความเร็วว่าเป็นหัวใจของชัยชนะ นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าก็เลยมีภาคสอง เรื่องมีว่า
หลังจากกระต่ายพ่ายแพ้การแข่งขันในครั้งนั้นซึ่งทำให้เสียหน้าไปมากก็กลับไปคิดทบทวนความผิดพลาดของตนเอง หลังจากนั้นก็กลับไปท้าเต่าแข่งใหม่ เต่ารับคำท้าอย่างมั่นใจเพราะเคยเอาชนะมาแล้ว คราวนี้กระต่ายวิ่งรวดเดียวไม่พักจนถึงเส้นชัยแล้วก็นอนเล่นรอจนเต่าเดินต้วมเตี้ยมมาถึง กระต่ายจึงพูดเยาะเย้ยเต่าว่า ทีหลังอย่ากำแหง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเก่ง มีความขยัน และไม่ประมาท อย่างไรก็ชนะคนที่มีแต่ความเพียรพยายามแต่มีศักยภาพที่จำกัด ดูเหมือนว่าโลกในยุคข้อมูลข่าวสารนั้น หลักฐานมีมากมายว่า กระต่าย กลายเป็นพระเอก เต่า ดูเหมือนว่ากำลังจะตกยุค คนที่ทำอะไรชักช้าไม่มีทางชนะได้ แต่นี่เป็นจริงในทุกเรื่องหรือ? โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุนที่ผมพูดอยู่เสมอว่าเราควรลงทุนแบบ เต่า และนี่นำเราไปสู่ กระต่ายกับเต่าภาคสาม
หลังจากพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการแข่งขันครั้งที่สอง เต่าเองไม่ท้อถอยหมดหวังหมดกำลังใจตามภาษาเต่าที่มีชีวิตอยู่มานานและผ่านช่วงขึ้นและลงของชีวิตมามาก หลังจากคิดทบทวนจุดอ่อนและข้อผิดพลาดของตนอย่างรอบคอบ เต่าก็กลับไปท้ากระต่ายใหม่ คราวนี้เต่าขอเป็นคนกำหนดเส้นทางแข่งขันเองซึ่งกระต่ายก็ยิ้มเยาะรับคำท้าเพราะคิดว่าอย่างไรเสียเต่าก็ไม่มีทางเอาชนะตนเองได้ พอเริ่มการแข่งขัน กระต่ายก็วิ่งอย่างรวดเร็วนำหน้าเต่าไปมาก แต่พอเข้าใกล้เหลือเพียงไม่กี่เมตรก่อนถึงเส้นชัย กระต่ายก็พบกับลำน้ำขวางหน้าวิ่งต่อไปไม่ได้ เต่าเดินตามมาอย่างช้า ๆ จนทันกระต่ายที่ริมฝั่งน้ำและว่ายข้ามลำห้วยถึงเส้นชัยในที่สุด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเอง และมีกลยุทธ์และแผนการที่จะเดินไปตามแนวทางนั้น คุณก็จะเป็นผู้ชนะ ไม่มีใครขวางคุณได้
การเป็นนักลงทุนแบบเต่านั้น ถ้าจะพูดให้ถูกต้องจริง ๆ ก็คือ เราต้องเป็นเต่าภาคสาม นั่นคือ เราจะต้องเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์กติกาเอง อย่าปล่อยให้คนอื่นมาเป็นคนกำหนดกติกา ความหมายก็คือ เราอย่าไปเล่นตามตลาดหรือตามวิธีการเล่นของคนอื่น ตัวอย่างเช่น การTrade หรือซื้อขายหุ้นเป็นประจำนั้น เป็นเกมหรือสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน ถ้าเราทำตามวิธีการนั้นก็แปลว่าเรากำลังเล่นตามกฎเกณฑ์ของคนอื่นซึ่งโอกาสที่เราจะชนะนั้นน้อยเหลือเกินถ้าเราเป็น เต่า ที่ไม่มีความสามารถที่เหนือกว่าในด้านของการ Trade หุ้น
การกำหนดเส้นทางหรือเส้นชัยหรือเป้าหมายในการลงทุนนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าเราเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง โอกาสชนะหรือประสบความสำเร็จก็จะสูงมาก การกำหนดเส้นทางและเป้าหมายของการลงทุนหมายถึงการวางแผนว่าเราจะมีความมั่งคั่งประมาณเท่าไรในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าจะให้ดีควรกำหนดไว้ด้วยว่าตนเองจะ เกษียณ เมื่อไร แต่ไม่ใช่การเกษียณที่กำหนดโดยคนอื่นเช่นนายจ้าง
กำหนดเส้นทางหรือเป้าหมายแล้วก็จะต้องวางกลยุทธ์ที่จะเดินไปให้ถึง กลยุทธ์นั้นจะต้องกำหนดโดยคำนึงถึงความเป็นจริงว่า เราเป็นเต่า ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเต่าที่ขยัน เราก็มีศักยภาพที่จำกัด เราเดินได้ปีละไม่เกิน 15-20 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะเดินได้ปีละ 10-15% น่าจะมีมากกว่า และนี่ก็คือเฉพาะการลงทุนในหุ้น แต่ถ้าลงทุนในตราสารหนี้หรือฝากเงิน เราจะไปช้ากว่า คือน่าจะได้ปีละไม่เกิน 5- 10% ถ้าเปรียบเทียบกับเต่าจริง ๆ ก็คือ การเดินทางในน้ำกับการเดินทางบนบกก็มีความเร็วไม่เหมือนกัน มีความเหน็ดเหนื่อยไม่เท่ากัน นักลงทุน เต่า ที่ไม่รู้หรือไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดนี้และพยายามทำตัวแบบ กระต่าย หรือเดินด้วยอัตราเร่งมากเกินไปอาจจะ เหนื่อยตาย เสียก่อนที่จะถึงเส้นชัย
พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนสไตล์เต่าภาคสามนั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการลงทุนสูง เพราะคุณเป็นคนเลือกที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้คุณได้เปรียบ คุณเลือกได้แม้กระทั่งว่าคุณจะลงทุนเฉพาะหุ้นในกลุ่มไหนที่คุณรู้จักและเข้าใจมันได้ดี ส่วนหุ้นที่คนอื่นเล่นกันและบอกว่าดีแต่คุณไม่เข้าใจ คุณก็จะไม่เล่น ข้อสำคัญมีเพียงว่าคุณต้องจริงใจกับตนเองว่าคุณรู้อะไรจริง ๆ และอะไรที่คุณไม่รู้ อย่าประมาณตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ชัยชนะของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณแต่มันขึ้นอยู่กับการกำหนดกติกาของคุณต่างหาก เพราะฉะนั้น กำหนดกติกาให้ดี เดินไปตามทางนั้น แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณคิด
SWOT Analysis ถูกยกมาเป็นประเด็นหลัก และเมื่อพิจารณาถึงจุดเด่นเรื่องความเร็วก็พบว่าจุดเด่นยังคงเป็นจุดเด่น การที่จะทิ้งจุดเด่นที่ตัวเองมีอยู่เหนือคู่แข่งไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย จุดด้อยต่างหากที่ควรจะทิ้งไปและอะไรหล่ะเป็นจุดด้อย อะไรเป็นโอกาสและภัยคุกคาม
กระต่ายนั่งคิดนอนคิดอยู่นานสองนานก็คิดออกและเป็นที่มาของ กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
กระต่ายกลับไปหาเต่าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อคืนคิดออกแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แค่ copy ความคิดเท่านั้นก็ชนะสบายๆ
แต่อนิจจา......เต่าเรียนรู้แล้วว่า การเล่นในกฏเกณฑ์ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดและจะไม่ยอมเล่นตามกฏของใครทั้งสิ้น
กระต่ายก็ไม่ละความพยายามถึงขั้นทวงบุญคุณว่า ครั้งที่แล้วตนยังยอมเล่นตามกติกาของเต่าเลย ทำไมจะยอมทำตามกฏของตนไม่ได้สักครั้งหละ ก็แฟร์ๆไม่ใช่หรือ
แต่เต่าก็ยังยืนยันเป็นเต่าขาเดียว (โดยไม่สนใจว่าการยืนแบบนี้เป็นลิขสิทธิ์ของกระต่ายเท่านั้นเอง)
ทั้งคู่ทุ่มเถียงกันสามวันสามคืนต่ายกแม่น้ำทั้งห้า ป่าทั้งหก นรกทั้งเจ็ดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติได้ง่ายๆ แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้กลิ่นควันไฟฉุนเฉียวพร้อมกับคลื่นความร้อนมหาศาลที่แผ่มากระทบตัวอย่างรวดเร็ว กระต่ายร้องตะโกนว่า
"ไฟไหม้ป่า !!!!!!!!"
ด้วยความตกใจสุดขีด กระต่ายกระโดดแผล็ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วตามกฎของสัญชาติญาณดั้งเดิม วิ่งได้สักพักก็นึกได้ว่าทิ้งเต่าอยู่เบื้องหลัง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนแม้จะทะเลาะกันบ้างตีกันบ้างแต่ก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานาน
กระต่ายตัดสินใจวิ่งย้อนกลับมาเพื่อจะช่วยเต่า ก็พบเต่ากำลังคลานต้วมเตี้ยมหนีไฟอยู่อย่างเชื่องช้า ซึ่งช่างแตกต่างกันอย่างเหลือเกินกับพญามัจจุราชที่ไล่หลังมาอย่างรวดเร็วกระชั้นชิด กระต่ายถึงกับน้ำตาไหลพรากๆเป็นเผาเต่า(โดยลืมไปเช่นกันว่าการร้องให้แบบนี้เป็นลิขสิทธิ์ของเต่าเท่านั้นเอง)และไม่อาจจะช่วยเหลือเพื่อนรักอย่างไรได้
เต่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก เพื่อนรัก ...เจ้ารีบหนีไปเสียเถิด ไม่ต้องห่วงเราหรอกไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะต้องมาตายกับเราโดยไร้ประโยชน์
เรารู้ตัวแล้วว่าจุดแข็งของเรานั้น คือความอดทนเพราะเรามีกระดองกันร้อนกันหนาวกันแดดกันฝนและสารพัดจะกัน เราขึ้นบกก็ได้ ลงน้ำก็ได้อันนี้เป็นจุดแข็ง ส่วนความเชื่องช้านั้นเป็นผลกระทบมาจากการที่เรามีกระดองและขาสั้นๆ ไม่ใช่จุดเด่นของเราเลย เมื่อมาเจอภัยคุกคามบางอย่างที่โจมตีจุดอ่อนของเราเราจึงต้องลงเอยอย่างนี้ ฮือ.....ๆ....ๆ....ๆ.....
โปรดติดตาม กระต่ายกับเต่า ภาค 5. เร็วๆนี้ครับ