เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 3 เมษายน คุณวิวรรณเขียนบทความเรื่องภาษีความมั่นคั่งได้ชัดเจนมาก ยกตัวอย่างของยุโรปหลายประเทศ เรื่องการลองผิดลองถูก ปรับปรุงปิดช่องว่าง และชี้จุดอ่อนแข็งในเชิงปฏิบัติ
รวมทั้งความพยายามของผู้นำอเมริกันคนปัจจุบัน ที่กำลังเสนอร่างกฎหมายขออนุมัติจากรัฐสภา เก็บภาษีเพิ่มรายได้ของรัฐ โดยเจาะจงที่กลุ่มมหาเศรษฐีซึ่งมีทรัพย์สินมากกว่า 100ล้านเหรียญต่อครอบครัว
ทำไมจึงต้องเจาะจงเก็บภาษีกับกลุ่มคนรวยเท่านั้น?
เหตุผลหนึ่งคือเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินมากกว่าครอบครัวละ100ล้านเหรียญเหล่านี้ มีประมาณ 700 คน พวกเขาโดยเฉลี่ยจ่ายภาษีรายได้ต่อรัฐบาลกลางปีละ 8.2% อัตราภาษีนี้ต่ำเนื่องจากพวกเขามีทักษะในการลงทุน และเลี่ยงการจ่ายภาษีแต่ละปี โดยการผัดผ่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโดนเก็บภาษีมรดกเมื่อเสียชีวิตแล้ว และบางคนก็ยังสามารถที่จะวางแผนรัดกุม ใช้แง่มุมของกฎหมาย ลดภาระหรือหลบเลี่ยงภาษีมรดกได้อีก
เทียบกับชนชั้นกลางชาวอเมริกัน ซึ่งโดยเฉลี่ยจ่ายภาษีมากกว่าพวกเขาหนึ่งเท่า หรือประมาณกว่า 17% ขึ้นไป กลุ่มคนส่วนใหญ่เหล่านี้มีรายได้จากการทำงานและโดนหักเก็บภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งขาดทักษะในการลงทุนหรือการทำบัญชีแบบซับซ้อน
ความเหลื่อมล้ำเพิ่มความตึงเครียดในสังคม
กระแสการเมืองโดยเฉพาะการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เป็นตัวแปรที่สำคัญมาก ประชาชนที่ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ อยากเห็นผู้นำแก้ไขปัญหาปากท้อง พายุเศรษฐกิจช่วงโควิด ซ้ำเติมโดยปัญหาเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพงขึ้นเกือบ 8% ต่อปี และราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงเนื่องจากสงครามในยุโรป
ขณะที่พวกเขากำลังลำบากแต่จ่ายภาษีในอัตราสูงกว่ามหาเศรษฐี และกลุ่มเจ้าสัว700 คนนี้กลับมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นในปีค.ศ. 2021 ถึงหนึ่งล้านล้านเหรียญ เพราะราคาหุ้นและอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นประมาณ 20%
ประธานาธิบดีBidenและทีมงาน เสนอนโยบาย Billionaire Minimum Income Tax (BMIT)ต่อประชาชนในช่วงนี้ เพราะเวลาหาเสียงกำลังเหมาะสม แต่การประชาสัมพันธ์เรื่องการเก็บภาษีนั้นเป็นสิ่งล่อแหลม เพราะหากมีผู้ไม่ประสงค์ดีเปลี่ยนแปลงคำพูด หรือจับเอาบางส่วนมาสร้างความหวาดกลัวให้กับคนส่วนใหญ่ ก็จะทำให้กฏหมายนี้ไม่ผ่านรัฐสภา
บางคนกล่าวหาว่าปธน.Bidenเสนอเรื่องนี้ เพื่อเป็นการหาเสียงเอาใจประชาชนในช่วงหาเสียง ถึงแม้จะรู้ว่าโอกาสในการอนุมัติในรัฐสภาน้อยมาก บางคนคิดว่าถึงแม้จะเสนอเรื่องนี้ชัดเจนอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะไม่เข้าใจอยู่ดี และคิดว่าการขึ้นภาษีถึงแม้จะเจาะจงเป้าหมาย แต่ในที่สุดก็จะกระทบกับทุกคน
BMIT เจาะจงอย่างไร?
ครอบครัวที่มีความมั่งคั่ง เช่นหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ มูลค่าเกินกว่า 100ล้านเหรียญ หากความมั่งคั่งเพิ่มมูลค่าขึ้นเพิ่มขึ้นภายในปีนั้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ขายแปลงเป็นเงินสด จะต้องจ่ายภาษีรายได้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% (หากปัจจุบันจ่าย 15% กฎหมายใหม่จะปรับเพิ่มอีก 5% เป็น 20% และเนื่องจากเป็นภาษีใหม่ มีสิทธิ์กระจายการชำระถึงเก้าปี ส่วนรายได้ใหม่หลังจากกฎหมายนี้ออกมาจะกระจายการชำระได้ห้าปี )
หากซื้อหุ้นมาในราคา 1,000เหรียญเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และปัจจุบันมูลค่าหุ้นขึ้นเป็น 1,800เหรียญ ก็ต้องจ่ายภาษีจาก'กำไร' 800เหรียญ แม้ยังไม่ได้ขายหุ้นนั้น แต่ครอบครัวที่มีความมั่งคั่งต่ำกว่า 100ล้านเหรียญจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดิม คือคำนวณภาษีก็ต่อเมื่อขายหุ้นนั้นแล้ว
เรื่องนี้สำคัญมากเพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่จะตกใจว่า ทุกคนจะโดนเก็บภาษีจากหุ้นที่ตนเองถือไว้ และแม้รัฐบาลจะพยายามอธิบายชัดเจนว่ากฎหมายนี้จะใช้กับผู้ที่มีความมั่งคั่ง 700 คน แต่ข่าวสารในปัจจุบันมีความสับสนได้ง่าย
หากกฎหมายนี้ผ่านในภาคปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่?
มีผู้วิจารณ์หลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะสรรพากรไม่มีทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี ที่จะสามารถคำนวณมูลค่าของความมั่งคั่งได้ใกล้เคียงกับความจริง และจะมีการฟ้องร้องในศาล เพราะมหาเศรษฐีเหล่านี้มีอำนาจการต่อรองทางกฎหมายและมีอิทธิพลในการเมือง อีกทั้งการเก็บภาษีของทรัพย์สินที่เพิ่มมูลค่านั้น เป็นรายได้เข้ารัฐก็จริง แต่ทรัพย์สินก็เปลี่ยนมูลค่าได้ เช่นหากราคาอสังหาริมทรัพย์หรือราคาหุ้นตกลง หมายถึงสรรพากรต้องคืนเงินภาษีให้กับบุคคลเหล่านี้
โอกาสที่กฎหมายนี้จะผ่านเป็นไปได้หรือไม่?
ภายในปีค.ศ. 2022 คงทำไม่ทัน และหากพรรคเดโมแครตรักษาเสียงข้างมากไว้ได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และมีสมาชิกสภาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โอกาสที่จะทำได้สำเร็จในปีงบประมาณ 2023 พอจะมี แต่จะเจออุปสรรคอีกหลายอย่าง และโอกาสที่จะพลาดพลั้งทางการเมืองมีมาก แนวโน้มขณะนี้โอกาสที่เสียงข้างมากจะเปลี่ยนไปเป็นพรรครีพับลิกันนั้นมีความเป็นไปได้สูง หากเสียงข้างมากในสภาเปลี่ยน เรื่องนี้ก็คงจบไป (หากรีพับลิกันได้สภาผู้แทนเพิ่มขึ้นอีกห้าที่นั่ง หรือวุฒิสภาเพิ่มขึ้นหนึ่งที่นั่ง เสียงข้างมากก็เปลี่ยนทันที)
หากกฎหมายนี้ไม่ผ่านสภา จะหารายได้จากที่ไหนมาเข้ารัฐ?
การหาเงินรายได้เข้ารัฐใน 10 ปีข้างหน้าจากกฎหมายนี้ ซึ่งประเมินไว้ที่ 36,000ล้านเหรียญนั้น อาจจะต้องมาจากวิธีการอื่น แม้กฎหมายนี้เป็นเพียงแค่ความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผู้นำที่มีคุณธรรมและความรับผิดชอบ ก็ต้องพยายามสุดความสามารถ หากไม่สำเร็จก็ต้องหาวิธีอื่น ความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ แต่การจ่ายภาษีที่ไม่ยุติธรรมนั้น เป็นอันตรายต่อความมั่นคง การแบ่งปันเป็นการสร้างความมั่นคงระยะยาว เป็นสิ่งที่จะนำมาสู่สันติภาพในโลก
ภาษีความมั่งคั่ง สไตล์อเมริกัน/กฤษฎา บุญเรือง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1