นักลงทุน VI ระยะยาวมากเป็น 10 ปีขึ้นไปนั้น เวลาที่จะลงทุนควรที่จะเลือกตลาดหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไปเช่นเดียวกัน และตลาดหุ้นที่จะมีลักษณะอย่างนั้นได้ก็ควรที่จะอยู่ในประเทศหรือเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตเร็วและจะเติบโตต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 10 ปีเช่นเดียวกัน เพราะเศรษฐกิจที่โตเร็วและมีขนาดใหญ่พอนั้นจะทำให้มูลค่าของตลาดหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเติบโตถึงจุดหนึ่งแล้ว มันก็มักจะเติบโตช้าลงและอาจจะหยุดโตเลย อย่างไรก็ตาม บางประเทศนั้นเนื่องจากโตเร็วมาก เมื่อโตถึงจุดหนึ่งคนก็ร่ำรวยและประเทศกลายเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” แต่บางประเทศก็อาจจะโตไม่เร็วพอจึงเป็นได้แค่ “คนชั้นกลางค่อนข้างดี” แต่ประเทศโตช้าหรือหยุดโตแล้ว ซึ่งในทางวิชาการเรียกว่าเป็น “Middle Income Trap” หรือประเทศที่ติด “กับดักรายได้ชั้นกลาง”
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ระยะเวลาของการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นว่ามันจะโตแค่ไหนและยาวแค่ไหน? มาศึกษาประวัติศาสตร์ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศที่โตเร็วหรือเคยโตเร็วกัน 3 ประเทศคือ ญี่ปุ่น ไทย และเวียตนาม ซึ่งผมพบว่ามีรูปแบบคล้ายคลึงกันมากอย่างไม่น่าเชื่อและดูเหมือนว่าประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศเช่นเกาหลีหรือไต้หวันก็มีพฤติกรรมใกล้เคียงกัน มันคงมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์อยู่แต่ผมศึกษาไม่ไหว
การเติบโตของตลาดหุ้นซึ่งสะท้อนจากการเติบโตของเศรษฐกิจนั้นดูเหมือนว่าจะโตเร็วต่อเนื่องจากวันที่ “เริ่มการพัฒนา” ไปยาวนานถึงประมาณ 40 ปี โดยที่ 20 ปีแรกจะเป็นช่วงโตเร็วมากที่สุด และ 20 ปีหลังจะโตช้าลง บางทีก็ช้าลงมากแต่บางแห่งก็ช้าลงไม่มากขึ้นอยู่กับศักยภาพของคนและระบบการปกครองของประเทศ หลังจาก 40 ปีไปแล้ว เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็จะโตช้าลงมากและบางแห่งก็แทบจะหยุดโตต่อเนื่องไปนาน ประเทศอาจจะกลายเป็น “สังคมคนแก่” ที่ไม่สามารถกลับมาเติบโตได้อีก
ญี่ปุ่นเริ่มต้นการพัฒนาและเริ่มมีตลาดหุ้นในปี 1949 หรือ 4 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงและญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และเริ่มต้นพัฒนาประเทศใหม่ ภายในเวลาประมาณ 22 ปี คือปี 1971 ดัชนีตลาดหุ้นก็เพิ่มขึ้นจาก 100 จุด เป็นประมาณ 2,700 จุด หรือให้ผลตอบแทนปีละ 16.2% แบบทบต้น ถ้ารวมปันผลก็จะประมาณ 18% และถือว่า “ดีสุดยอด” นักลงทุนระยะยาวคงรวยกันทั่วหน้า ช่วง 18 ปีต่อมา ดัชนียังเติบโตขึ้นไปถึงประมาณ 37,000 จุด ในปี 1989 ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 15.7% หรือน้อยกว่าช่วง 20 ปีแรกแค่ 0.5% รวมแล้วตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นปีละ 15.9% หรือรวมปันผลคงจะประมาณ 17-18% เป็นเวลาถึง 40 ปี ญี่ปุ่นในวันนั้นดูเหมือนจะเป็นประเทศ “สุดยอดของโลก” ที่อเมริกา “ตกใจมาก” คล้าย ๆ กับที่ตกใจกับจีนในตอนนี้
หลังจากปีนั้นเป็นเวลาต่อมาอีก 32 ปี ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่องเหลือเพียง 26,847 จุด เมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือเป็นการลดลงเฉลี่ยปีละประมาณ 1% แบบทบต้นทุกปี คนลงทุนไม่ได้อะไรเลย ปันผลน้อยนิดที่ได้ก็ไม่คุ้มกับราคาหุ้นที่ลดลง นี่ก็เป็นเพราะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็แทบจะไม่โตเลยมาน่าจะหลายสิบปีเช่นเดียวกับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมแทบทุกด้านที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ และไม่รู้ว่าจะฟื้นได้อย่างไร สาเหตุก็คงเป็นเพราะคนแก่ตัวลงมากและน่าจะแก่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน
ไทยเริ่มมีตลาดหุ้นในปี 2518 และกำลังเริ่มต้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจโตเฉลี่ยปีละประมาณ 7% โดยที่บางปีโตกว่า 10% ภายในเวลา 22 ปี ถึงสิ้นปี 2539 ดัชนีตลาดหุ้นจาก 100 จุดก็กลายเป็นประมาณ 832 จุด หรือโตแบบทบต้นปีละประมาณ 10.11% ถ้ารวมปันผลก็น่าจะไม่น้อยกว่า 12% ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ “ยอดเยี่ยม” ระดับโลกประเทศหนึ่ง แต่หลังจากนั้นประเทศก็เข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งหรือมีศักยภาพสูงมากอย่างที่เคยคิดว่าจะเป็น “เสือตัวที่ 5” ของเอเชีย
ช่วงเวลาระหว่างสิ้นปี 2539 จนถึงสิ้นปี 2557 เป็นเวลา 18 ปีนั้น แม้ว่าเศรษฐกิจยังเติบโตอยู่แต่ก็โตช้าลงกว่าเดิมมาก การเติบโตน่าจะอยู่ในระดับ 5% และก็ค่อย ๆ ลดลงจนเหลือ 3% ต่อปี พร้อม ๆ กับปัญหามากมายซึ่งรวมถึงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ น้ำท่วมใหญ่ และปัญหาทางการเมืองที่เกิดการขัดแย้งกันระหว่างคนในประเทศและการเกิดรัฐประหารหลายครั้ง นั่นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นโตช้าลงมาก จาก 839 จุดเพิ่มขึ้นเป็นเพียง 1,498 จุด หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 2.82% ต่อปี ในช่วงเวลาถึง 18 ปี รวมแล้ว ในเวลา 40 ปีนับจากวันเปิดตลาด ผลตอบแทนทบต้นเท่ากับ 7% ต่อปี ถ้ารวมปันผลก็ประมาณ 9-10% ไม่เลวเลย
หลังจากสิ้นปี 2557 ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 7 ปีแล้ว เศรษฐกิจถดถอยลงมากโตไม่ถึงปีละ 3% อานิสงค์จากการที่คนไทยแก่ตัวลงมากและผลจากโควิด-19 ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงร้อยกว่าจุดให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 1.5% และดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังติดกับดักชนชั้นกลางอยู่ด้วย
เวียตนามเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเปิดตลาดหุ้นในปี 2000 หรือ 22 ปีมาแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็นประมาณ 1,367 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 12.62% รวมปันผลน่าจะไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี เหนือกว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกันมาก และถ้ามองต่อไปอีก 18 ปีข้างหน้า ดูเหมือนว่าเวียตนามจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก อานิสงค์จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยโดยเฉพาะการลงทุนเพื่อการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศรวมถึงศักยภาพของคนที่ยังเป็นหนุ่มสาวและมีคุณภาพสูง ดังนั้น ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นเวียตนามน่าจะเติบโตขึ้นไปอีกมากอย่างมั่นคงและให้ผลตอบแทนได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 10% แบบทบต้น
วัฏจักรชีวิตของตลาดหุ้นโตเร็ว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
วัฏจักรชีวิตของตลาดหุ้นโตเร็ว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
- Tanukicho
- Verified User
- โพสต์: 215
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วัฏจักรชีวิตของตลาดหุ้นโตเร็ว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
การคำนวนจาก SET index อาจไม่ถูกต้องซะทีเดียวครับ เราควรเปลี่ยนการคำนวณไปใช้ RI index แทนมากกว่า เพราะจะได้รวมปันผล การแตกพาร์ การปันผลหุ้น เข้าไปด้วย จะได้หุ้นตัวเลขที่แท้จริงมากกว่า
“ กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่เมื่อขาย ”
Cr.Richdad
Cr.Richdad
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: วัฏจักรชีวิตของตลาดหุ้นโตเร็ว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
FM 96.5 | รู้ใช้เข้าใจเงิน |วัฏจักรชีวิตของตลาดหุ้นโตเร็ว| 9 พ.ค. 65
คุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://youtu.be/iAwqlUwpsX0?t=1070
คุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://youtu.be/iAwqlUwpsX0?t=1070
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #