สัดส่วนการถือหุ้นในพอร์ท
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 1
สัดส่วนการถือหุ้นในพอร์ท
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับพี่ๆ ผมมีคำถามอยากจะถามว่าพอเวลาเราเข้าลงทุน ในหุ้นเราจะรู้ได้ไงว่าเราต้องถือเท่าไหร่เป็นกี่เปอร์เซ็นของพอร์ทดีครับ บอกคนเห็นบางหุ้นถือ1%ของพอร์ทก็มีอย่างเช่นวอเร็นบัฟเฟตต์
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สัดส่วนการถือหุ้นในพอร์ท
โพสต์ที่ 2
1% ของปู่ จำนวนเงินไม่น้อยครับ
ส่วนตัวผมถือน้ำหนักตามความมั่นใจครับ
มั่นใจแบบไหนก็น่าจะแล้วแต่สถานการณ์
เพราะผมมักจะมโนว่าตัวเองเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก
ชั่งระหว่างหุ้นตัวใหม่กับหุ้นตัวใหม่
หุ้นตัวเก่ากับหุ้นตัวใหม่
และหุ้นตัวเก่ากับหุ้นตัวเก่า แต่...
ก็เน้นความสบายใจด้วย
บางตัวถือมากไป ก็มีอาการนอนไม่หลับ
ผมก็มักจะลดขนาดมันลงมา
บางตัวรู้สึกซื้อน้อยไปก็จะนอนไม่หลับอีก
ผมก็ขายตัวที่มั่นใจน้อยกว่าแล้วทยอยซื้อเพิ่มในวันถัดๆ ไป
บางตัวซื้อมา 30% พอร์ต แต่โตขึ้นมาเป็น 60% พอร์ต
ผมก็กลับไปเงื่อนไขข้างต้น
หลายครั้งผมก็แบ่งขายมันออกไปเพื่อให้นอนหลับ
หรือบางกรณี
ผมก็มีหลับหูหลับตาทนถือและขมตาให้หลับต่อไป
ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้
ผมจะให้ความสำคัญกับตัวกิจการเป็นหลัก
ว่าเราเป็นเจ้าของอะไร
และกลับไปดูมันบ่อยๆ
(พอดีผมเป็นพวกไม่มี target price)
บางครั้งนึกขำ
ก็ลองทำ back test ว่าถ้าเราไม่ปรับพอร์ต
พอร์ตจะโตเท่าไหร่
หลายครั้งผลลัพท์คือได้ผลตอบแทนดีกว่า
แม้ความรู้สึกแรกคือเสียดาย ไม่น่าปรับพอร์ตเลย
แต่..ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้
ผมก็คงยืนยันปรับพอร์ตเหมือนเดิม
เพราะ ณ ตอนนั้นมันมีอะไรกวนใจทำให้ผมนอนไม่หลับครับ
แม้ว่าสิ่งที่กวนใจในอดีต
อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น
ความคิดแบบนี้ผมมองว่ามันคล้ายการเดินทาง
แล้วมีทะเลสาบที่สภาพกลายเป็นน้ำแข็งขวางอยู่
ถ้าผมลุยไปตรงๆ ผมก็อาจจะถึงที่หมายไว
แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาด ผมอาจตายได้
ผมก็จะเลือกเดินอ้อมไปดีกว่า
ช้าแต่ชัวร์ ง่วงก็พักครับ
คุยไปเรื่อยๆ ชักจะเลยประเด็น
ส่วนตัวไม่เคยถือหุ้นเกิน 8 ตัวครับ
ครั้งสุดท้ายคือปี 2008 Hamburger Crisis
หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยถือหุ้นเกิน 8 ตัวอีกเลย
(จำได้ว่าตอนนั้นซื้อสัดส่วนใกล้ๆ กัน
แต่ถือไปซักพัก ระบบชั่งน้ำหนักของผมก็ทำงานอีก)
แม้ผมจะเคย all in มาในอดีต
แต่ตอนนั้นที่ทำคือผมยังทำงานประจำอยู่
พอร์ตเล็ก รู้ตัวว่าถ้าพลาด ยังไงก็ไม่ตายครับ
(ลงทุนมา 19 ปี เคย all in 4 ครั้ง
มีครั้งนึงได้ 50% อีก 3 ครั้ง ได้ครั้งละเด้งครับ)
ผมอาจจะแค่โชคดีที่ไม่เคยพลาดจากการ all in
ให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็คิดว่า ผมก็คง all in เหมือนเดิม
แต่วันนี้ หรือพรุ่งนี้ ไม่ทำแล้วแน่ๆ ครับ
ส่วนตัวคิดว่าสัดส่วนหุ้นในพอร์ตน่าจะแล้วแต่ขนาดพอร์ต
แล้วก็จังหวะโอกาสที่ตัวเราหาได้ด้วย ประกอบๆ กัน
และไม่น่าจะมีผิดหรือถูกนะครับ
ไม่รู้เป็นประโยชน์ไหม รอเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นครับ
ส่วนตัวผมถือน้ำหนักตามความมั่นใจครับ
มั่นใจแบบไหนก็น่าจะแล้วแต่สถานการณ์
เพราะผมมักจะมโนว่าตัวเองเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก
ชั่งระหว่างหุ้นตัวใหม่กับหุ้นตัวใหม่
หุ้นตัวเก่ากับหุ้นตัวใหม่
และหุ้นตัวเก่ากับหุ้นตัวเก่า แต่...
ก็เน้นความสบายใจด้วย
บางตัวถือมากไป ก็มีอาการนอนไม่หลับ
ผมก็มักจะลดขนาดมันลงมา
บางตัวรู้สึกซื้อน้อยไปก็จะนอนไม่หลับอีก
ผมก็ขายตัวที่มั่นใจน้อยกว่าแล้วทยอยซื้อเพิ่มในวันถัดๆ ไป
บางตัวซื้อมา 30% พอร์ต แต่โตขึ้นมาเป็น 60% พอร์ต
ผมก็กลับไปเงื่อนไขข้างต้น
หลายครั้งผมก็แบ่งขายมันออกไปเพื่อให้นอนหลับ
หรือบางกรณี
ผมก็มีหลับหูหลับตาทนถือและขมตาให้หลับต่อไป
ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้
ผมจะให้ความสำคัญกับตัวกิจการเป็นหลัก
ว่าเราเป็นเจ้าของอะไร
และกลับไปดูมันบ่อยๆ
(พอดีผมเป็นพวกไม่มี target price)
บางครั้งนึกขำ
ก็ลองทำ back test ว่าถ้าเราไม่ปรับพอร์ต
พอร์ตจะโตเท่าไหร่
หลายครั้งผลลัพท์คือได้ผลตอบแทนดีกว่า
แม้ความรู้สึกแรกคือเสียดาย ไม่น่าปรับพอร์ตเลย
แต่..ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้
ผมก็คงยืนยันปรับพอร์ตเหมือนเดิม
เพราะ ณ ตอนนั้นมันมีอะไรกวนใจทำให้ผมนอนไม่หลับครับ
แม้ว่าสิ่งที่กวนใจในอดีต
อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น
ความคิดแบบนี้ผมมองว่ามันคล้ายการเดินทาง
แล้วมีทะเลสาบที่สภาพกลายเป็นน้ำแข็งขวางอยู่
ถ้าผมลุยไปตรงๆ ผมก็อาจจะถึงที่หมายไว
แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาด ผมอาจตายได้
ผมก็จะเลือกเดินอ้อมไปดีกว่า
ช้าแต่ชัวร์ ง่วงก็พักครับ
คุยไปเรื่อยๆ ชักจะเลยประเด็น
ส่วนตัวไม่เคยถือหุ้นเกิน 8 ตัวครับ
ครั้งสุดท้ายคือปี 2008 Hamburger Crisis
หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยถือหุ้นเกิน 8 ตัวอีกเลย
(จำได้ว่าตอนนั้นซื้อสัดส่วนใกล้ๆ กัน
แต่ถือไปซักพัก ระบบชั่งน้ำหนักของผมก็ทำงานอีก)
แม้ผมจะเคย all in มาในอดีต
แต่ตอนนั้นที่ทำคือผมยังทำงานประจำอยู่
พอร์ตเล็ก รู้ตัวว่าถ้าพลาด ยังไงก็ไม่ตายครับ
(ลงทุนมา 19 ปี เคย all in 4 ครั้ง
มีครั้งนึงได้ 50% อีก 3 ครั้ง ได้ครั้งละเด้งครับ)
ผมอาจจะแค่โชคดีที่ไม่เคยพลาดจากการ all in
ให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็คิดว่า ผมก็คง all in เหมือนเดิม
แต่วันนี้ หรือพรุ่งนี้ ไม่ทำแล้วแน่ๆ ครับ
ส่วนตัวคิดว่าสัดส่วนหุ้นในพอร์ตน่าจะแล้วแต่ขนาดพอร์ต
แล้วก็จังหวะโอกาสที่ตัวเราหาได้ด้วย ประกอบๆ กัน
และไม่น่าจะมีผิดหรือถูกนะครับ
ไม่รู้เป็นประโยชน์ไหม รอเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นครับ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...