สรุปสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บรรยายในหลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่ 19
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บรรยายในหลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่ 19
โพสต์ที่ 1
เรื่องหลักๆ ที่ ดร. กล่าวคือ ความรู้ที่จำเป็นต่อการลงทุน เรียกว่าเสาหลักการลงทุนหรือVI
อาจารย์แนะนำให้เลือกก่อนว่าไปทางไหน แล้วค่อยหาวิธีทำ ดังนั้นต้องพยายามเลือกให้ถูกต้องก่อน
ถ้ามีทางเลือกมีโอกาสน้อยกว่า 50% ไม่ทำ ส่วนใหญ่ที่เลือกทำคือ ต้องมีโอกาสมากกว่า80%ขึ้นไป
จึงค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่สำคัญสุด ถ้าเลือกผิด ถึงแม้พยายามมากเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
หลักจากเป็นนักเลือก จะทำงานง่ายมาก
ก่อนหน้านี้อาจารย์ไม่ได้เป็นนักเลือก แต่เป็นนักสู้ ซึ่งไม่เหมาะกับเรา ถึงแม้พยายามแค่ไหนก็ตามก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
เช่นการเมือง มีคนมาชวนแต่ไม่เอา เพราะว่า เรารู้ว่าเมื่อก่อนเล่นการเมืองระดับมหาวิทยาลัย เคยลงเลือกตั้งนายกสโมสร ก็ชนะ ทำกิจกรรมต่างๆมากมาย
แต่สมัยนั้นมีแต่ความคิด แต่ทำไม่ได้
ดารา ต้องหล่อ ดูดี พูดไพเราะ เช่น แคนดิเดตนายก อาจเป็นดาราได้ เคยไปแคชมา คนพูดจาเก่ง มีโอกาสชนะเยอะ ต้องวิเคราะห์
ว่าอะไรคือปัจจัยในการแข่งขัน ต้องทุ่มเทถึงชนะ เพราะเรามีความสามารถในการแข่งขัน แต่ถ้าไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ถึง
ทุ่มเทอย่างไรก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้
ในธุรกิจ ความสูง ใหญ่ก็เป็นสิ่งจำเป็น การขึ้นตำแหน่งสูงขึ้นต้องมีคนให้คะแนนคุณ
มนุษย์เป็นผู้นำ ต้องมีผู้ตามที่ยอมรับคุณ (อันนี้จริงเลยครับ) สมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ
ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในSET50 ส่วนใหญ่เป็นคนตัวสูง เพราะยีนเป็นตัวบอก
เรารู้เรื่องยีนซึ่งบอกอะไรเยอะ ถ้าไม่รู้เรื่องยีน ความสามารถในการวิเคราะห์หายไปเยอะเลย
อ่านมนุษย์ อ่านยีน ถึงจะชนะคนอื่น จิตวิทยาล้าสมัยไปแล้ว ต้องเรียนรู้เรื่องยีน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บรรยายในหลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่ 19
โพสต์ที่ 2
เวลาลงทุนต้องมีเสาหลักความรู้ประมาณ 5อย่าง ได้แก่
1. ทฤษฏีการเงินและการลงทุน
2. ประวัติศาสตร์
3. Megatrend
4. Business Model
5. ยีนและจิตวิทยา
1. ทฤษฏีการเงินและการลงทุน เราต้องเรียนรู้
คนเก่งมากๆอาจเรียนรู้จากการปฏิบัติ จริงๆก็ต้องเรียนรู้ทฤษฏีเหมือนกัน
อาจารย์มีพูดเรื่องcornerหุ้นด้วย ระยะสั้นราคาขึ้นกับdemand&supply ดังนั้นจะเห็นPEหุ้นเหล่านี้สูงมาก
เช่นPE 50-60เท่า ก็จะปลอบใจว่าไม่เป็นไร แต่มีgrowth 50% (อาจโตได้ปีเดียว) ยิ่งถ้ามีข่าวว่าจะไปขายที่จีน
ประชากร 1,000ล้านคน เทียบกับไทย 60ล้านคน ไอเดียเริ่มมา ไล่ราคาขึ้นไป แบบนี้เรียกว่าหุ้นนางฟ้า
ถึงจุดนึง cornerแตก เพราะคนเห็นโตมา2-3 ปี
ผลตอบแทนการลงทุนขึ้นกับความเสี่ยง
USเป็นตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูง หุ้นทุกตัว ราคาเหมาะสมคือราคาตลาด ไม่สามารถซื้อถูกขายแพงได้ มีโอกาสแต่ช่วงสั้นๆ
ทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ (EMH) เหมือนหอคอยงาช้าง ไม่มีความจริง
ตลาดหุ้นแข่งขันกันเยอะ และมีราคาเข้ามาเกี่ยวไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้
มีคนตั้งIndex Fund อิงกับ S&P500 ปรากฏว่า กองactiveสู้ไม่ได้เพราะเก็บค่าใช้จ่ายสูงกว่า
เพราะต้องใช้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้น
ตอนหลังมีHedge Fundเอาชนะได้ เพราะยอมรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น
2.ศึกษาประวัติศาสตร์
อยากให้นักลงทุนศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งเกี่ยวกับตลาดหุ้น เศรษฐกิจ เราจะพบว่า ครั้งนึง
GM , Wal-Mart เคยยิ่งใหญ่ติด Nifty-fitty แต่ตอนนี้ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนก่อน
ถ้าดูในประเทศไทย ก่อนต้มยำกุ้ง หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ติดTop10ในSET50 ลำดับต้นๆ
แต่ตอนนี้ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ตลาดหุ้นขึ้นลงตลอดเวลา
เศรษฐกิจเติบโตจะขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในประเทศ
ระบบการเมืองต้องดี ซึ่งระบบทุนนิยมจะช่วยส่งเสริมการทำงาน ดูตัวอย่าง
East Asia (จีนบางส่วน,ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ , เกาหลีเหนือ , ไต้หวัน)
คนส่วนใหญ่ไอคิวดี ซึ่งสิงค์โปร์เคยอยู่และย้ายมาAsian
ส่วนประเทศที่ไอคิวต่ำกว่าทางEast Asia ได้แก่ ประเทศในอินโดไชน่า กัมพูชา ลาว
เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม ถึงแม้อยู่ติดกับไทย จริงๆเขาอยู่ในEast Asia
ระดับไอดีเท่ากับเกาหลี เวียดนามพึ่งเลิกจากสงครามมาตอนดร อยู่ในช่วงวัยรุ่น และเริ่มเปิดประเทศ
เมื่อ30ปีก่อน ตอนนั้นคนรวยที่เวียดนามออกนอกประเทศ ล่องเรือหนีออกไปเป็นล้านคน
30ปีผ่านไป เวียดนามก็สร้างเศรษฐีใหม่ขึ้นมา มีอยู่ 6-7 group ซึ่งเข้ามาทีหลัง ถือเป็นเซเลบจริงๆ
เวียดนามอยู่ติดกับจีน ซึ่งถือเป็นประเทศที่คุณภาพคนดีมาก วัฒนธรรมของเวียดนามมาจากจีน 70%
พระก็เหมือนกับจีน นับถือขงจื้อ เป็นพุทธหินยาน ตอนนี้เศรษฐกิจโตมากจนผลิตไฟเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้
รถไฟฟ้าสร้างมา10ปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ เมื่อก่อนเกาหลีก็เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เกาหลีเจริญเท่าญี่ปุ่นแล้ว
อาจารย์ให้ความเห็นว่า ไม่กี่ปี ตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะใหญ่กว่าไทย ตอนนี้super stockที่เวียดนาม PE 10กว่าเท่า
เริ่มเห็นผู้ชนะ ผู้นำแล้ว ราคาถูก ดังนั้นเข้าเกณฑ์ของอาจารย์ หุ้นดี PEถูก บริษัทมีMoat
3. Megatrend บริษัทที่อยู่ในMegatrend เป็นผู้นำ ราคาหุ้นถูก
จากทฤษฏี Efficient Market ไม่มีวิธีการไหนเอาชนะตลาดหุ้นได้ ราคาหุ้นสะท้อนทุกอย่างแล้ว
แต่ราคาหุ้นในระยะสั้นจะสะท้อนจากdemand&supply ดังนั้นนักลงทุนวีไอไปเลือกหุ้นก็ไม่มีประโยชน์
จริงๆแล้ว ดูตัวอย่างจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ชาร์ลี มังเกอร์ ผลตอบแทนของBRK 20%ต่อปีมาอย่างยาวนาน
ตัวอาจารย์เองก็ทำผลตอบแทนต่อปี ได้ 20กว่า%
ส่วนที่บัฟเฟตต์แนะนำมือใหม่ให้ซื้อETF แทนการลงทุนในหุ้น ถ้าเราไม่มีเวลาศึกษา
อาจารย์แนะนำว่าต้องเลือกตลาดให้ถูกด้วย (นักเลือกมาแล้ว)
US คือสังคมที่เจริญต่อเนื่องมาอย่างยาวนานสุด
ระบบทุนนิยมดีมาก มีพลังของคนคอยผลักดัน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมาตลอด
คนเข้าประเทศมากกว่าคนที่เกิดใหม่
คุณภาพของคน คนทางเอเซียเก่งกว่า (IQ) แต่มีอีกเรื่องคือ EQ,Mindsetก็เป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคนทางEast Asia เช่นคนญี่ปุ่นซึ่งจะมีวัฒนธรรม respectคนที่อาวุโสก่อน ไม่กล้าโต้แย้ง
เชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการก้าวไปข้างหน้าของคนEast Asia
คนยิวได้โนเบิล ไพรซ์ สูงสุดทั้งที่มีประชากรนิดเดียวเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ตัวอย่างคนก่อตั้งFacebook (Meta)
อาจารย์เล่าว่า ญาติไปแต่งกับชาวยิว ซึ่งไม่เก่งมาก แต่ที่บ้านเขา มีความคิดแบบนี้ สังคมก็เป็นแบบนี้ซึ่งไม่มีกรอบอะไรมาบังคับ
เหมือนคนEast Asia หรือ คนUS เด็กๆจะไม่respectเรา ถ้าเราไม่เด่นหรือเก่งพอ
เด็กที่เรียนInter พูดจา(ไม่ค่อยมีหางเสียง) ไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่ และRespectคนเก่ง คนดัง
4.Business นักลงทุนแบบวีไอ ต้องรู้ เพราะเราซื้อธุรกิจ ต้องเข้าใจธุรกิจด้วย
บริษัทไหนมีความสามารถในการแข่งขัน มีปัจจัยในการต่อสู้ ถือว่ามีความแข็งแกร่ง
บริษัทต้องมีmodelที่คนอื่นcopyไม่ได้
เช่นบริษัทเครื่องสำอาง มีหลากหลายชนิดในร้าน คิดว่าดี แต่คนอื่นก็เปิดได้
อาจารย์ไปเดินดูห้างใกล้บ้าน มี5ร้านอยู่ติดๆกันและขายทุกยี่ห้อเหมือนกับบริษัทในSETเลย
เปิดได้ เปิดก่อน ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไป10เด้ง PE100กว่าเท่า ต่อมาModelนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
สุดท้ายก็ไปไม่รอด (เป็นหุ้นนึงในกลุ่มหุ้นนางฟ้า)
ดังนั้น หุ้นretailเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ต้องแยกแยะ (เหมือนกับที่อาจาย์ชาย มโนภาส บอกว่า
นักลงทุนเฉือนกันที่รายละเอียด) เช่น 7-11 ยังอยู่ได้ คู่แข่งเปิดมาแข่งได้ แต่พอถึงจุดนึง ก็อยู่ไม่ได้ (จำได้มีหลายร้าน
ที่เคยเปิดมาแข่ง เช่น AM-PM ตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้ว )
บริษัทที่ขายมือถือ เครื่องกรองน้ำ ความสามารถในการแข่งขันไม่ยั่งยืน เพราะวันนึงมีคนเก่งมาตั้งร้านข้างๆ
จะโตต่อหรือไม่
5.ยีนและจิตวิทยาการลงทุน
ดร.ถือว่าเป็นการพูดเรื่องปรัชญาเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ยีนมนุษย์ และสังคม จากหนังสือ Homo sapien ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะถามว่าศึกษาไปทำไม ดร. มองว่าทุกเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคน และจริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด อะไรจะเกิด เราต้องอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าอธิบายได้ เราก็จะเข้าใจการลงทุนในหุ้น
- ดร. เชื่อว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องยีนมนุษย์ เราจะเข้าใจเรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน” และยีนมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้สถานการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยน
ยกตัวอย่าง คนเจอเสือก็ต้องตกใจ วิ่งทันที ถ้ามัวแต่คิดมากเกินไปว่าจะเอาชนะเสืออย่างไร ก็มีโอกาสเสียชีวิต เหมือนเวลาหุ้นตกหรือมีวิกฤต คนก็จะไม่ทันคิด และต้องเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณก่อน หลายครั้งอย่าทำตามยีน คนอื่น panic เราอย่าไป panic ให้ทำตรงกันข้ามกับยีน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนคนอื่น
การเลือกอุตสาหกรรมที่ลงทุน คือ เลือกอุตสาหกรรมที่ ”เพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอด” ของมนุษย์ได้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิด megatrend
ลองสังเกตดูเวลามีเรื่องการสื่อสารรุ่นใหม่ๆเช่นมือถือมา มี Megatrend มาตลอด
(เปรียบกับเรื่องยีน มนุษย์อ่อนแอ และจะเอาตัวรอดได้ดีจากการรวมกลุ่ม พลังหมู่ การเข้าสังคม และลงทุน
มนุษย์ ที่ไม่ชอบเข้าสังคมจะตายหายจากไป ดังนั้น ยีนที่หลงเหลืออยู่ต่อๆ มาคือยีนที่เก่งการสื่อสาร ยีนต้องการเพื่อน ยีนที่ต้องการการยอมรับ)
ยีนก็มีเรื่องบริจาคด้วย เวลาบริจาคต้องให้คนรับรู้ด้วย
มนุษย์มีimagination แต่สัดว์ส่วนใหญ่ไม่มีimagination มนุษย์กลัวผีแต่สัตว์ เช่น สุนัขไม่กลัวผี
มนุษย์เลยimaginationว่า คลิปโต ซึ่งไม่ใช่เงินเป็นตัวเลขเฉยๆ แต่มีการพูดบ่อยๆใส่สมอง คนก็ยอมรับ และรับรู้ว่า คลิปโตมีค่าขึ้นมา
และท้ายสุดทุกคนก็มีimagination ทำให้เกิดพลังขึ้นมา คุณและทุกคนทำตาม พลังจะเกิด ทุกคนหวังจะรวย
สมัยก่อนคนทำอาชีพต่างๆเช่น ช่างนาฬิกา พอตายไป ลูกหลานก็ไม่ทำต่อ แต่ต่อมาเปิดบริษัท มีการพัฒนาและสืบทอด
สมัยก่อน ขอโทรศัพท์ใช้เวลาขอ7ปี แต่หลังจากเปิดบริษัทโทรศัพท์ ใช้เวลาแค่1วันในการติดตั้ง
ผู้เขียนSapien เข้าใจการเมืองด้วยการวิเคราะห์ด้วยยีน มีข้อสรุปอีกอย่างคือ ยีนเหมือนกันทั้งโลก
แล้วในเมื่อ ยีนเหมือนกันหมด สิ่งที่ทำให้เราเกิดความแตกต่างคืออะไร?
คำตอบคือ “รายได้” เพราะเป็นตัวบอกว่าคุณสามารถใช้บริการอะไร สินค้าอะไร ท่องเที่ยวไปไหนมาไหนได้หรือไม่ หรือซื้อของแพงได้มั้ย และรายได้ก็มีความสามารถในการเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง รายได้เพิ่มเร็ว ก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นตอในการเกิด Megatrend นั่นก็คือ อุตสาหกรรมที่โตต่อเนื่อง/ยาวนาน/ราคาไม่แพง/sustain ถ้าเจอธุรกิจไหนเป็นแบบนี้ ก็เป็น superstock
มีหลายธุรกิจที่สุดท้ายไม่รู้เป็นอย่างไร เช่น ธุรกิจโรงหนัง คาบเกี่ยวกับ การแข่งกันที่บรรยากาศ
พาแฟนไปดูหนัง ไม่สามารถทดแทนด้วยการพาไปดูNetflix เพราะคนต้องการเผยแพร่เผ่าพันธ์
โดยสรุป หุ้นโรงหนัง LongTerm จะโตได้แค่ไหน วันนึงจะถูกdisruptไหม
บางช่วงกำไรดี แต่อาจเป็นกำไรชั่วคราว (ตอนขาย SF ออกไป ถือว่าเป็น one time)
จริงๆถ้าอยากประสบความสำเร็จเราต้องวิเคราะห์
บางคนบอกว่าความรัก ไม่สนใจเงินทอง ถ้าความรักหายไป ชีวิตจะมีความสุขไหม
ถ้าชีวิตต้องกัดก้อนเกลือกิน ก็ไม่สามารถใช้ได้
การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ บางคนจะดูอีกฝ่ายว่ามีบัญชีเงินฝากอยู่เท่าไหร่
ความรักเป็นเรื่องชั่วคราว อย่าเอามาเป็นประเด็นใหญ่
เพื่อนลูกอาจารย์ เวลาเลือก เจอคนอ้วนก็ไม่เลือก จริงๆแล้วเรื่องอ้วนเป็นเรื่องชั่วคราว
สามารถทำให้ผอมลงได้
สรุป
การเลือก เป็นfactorที่ทำให้สำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นอาจารย์พอเปลี่ยนมาเป็นนักเลือกตอน
อายุ40กว่าปี ก็สบายขึ้น เลือกธุรกิจไม่กี่ตัวลงทุน ไม่ได้ซื้อ ขายหุ้นมาหลายปี
ตัดสินใจแล้วต้องมั่นใจ และ ถือหุ้นSuper Stock5-6ตัวยาวๆ อาจมีตามสถานการณ์นิดหน่อย
เมื่อก่อนเราอาจเห็นว่าหุ้นโรงพยาบาล หุ้นห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือมีราคาแพง
เมื่อคนมีรายได้เพิ่ม โรงพยาบาลก็ต้องมีเพิ่ม คนก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.ซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนในเวียดนาม ซึ่งเวียดนามโตเร็วมาก ถึงตอนนี้ตกมา ก็กำลังจะซื้อเพิ่ม
ทั้งนี้ การเป็น megatrend ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เพราะมันต้องมี super หรือผู้ชนะ
เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ (เปรียบกับเรื่องยีน คนเราก็แข่งกันมาตั้งแต่ยังเป็น sperm โอกาสชนะก็มีเพียงหนึ่งเดียว)
ความฝันของอาจารย์
นักเรียนที่มาเรียนกับอาจารย์บางคนเอาไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม แล้วรวย
โคตรคุ้มที่จ่ายแค่สองหมื่นกว่าบาท แล้วจุดประกายการลงทุน และเปลี่ยนชีวิตได้
1. ทฤษฏีการเงินและการลงทุน
2. ประวัติศาสตร์
3. Megatrend
4. Business Model
5. ยีนและจิตวิทยา
1. ทฤษฏีการเงินและการลงทุน เราต้องเรียนรู้
คนเก่งมากๆอาจเรียนรู้จากการปฏิบัติ จริงๆก็ต้องเรียนรู้ทฤษฏีเหมือนกัน
อาจารย์มีพูดเรื่องcornerหุ้นด้วย ระยะสั้นราคาขึ้นกับdemand&supply ดังนั้นจะเห็นPEหุ้นเหล่านี้สูงมาก
เช่นPE 50-60เท่า ก็จะปลอบใจว่าไม่เป็นไร แต่มีgrowth 50% (อาจโตได้ปีเดียว) ยิ่งถ้ามีข่าวว่าจะไปขายที่จีน
ประชากร 1,000ล้านคน เทียบกับไทย 60ล้านคน ไอเดียเริ่มมา ไล่ราคาขึ้นไป แบบนี้เรียกว่าหุ้นนางฟ้า
ถึงจุดนึง cornerแตก เพราะคนเห็นโตมา2-3 ปี
ผลตอบแทนการลงทุนขึ้นกับความเสี่ยง
USเป็นตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูง หุ้นทุกตัว ราคาเหมาะสมคือราคาตลาด ไม่สามารถซื้อถูกขายแพงได้ มีโอกาสแต่ช่วงสั้นๆ
ทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ (EMH) เหมือนหอคอยงาช้าง ไม่มีความจริง
ตลาดหุ้นแข่งขันกันเยอะ และมีราคาเข้ามาเกี่ยวไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้
มีคนตั้งIndex Fund อิงกับ S&P500 ปรากฏว่า กองactiveสู้ไม่ได้เพราะเก็บค่าใช้จ่ายสูงกว่า
เพราะต้องใช้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้น
ตอนหลังมีHedge Fundเอาชนะได้ เพราะยอมรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น
2.ศึกษาประวัติศาสตร์
อยากให้นักลงทุนศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งเกี่ยวกับตลาดหุ้น เศรษฐกิจ เราจะพบว่า ครั้งนึง
GM , Wal-Mart เคยยิ่งใหญ่ติด Nifty-fitty แต่ตอนนี้ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนก่อน
ถ้าดูในประเทศไทย ก่อนต้มยำกุ้ง หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ติดTop10ในSET50 ลำดับต้นๆ
แต่ตอนนี้ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ตลาดหุ้นขึ้นลงตลอดเวลา
เศรษฐกิจเติบโตจะขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในประเทศ
ระบบการเมืองต้องดี ซึ่งระบบทุนนิยมจะช่วยส่งเสริมการทำงาน ดูตัวอย่าง
East Asia (จีนบางส่วน,ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ , เกาหลีเหนือ , ไต้หวัน)
คนส่วนใหญ่ไอคิวดี ซึ่งสิงค์โปร์เคยอยู่และย้ายมาAsian
ส่วนประเทศที่ไอคิวต่ำกว่าทางEast Asia ได้แก่ ประเทศในอินโดไชน่า กัมพูชา ลาว
เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม ถึงแม้อยู่ติดกับไทย จริงๆเขาอยู่ในEast Asia
ระดับไอดีเท่ากับเกาหลี เวียดนามพึ่งเลิกจากสงครามมาตอนดร อยู่ในช่วงวัยรุ่น และเริ่มเปิดประเทศ
เมื่อ30ปีก่อน ตอนนั้นคนรวยที่เวียดนามออกนอกประเทศ ล่องเรือหนีออกไปเป็นล้านคน
30ปีผ่านไป เวียดนามก็สร้างเศรษฐีใหม่ขึ้นมา มีอยู่ 6-7 group ซึ่งเข้ามาทีหลัง ถือเป็นเซเลบจริงๆ
เวียดนามอยู่ติดกับจีน ซึ่งถือเป็นประเทศที่คุณภาพคนดีมาก วัฒนธรรมของเวียดนามมาจากจีน 70%
พระก็เหมือนกับจีน นับถือขงจื้อ เป็นพุทธหินยาน ตอนนี้เศรษฐกิจโตมากจนผลิตไฟเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้
รถไฟฟ้าสร้างมา10ปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ เมื่อก่อนเกาหลีก็เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เกาหลีเจริญเท่าญี่ปุ่นแล้ว
อาจารย์ให้ความเห็นว่า ไม่กี่ปี ตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะใหญ่กว่าไทย ตอนนี้super stockที่เวียดนาม PE 10กว่าเท่า
เริ่มเห็นผู้ชนะ ผู้นำแล้ว ราคาถูก ดังนั้นเข้าเกณฑ์ของอาจารย์ หุ้นดี PEถูก บริษัทมีMoat
3. Megatrend บริษัทที่อยู่ในMegatrend เป็นผู้นำ ราคาหุ้นถูก
จากทฤษฏี Efficient Market ไม่มีวิธีการไหนเอาชนะตลาดหุ้นได้ ราคาหุ้นสะท้อนทุกอย่างแล้ว
แต่ราคาหุ้นในระยะสั้นจะสะท้อนจากdemand&supply ดังนั้นนักลงทุนวีไอไปเลือกหุ้นก็ไม่มีประโยชน์
จริงๆแล้ว ดูตัวอย่างจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ชาร์ลี มังเกอร์ ผลตอบแทนของBRK 20%ต่อปีมาอย่างยาวนาน
ตัวอาจารย์เองก็ทำผลตอบแทนต่อปี ได้ 20กว่า%
ส่วนที่บัฟเฟตต์แนะนำมือใหม่ให้ซื้อETF แทนการลงทุนในหุ้น ถ้าเราไม่มีเวลาศึกษา
อาจารย์แนะนำว่าต้องเลือกตลาดให้ถูกด้วย (นักเลือกมาแล้ว)
US คือสังคมที่เจริญต่อเนื่องมาอย่างยาวนานสุด
ระบบทุนนิยมดีมาก มีพลังของคนคอยผลักดัน ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมาตลอด
คนเข้าประเทศมากกว่าคนที่เกิดใหม่
คุณภาพของคน คนทางเอเซียเก่งกว่า (IQ) แต่มีอีกเรื่องคือ EQ,Mindsetก็เป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคนทางEast Asia เช่นคนญี่ปุ่นซึ่งจะมีวัฒนธรรม respectคนที่อาวุโสก่อน ไม่กล้าโต้แย้ง
เชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการก้าวไปข้างหน้าของคนEast Asia
คนยิวได้โนเบิล ไพรซ์ สูงสุดทั้งที่มีประชากรนิดเดียวเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ตัวอย่างคนก่อตั้งFacebook (Meta)
อาจารย์เล่าว่า ญาติไปแต่งกับชาวยิว ซึ่งไม่เก่งมาก แต่ที่บ้านเขา มีความคิดแบบนี้ สังคมก็เป็นแบบนี้ซึ่งไม่มีกรอบอะไรมาบังคับ
เหมือนคนEast Asia หรือ คนUS เด็กๆจะไม่respectเรา ถ้าเราไม่เด่นหรือเก่งพอ
เด็กที่เรียนInter พูดจา(ไม่ค่อยมีหางเสียง) ไม่ค่อยฟังผู้ใหญ่ และRespectคนเก่ง คนดัง
4.Business นักลงทุนแบบวีไอ ต้องรู้ เพราะเราซื้อธุรกิจ ต้องเข้าใจธุรกิจด้วย
บริษัทไหนมีความสามารถในการแข่งขัน มีปัจจัยในการต่อสู้ ถือว่ามีความแข็งแกร่ง
บริษัทต้องมีmodelที่คนอื่นcopyไม่ได้
เช่นบริษัทเครื่องสำอาง มีหลากหลายชนิดในร้าน คิดว่าดี แต่คนอื่นก็เปิดได้
อาจารย์ไปเดินดูห้างใกล้บ้าน มี5ร้านอยู่ติดๆกันและขายทุกยี่ห้อเหมือนกับบริษัทในSETเลย
เปิดได้ เปิดก่อน ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไป10เด้ง PE100กว่าเท่า ต่อมาModelนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
สุดท้ายก็ไปไม่รอด (เป็นหุ้นนึงในกลุ่มหุ้นนางฟ้า)
ดังนั้น หุ้นretailเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ต้องแยกแยะ (เหมือนกับที่อาจาย์ชาย มโนภาส บอกว่า
นักลงทุนเฉือนกันที่รายละเอียด) เช่น 7-11 ยังอยู่ได้ คู่แข่งเปิดมาแข่งได้ แต่พอถึงจุดนึง ก็อยู่ไม่ได้ (จำได้มีหลายร้าน
ที่เคยเปิดมาแข่ง เช่น AM-PM ตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้ว )
บริษัทที่ขายมือถือ เครื่องกรองน้ำ ความสามารถในการแข่งขันไม่ยั่งยืน เพราะวันนึงมีคนเก่งมาตั้งร้านข้างๆ
จะโตต่อหรือไม่
5.ยีนและจิตวิทยาการลงทุน
ดร.ถือว่าเป็นการพูดเรื่องปรัชญาเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ยีนมนุษย์ และสังคม จากหนังสือ Homo sapien ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะถามว่าศึกษาไปทำไม ดร. มองว่าทุกเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคน และจริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด อะไรจะเกิด เราต้องอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าอธิบายได้ เราก็จะเข้าใจการลงทุนในหุ้น
- ดร. เชื่อว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องยีนมนุษย์ เราจะเข้าใจเรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน” และยีนมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้สถานการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยน
ยกตัวอย่าง คนเจอเสือก็ต้องตกใจ วิ่งทันที ถ้ามัวแต่คิดมากเกินไปว่าจะเอาชนะเสืออย่างไร ก็มีโอกาสเสียชีวิต เหมือนเวลาหุ้นตกหรือมีวิกฤต คนก็จะไม่ทันคิด และต้องเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณก่อน หลายครั้งอย่าทำตามยีน คนอื่น panic เราอย่าไป panic ให้ทำตรงกันข้ามกับยีน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนคนอื่น
การเลือกอุตสาหกรรมที่ลงทุน คือ เลือกอุตสาหกรรมที่ ”เพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอด” ของมนุษย์ได้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิด megatrend
ลองสังเกตดูเวลามีเรื่องการสื่อสารรุ่นใหม่ๆเช่นมือถือมา มี Megatrend มาตลอด
(เปรียบกับเรื่องยีน มนุษย์อ่อนแอ และจะเอาตัวรอดได้ดีจากการรวมกลุ่ม พลังหมู่ การเข้าสังคม และลงทุน
มนุษย์ ที่ไม่ชอบเข้าสังคมจะตายหายจากไป ดังนั้น ยีนที่หลงเหลืออยู่ต่อๆ มาคือยีนที่เก่งการสื่อสาร ยีนต้องการเพื่อน ยีนที่ต้องการการยอมรับ)
ยีนก็มีเรื่องบริจาคด้วย เวลาบริจาคต้องให้คนรับรู้ด้วย
มนุษย์มีimagination แต่สัดว์ส่วนใหญ่ไม่มีimagination มนุษย์กลัวผีแต่สัตว์ เช่น สุนัขไม่กลัวผี
มนุษย์เลยimaginationว่า คลิปโต ซึ่งไม่ใช่เงินเป็นตัวเลขเฉยๆ แต่มีการพูดบ่อยๆใส่สมอง คนก็ยอมรับ และรับรู้ว่า คลิปโตมีค่าขึ้นมา
และท้ายสุดทุกคนก็มีimagination ทำให้เกิดพลังขึ้นมา คุณและทุกคนทำตาม พลังจะเกิด ทุกคนหวังจะรวย
สมัยก่อนคนทำอาชีพต่างๆเช่น ช่างนาฬิกา พอตายไป ลูกหลานก็ไม่ทำต่อ แต่ต่อมาเปิดบริษัท มีการพัฒนาและสืบทอด
สมัยก่อน ขอโทรศัพท์ใช้เวลาขอ7ปี แต่หลังจากเปิดบริษัทโทรศัพท์ ใช้เวลาแค่1วันในการติดตั้ง
ผู้เขียนSapien เข้าใจการเมืองด้วยการวิเคราะห์ด้วยยีน มีข้อสรุปอีกอย่างคือ ยีนเหมือนกันทั้งโลก
แล้วในเมื่อ ยีนเหมือนกันหมด สิ่งที่ทำให้เราเกิดความแตกต่างคืออะไร?
คำตอบคือ “รายได้” เพราะเป็นตัวบอกว่าคุณสามารถใช้บริการอะไร สินค้าอะไร ท่องเที่ยวไปไหนมาไหนได้หรือไม่ หรือซื้อของแพงได้มั้ย และรายได้ก็มีความสามารถในการเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง รายได้เพิ่มเร็ว ก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นตอในการเกิด Megatrend นั่นก็คือ อุตสาหกรรมที่โตต่อเนื่อง/ยาวนาน/ราคาไม่แพง/sustain ถ้าเจอธุรกิจไหนเป็นแบบนี้ ก็เป็น superstock
มีหลายธุรกิจที่สุดท้ายไม่รู้เป็นอย่างไร เช่น ธุรกิจโรงหนัง คาบเกี่ยวกับ การแข่งกันที่บรรยากาศ
พาแฟนไปดูหนัง ไม่สามารถทดแทนด้วยการพาไปดูNetflix เพราะคนต้องการเผยแพร่เผ่าพันธ์
โดยสรุป หุ้นโรงหนัง LongTerm จะโตได้แค่ไหน วันนึงจะถูกdisruptไหม
บางช่วงกำไรดี แต่อาจเป็นกำไรชั่วคราว (ตอนขาย SF ออกไป ถือว่าเป็น one time)
จริงๆถ้าอยากประสบความสำเร็จเราต้องวิเคราะห์
บางคนบอกว่าความรัก ไม่สนใจเงินทอง ถ้าความรักหายไป ชีวิตจะมีความสุขไหม
ถ้าชีวิตต้องกัดก้อนเกลือกิน ก็ไม่สามารถใช้ได้
การแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่ บางคนจะดูอีกฝ่ายว่ามีบัญชีเงินฝากอยู่เท่าไหร่
ความรักเป็นเรื่องชั่วคราว อย่าเอามาเป็นประเด็นใหญ่
เพื่อนลูกอาจารย์ เวลาเลือก เจอคนอ้วนก็ไม่เลือก จริงๆแล้วเรื่องอ้วนเป็นเรื่องชั่วคราว
สามารถทำให้ผอมลงได้
สรุป
การเลือก เป็นfactorที่ทำให้สำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นอาจารย์พอเปลี่ยนมาเป็นนักเลือกตอน
อายุ40กว่าปี ก็สบายขึ้น เลือกธุรกิจไม่กี่ตัวลงทุน ไม่ได้ซื้อ ขายหุ้นมาหลายปี
ตัดสินใจแล้วต้องมั่นใจ และ ถือหุ้นSuper Stock5-6ตัวยาวๆ อาจมีตามสถานการณ์นิดหน่อย
เมื่อก่อนเราอาจเห็นว่าหุ้นโรงพยาบาล หุ้นห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือมีราคาแพง
เมื่อคนมีรายได้เพิ่ม โรงพยาบาลก็ต้องมีเพิ่ม คนก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.ซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนในเวียดนาม ซึ่งเวียดนามโตเร็วมาก ถึงตอนนี้ตกมา ก็กำลังจะซื้อเพิ่ม
ทั้งนี้ การเป็น megatrend ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เพราะมันต้องมี super หรือผู้ชนะ
เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ (เปรียบกับเรื่องยีน คนเราก็แข่งกันมาตั้งแต่ยังเป็น sperm โอกาสชนะก็มีเพียงหนึ่งเดียว)
ความฝันของอาจารย์
นักเรียนที่มาเรียนกับอาจารย์บางคนเอาไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม แล้วรวย
โคตรคุ้มที่จ่ายแค่สองหมื่นกว่าบาท แล้วจุดประกายการลงทุน และเปลี่ยนชีวิตได้