คำแนะนำจากประธานชมรม

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 31

โพสต์

หุ้นควรตกครับ เพราะมีการปรับโครงสร้างหลักๆ เปลี่ยนจากกลุ่มหนึ่งมีอำนาจ กลายมาเป็นอีกกลุ่มมีอำนาจ ทั้งในเรื่องการเงิน ค่าเงิน และอื่นๆ

สรุปคือนโยบายเปลี่ยน

และต้องมีการปรับตัว ทำให้เกิดการหยุดชะงัก ก่อน

แค่นี้ก็ตกแล้วครับ

โดยเฉพาะต่างประเทศ ถ้าคุณฉัตรชัย ถือหุ้นที่ ประเทศ xxx ซึ่งเป็นประชาธิปไตย ซัก 30000 ล้านบาท

อยู่ดีๆ มีปฎิวัติ แล้วอะไรๆ ก็ต้องไปฟังนโยบายใหม่ คุณฉัตรชัย จะวางใจเหรอ หรือว่า ถอนออกมาก่อนซะหน่อยนึง แล้วค่อยประเมิณกันใหม่
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ผมคงไม่ถอนก่อน  แต่จะฟังนโยบายก่อนครับ  แล้วค่อยพิจารณาว่าถอนหรือไม่ถอน

เพราะถอนมาหน่อยหนึ่ง  แล้วจะส่งผลดีหรือเสียต่อพอร์ตโดยรวมของผมละครับ  ในเมื่อปริมาณมันแค่หน่อยหนึ่ง

และถ้าถอนออกมามาก  แล้วเหตุการณ์ไม่แย่อย่างที่คิด  ผมก็เสียผลประโยชน์  อีกทั้งผมคิดว่าบริษัทที่ผมลงทุนคงมีพื้นฐานที่ดีพอที่จะรับผลกระทบได้มากพอควร
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 1

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 33

โพสต์

อย่าง wg ผมก็ว่าไม่น่าจะถอนนะ

ที่บอกว่าให้ล้างพอร์ท เป็นเสมือนนโยบาย ที่คิดว่าแนวโน้ม 1-2 ปี ไม่ดีครับ

แต่จะล้างแค่ไหน วันไหน อย่างไรเป็นอีกเรื่อง

ส่วนคนที่มองว่าดี ดีมาก ขึ้นแน่ ก็ซื้อเพิ่มไปเถิด แล้วก็ยัง เสียดาย แทนคนไม่ซื้อ ตกรถ

เสียใจแทนคนขายหมู 555

ก็ดูกันต่อไปครับ

ใครผิดใครถูก อย่าลืมทำเป็นบทเรียนไว้คราวหน้าด้วยครับ

สมัยนี้ดี มีเว็บบอร์ด เก็บข้อมูลไว้ สัก 10 ปี กลับมาอ่าน คงจะมันส์พิลึก
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 34

โพสต์

อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้มี TFEX นะครับ
ทำให้กองทุนต่างชาติมีวิธีการลดความเสี่ยงที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
กองทุนต่างชาติเอง ก็มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน
บางกองก็ลงทุนยาว บางกองก็เก็งกำไรส่วนต่างค่าเงิน

ถ้าผมเป็นกองทุนต่างชาติที่ลงทุนยาวนะครับ
และผมมี port ลงทุนในไทย 30,000 ล้าน
ส่วนใหญ่อยู่ใน SET50

ผมไม่ขายหรอกครับ

ผมจะ short SET50 เดือนธันวา 2006
ในสัดส่วนประมาณ 10% ของ port

แล้วผมจะรอดูนโยบาย ว่าเข้าตาหรือเปล่า
ถ้าไม่เข้าตา ก็ปิดพอร์ทครับ

ไม่ว่าตอนนั้นหุ้นจะขึ้นหรือลงไปจากวันที่ผม short
เงินที่ผมได้ก็จะใกล้เคียงกับตอน short มากๆ
เพราะถ้าหุ้นกำไร tfex ก็ขาดทุน
ถ้าหุ้นขาดทุน tfex ก็กำไร

แต่ถ้านโยบายใหม่เข้าท่า
ผมก็ปิดสัญญา short ทั้งหมด
ถ้าหุ้นตอนนั้นขึ้นไปเยอะ ก็ขาดทุนส่วนต่าง short
แต่กำไรจากหุ้น ก็ offset กันไป

ถ้าหุ้นตอนนั้นลงไปมาก ก็จะกำไร TFEX เยอะ
ก็เอาเงินกำไรไปซื้อหุ้นเพิ่ม

ผลคือ ใช้เงินลงทุนเท่าเดิม (30,000 ล้าน)
แต่ได้หุ้นมากขึ้นเยอะ (เพราะได้ซื้อเพิ่มจากหุ้นตก)




ต่อไป ถ้าผมเป็นกองทุนเก็งกำไรค่าเงิน
ผมดูแล้ว thai ตอนนี้ vulnerable ก็จริง
แต่บาทสะท้อนไปแล้วจากวันแรกที่ไป 37.9

ผมมองอีกว่า อสังหาสหรัฐฯ อาการไม่ดีมาก
สุดท้าย ต้องมีการลดดอกเบี้ย ขายพันธบัตร
ลดการถือครอง USD

โดยรวม ถือว่า บาทน่าจะยังแข็งกว่า USD ในกรอบ 3 เดือน

ผมก็เข้าซื้อหุ้นใน SET50 อย่างบ้าคลั่งเลยครับ
ในขณะเดียวกันก็ short TFEX ไปด้วย
ในอัตราส่วนราวๆ 10% ของการซื้อหุ้น

ผลคือ เมื่อ TFEX expires
ถ้าหุ้นลงแรงมากจากจุดที่ซื้อ
เช่นจาก 700 ไปจบที่ 640
ผมจะขาดทุนหุ้น กำไร TFEX
net ออกมาแล้ว ไม่ได้ไม่เสีย

หรือจาก 700 ไปจบ 800
ผมก็จะขาดทุน TFEX กำไรหุ้น
net ออกมาแล้ว ไม่ได้ไม่เสียเช่นกัน

แต่ถ้าบาทต่อ usd ตอนนั้นเป็น 36
ผมจะกำไรส่วนต่างจาก 37.50 (เฉลี่ยซื้อ)
กับ 36.00 (เฉลี่ยขาย)
คิดเป็นกำไร 3-4% ในช่วง 3-4 เดือน

เทียบกับการถือครอง usd แล้วปล่อยให้มันลง
กำไรเห็นๆ


เป็นไปได้ไหมครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 35

โพสต์

แล้วมูลค่าการซื้อขาย TFEX มีมากเพียงพอรองรับไหมครับ  พี่ CK
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 36

โพสต์

แล้วมูลค่าการซื้อขาย TFEX มีมากเพียงพอรองรับไหมครับ  พี่ CK
มีครับ ตอนนี้มี market maker แล้วสามเจ้า
ถ้าลูกค้าโทรมาขอให้ quote ราคา
เป็นหน้าที่ของ market makers ที่จะต้องเสนอราคา
ทั้งด้านซื้อและด้านขายพร้อมกัน (มี spread ได้)

เรื่อง 10% ผมพูดคร่าวๆ นะครับ

ในความเป็นจริง จะคิดจาก beta ของพอร์ท
เทียบกับ leverage ของ TFEX

เช่น ถ้า SET50 อยู่ที่ 490
พอร์ทลงทุนหุ้น 490 ล้านบาท
beta = 1.00 พอดี
การ short จะต้อง short ในมูลค่า 490 ล้านบาท
ซึ่ง ก็คือประมาณ 1,000 สัญญา
ซึ่งวางเงินแค่ 50 ล้านบาท (~10% ของมูลค่า)

แต่ถ้า beta เป็นแค่ 0.50
ก็ short ราวๆ 500 สัญญา

โดยหลักการก็ประมาณนี้ครับ


ถ้ามาดู open interest หรือสัญญาเปิดสถานะ
รวม U กับ Z ก็เกือบ 4 พันสัญญาแล้ว สูงขึ้นมาก
เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้
แสดงว่ามีคนที่ short และ long ไว้มากพอควร

ส่วน volume ทุกวันนี้ ก็ trade กันวันละหลายพันแล้วครับ
CK
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 9795
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 37

โพสต์

เสริมสุดท้าย :lol:

ผมไม่ได้บอกว่าต่างชาติกำลังทำแบบนี้นะครับ
ผมพูดถึงความเป็นไปได้ในด้านหนึ่ง
prin
Verified User
โพสต์: 133
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ผมคิดว่าปกติกองทุนเค้าทำอยู่แล้วครับ แต่ทำไปพร้อมกับจัดสัดส่วนกลุ่มหลักทรัพย์ในพอร์ต ตั้งแต่เริ่มลงทุน ตั้งแต่บ้านเรายังไม่มี TFLEX
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ขอบคุณพี่ CK ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
khun_parinya
Verified User
โพสต์: 176
ผู้ติดตาม: 0

คำแนะนำจากประธานชมรม

โพสต์ที่ 40

โพสต์

ผมก็บอกแล้วไง

ผมอ่านรายใหญ่ก่อน อ่านว่ารายใหญ่จะมองว่ารายย่อยคงเทขาย

แล้วผมก็มองรายย่อยต่อ แล้วก็คิดว่ารายย่อยซึ่งขี้ตกใจจะเทขาย

แล้วก็กลับมามองรายใหญ่ว่าสุดท้ายรายใหญ่จะลงไปรอซื้อไม้สุดท้ายข้างล่าง

เห็นด้วยครับว่า ตัวที่มันพื้นฐานดี มันไม่ลงมาให้ซื้อซักตัวเดียวเลย พับผ่าสิ

แต่เห็นนะ ว่าตัวที่เจ้ามือคุมอยู่ ยังเอาไม่อยู่เลย ต้องถอน BID ออกทุกชั้นเลย ดึงเงินกลับ กลัวได้หุ้นมาเต็มมือจนไม่มีเงินสดไว้คุมหุ้นน่ะ  :lol: