ช่างไม้
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 1
บ้านก็มีหลากหลายลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามชนชั้นของผู้อยู่อาศัย ช่างจะต้องเข้าใจถึงบ้านที่ตนเองจะสร้างว่าเป็นแบบใด สำหรับชนชั้นใด จึงจะสามารถสร้างบ้านขึ้นจากแบบที่ร่างไว้
นายช่างใหญ่ต้องเข้าใจถึงบ้านในรูปแบบต่างๆซึ่งครอบคลุมถึงอาคารและวัดวาอาราม ตลอดจนพระราชวัง เข้าใจถึงหลักโครงสร้างสถาปัตยกรรม และรูปแบบของอาคารสถานที่ต่างๆที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ละชนชั้น เพื่อที่จะสามารถควบคุมใช้งานช่างไม้ให้สร้างบ้านได้ตามแบบแผนที่วางไว้
งานบ้านเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกและแยกแยะไม้ ไม้ตรงเรียบสวยงามแข็งแรงเหมาะกับงานเสาด้านนอก ไม้ตรงเรียบแต่มีตำหนิเล็กน้อยสามารถใช้เป็นเสาภายในและขื่อคาน ....สำหรับไม้เนื้ออ่อนที่ไม่แข็งแรงนักแต่เรียบงาม สามารถใช้เป็นผนังและกรอบประตู ไม้ที่แข็งแรงแต่ไม่สวยงามก็สามารถใช้ผูกเป็นนั่งร้านเพื่อการก่อสร้าง แม้แต่ไม้ที่ดูไม่สวยงามและเปราะบางก็สามารถใช้เป็นเชื้อฟืน
นายช่างใหญ่จะต้องรู้ถึงขีดความสามารถของช่างลูกมือที่มีอยู่ เพื่อที่จะมอบหมายงานที่เหมาะสมและตรงกับงานที่ถนัด ช่างบางคนอาจถนัดในการทำห้องโถง บ้างอาจถนัดทำประตู บานเลื่อน บ้างอาจถนัดทำผนังเพดาน ช่างฝีมือรองลงมาก็จะทำงานเป็นลูกมือ ช่วยงานในการทำส่วนประกอบต่างๆ สำหรับเด็กใหม่ก็รับมอบหมายงานถากเหลาและตบแต่งไม้ถือเป็นการฝึกฝนฝีมือให้มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น
ในขณะสร้างงานนายช่างใหญ่ก็จะต้องสามารถควบคุมงานต่างๆให้เป็นไปตามขั้นตอน ลดความสับสนอลหม่าน เข้าใจถึงข้อจำกัดของช่างลูกมือแต่ละคน รู้จักการกระตุ้นสร้างขวัญและกำลังใจเมื่อถึงยามที่จำเป็น
วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับช่างไม้จะต้องพกพากล่องเครื่องมือติดตัวไปทุกที่ หมั่นรักษาเครื่องไม้เครื่องมือให้คมกริบอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามว่างก็ต้องหมั่นสร้างงานชิ้นเล็กๆอันเป็นหนทางการฝึกฝนฝีมือ และสร้างความคุ้นเคยเชี่ยวชาญกับเครื่องมือแต่ละอย่าง....
วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับ Value Investor คืออะไร
นายช่างใหญ่ต้องเข้าใจถึงบ้านในรูปแบบต่างๆซึ่งครอบคลุมถึงอาคารและวัดวาอาราม ตลอดจนพระราชวัง เข้าใจถึงหลักโครงสร้างสถาปัตยกรรม และรูปแบบของอาคารสถานที่ต่างๆที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่ละชนชั้น เพื่อที่จะสามารถควบคุมใช้งานช่างไม้ให้สร้างบ้านได้ตามแบบแผนที่วางไว้
งานบ้านเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกและแยกแยะไม้ ไม้ตรงเรียบสวยงามแข็งแรงเหมาะกับงานเสาด้านนอก ไม้ตรงเรียบแต่มีตำหนิเล็กน้อยสามารถใช้เป็นเสาภายในและขื่อคาน ....สำหรับไม้เนื้ออ่อนที่ไม่แข็งแรงนักแต่เรียบงาม สามารถใช้เป็นผนังและกรอบประตู ไม้ที่แข็งแรงแต่ไม่สวยงามก็สามารถใช้ผูกเป็นนั่งร้านเพื่อการก่อสร้าง แม้แต่ไม้ที่ดูไม่สวยงามและเปราะบางก็สามารถใช้เป็นเชื้อฟืน
นายช่างใหญ่จะต้องรู้ถึงขีดความสามารถของช่างลูกมือที่มีอยู่ เพื่อที่จะมอบหมายงานที่เหมาะสมและตรงกับงานที่ถนัด ช่างบางคนอาจถนัดในการทำห้องโถง บ้างอาจถนัดทำประตู บานเลื่อน บ้างอาจถนัดทำผนังเพดาน ช่างฝีมือรองลงมาก็จะทำงานเป็นลูกมือ ช่วยงานในการทำส่วนประกอบต่างๆ สำหรับเด็กใหม่ก็รับมอบหมายงานถากเหลาและตบแต่งไม้ถือเป็นการฝึกฝนฝีมือให้มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น
ในขณะสร้างงานนายช่างใหญ่ก็จะต้องสามารถควบคุมงานต่างๆให้เป็นไปตามขั้นตอน ลดความสับสนอลหม่าน เข้าใจถึงข้อจำกัดของช่างลูกมือแต่ละคน รู้จักการกระตุ้นสร้างขวัญและกำลังใจเมื่อถึงยามที่จำเป็น
วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับช่างไม้จะต้องพกพากล่องเครื่องมือติดตัวไปทุกที่ หมั่นรักษาเครื่องไม้เครื่องมือให้คมกริบอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามว่างก็ต้องหมั่นสร้างงานชิ้นเล็กๆอันเป็นหนทางการฝึกฝนฝีมือ และสร้างความคุ้นเคยเชี่ยวชาญกับเครื่องมือแต่ละอย่าง....
วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับ Value Investor คืออะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ช่างไม้
โพสต์ที่ 2
"วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับช่างไม้จะต้องพกพากล่องเครื่องมือติดตัวไปทุกที่ หมั่นรักษาเครื่องไม้เครื่องมือให้คมกริบอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามว่างก็ต้องหมั่นสร้างงานชิ้นเล็กๆอันเป็นหนทางการฝึกฝนฝีมือ และสร้างความคุ้นเคยเชี่ยวชาญกับเครื่องมือแต่ละอย่าง...."ไม่บังอาจ เขียน:
ช่างบางคนอาจถนัดในการทำห้องโถง บ้างอาจถนัดทำประตู บานเลื่อน บ้างอาจถนัดทำผนังเพดาน ช่างฝีมือรองลงมาก็จะทำงานเป็นลูกมือ ช่วยงานในการทำส่วนประกอบต่างๆ สำหรับเด็กใหม่ก็รับมอบหมายงานถากเหลาและตบแต่งไม้ถือเป็นการฝึกฝนฝีมือให้มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น
ในขณะสร้างงานนายช่างใหญ่ก็จะต้องสามารถควบคุมงานต่างๆให้เป็นไปตามขั้นตอน ลดความสับสนอลหม่าน เข้าใจถึงข้อจำกัดของช่างลูกมือแต่ละคน รู้จักการกระตุ้นสร้างขวัญและกำลังใจเมื่อถึงยามที่จำเป็น
วิถีแห่งกลยุทธ์สำหรับช่างไม้จะต้องพกพากล่องเครื่องมือติดตัวไปทุกที่ หมั่นรักษาเครื่องไม้เครื่องมือให้คมกริบอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามว่างก็ต้องหมั่นสร้างงานชิ้นเล็กๆอันเป็นหนทางการฝึกฝนฝีมือ และสร้างความคุ้นเคยเชี่ยวชาญกับเครื่องมือแต่ละอย่าง....
ขอบคุณครับ อ่านแล้วชอบจัง....
อุปมาได้ดีครับ ไม่รู้มาก่อนว่าช่างไม้กับช่าง........ทุกวันนี้มีส่วนคล้ายกันมากอย่างไม่น่าเชื่อ
บังเอิญจริงๆ อยากเล่านิดหนึ่ง......มีใครอยากฟังหรือปล่าวไม่รู้.....ผมพกพา "ตามรอย วอเร็น บัฟเฟตต์" แปลจาก How Buffet does it ติดตัวไปทุกที่ ผมลับวิชาวีไอโดย เห็นธุรกิจอะไรตามข้างถนน เราก็คิดมูลค่าที่แท้จริงของมันเสร็จสัพ ยามว่างก็หาธุรกิจซื้อมาขายไปเล็กๆ ทำฝึกฝนกรณีจริงๆ มารู้ทีหลังว่าเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า ทำให้ผมเริ่มคุ้นเคยกับเครื่องมือวีไอหลายๆอย่าง แต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่างอย่างเลย.........ฝากตัวด้วยครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 4
ผมว่าแนว VI เน้นความเรียบง่ายนะครับ
วิเคราะห์ตัวเลขก็ใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดา ถ้าให้ดี ดร.บอกว่าสามารถคิดในใจได้ด้วยซ้ำ
วิเคราะห์ธุรกิจก็เลือกตัวที่เข้าใจได้ง่าย คาดการณ์ได้ง่าย
พระในนิกายเซนรูปหนึ่งพายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาอาจารย์ที่อยู่บนภูเขาสูงลิบแห่งหนึ่ง เรือนั้นเป็นเครื่องมือที่จะพาไปสู่เป้าหมาย เมื่อพายไปถึงฝั่งแล้ว พระรูปนั้นก็จอดเรือแล้วใช้เท้าเดินทางปีนเขาขึ้นไปหาอาจารย์ ท่านไม่เห็นจะแบกเรือ(เครื่องมือ) ขึ้นไปด้วยสักหน่อย
นั่นเป็นเรื่องในอดีต
ถ้าปัจจุบันก็
" ซิม " แล้วก็ทำตาซึ้งให้แฟนหนุ่ม
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งให้แฟนสาวเช่นกัน
" ซิม " ทำตาซึ้งอีก
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งอีกเช่นกัน
" ซิม " ทำตาซึ้งอีกหละ
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งหวานยิ่งกว่าอีกนะ
" ซิม "
" เปิ้ล "
" ซิม "
" เปิ้ล "
เริ่มถี่ขึ้น เร็วขึ้น
" ซิม "
" เปิ้ล "
" ซิม "
" เปิ้ล "
เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วยังกับม้าควบ
โอ๊ย........อะไรกันนักกันหนา
อ๋อ.........ซิมเปิ้ล นี่เอง.....
วิเคราะห์ตัวเลขก็ใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดา ถ้าให้ดี ดร.บอกว่าสามารถคิดในใจได้ด้วยซ้ำ
วิเคราะห์ธุรกิจก็เลือกตัวที่เข้าใจได้ง่าย คาดการณ์ได้ง่าย
พระในนิกายเซนรูปหนึ่งพายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาอาจารย์ที่อยู่บนภูเขาสูงลิบแห่งหนึ่ง เรือนั้นเป็นเครื่องมือที่จะพาไปสู่เป้าหมาย เมื่อพายไปถึงฝั่งแล้ว พระรูปนั้นก็จอดเรือแล้วใช้เท้าเดินทางปีนเขาขึ้นไปหาอาจารย์ ท่านไม่เห็นจะแบกเรือ(เครื่องมือ) ขึ้นไปด้วยสักหน่อย
นั่นเป็นเรื่องในอดีต
ถ้าปัจจุบันก็
" ซิม " แล้วก็ทำตาซึ้งให้แฟนหนุ่ม
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งให้แฟนสาวเช่นกัน
" ซิม " ทำตาซึ้งอีก
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งอีกเช่นกัน
" ซิม " ทำตาซึ้งอีกหละ
" เปิ้ล " ทำตาซึ้งหวานยิ่งกว่าอีกนะ
" ซิม "
" เปิ้ล "
" ซิม "
" เปิ้ล "
เริ่มถี่ขึ้น เร็วขึ้น
" ซิม "
" เปิ้ล "
" ซิม "
" เปิ้ล "
เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วยังกับม้าควบ
โอ๊ย........อะไรกันนักกันหนา
อ๋อ.........ซิมเปิ้ล นี่เอง.....
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 5
เรื่องที่ท่านสามัญชนเล่ามานั้นมีค่ายิ่ง
"พระในนิกายเซนรูปหนึ่งพายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาอาจารย์ที่อยู่บนภูเขาสูงลิบแห่งหนึ่ง เรือนั้นเป็นเครื่องมือที่จะพาไปสู่เป้าหมาย เมื่อพายไปถึงฝั่งแล้ว พระรูปนั้นก็จอดเรือแล้วใช้เท้าเดินทางปีนเขาขึ้นไปหาอาจารย์ ท่านไม่เห็นจะแบกเรือ(เครื่องมือ) ขึ้นไปด้วยสักหน่อย"
เครื่องมือนั้น ควรจะถูกหล่อหลอมให้เป็นกระบี่ใจ แต่มือใหม่ทั้งหลายกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ คงต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าเครื่องมือนั้นมีอะไรบ้าง จึงอยากให้ท่านทั้งหลายช่วยแถลงไข
อีกเรื่องหนึ่ง
ทุกสรรพสิ่งมีทั้งจังหวะของการรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม กลยุทธ์ก็เป็นเช่นสิ่งอื่นที่มีจังหวะอันหลากหลาย
Value investor ให้ความสำคัญกับจังหวะมากน้อยเพียงใด จังหวะของแต่ละท่านที่เรียนรู้และฝึกฝนจากการกรำศึกมานานคืออะไร
เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะจังหวะที่เหมาะสมออกจากจังหวะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่
โดยส่วนตัวของผม หากไม่เรียนรู้ถึงจังหวะย่อมไม่อาจบรรลุถึงกลยุทธ์ และที่สำคัญมีเพียงการฝึกฝนเท่านั้น ที่เป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ถึงจังหวะของกลยุทธ์
แต่ปัญญาก็มีอยู่น้อยนิด จึงไม่อาจไขความลับเหล่านี้ได้ ใช่ว่าจะมาลอกเลียน หรือล้วงความลับ เพียงแต่ต้องการขจัดความสงสัยในบางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อจะได้ฝึกฝนตนเองต่อไป
ปล. บางครั้งเราก็รีบร้อนเกินไป อยากจะรู้ว่าหุ้นตัวไหนดี ตัวไหนเลว โดยลืมการฝึกฝนวิธีคิดของการลงทุนไปเสีย มันก็น่าเสียดาย ถ้าผ่านไปเนินนานหลายปี แล้วเพิ่งตาสว่างว่า เราไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย เวลาที่เสียไปช่วยให้เรารู้แต่เพียงว่า หุ้นตัวไหนทำอะไร จะโตไหม ทำไมไม่โต เหมือนเที่ยวชมสวน และรู้ว่าในสวนนั้นมีดอกอะไร กลิ่นหอมแค่ไหน
"พระในนิกายเซนรูปหนึ่งพายเรือไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาอาจารย์ที่อยู่บนภูเขาสูงลิบแห่งหนึ่ง เรือนั้นเป็นเครื่องมือที่จะพาไปสู่เป้าหมาย เมื่อพายไปถึงฝั่งแล้ว พระรูปนั้นก็จอดเรือแล้วใช้เท้าเดินทางปีนเขาขึ้นไปหาอาจารย์ ท่านไม่เห็นจะแบกเรือ(เครื่องมือ) ขึ้นไปด้วยสักหน่อย"
เครื่องมือนั้น ควรจะถูกหล่อหลอมให้เป็นกระบี่ใจ แต่มือใหม่ทั้งหลายกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ คงต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าเครื่องมือนั้นมีอะไรบ้าง จึงอยากให้ท่านทั้งหลายช่วยแถลงไข
อีกเรื่องหนึ่ง
ทุกสรรพสิ่งมีทั้งจังหวะของการรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม กลยุทธ์ก็เป็นเช่นสิ่งอื่นที่มีจังหวะอันหลากหลาย
Value investor ให้ความสำคัญกับจังหวะมากน้อยเพียงใด จังหวะของแต่ละท่านที่เรียนรู้และฝึกฝนจากการกรำศึกมานานคืออะไร
เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะจังหวะที่เหมาะสมออกจากจังหวะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่
โดยส่วนตัวของผม หากไม่เรียนรู้ถึงจังหวะย่อมไม่อาจบรรลุถึงกลยุทธ์ และที่สำคัญมีเพียงการฝึกฝนเท่านั้น ที่เป็นวิถีแห่งการเรียนรู้ถึงจังหวะของกลยุทธ์
แต่ปัญญาก็มีอยู่น้อยนิด จึงไม่อาจไขความลับเหล่านี้ได้ ใช่ว่าจะมาลอกเลียน หรือล้วงความลับ เพียงแต่ต้องการขจัดความสงสัยในบางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อจะได้ฝึกฝนตนเองต่อไป
ปล. บางครั้งเราก็รีบร้อนเกินไป อยากจะรู้ว่าหุ้นตัวไหนดี ตัวไหนเลว โดยลืมการฝึกฝนวิธีคิดของการลงทุนไปเสีย มันก็น่าเสียดาย ถ้าผ่านไปเนินนานหลายปี แล้วเพิ่งตาสว่างว่า เราไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย เวลาที่เสียไปช่วยให้เรารู้แต่เพียงว่า หุ้นตัวไหนทำอะไร จะโตไหม ทำไมไม่โต เหมือนเที่ยวชมสวน และรู้ว่าในสวนนั้นมีดอกอะไร กลิ่นหอมแค่ไหน
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 6
เครื่องมือที่ผมชอบประกอบไปด้วย
ก. วิเคราะห์ภาวะการแข่งขันด้วยพลังทั้งห้าของ Porter
1. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
2. โอกาสในการเข้ามาของรายใหม่
3. สินค้าทดแทน
4. อำนาจต่อรองกับลูกค้า
5. อำนาจต่อรองกับผู้ป้อนวัตถุ
ข. วิเคราะห์โดย SWOT
1. S
2. W
3. O
4. T
ค. วิเคราะห์ตามแนวคิดของบัฟเฟตต์
ว่าเป็น ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือไม่
ประเด็นในการตรวจสอบหุ้น 10 ข้อของวอร์เรน
1.ROE สูง
2.ROA สูง
3.ประวัติการทำกำไรที่ดีเยี่ยม
4.มีหนี้สินน้อยๆ
5.สินค้าหรือบริการมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
6.ไม่มีปัญหาที่เกิดจากสหภาพแรงงาน
7.บริษัทสามารถปรับสินค้าหรือบริการตามสภาวะเงินเฟ้อได้
8.ต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม
9.บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนจากตลาดได้
10.กำไรสะสมสามารถทำให้มูลค่าตลาดสูงขึ้นได้
ง. วิเคราะห์ราคาที่น่าลงทุน
1. P/E
2. P/B
3. DIV
จ. ประเด็นอื่น ๆ เช่นความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร
ฉ. แนวโน้มเศรษฐกิจ วัฏจักรธุรกิจ
ช. เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ก. วิเคราะห์ภาวะการแข่งขันด้วยพลังทั้งห้าของ Porter
1. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
2. โอกาสในการเข้ามาของรายใหม่
3. สินค้าทดแทน
4. อำนาจต่อรองกับลูกค้า
5. อำนาจต่อรองกับผู้ป้อนวัตถุ
ข. วิเคราะห์โดย SWOT
1. S
2. W
3. O
4. T
ค. วิเคราะห์ตามแนวคิดของบัฟเฟตต์
ว่าเป็น ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือไม่
ประเด็นในการตรวจสอบหุ้น 10 ข้อของวอร์เรน
1.ROE สูง
2.ROA สูง
3.ประวัติการทำกำไรที่ดีเยี่ยม
4.มีหนี้สินน้อยๆ
5.สินค้าหรือบริการมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
6.ไม่มีปัญหาที่เกิดจากสหภาพแรงงาน
7.บริษัทสามารถปรับสินค้าหรือบริการตามสภาวะเงินเฟ้อได้
8.ต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม
9.บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนจากตลาดได้
10.กำไรสะสมสามารถทำให้มูลค่าตลาดสูงขึ้นได้
ง. วิเคราะห์ราคาที่น่าลงทุน
1. P/E
2. P/B
3. DIV
จ. ประเด็นอื่น ๆ เช่นความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร
ฉ. แนวโน้มเศรษฐกิจ วัฏจักรธุรกิจ
ช. เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 7
เรื่องจังหวะในการลงทุนนั้น เพื่อนๆแสดงความเห็นไว้น่าสนใจทีเดียวครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 7%CB%C7%D0
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 7%CB%C7%D0
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- เพื่อน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1832
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 9
ผมมีลูกน้องเป็นช่างไม้ครับ(เอาของจริงมาเปรียบเทียบซะเลย... :lol: )
ตัวหัวหน้าช่าง เป็นคนเก่งที่สุด ซื้อเครื่องมือไว้เยอะ เก็บอย่างดี ได้ค่าแรงมากกว่าช่างคนอื่นๆ.....แต่มีปัญหา หนี้สินล้นตัว ไม่ระวังเรื่องค่าใช้จ่าย ภรรยาติดการพนัน อายุก็มากแล้วแต่ก็ยังขยันมีลูกเล็กๆ ตัวเองก็ทำท่าจะมีกิ๊ก ลูกสาวคนโตหนีตามผู้ชาย ผ่านไป1ปีก็กลับมาให้ช่วยเลี้ยงหลานอีก.....ผมไม่เห็นอนาคตของเค้าเลยจริงๆครับ ทุกวันนี้ติดหนี้บริษัทเพิ่มชึ้นเรื่อยๆ และดูท่าทางจะไม่สนใจคืนหนี้ให้บริษัทสักเท่าไหร่เลย
สรุปว่า เครื่องมือจะดีแค่ใหน ถ้ายังไม่รู้จักควบคุมตัวเองและสภาพแวดล้อม......... ต่อให้เก่งมีเครื่องมือดี ก็มีโอกาสน้อยในการเติบโตครับ
ตัวหัวหน้าช่าง เป็นคนเก่งที่สุด ซื้อเครื่องมือไว้เยอะ เก็บอย่างดี ได้ค่าแรงมากกว่าช่างคนอื่นๆ.....แต่มีปัญหา หนี้สินล้นตัว ไม่ระวังเรื่องค่าใช้จ่าย ภรรยาติดการพนัน อายุก็มากแล้วแต่ก็ยังขยันมีลูกเล็กๆ ตัวเองก็ทำท่าจะมีกิ๊ก ลูกสาวคนโตหนีตามผู้ชาย ผ่านไป1ปีก็กลับมาให้ช่วยเลี้ยงหลานอีก.....ผมไม่เห็นอนาคตของเค้าเลยจริงๆครับ ทุกวันนี้ติดหนี้บริษัทเพิ่มชึ้นเรื่อยๆ และดูท่าทางจะไม่สนใจคืนหนี้ให้บริษัทสักเท่าไหร่เลย
สรุปว่า เครื่องมือจะดีแค่ใหน ถ้ายังไม่รู้จักควบคุมตัวเองและสภาพแวดล้อม......... ต่อให้เก่งมีเครื่องมือดี ก็มีโอกาสน้อยในการเติบโตครับ
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 11
จังหวะในเชิงกลยุทธ์ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ เรื่องmarket timing หรือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเข้า-ออก หรือการคาดการณ์ตลาด หรือระยะเวลาการถือหุ้นสามัญชน เขียน:เรื่องจังหวะในการลงทุนนั้น เพื่อนๆแสดงความเห็นไว้น่าสนใจทีเดียวครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 7%CB%C7%D0
แต่ก็เอาเถอะ
ไปถอดรหัสตามที่พี่ศรรามแนะมาแล้ว
ได้เรื่องสำคัญดังนี้
พยัคร้าย 007: "ถ้าลงทุนถือยาว แต่ไม่เข้าใจในมูลค่า ก็ไม่ต่างกะการพลาดจังหวะ เช่นไปซื้อเอาซะแพง ดอยเลย แต่ไปถือยาวซะงั้น ไปซื้อหุ้นที่มีแต่จะถดถอย แล้วถือยาวสิ มันก็ไม่ช่วยอะไร"
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 12
จังหวะในเชิงกลยุทธ์ที่ผมชวนคุยอยู่นี้ มันมีหลายแง่มุม
มุมหนึ่งเกี่ยวกับ
"ความรู้สึก" ของนักลงทุน
"โอ้โห อะไรจะบูมขนาดนั้น" นักลงทุนท่านหนึ่งกล่าว
"ตายแน่ ที่นี่กำลังมีปัญหา" นักลงทุนคนเดียวกันกล่าว
จากความฮึกเหิม สู่ ความอิ่มอกอิ่มใจ สู่ ความกังวล สู่ การยอมจำนน
เวลาที่ความอิ่มอกอิ่มใจ ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม แต่เขาไม่ทำ เพราะอะไรหรือ ลองถามใจตัวเองดู
เวลาที่กังวล ก็ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเช่นกัน แต่เขาไม่ทำ แต่กลับยอมจำนน และขายทิ้งไปอย่างกระสับกระสาย
อีกมิติหนึ่งของจังหวะในเชิงกลยุทธ์ เป็นเรื่อง ทักษะในการนอนกรน เมื่อพูดถึงหุ้นร้อนหรือการคาดการณ์ตลาดหุ้น
อีกมิติเป็นเรื่องของ การวางตัวที่เหมาะสม ในวงล้อแห่งการคาดการณ์
มุมหนึ่งเกี่ยวกับ
"ความรู้สึก" ของนักลงทุน
"โอ้โห อะไรจะบูมขนาดนั้น" นักลงทุนท่านหนึ่งกล่าว
"ตายแน่ ที่นี่กำลังมีปัญหา" นักลงทุนคนเดียวกันกล่าว
จากความฮึกเหิม สู่ ความอิ่มอกอิ่มใจ สู่ ความกังวล สู่ การยอมจำนน
เวลาที่ความอิ่มอกอิ่มใจ ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม แต่เขาไม่ทำ เพราะอะไรหรือ ลองถามใจตัวเองดู
เวลาที่กังวล ก็ควรเป็นเวลาที่ต้องตรวจสอบพื้นฐานกิจการอย่างหนัก เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเช่นกัน แต่เขาไม่ทำ แต่กลับยอมจำนน และขายทิ้งไปอย่างกระสับกระสาย
อีกมิติหนึ่งของจังหวะในเชิงกลยุทธ์ เป็นเรื่อง ทักษะในการนอนกรน เมื่อพูดถึงหุ้นร้อนหรือการคาดการณ์ตลาดหุ้น
อีกมิติเป็นเรื่องของ การวางตัวที่เหมาะสม ในวงล้อแห่งการคาดการณ์
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 15
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในนี้หลายคนอ่านงบการเงินเก่งมาก
บางคนก็สามารถประยุกต์ใช้ P/E ตัวเลขง่ายกับการลงทุนอันสุดยอดได้เยี่ยม
บางคนก็เสาะหาหุ้นมังกรหลับไหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ
บางคนก็หา Intrinsic Value ได้เหนือกว่าใคร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมอยากทราบว่า ท่านทั้งหลายมีความศรัทธาในการลงทุนหุ้นมากแค่ไหน และความศรัทธาของแต่ละท่านคืออะไรครับ
บางคนก็สามารถประยุกต์ใช้ P/E ตัวเลขง่ายกับการลงทุนอันสุดยอดได้เยี่ยม
บางคนก็เสาะหาหุ้นมังกรหลับไหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ
บางคนก็หา Intrinsic Value ได้เหนือกว่าใคร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมอยากทราบว่า ท่านทั้งหลายมีความศรัทธาในการลงทุนหุ้นมากแค่ไหน และความศรัทธาของแต่ละท่านคืออะไรครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 16
ผมศรัทธาในการลงทุนหุ้นมากครับ ผมคงเฉาตายถ้าไม่มีตลาดหุ้น :lol: ล้อเล่นน่า....แต่ก็มีส่วนจริงเยอะ
ผมคงต้องดิ้นรนทำธุรกิจเองทั้งๆที่ไม่ชำนาญ และคงจมอยู่ในกองทุกข์เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรอบรู้ไปทุกสิ่งในธุรกิจนั้นๆ และต้องปฏิบัติได้จริงตามที่รู้ด้วยนะครับ ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รู้แต่ทำไม่ได้มีเยอะไป
ลูกจ้างผมยักยอกเงินผมก็คงต้องนั่งกุมขมับ ก็คงต้องไล่ออกอ่ะครับ แต่ภาพลูกๆเขาร้องไห้เพราะจะไม่มีอะไรกินคงจะตามหลอกหลอนไปนานเหมือนกัน ยิ่งถ้าคุ้นเคยสนิทสนมกันแล้ว จะทำอย่างไร เด็กๆก็ร้องไห้แล้วบอก คุณลุงคะอย่าไล่แม่หนูออกเลยนะคะ สงสารแม่หนูเถอะ ฮือ ฮือ .....นะคะคุณลุงขา ฮือ ฮือ
สินค้าเสื่อมก็ต้องนั่งทำตาปริบๆ ก็เงินเน่าไปต่อหน้าต่อตา จะไม่เสียดายได้หรือ
ตลาดไม่ดีก็ขายไม่ออก
อยากไปเที่ยวไหนก็ไปไม่ได้ ก็ห่วงธุรกิจอ่ะครับ
ธุรกิจเจ๊งจะขายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะมาซื้อต่อ ถ้าซื้อจะให้ราคาเท่าไหร่ โอ๊ย.....ปวดหัว
อยากเปลี่ยนธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเรียนรู้ใหม่มากมาย ไหนจะการตลาด ไหนจะประชาสัมพันธ์ ไหนจะหาคนที่เหมาะๆมาร่วมงานใหม่
ผมคงต้องดิ้นรนทำธุรกิจเองทั้งๆที่ไม่ชำนาญ และคงจมอยู่ในกองทุกข์เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรอบรู้ไปทุกสิ่งในธุรกิจนั้นๆ และต้องปฏิบัติได้จริงตามที่รู้ด้วยนะครับ ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รู้แต่ทำไม่ได้มีเยอะไป
ลูกจ้างผมยักยอกเงินผมก็คงต้องนั่งกุมขมับ ก็คงต้องไล่ออกอ่ะครับ แต่ภาพลูกๆเขาร้องไห้เพราะจะไม่มีอะไรกินคงจะตามหลอกหลอนไปนานเหมือนกัน ยิ่งถ้าคุ้นเคยสนิทสนมกันแล้ว จะทำอย่างไร เด็กๆก็ร้องไห้แล้วบอก คุณลุงคะอย่าไล่แม่หนูออกเลยนะคะ สงสารแม่หนูเถอะ ฮือ ฮือ .....นะคะคุณลุงขา ฮือ ฮือ
สินค้าเสื่อมก็ต้องนั่งทำตาปริบๆ ก็เงินเน่าไปต่อหน้าต่อตา จะไม่เสียดายได้หรือ
ตลาดไม่ดีก็ขายไม่ออก
อยากไปเที่ยวไหนก็ไปไม่ได้ ก็ห่วงธุรกิจอ่ะครับ
ธุรกิจเจ๊งจะขายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะมาซื้อต่อ ถ้าซื้อจะให้ราคาเท่าไหร่ โอ๊ย.....ปวดหัว
อยากเปลี่ยนธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเรียนรู้ใหม่มากมาย ไหนจะการตลาด ไหนจะประชาสัมพันธ์ ไหนจะหาคนที่เหมาะๆมาร่วมงานใหม่
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 17
แต่พอมีตลาดหุ้นแล้ว สบายมากครับ
ผมสามารถเป็นเจ้าของกิจการดีๆได้ตั้งเยอะ จะเลือกเอาสุดยอดแค่ไหนก็ได้ จะเลือกเอาที่ราคาถูกแค่ไหนก็ได้ ที่สำคัญเรายังสามารถทำกำไรได้จากสภาพ underprice และ overprice ได้อีกหลายเด้งแหนะ......
คือหมายความว่า ถ้าเราทำเอง โดยลงทุนเปิดบริษัททั้งหมด 100 บาทกำไร 20 บาท เราก็ได้ 20 บาทเท่านั้นใช่ไหมครับ แต่ด้วยความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุน เราสามารถ ซื้อ บริษัทแบบนี้ได้ที่ราคา 60 บาทตอนที่เขากลัวกัน และขายได้ 200 บาทตอนที่ใครๆก็อยากได้ บางคนขายได้ตั้งเจ็ดแปดร้อยก็มีนะ กำไรมากกว่ากันไม่รู้กี่เท่าใช่ไหมครับ อิอิ ชอบมากเลยครับ
อ้อ......เผื่อจะโดนข้อหาว่า ทำตัวไม่มีประโยชน์ต่อสังคมอีก เราก็ไปทำอะไรก็ได้ที่เราชอบและมีประโยชน์ต่อสังคม เราทำด้วยใจชอบและมีความสุข เรามักจะทำได้ดีกว่า นานกว่า ถูกต้องกว่าด้วยนะครับ
ทั้งที่ ที่จริงแล้วผมว่าคนเราแค่ทำตัวไม่ให้เป็นภาระต่อสังคม ผมก็ว่าดีถมไปแล้วล่ะครับ.......
ผมสามารถเป็นเจ้าของกิจการดีๆได้ตั้งเยอะ จะเลือกเอาสุดยอดแค่ไหนก็ได้ จะเลือกเอาที่ราคาถูกแค่ไหนก็ได้ ที่สำคัญเรายังสามารถทำกำไรได้จากสภาพ underprice และ overprice ได้อีกหลายเด้งแหนะ......
คือหมายความว่า ถ้าเราทำเอง โดยลงทุนเปิดบริษัททั้งหมด 100 บาทกำไร 20 บาท เราก็ได้ 20 บาทเท่านั้นใช่ไหมครับ แต่ด้วยความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุน เราสามารถ ซื้อ บริษัทแบบนี้ได้ที่ราคา 60 บาทตอนที่เขากลัวกัน และขายได้ 200 บาทตอนที่ใครๆก็อยากได้ บางคนขายได้ตั้งเจ็ดแปดร้อยก็มีนะ กำไรมากกว่ากันไม่รู้กี่เท่าใช่ไหมครับ อิอิ ชอบมากเลยครับ
อ้อ......เผื่อจะโดนข้อหาว่า ทำตัวไม่มีประโยชน์ต่อสังคมอีก เราก็ไปทำอะไรก็ได้ที่เราชอบและมีประโยชน์ต่อสังคม เราทำด้วยใจชอบและมีความสุข เรามักจะทำได้ดีกว่า นานกว่า ถูกต้องกว่าด้วยนะครับ
ทั้งที่ ที่จริงแล้วผมว่าคนเราแค่ทำตัวไม่ให้เป็นภาระต่อสังคม ผมก็ว่าดีถมไปแล้วล่ะครับ.......
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- ม้าเฉียว
- Verified User
- โพสต์: 350
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 18
กัลยาณมิตรที่น่านับถือท่านหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทั้งนักจิตวิทยา นักปรัชญา และนักเศรษฐศาสตร์ในคนคนเดียวกัน แต่เนื้อแท้ของท่าน คือ นักลงทุนพันธ์แท้ ท่านได้บอกถึง สิ่งที่ท่านยึดถือในการลงทุนว่า
การอยู่เหนือกว่าราคา
ท่านบอกข้าพเจ้าว่า "ผู้คนมากมายตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของราคา การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสร้างผลกระทบทางอารมณ์ และการตัดสินใจ
ห้องค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดดึงดูดคนที่สนใจการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นให้ใช้เวลาวันละประมาณ 4 ชั่วโมงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของราคาเหล่านี้จะต้องกินกาแฟให้ได้มากที่สุดในห้องค้าเพื่อให้คุ้มกับค่าต๋งที่เสียไป น้อยคนที่จะสนใจว่าตอนนี้บริษัทที่ตนเองซื้อหุ้นสามัญไปนั้นบริหารงานโดยใคร ผลิตสินค้าหรือบริการอะไร"
การอยู่เหนือกว่าราคา
ท่านบอกข้าพเจ้าว่า "ผู้คนมากมายตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของราคา การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสร้างผลกระทบทางอารมณ์ และการตัดสินใจ
ห้องค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดดึงดูดคนที่สนใจการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นให้ใช้เวลาวันละประมาณ 4 ชั่วโมงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของราคาเหล่านี้จะต้องกินกาแฟให้ได้มากที่สุดในห้องค้าเพื่อให้คุ้มกับค่าต๋งที่เสียไป น้อยคนที่จะสนใจว่าตอนนี้บริษัทที่ตนเองซื้อหุ้นสามัญไปนั้นบริหารงานโดยใคร ผลิตสินค้าหรือบริการอะไร"
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 19
กลวิธีที่ทำให้เราอยู่เหนือราคาได้นั้นมีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าติดดอยก็บอกว่าจะลงทุนระยะยาว เป็นต้น :D
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 20
นานๆทีจะเห็นท่านแม่ทัพปล่อยมุข :lol:กลวิธีที่ทำให้เราอยู่เหนือราคาได้นั้นมีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าติดดอยก็บอกว่าจะลงทุนระยะยาว เป็นต้น :lol:
ตามความคิดผมผมชอบและศรัทธาคำๆนี้ครับ
มองอย่างที่มันเป็น
นักลงทุนหลายคนมองหุ้นด้วยสายตานักข่าว กลุ่มนี้จะไล่ล่าข่าวเป็นหลัก ทั้งข่าวจริงข่าวลวงแยกได้หมด เผลอๆปล่อยข่าวเอง กลุ่มนี้สำหรับคนที่เก่งๆก็จะได้กำไรงามเหมือนกัน
นักลงทุนหลายคนมองหุ้นด้วยสายตานักสถิติและนักจิตวิทยา เขาเห็นว่าราคาหุ้นและปริมาณการเข้าซื้อหรือเทขายสามารถบอกเทคนิคและเคล็ดลับได้ กลุ่มนี้สำหรับคนที่เก่งๆก็จะได้กำไรงามเหมือนกัน
นักลงทุนหลายๆคนมองหุ้นด้วยสายตาของนักพนัน นักบัญชี นักเสี่ยงโชค นักวางยุทธศาสตร์ หรือกระทั่งยึดถือตำราพิชัยสงครามทั้งซุนวู จูกัดเหลียง หรือกระทั่งสายตาของสายลับที่จะรู้ข่าววงในก่อนใครๆหรือลึกกว่าใครๆ กลุ่มนี้สำหรับคนที่เก่งๆก็จะได้กำไรงามเหมือนกัน
แต่ผมคิดว่า ในการมองหุ้นนั้นผมชอบใช้มุมมองของนักธุรกิจและนักลงทุน สิ่งอื่นๆน่าจะเป็นความสำคัญลำดับรองลงไป
เพราะว่าธรรมชาติของหุ้นก็คือ ธุรกิจและการลงทุน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 21
และดังนั้นผมจึงชอบวิธีของบัฟเฟตต์ เพราะเขามองหุ้นเป็นเหมือนธุรกิจที่เขาจะเข้าไปทำและไปลงทุนจริงๆ
ผมจึงชอบวิธีของฟิลิป ฟิชชเชอร์
ผมจึงชอบวิธีของปีเตอร์ ลินช์
ผมจึงชอบวิธีของดร.นิเวศน์
และผมไม่ค่อยชอบวิธีของวิลเลี่ยม โอ นีล เพราะเขามองหุ้นเหมือนอะไรก็ไม่รู้
และไม่ค่อยชอบวิธีของเซียนเทคนิคทั้งหลายทั้งของดร.ปัญญาหรือเซียนท่านอื่นๆ
แต่ก็ไม่ได้ถึงกับละเลย เพราะผมก็จัดให้เขามีความสำคัญเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่ง และผมจะเอามาใช้ในระยะสั้นๆเช่นจังหวะซื้อจังหวะขายซึ่งวิธีของวีไอไม่ได้มีบอกไว้เท่านั้นเอง
ผมจึงชอบวิธีของฟิลิป ฟิชชเชอร์
ผมจึงชอบวิธีของปีเตอร์ ลินช์
ผมจึงชอบวิธีของดร.นิเวศน์
และผมไม่ค่อยชอบวิธีของวิลเลี่ยม โอ นีล เพราะเขามองหุ้นเหมือนอะไรก็ไม่รู้
และไม่ค่อยชอบวิธีของเซียนเทคนิคทั้งหลายทั้งของดร.ปัญญาหรือเซียนท่านอื่นๆ
แต่ก็ไม่ได้ถึงกับละเลย เพราะผมก็จัดให้เขามีความสำคัญเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่ง และผมจะเอามาใช้ในระยะสั้นๆเช่นจังหวะซื้อจังหวะขายซึ่งวิธีของวีไอไม่ได้มีบอกไว้เท่านั้นเอง
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 22
อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่ "เหนือราคา" ได้ ก็คือ ราคาในกระดาน 3 บาท แต่ต้นทุนเราอยู่ที่ 5 บาท เช่นนี้เราก็อยู่เหนือราคาได้แล้วครับ
also known as ติดดอย
also known as ติดดอย
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 23
ผมเห็นด้วยกับ หมอสามัญชนมาก เรื่องความเรียบง่าย
แต่ก็ต้องเป็น ความเรียบง่ายภายใต้เงื่อนไขของความรู้ด้วย
ทำให้นึกถึงเรื่อง P/E ที่คุณมือล่องหน Oracle of Bangkok ที่ท่านแม่ทัพสุมาอี้เรียกขานไว้ เรื่องเรียบง่าย แต่ลุ่มลึก
จึงขออ้างถึงอีกครั้งในนี้
"สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
อย่างจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หุ้น bank หรือ finance จะมี P/E ต่ำเพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องแผนแม่บทและการควบรวมกิจการ รวมถึงปัญหา NPL ที่อาจจะต้องทำให้บางธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่ม
หรือหุ้นประเภทที่ต้องขึ้นกับโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ โรคระบาด เช่นหุ้นกลุ่มเกษตรก็เข้าข่ายครับ
2. a highly cyclical sector
อย่างกลุ่มปิโตรเคมีหรือ cyclical อื่นๆ ก็ไม่ควรจะได้ P/E ที่สูงครับ
3. company serving volatile markets
อาจจะเป็นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และหุ้นส่งออกครับ
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
ช่วงนี้ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยมีภาวะ oversupply เท่าไหร่แล้ว แต่หุ้นประเภทรับจ้างผลิตก็มักจะมี pricing power ต่ำครับ เช่น อิเลคทรอนิกส์ หรือหุ้นที่มีหน้าตาสินค้าเหมือนๆ กันหมด เช่น พวกหุ้น commodity ทั้งหลาย
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
economic value added จะเกิดขึ้นเมื่อ roe มากกว่า cost of equity หรือ roce สูงกว่า cost of capital ( WACC ) ดังนั้น sector ไหนที่ roe ต่ำทั้ง sector ก็จะเข้าข่ายนี้ครับ หากให้ cost of equity ตอนนี้ซัก 10-12% หากหุ้นตัวไหน roe ต่ำกว่านี้ติดต่อกันนานๆ ก็เข้าข่ายครับ หุ้นหลายตัวที่ bv สูงเพราะเก็บเงินสดไว้เยอะๆ ไม่ปันผลมักจะมี roe ต่ำครับ
6. a mature sector, with little prospect of growth
ก็น่าจะเป็นสิ่งทอนะครับ
7. a company which is ex growth
อันนีไม่แน่ใจว่า ex ย่อจากอะไรนะครับ
8. poor management
ก็มีอยู่ให้เห็นเยอะครับอันนี้คงต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ ประเภทที่กู้เงินธนาคารหรือเอาเงินที่ควรจะจ่ายปันผลออกไปมาให้บริษํทในเครือกู้อันนี้ก็ชัดเจนครับ หรือประเภทชอบลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัดหรือ diworsification ครับ
9. poor cash generation
อันนี้คงโทษผู้บริหารไม่ได้ทั้งหมดบางที่เป็นธรรมชาติธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ก็มักจะ p/E ต่ำครับ เช่น หุ้นประเภทที่ a/r ( account receivable ) day สูงกว่า a/p ( account payable ) day มากๆ หรืออธิบายง่ายๆ คือ ต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปเร็วกว่าที่จะเก็บเงินได้ครับ หุ้นพวกนี้เวลาจะเพิ่มยอดขายทีจะต้องใช้ working capital สูงมากครับ
9. week balance sheet
ก็เป็นหุ้นที่หนี้มากครับ และอาจจะมีการวางแผนทางการเงินไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงกับการขาดสภาพคล่องทางการเงินครับ
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
ก็เป็นหุ้นที่ขายสินค้าที่ทุกคนต้องใช้และต้องกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ ทำให้ความผันผวนของกำไรต่ำครับ อย่างหุ้นส่งออกจะไม่เข้าข่ายนี้แน่นอนครับเพราะว่านักลงทุนอย่างเราคาดการณ์อะไรยากเพราะเราไม่มีโอกาสเห็นการผลิตและ order ของเค้าครับ
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
ก็มักจะเป็นหุ้น blue chip หลายตัวที่มี mkt share อันดับ 1,2 แต่หุ้น small cap หลายตัวก็มี mkt share อันดับ 1 ใน segment หรือ industry ของตัวเองได้ครับ
6. high barriers to entry
อย่างหุ้นบันเทิงหลายตัวก็เข้าข่าย เช่น bec major เพราะการเข้ามาทำได้ยาก หุ้นมือถือก็น่าจะใช่ครับเพราะหากจะมีใครเข้ามาใหม่ต้องลงทุนสูงถึง 40,000-50,000 ล้าน หุ้นพลังงานหลายตัวก็ใช่เพราะคงไม่มีใครมาแข่งกับ ptt ในธุรกิจท่อก๊าซได้
7. companies that have strong pricing power
เมืองไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป็น monopoly โดยธรรมชาติธุรกิจครับ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ ถ้าเอากิจการนอกตลาดที่นึกออกน่าจะเป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่น fuji มั้งครับ บางอย่างต้นทุนก็ไม่น่าแพงแต่ก็ขายแพงจังแต่เราก็ยอมกิน อ้อ cpn หรือ mbk-pd ก็อาจจะมองว่ามี pricing power ค่อนข้างสูงได้ครับเพราะทำเลที่ตั้งดีและห้างดีๆ ก้มีไม่มากครับ หรือ LH ก็อาจจะมี pricing power บ้างเพราะสามารถขายบ้านได้แพงกว่าชาวบ้านทั้งๆ ที่ทำเลเดียวกันและเนื่อที่เท่ากัน
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
มีหลายตัวครับ ก็ได้แก่หุ้นที่ roe สูงทั้งหลาย อันนี้หมายถึงจะต้องมี roe สูงเฉลี่ยติดกันหลายๆ ปีนะครับ เพราะหุ้น cyclical จะมี roe สูงตอนที่ cycle ดีและจะขาดทุนตอน cycle แย่ หากดู roe ปีเดียวจะได้หุ้น cyclical เข้ามา
9. strong cash generation
ก็ตรงข้ามกับเมื่อกี้ หุ้นพวกนี้คือหุ้นที่ขายเป็นเงินสดและซื้อสินค้าเป็น credit term ข้อดีคือยิ่งยอดขายเพิ่ม cash flow ยิ่งเพิ่มคือ ไม่ใช้ working capital เลย หุ้นประเภทนี้ได้แก่หุ้นค้าปลีก อย่าง makro bigc se-ed hmpro 7-11 และหุ้นบางตัวที่มีลูกค้าเป็นคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ และต้องจ่ายเงินสดทันที่ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น major egv ครับ"
และคุณInvisible Hand ก็ยังมีความเห็นต่อวิธีการบางอย่างที่ซับซ้อน จนหลายคนปวดหัว ดังนี้ครับ
"การใช้ DCF นั้น ผมคิดว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่สำหรับนักลงทุนทั่วไปครับ เพราะจริงๆ แล้ว p/e คือผลสุดท้ายของ DCF นั่นแหละครับ เพราะ DCF เป็น model ที่คำนึงถึง growth ความเสี่ยง เงินสดและหนี้สิน ซึ่งหากเราใช้ p/e เป็น ใช้ p/bv ได้ถูกวิธี มันจะเป็นสุดยอดวิชาขั้นสูงกว่าการใช้ DCF อีกครับ เพราะมันเป็นการนำหลักแนวคิดของ DCF มาใช้ได้โดยไม่ต้องเหนื่อยมานั่งทำ model อย่างท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์เอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ DCF ในการคำนวณนะครับ มันเหมือนกับอะไรที่ back to basic ครับ บางครั้งอะไรที่ซับซ้อนมากๆ กลับไม่ใช่สุดยอดวิชา แต่สิ่งที่เป็นสุดยอดวิชา มักจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด"
แต่ก็ต้องเป็น ความเรียบง่ายภายใต้เงื่อนไขของความรู้ด้วย
ทำให้นึกถึงเรื่อง P/E ที่คุณมือล่องหน Oracle of Bangkok ที่ท่านแม่ทัพสุมาอี้เรียกขานไว้ เรื่องเรียบง่าย แต่ลุ่มลึก
จึงขออ้างถึงอีกครั้งในนี้
"สถานะการณ์ที่ทำให้ PE ต่ำ แต่ไม่น่าสนใจ เช่น
1. uncertainly over a company's prospects for earning
อย่างจะเห็นได้ว่าช่วงนี้หุ้น bank หรือ finance จะมี P/E ต่ำเพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องแผนแม่บทและการควบรวมกิจการ รวมถึงปัญหา NPL ที่อาจจะต้องทำให้บางธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่ม
หรือหุ้นประเภทที่ต้องขึ้นกับโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ โรคระบาด เช่นหุ้นกลุ่มเกษตรก็เข้าข่ายครับ
2. a highly cyclical sector
อย่างกลุ่มปิโตรเคมีหรือ cyclical อื่นๆ ก็ไม่ควรจะได้ P/E ที่สูงครับ
3. company serving volatile markets
อาจจะเป็นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และหุ้นส่งออกครับ
4. a sector with overcapacity and weak pricing power
ช่วงนี้ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยมีภาวะ oversupply เท่าไหร่แล้ว แต่หุ้นประเภทรับจ้างผลิตก็มักจะมี pricing power ต่ำครับ เช่น อิเลคทรอนิกส์ หรือหุ้นที่มีหน้าตาสินค้าเหมือนๆ กันหมด เช่น พวกหุ้น commodity ทั้งหลาย
5. a sector or company with consistently low returns and not adding economic value
economic value added จะเกิดขึ้นเมื่อ roe มากกว่า cost of equity หรือ roce สูงกว่า cost of capital ( WACC ) ดังนั้น sector ไหนที่ roe ต่ำทั้ง sector ก็จะเข้าข่ายนี้ครับ หากให้ cost of equity ตอนนี้ซัก 10-12% หากหุ้นตัวไหน roe ต่ำกว่านี้ติดต่อกันนานๆ ก็เข้าข่ายครับ หุ้นหลายตัวที่ bv สูงเพราะเก็บเงินสดไว้เยอะๆ ไม่ปันผลมักจะมี roe ต่ำครับ
6. a mature sector, with little prospect of growth
ก็น่าจะเป็นสิ่งทอนะครับ
7. a company which is ex growth
อันนีไม่แน่ใจว่า ex ย่อจากอะไรนะครับ
8. poor management
ก็มีอยู่ให้เห็นเยอะครับอันนี้คงต้องอาศัยประสบการณ์ในการลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ ประเภทที่กู้เงินธนาคารหรือเอาเงินที่ควรจะจ่ายปันผลออกไปมาให้บริษํทในเครือกู้อันนี้ก็ชัดเจนครับ หรือประเภทชอบลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัดหรือ diworsification ครับ
9. poor cash generation
อันนี้คงโทษผู้บริหารไม่ได้ทั้งหมดบางที่เป็นธรรมชาติธุรกิจ หุ้นประเภทนี้ก็มักจะ p/E ต่ำครับ เช่น หุ้นประเภทที่ a/r ( account receivable ) day สูงกว่า a/p ( account payable ) day มากๆ หรืออธิบายง่ายๆ คือ ต้องจ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปเร็วกว่าที่จะเก็บเงินได้ครับ หุ้นพวกนี้เวลาจะเพิ่มยอดขายทีจะต้องใช้ working capital สูงมากครับ
9. week balance sheet
ก็เป็นหุ้นที่หนี้มากครับ และอาจจะมีการวางแผนทางการเงินไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงกับการขาดสภาพคล่องทางการเงินครับ
ในทางกลับกัน หุ้นที่มี PE สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นมีราคาแพงเสมอไป
สถานการณ์ที่ทำให้ PE สูง แต่ไมได้หมายความว่าหุ้นแพง
1. companies with an excellent growth record and prospects for growth
2. a high-growth sector
3. high confidence in the company's forecasts
ก็เป็นหุ้นที่ขายสินค้าที่ทุกคนต้องใช้และต้องกลับมาซื้อใหม่เรื่อยๆ ทำให้ความผันผวนของกำไรต่ำครับ อย่างหุ้นส่งออกจะไม่เข้าข่ายนี้แน่นอนครับเพราะว่านักลงทุนอย่างเราคาดการณ์อะไรยากเพราะเราไม่มีโอกาสเห็นการผลิตและ order ของเค้าครับ
4. predictable/stable revenues
5. strong market shares
ก็มักจะเป็นหุ้น blue chip หลายตัวที่มี mkt share อันดับ 1,2 แต่หุ้น small cap หลายตัวก็มี mkt share อันดับ 1 ใน segment หรือ industry ของตัวเองได้ครับ
6. high barriers to entry
อย่างหุ้นบันเทิงหลายตัวก็เข้าข่าย เช่น bec major เพราะการเข้ามาทำได้ยาก หุ้นมือถือก็น่าจะใช่ครับเพราะหากจะมีใครเข้ามาใหม่ต้องลงทุนสูงถึง 40,000-50,000 ล้าน หุ้นพลังงานหลายตัวก็ใช่เพราะคงไม่มีใครมาแข่งกับ ptt ในธุรกิจท่อก๊าซได้
7. companies that have strong pricing power
เมืองไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป็น monopoly โดยธรรมชาติธุรกิจครับ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันครับ ถ้าเอากิจการนอกตลาดที่นึกออกน่าจะเป็นพวกร้านอาหารญี่ปุ่น fuji มั้งครับ บางอย่างต้นทุนก็ไม่น่าแพงแต่ก็ขายแพงจังแต่เราก็ยอมกิน อ้อ cpn หรือ mbk-pd ก็อาจจะมองว่ามี pricing power ค่อนข้างสูงได้ครับเพราะทำเลที่ตั้งดีและห้างดีๆ ก้มีไม่มากครับ หรือ LH ก็อาจจะมี pricing power บ้างเพราะสามารถขายบ้านได้แพงกว่าชาวบ้านทั้งๆ ที่ทำเลเดียวกันและเนื่อที่เท่ากัน
8. companies that have high margins and produce excellent ROCE and add value
มีหลายตัวครับ ก็ได้แก่หุ้นที่ roe สูงทั้งหลาย อันนี้หมายถึงจะต้องมี roe สูงเฉลี่ยติดกันหลายๆ ปีนะครับ เพราะหุ้น cyclical จะมี roe สูงตอนที่ cycle ดีและจะขาดทุนตอน cycle แย่ หากดู roe ปีเดียวจะได้หุ้น cyclical เข้ามา
9. strong cash generation
ก็ตรงข้ามกับเมื่อกี้ หุ้นพวกนี้คือหุ้นที่ขายเป็นเงินสดและซื้อสินค้าเป็น credit term ข้อดีคือยิ่งยอดขายเพิ่ม cash flow ยิ่งเพิ่มคือ ไม่ใช้ working capital เลย หุ้นประเภทนี้ได้แก่หุ้นค้าปลีก อย่าง makro bigc se-ed hmpro 7-11 และหุ้นบางตัวที่มีลูกค้าเป็นคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ และต้องจ่ายเงินสดทันที่ที่ซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น major egv ครับ"
และคุณInvisible Hand ก็ยังมีความเห็นต่อวิธีการบางอย่างที่ซับซ้อน จนหลายคนปวดหัว ดังนี้ครับ
"การใช้ DCF นั้น ผมคิดว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่สำหรับนักลงทุนทั่วไปครับ เพราะจริงๆ แล้ว p/e คือผลสุดท้ายของ DCF นั่นแหละครับ เพราะ DCF เป็น model ที่คำนึงถึง growth ความเสี่ยง เงินสดและหนี้สิน ซึ่งหากเราใช้ p/e เป็น ใช้ p/bv ได้ถูกวิธี มันจะเป็นสุดยอดวิชาขั้นสูงกว่าการใช้ DCF อีกครับ เพราะมันเป็นการนำหลักแนวคิดของ DCF มาใช้ได้โดยไม่ต้องเหนื่อยมานั่งทำ model อย่างท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์เอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ DCF ในการคำนวณนะครับ มันเหมือนกับอะไรที่ back to basic ครับ บางครั้งอะไรที่ซับซ้อนมากๆ กลับไม่ใช่สุดยอดวิชา แต่สิ่งที่เป็นสุดยอดวิชา มักจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด"
-
- Verified User
- โพสต์: 158
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณคุณมิบังอาจที่นำแนวคิดที่มีค่าแสดง เพราะกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ไม่เกี่ยวกับตัวหุ้น แต่พูดถึงการลับเครื่องมือที่ใช้ในการคิด วิเคราะห์ แล้วก็สังเคราะห์ หากเครื่องมือไม่พร้อม ต่อให้มีหุ้นดีมาต่อหน้าก็ไม่สามารถเห็นค่าได้
ขอบคูณมากจะติดตามอ่านครับ อยากฟังความเห็นของท่านอื่นๆด้วยครับ
ขอบคูณมากจะติดตามอ่านครับ อยากฟังความเห็นของท่านอื่นๆด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 25
อ่านแล้วขออนุญาตดัดแปลงเป็นทำนองนี้บางครั้งอะไรที่ซับซ้อนมากๆ กลับไม่ใช่สุดยอดวิชา แต่สิ่งที่เป็นสุดยอดวิชา มักจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด
"บางครั้งคนที่ทำอะไรซับซ้อนมากๆ กลับไม่ใช่สุดยอดวีไอ แต่คนที่เป็นสุดยอดวิชา มักจะไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด........."
ผมรู้จักสุดยอดวีไออยู่คนหนึ่ง ท่านประธานมน
- nam
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1437
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 26
จอมยุทธ์เลือกใช้กระบวนท่าที่เรียบง่ายในสถานการณ์ที่เหมาะสม ประสบผลทุกครา มือใหม่มีแต่กระบวนท่าเรียบง่ายใช้มั่วทุกสถานการณ์ ได้ผลบ้าง ล้มเหลวบ้าง
คนขายของเก่าไม่ได้ใช้กระบวนท่าใดๆ เพียงแต่มองเห็นคุณค่าข้าวของที่เจ้าของเดิมมองผ่านไป ซื้อชั่งโล รอขายเป็นชิ้นเมื่อมีคนเห็นคุณค่าที่แท้จริงของมัน
คนขายของเก่าไม่ได้ใช้กระบวนท่าใดๆ เพียงแต่มองเห็นคุณค่าข้าวของที่เจ้าของเดิมมองผ่านไป ซื้อชั่งโล รอขายเป็นชิ้นเมื่อมีคนเห็นคุณค่าที่แท้จริงของมัน
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 27
สูงสุดย่อมลงสู่สามัญ
สามัญที่สุดนั้นหาใช่พีอีไม่
สามัญที่สุดนั้นไซร้คือ ROI
ธุรกิจวัดกันที่ ROI ไม่ใช่ Earnings
Earnings สำหรับผมนับวันยิ่ง irrelevant ขึ้นทุกที
สามัญที่สุดนั้นหาใช่พีอีไม่
สามัญที่สุดนั้นไซร้คือ ROI
ธุรกิจวัดกันที่ ROI ไม่ใช่ Earnings
Earnings สำหรับผมนับวันยิ่ง irrelevant ขึ้นทุกที
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 28
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับสุมาอี้ เขียน:สูงสุดย่อมลงสู่สามัญ
สามัญที่สุดนั้นหาใช่พีอีไม่
สามัญที่สุดนั้นไซร้คือ ROI
ธุรกิจวัดกันที่ ROI ไม่ใช่ Earnings
Earnings สำหรับผมนับวันยิ่ง irrelevant ขึ้นทุกที
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
ช่างไม้
โพสต์ที่ 29
ผมว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ดีมากๆ คุณ "ไม่บังอาจ" นี่ก็ไม่ธรรมดาเลยครับ สนธนากับ "อาจารย์หมอ" และ "ท่านแม่ทัพ" ได้ถึงแก่น จริงๆ แถมยังมีบทความของคุณ"IH" มาเพิ่มสีสรรอีก
ขอบคุณมากครับ ที่พี่ๆมอบแนวคิดที่ดีๆให้กันอยู่เสมอ
ผมรักเวปนี้จังเลย
ขอบคุณมากครับ ที่พี่ๆมอบแนวคิดที่ดีๆให้กันอยู่เสมอ
ผมรักเวปนี้จังเลย
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- ไม่บังอาจ
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
ช่างไม้
โพสต์ที่ 30
ยินดีที่ได้สนทนากับเหล่าอัศวินเจได
อันว่าเจไดเปรียบดั่งการผสมผสานกัน ของ "นักรบ" กับ "นักพรต" และมักถูกกล่าวถึงในแง่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณมากกว่ากองกำลังเพื่อการทำลายล้าง
แม้จะมีลักษณะภายนอกที่เป็นคนสามัญธรรมดา แต่ความเป็นอยู่หลายๆ อย่าง ก็ไม่ต่างจากนักบวชเลย สมถะ รักสันโดษ มีคุณธรรม แม้จะเป็นนักรบ ฝึกวิชาของนักรบ แต่ก็เพื่อ...ทำสงครามในสมรภูมิภายในของตน
และยินดีมากโข ที่ได้ยินท่านแม่ทัพสุมาอี้ กล่าวถึง ROI จึงอยากจะขอให้ท่านแถลงไข ถึงหัวใจของ ROI ที่อาจจะเป็น Reality of Investment เพิ่มพูนปัญญาทิ้งไว้ให้คุณรุ่นหลัง
อันว่าเจไดเปรียบดั่งการผสมผสานกัน ของ "นักรบ" กับ "นักพรต" และมักถูกกล่าวถึงในแง่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณมากกว่ากองกำลังเพื่อการทำลายล้าง
แม้จะมีลักษณะภายนอกที่เป็นคนสามัญธรรมดา แต่ความเป็นอยู่หลายๆ อย่าง ก็ไม่ต่างจากนักบวชเลย สมถะ รักสันโดษ มีคุณธรรม แม้จะเป็นนักรบ ฝึกวิชาของนักรบ แต่ก็เพื่อ...ทำสงครามในสมรภูมิภายในของตน
และยินดีมากโข ที่ได้ยินท่านแม่ทัพสุมาอี้ กล่าวถึง ROI จึงอยากจะขอให้ท่านแถลงไข ถึงหัวใจของ ROI ที่อาจจะเป็น Reality of Investment เพิ่มพูนปัญญาทิ้งไว้ให้คุณรุ่นหลัง