อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 1
คือตอนนี้มีหุ้นในดวงใจอยู่ประมาณ3-4 ตัว แต่ว่า ราคาของมันยังไม่สามารถให้ผลตอบแทนในส่วนของเงินปันผลระดับ7-8%ต่อปี(ดูแบบคร่าว ๆ เพราะวิเคราะห์กิจการยังไม่เป็นครับผม อาศัยตัวเลขจากในเวปset น่ะครับ) ซึ่งในแต่ละเดือนผมจะเก็บเงินไว้ซื้อหุ้นประมาณ4,000 บาท ตอนนี้มันก็4-5 เดือนแล้วครับ ที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเพราะรอให้ราคามันลงมาน่ะครับ ทีนี้เราควรจะใช้วิธีDollar cost everageไปเลย หรือเราจะควรจะรอให้ราคามันลงมาที่ในจุดเราคิดว่าคุ้มค่ากับเงินลงทุนแล้วค่อยซื้อทีเดียวดีครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
Worried Investor
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 2
ซื้อไปเลยถ้ามันลงมาต่ำกว่าอีกเราก็เสียดาย
รอให้ลงแล้วมันไม่ลงแต่กลับวิ่งปื๊ดก็เสียดายอีกเหมือนกัน
ลองเอาชื่อหุ้นมาวิเคราะห์ดูก่อนสิครับ
แต่ละตัวก็อาจจะมีจังหวะซื้อที่ไม่เหมือนกันครับ
รอให้ลงแล้วมันไม่ลงแต่กลับวิ่งปื๊ดก็เสียดายอีกเหมือนกัน
ลองเอาชื่อหุ้นมาวิเคราะห์ดูก่อนสิครับ
แต่ละตัวก็อาจจะมีจังหวะซื้อที่ไม่เหมือนกันครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 3
ผมเข้าใจว่า ซื้อไปเลยนี่คือหลักของ ดอลล่าคอส (ซื้อทุกเดือนๆ หุ้นขึ้น-ลงไม่รู้แต่ต้องซื้อ)
แต่ สะสมเงินเอาไว้ซื้อที่ราคาเหมาะสม นี่เค้าก็เป็นหลักแบบ วีไอ นี่ครับ
(ซื้อที่คิดว่าราคาเหมาะสมตามคุณค่าที่ประเมิน)
ว่าแต่ตัวไหนเหรอครับ ขอลอกการบ้านมั่ง
แต่ สะสมเงินเอาไว้ซื้อที่ราคาเหมาะสม นี่เค้าก็เป็นหลักแบบ วีไอ นี่ครับ
(ซื้อที่คิดว่าราคาเหมาะสมตามคุณค่าที่ประเมิน)
ว่าแต่ตัวไหนเหรอครับ ขอลอกการบ้านมั่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณมากครับ ท่านสามัญชน และ ท่านOnokung ที่เข้ามาตอบกระทู้ ผมเองก็ใช้วิธีดูแบบกว้าง ๆ อาศัยweb set เป็นหลักพร้อมทั้งอ่านการวิเคราะห์ต่าง ๆ ในเวปThaiVI นี่แหละครับ เพราะวิเคราะห์บริษัทไม่ค่อยเป็นเอาซะเลย พอตั้งท่าจะวิเคราะห์จริงๆจังๆ เห็นตัวเลขในงบการเงินผมก็พาลจะเป็นลมซะทุกที สำหรับหุ้นที่ชอบตอนนี้ก็เป็น"ประชาสัมพันธ์คนสวยในกลุ่มมาม่า" นี่แหละครับ หลัก ๆ ก็คงเพราะเห็นหนี้เค้าน้อยมาก ๆ Brand เค้าค่อนข้างจะแข็งแรงดี ราคาต่ำกว่า BV พอประมาณ แต่ ณ ราคาปัจจุบันที่ผมมีอยู่ ปันผลมันไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ผมมันคนขี้กลัวมาก ๆ ก็เลยดูที่หนี้น้อย ๆ ไว้ก่อนน่ะครับ อีกตัวที่ชอบ ๆ แล้วก็มีหุ้นอยู่แล้วนิดหน่อย ก็เป็นเจ้าถัง(หวังว่ามันจะเป็น)ทองคำครับ ตัวนี้ก็หนี้น้อยดี ราคาต่ำกว่า BV พอสมควรเช่นกัน แต่ธุรกิจเค้าเนี่ย ผมก็ไม่ทราบว่าจะมั่นคงแข็งแรงสักแค่ไหน ราคา ณ ปัจจุบัน ปันผลก็ยังไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ แต่พอทนไม่ไหวก็ซื้อทุกที(ทีละนิดครับ) กลัวมันไปแล้วไม่กลับมาให้ซื้อ ผมถึงได้งง ๆ กับตัวเองว่าจะเอาไงดี จะรอจังหวะ หรือจะ Dollar Cost Everage ดี ถ้าท่านใดมีหรือสนใจเจ้าสองตัวนี้อยู่ช่วยชี้แนะด้วยครับ
Worried Investor
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 5
อืม.........
ตัวไหนแน่ครับ "ประชาสัมพันธ์คนสวยในกลุ่มมาม่า"
งง ๆ
ยังกับทายปริศนาธรรมกันเนาะท่าน goldendream26 ผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญเสียด้วย
งั้น.... ผมขอผ่านครับ
ตัวไหนแน่ครับ "ประชาสัมพันธ์คนสวยในกลุ่มมาม่า"
งง ๆ
ยังกับทายปริศนาธรรมกันเนาะท่าน goldendream26 ผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญเสียด้วย
งั้น.... ผมขอผ่านครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 6
อ้อ.....ก่อนจากกัน...
มีกระทู้พูดถึงเรื่อง Dollar Cost Averaging อยู่ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 5%D4%E8%C1
มีกระทู้พูดถึงเรื่อง Dollar Cost Averaging อยู่ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 5%D4%E8%C1
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 7
ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ dollar cost averaging ไปเลยครับ มันจะช่วยให้ต้นทุนไม่แพงและไม่ถูกจนเกินไป
แต่ถ้าใช้แนว VI เค้าจะรอให้มันถูกจริงๆแล้วค่อยซื้อ ซึ่งอาจจะต้องรอหลายเดือนหรือเป็นปีก็ได้
แต่ถ้าใช้แนว VI เค้าจะรอให้มันถูกจริงๆแล้วค่อยซื้อ ซึ่งอาจจะต้องรอหลายเดือนหรือเป็นปีก็ได้
ตลาดหุ้นให้โอกาสกับคนโง่ๆเสมอ
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 8
ท่านสามัญชนครับ ประชาสัมพันธ์ของมาม่า เนี่ย ผมหมายถึง เจ้า PR ไม่ได้ตั้งจะให้เป็นปริศนาธรรมอะไรหรอกครับ พอดี ช่วงนี้น้อง ที่ทำงาน เขามาเล่นแก้ ปริศนาเกมอัจฉริยะข้ามคืน ผมก็เคลิ้ม ๆ ไป ยังไง อย่าเพิ่งผ่านนะครับ มีข้อแนะนำอะไรช่วยชี้แนะด้วยครับผม อีกตัวก็ TMD ครับ ขอบคุณท่านสามัญชนมากครับ สำหรับการตอบกระทู้ยังไง ก็ช่วยกันต่อไปอีกนะครับ ผมเองก็เพิ่งเริ่มต้นที่จะพยายามเดินในเส้นทาง VI ครับ ขอบคุณครับ
Worried Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 10
การลงทุนด้วยเงินประมาณสี่ถึงห้าพันบาทต่อเดือนด้วยวิธี Dollar cost everage จะถูกจำกัดด้วยราคาหุ้นว่าไม่ควรเกินห้าบาทต่อหุ้น จึงจะซื้อได้เต็มล๊อตร้อยหุ้นด้วยจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกันในแต่ละเดือน แต่ถ้าเก็บไว้ซื้อทุกไตรมาสน่าจะทำให้มีความยืดหยุ่นในเรื่องราคาหุ้นที่จะเลือกซื้อได้มากขึ้นครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 11
วิธีในการซื้อหุ้น มีความสำคัญก็จริง แต่วิธีในการเลือกหุ้นที่จะซื้อมีความสำคัญกว่า
วิธี Dollar CA ก็เป็นวิธีที่ดีครับไม่เสียหายอะไร แต่ในกรณีนี้จะมีข้อเสียนิดหนึ่งอย่างที่คุณ stockms บอกไว้ว่าเราจะมีข้อจำกัดในการซื้อว่าซื้อหุ้นที่ราคาเกินห้าสิบบาทไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆเราก็ต้องซื้อร้อยหุ้น และบางโบรคจะคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำห้าสิบบาท แปลว่าเราเสียค่าธรรมเนียมในอัตรา 1% คนอื่นเสีย 0.21%
ลองมาคุยกันเรื่องวิธีในการเลือกหุ้นดูนะครับ
ถ้าเราใช้หลักนี้เป็นลำดับที่ 1. แทนที่จะเป็นตัวช่วย จะกลับกลายเป็นกับดักวีไอด้วยซ้ำไป
ตอนผมเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมก็ยึดหลักนี้เหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ ทำไม ?????
ก็ในเมื่อบริษัทมีหนี้น้อยๆ ก็แปลว่า
1.การจ่ายดอกเบี้ยก็จะน้อยตาม
2.บริษัทคงไม่เจ๊งง่ายๆ ที่จริงยากมาก
3.โอกาสที่จะเพิ่มทุนก็จะน้อยกว่า
4.ถ้าบริษัทมีหนี้มากๆ ได้กำไรมาเท่าไหร่เจ้าหนี้ก็กินหมด
5. มีหนี้น้อยๆย่อมหมายถึงว่าในอดีตนั้นบริษัทสามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ หนี้จึงค่อยๆหมดไป
6. ฯลฯ
แล้วทำไมถึงไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ
วิธี Dollar CA ก็เป็นวิธีที่ดีครับไม่เสียหายอะไร แต่ในกรณีนี้จะมีข้อเสียนิดหนึ่งอย่างที่คุณ stockms บอกไว้ว่าเราจะมีข้อจำกัดในการซื้อว่าซื้อหุ้นที่ราคาเกินห้าสิบบาทไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆเราก็ต้องซื้อร้อยหุ้น และบางโบรคจะคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำห้าสิบบาท แปลว่าเราเสียค่าธรรมเนียมในอัตรา 1% คนอื่นเสีย 0.21%
ลองมาคุยกันเรื่องวิธีในการเลือกหุ้นดูนะครับ
หลักการนี้ก็เป็นวิธีที่ดีเช่นเดียวกันครับ แต่ก็ดีในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าเรียงลำดับกันแล้วหลักการนี้ไม่ควรจะมีความสำคัญเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ควรจะอยู่ในลำดับรองๆหลัก ๆ ก็คงเพราะเห็นหนี้เค้าน้อยมาก ๆ Brand เค้าค่อนข้างจะแข็งแรงดี ราคาต่ำกว่า BV พอประมาณ
ถ้าเราใช้หลักนี้เป็นลำดับที่ 1. แทนที่จะเป็นตัวช่วย จะกลับกลายเป็นกับดักวีไอด้วยซ้ำไป
ตอนผมเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมก็ยึดหลักนี้เหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ ทำไม ?????
ก็ในเมื่อบริษัทมีหนี้น้อยๆ ก็แปลว่า
1.การจ่ายดอกเบี้ยก็จะน้อยตาม
2.บริษัทคงไม่เจ๊งง่ายๆ ที่จริงยากมาก
3.โอกาสที่จะเพิ่มทุนก็จะน้อยกว่า
4.ถ้าบริษัทมีหนี้มากๆ ได้กำไรมาเท่าไหร่เจ้าหนี้ก็กินหมด
5. มีหนี้น้อยๆย่อมหมายถึงว่าในอดีตนั้นบริษัทสามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ หนี้จึงค่อยๆหมดไป
6. ฯลฯ
แล้วทำไมถึงไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 12
เพราะว่าผมลืมปัจจัยที่สำคัญมากกว่าเรื่องหนี้นั่นเอง
ปัจจัยที่ว่าน่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตว่าจะดีหรือไม่ มีกำแพงกั้นคู่แข่งหรือไม่ ฯลฯ
ผมเคยถือหุ้นหนี้น้อยๆหลายตัว แต่ราคาก็ไม่ไปไหนอยู่นาน เพราะแนวโน้มธุรกิจในอนาคตไม่ดี เพราะแข่งขันกันเรื่องราคา เพราะราคาวัตถุดิบสูงขึ้น เพราะคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาแย่งส่วนแบ่งเรื่อยๆ ฯลฯ ราคาก็เลยไม่ไปไหนแถมยังร่วงลงด้วยซ้ำ
ผมเคยพลาดหุ้นหนี้เยอะ เพราะคงต้องเสียดอกบานแน่ๆ แต่ว่าธุรกิจเขากำลังดี ปัจจัยอื่นๆก็กำลังดี ปรากฏว่าราคาวิ่งไปหลายๆเด้งและทุกวันนี้ราคานั้นก็ยังยืนอยู่ได้ บางตัวอาจจะลงมาบ้างแต่ก็สูงกว่าตอนแรกลิบลับ
ผมติดอยู่ในกับดักนานพอสมควร นึกๆดูก็น่าเสียดายเวลาเหมือนกันครับ
หวังว่าคงไม่ติดกับเหมือนผมนะครับ
ปัจจัยที่ว่าน่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตว่าจะดีหรือไม่ มีกำแพงกั้นคู่แข่งหรือไม่ ฯลฯ
ผมเคยถือหุ้นหนี้น้อยๆหลายตัว แต่ราคาก็ไม่ไปไหนอยู่นาน เพราะแนวโน้มธุรกิจในอนาคตไม่ดี เพราะแข่งขันกันเรื่องราคา เพราะราคาวัตถุดิบสูงขึ้น เพราะคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาแย่งส่วนแบ่งเรื่อยๆ ฯลฯ ราคาก็เลยไม่ไปไหนแถมยังร่วงลงด้วยซ้ำ
ผมเคยพลาดหุ้นหนี้เยอะ เพราะคงต้องเสียดอกบานแน่ๆ แต่ว่าธุรกิจเขากำลังดี ปัจจัยอื่นๆก็กำลังดี ปรากฏว่าราคาวิ่งไปหลายๆเด้งและทุกวันนี้ราคานั้นก็ยังยืนอยู่ได้ บางตัวอาจจะลงมาบ้างแต่ก็สูงกว่าตอนแรกลิบลับ
ผมติดอยู่ในกับดักนานพอสมควร นึกๆดูก็น่าเสียดายเวลาเหมือนกันครับ
หวังว่าคงไม่ติดกับเหมือนผมนะครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 15
เพราะ DCA จะได้ประโยชน์เมื่อเราได้จำนวนหุ้นมากขึ้นที่ราคาถูกด้วยเงินลงทุนเท่าเดิม ที่จริงการทำ DCA โดยที่พอทราบราคาเหมาะสมโดยประมาณของหุ้นที่จะซื้อก็ได้ประโยชน์พอสมควรนะครับ เช่น ถ้าเราสนใจ CPF ซึ่งเป็นหุ้นเกษตรที่มีวงจรและกำไรขึ้นอยู่กับมาตรการกีดกันต่างๆของต่างประเทศ รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนก พอสมควร แต่เราก็รู้ว่า CPF เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่เขาทำอยู่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศถ้าไม่ใช่ของโลก เราอาจประเมินง่ายๆ ให้ CPF มีมูลค่าที่เหมาะสมในช่วง P/BV 0.7-1.0 ตามสถิติที่นายตลาดให้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาซึ่งได้รวมช่วงวิกฤตไข้หวัดนกไว้ด้วย เราก็อาจเริ่มซื้อ CPF ด้วยเงิน 5,000 บาท ในช่วงราคาดังกล่าวแล้วซื้อเพิ่มทุกเดือนด้วยเงินเท่าๆ กัน และควรเริ่มขายด้วยจำนวนหุ้นเท่าๆกันทุกเดือนเมื่อราคาสูงกว่าช่วงดังกล่าว แต่ถ้าราคาลดลงต่ำกว่าช่วงดังกล่าวเราคงต้องประเมินสถาณการณ์ว่ามันเป็นโอกาสในวิกฤต หรือเป็นวิกฤตที่นำไปสู่หายนะ
สรุป DCA: ซื้อด้วยเงินเท่าๆกัน อย่างสม่ำเสมอในช่วงราคาที่เหมาะสมหรือต่ำกว่า ขายด้วยจำนวนหุ้นเท่าๆ กัน เมื่อราคาเกินราคาที่เหมาะสม วิธีนี้ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายในการตีแตกหุ้น
สรุป DCA: ซื้อด้วยเงินเท่าๆกัน อย่างสม่ำเสมอในช่วงราคาที่เหมาะสมหรือต่ำกว่า ขายด้วยจำนวนหุ้นเท่าๆ กัน เมื่อราคาเกินราคาที่เหมาะสม วิธีนี้ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายในการตีแตกหุ้น
- Frodo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 16
ความเห็นของผมคือ เล่นหุ้นอย่างไรก็ได้ที่เหมาะกับบุคลิกของเรา
ข้อดีของการซื้อแบบ dollars cost avarage คือเราได้หุ้นที่เราต้องการแน่นอน
ในแบบค่อยๆ สะสม ซึ่งไม่รู้ว่าราคาในอนาคตจะเป็นอย่างที่คาดหรือไม่
หากทำใจที่จะเห็นบางช่วงราคาตกลงมาได้บ้าง และไม่คิดแต่เสียดายก็ซื้อไปเลยครับ
ไม่งั้นจะเข้าข่ายเงื้อง่าราคาแพง
แต่ถ้าจะรอราคาก็ต้องทำใจที่จะรอราคาให้ได้ โดยไม่มีกำหนด ซึ่งอาจจะได้หรือ
อาจจะไม่ได้ก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเป็นคนอย่างไร ทนความรู้สึกอย่างไรได้มากกว่ากันครับ เพราะอนาคตไม่มีใครบอกได้ เราอาจจะต้องถือหุ้นนี้ไปอีกนานกว่าหุ้นจะแสดง
ศักยภาพ ซึ่งความอดทนและความหนักแน่นสำคัญมากครับ
ข้อดีของการซื้อแบบ dollars cost avarage คือเราได้หุ้นที่เราต้องการแน่นอน
ในแบบค่อยๆ สะสม ซึ่งไม่รู้ว่าราคาในอนาคตจะเป็นอย่างที่คาดหรือไม่
หากทำใจที่จะเห็นบางช่วงราคาตกลงมาได้บ้าง และไม่คิดแต่เสียดายก็ซื้อไปเลยครับ
ไม่งั้นจะเข้าข่ายเงื้อง่าราคาแพง
แต่ถ้าจะรอราคาก็ต้องทำใจที่จะรอราคาให้ได้ โดยไม่มีกำหนด ซึ่งอาจจะได้หรือ
อาจจะไม่ได้ก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเป็นคนอย่างไร ทนความรู้สึกอย่างไรได้มากกว่ากันครับ เพราะอนาคตไม่มีใครบอกได้ เราอาจจะต้องถือหุ้นนี้ไปอีกนานกว่าหุ้นจะแสดง
ศักยภาพ ซึ่งความอดทนและความหนักแน่นสำคัญมากครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 17
น่าจะ 50 บาทนะครับ อิอิการลงทุนด้วยเงินประมาณสี่ถึงห้าพันบาทต่อเดือนด้วยวิธี Dollar cost everage จะถูกจำกัดด้วยราคาหุ้นว่าไม่ควรเกินห้าบาทต่อหุ้น จึงจะซื้อได้เต็มล๊อตร้อยหุ้นด้วยจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกันในแต่ละเดือน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 18
ถ้าหุ้นราคา 50 บาท และตั้งใจลงทุนทุกเดือนเดือนละไม่เกินห้าพันบาท จะซื้อได้ 100 หุ้น และจะซื้อได้หุ้นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อล๊อตอีกทีต้องราคา 25 บาทครับ นั่นคือราคาต้องตกลงไปถึง 50% ซึ่งจะได้ 200 หุ้นครับ ผมเลยคิดว่าหุ้นน่าจะมีราคาไม่เกิน 5 บาท เพื่อให้การทำ DCA พอมีประโยชน์บ้างเมื่อราคาหุ้นแกว่งตัวในช่วงไม่ถึง 50%
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณมาก ๆ ครับสำหรับความคิดเห็นของทุกท่าน สำหรับเรื่อง DCA นั้น คิดไปคิดมามันก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างเหมือนกันอย่างที่หลายท่านชี้แนะ และการเลือกดูหุ้นผมคงต้องกลับไปคิดใหม่ให้เยอะ ๆ กว่านี้ กลัวว่าจะติดกับดัก เหมือนที่ท่านสามัญชนบอกแย่เลย ปลอดภัยแต่หุ้นไม่ไปไหนก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ :wall:
Worried Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 21
stockms เขียน:ถ้าหุ้นราคา 50 บาท และตั้งใจลงทุนทุกเดือนเดือนละไม่เกินห้าพันบาท จะซื้อได้ 100 หุ้น และจะซื้อได้หุ้นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อล๊อตอีกทีต้องราคา 25 บาทครับ นั่นคือราคาต้องตกลงไปถึง 50% ซึ่งจะได้ 200 หุ้นครับ ผมเลยคิดว่าหุ้นน่าจะมีราคาไม่เกิน 5 บาท เพื่อให้การทำ DCA พอมีประโยชน์บ้างเมื่อราคาหุ้นแกว่งตัวในช่วงไม่ถึง 50%
โอ้ววววว ... ลึกซึ้ง ผมคิดไม่ถึงเลย
ตอนแรกอ่านๆ ก็คิดเหมือนพี่หมอสามัญชน
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 22
พอดีผมลองใช้วิธีนี้กับหุ้นบางตัวแล้วสามารถถอนเงินลงทุนตั้งต้นออกมาได้หมดจนเหลือไว้แต่กำไรในหุ้นตัวนั้นๆ เลยคิดว่ามันก็พอมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับการลงทุนที่ไม่ต้องอาศัยความแม่นในจังหวะมากนัก และลดความเสี่ยงจากการวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดได้พอสมควรครับ ที่สำคัญอาศัยแค่ค่า PE และ PB ย้อนหลัง 5 ปี ที่มีข้อมูลอยู่แล้วใน SET โดยเลือกพิจารณาเฉพาะหุ้นที่คิดว่าเป็นเบอร์หนึ่งหรือสองเท่านั้นในตลาด แต่วิธีนี้คงไม่ช่วยให้กำไรครั้งละมากๆ จากหุ้นตัวเดียวภายในปีสองปี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 23
จริงๆ แล้ว การซื้อแบบ $ cost average นั้น
ใช้หลัก "ทดไปเดือนหน้า" ได้ครับ
เช่น (ไม่คิดคอมฯ เพื่อความง่าย)
เดือน เงินเพิ่ม เงินสด ราคาตลาด ยอดซื้อ สะสม เงินคงเหลือ
0 5,000 5,000 51.00 0 0 5,000
1 5,000 10,000 51.50 100 100 4,850
2 5,000 9,850 49.60 100 200 4,890
3 5,000 9,890 48.90 200 400 110
4 5,000 5,110 52.00 0 400 5,110
จะได้ว่า ผ่านไป 5 เดือน ได้หุ้น 400 ห้นุ ราคาเฉลี่ย = 49.725 บาท
มีเงินสดในมือ 5,110 บาท
ต่อไป ได้ปันผลจาก 400 หุ้นมาหุ้นละ 3.00 บาท
เดือน เงินเพิ่ม เงินสด ราคาตลาด ยอดซื้อ สะสม เงินคงเหลือ
5 6,200 11,310 52.50 200 600 810
การเอาเงินปันผลที่ได้เข้ามาซื้ออีก จะช่วยให้ต้นทุนต่ำลง
และเป็นการเพิ่มความเร็วในการซื้อได้อีกด้วย
หลังจาก ผ่านไป 6 เดือนเต็ม เราลงเงินทั้งหมด 6 x 5,000 = 30,000 บาท
ซื้อหุ้นไป 600 หุ้น มีเงินสดเหลือ 810 บาท
ดังนั้น ต้นทุนต่อหุ้นคือ (30,000 - 810) / 600 =48.65 บาท
สรุปว่า การซื้อแบบ DCA สามารถทำได้กับหุ้นราคาเกิน 50 บาทก็ได้ครับ
แต่ leverage ของการซื้อจะลดลง เพราะจะมีเว้นบางเดือน
จริงๆ แล้ว หุ้นราคา 100 บาทก็ทำวิธีนี้ได้ครับ
คือมักจะซื้อได้เดือนเว้นเดือน
ใช้หลัก "ทดไปเดือนหน้า" ได้ครับ
เช่น (ไม่คิดคอมฯ เพื่อความง่าย)
เดือน เงินเพิ่ม เงินสด ราคาตลาด ยอดซื้อ สะสม เงินคงเหลือ
0 5,000 5,000 51.00 0 0 5,000
1 5,000 10,000 51.50 100 100 4,850
2 5,000 9,850 49.60 100 200 4,890
3 5,000 9,890 48.90 200 400 110
4 5,000 5,110 52.00 0 400 5,110
จะได้ว่า ผ่านไป 5 เดือน ได้หุ้น 400 ห้นุ ราคาเฉลี่ย = 49.725 บาท
มีเงินสดในมือ 5,110 บาท
ต่อไป ได้ปันผลจาก 400 หุ้นมาหุ้นละ 3.00 บาท
เดือน เงินเพิ่ม เงินสด ราคาตลาด ยอดซื้อ สะสม เงินคงเหลือ
5 6,200 11,310 52.50 200 600 810
การเอาเงินปันผลที่ได้เข้ามาซื้ออีก จะช่วยให้ต้นทุนต่ำลง
และเป็นการเพิ่มความเร็วในการซื้อได้อีกด้วย
หลังจาก ผ่านไป 6 เดือนเต็ม เราลงเงินทั้งหมด 6 x 5,000 = 30,000 บาท
ซื้อหุ้นไป 600 หุ้น มีเงินสดเหลือ 810 บาท
ดังนั้น ต้นทุนต่อหุ้นคือ (30,000 - 810) / 600 =48.65 บาท
สรุปว่า การซื้อแบบ DCA สามารถทำได้กับหุ้นราคาเกิน 50 บาทก็ได้ครับ
แต่ leverage ของการซื้อจะลดลง เพราะจะมีเว้นบางเดือน
จริงๆ แล้ว หุ้นราคา 100 บาทก็ทำวิธีนี้ได้ครับ
คือมักจะซื้อได้เดือนเว้นเดือน
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณคุณ CK ที่แสดงตัวอย่างให้เห็นจริงครับว่าหุ้น 50 บาท ไม่เหมาะที่จะซื้อทุกเดือน แต่น่าจะทบเงินไว้ ซึ่งถ้าทำบัญชีอย่างเป็นระบบอย่างที่คุณ CK ทำได้ก็จะช่วยให้ไม่หลงได้ดีครับ
แต่ถ้าจะเอาแบบง่ายๆ คือซื้อสม่ำเสมอทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ควรเลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 0.1 % ของเงินลงทุนในแต่ละงวดจึงจะได้ประโยชน์ชัดเจนครับ เช่น งวดละห้าพันก็เลือกที่เป็นแบบสองหุ้นไม่ถึงสิบ ถ้างวดละห้าหมื่นก็เลือกที่ไม่เกิน 50 ถ้าจะซื้องวดละสองแสนก็น่าจะเลือกได้ทั้งตลาดเลยครับ....ผมเองก็อยากมีเงินลงทุนเดือนละสองแสน จะได้ลองทำ DCA หุ้นปูนกับหุ้นน้ำมันทุกเดือนเลย
แต่ถ้าจะเอาแบบง่ายๆ คือซื้อสม่ำเสมอทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ควรเลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 0.1 % ของเงินลงทุนในแต่ละงวดจึงจะได้ประโยชน์ชัดเจนครับ เช่น งวดละห้าพันก็เลือกที่เป็นแบบสองหุ้นไม่ถึงสิบ ถ้างวดละห้าหมื่นก็เลือกที่ไม่เกิน 50 ถ้าจะซื้องวดละสองแสนก็น่าจะเลือกได้ทั้งตลาดเลยครับ....ผมเองก็อยากมีเงินลงทุนเดือนละสองแสน จะได้ลองทำ DCA หุ้นปูนกับหุ้นน้ำมันทุกเดือนเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามเรื่องการซื้อหุ้นแบบDollar cost everage ครับ
โพสต์ที่ 25
หยั้งงี้แสดงว่าด้วยเงินลงทุนที่มีอย่างจำกัดในแต่ละเดือนของผม ถ้าจะทำ DCA ผมคงจะต้องยึดหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับผม แล้วก็ซื้อไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเกิดชอบหุ้น 3-4ตัว คงจะทำไม่ได้เลยอะนะครับเพราะลำพัง 5,000 บาท เนี่ย ผมว่ามันก็ย่อยเต็มที่แล้ว แบ่งลงไปกระจายซื้อคงทำไม่ได้แล้ว ไม่ทราบว่ามีทางออกอย่างไรบ้างครับ
Worried Investor