เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 1
คือว่าผมมีกรมธรรภ์ประกันชีวิตอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถกู้ออกมาได้ประมาณหนึ่งแสนบาท เสียดอกเบี้ย 8% ต่อปี
ถ้าผมจะกู้ออกมาซื้อหุ้น น่าจะทำกำไรได้สัก 4% ต่อปีไหมครับ(หลังจากหักดอกเบี้ยแล้ว)
(แล้วควรจะเป็นหุ้นตัวไหนดีครับ? จะได้เอาไปทำการบ้านต่อ)
เอ! หรือวิธีนี้ไม่ดี เสี่ยงเกินไป ?
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆท่านที่ช่วยออกความเห็นครับ
ถ้าผมจะกู้ออกมาซื้อหุ้น น่าจะทำกำไรได้สัก 4% ต่อปีไหมครับ(หลังจากหักดอกเบี้ยแล้ว)
(แล้วควรจะเป็นหุ้นตัวไหนดีครับ? จะได้เอาไปทำการบ้านต่อ)
เอ! หรือวิธีนี้ไม่ดี เสี่ยงเกินไป ?
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆท่านที่ช่วยออกความเห็นครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 2
"การประกันชีวิต ไม่ใช่การลงทุน ไม่ใช่การออม "
-Boring Stock Lover
ผมว่าสรุปได้ดีที่สุดครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=20806
-Boring Stock Lover
ผมว่าสรุปได้ดีที่สุดครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=20806
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 3
คุณ dino
ผมเคยกู้เงินจากประกันชีวิตมาซ่อมบ้านครับ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ในกรณีของคุณ dino ที่จะกู้มาซื้อหุ้น ผมว่าความเสี่ยงอยู่ตรงการเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยที่บริษัทประกันจะคิดนะครับ
อีกเรื่องคือเงื่อนไขในการกู้เงินนะครับ ลองอ่านดูเงื่อนไขให้ดีๆ ด้วย
good luck kub
ผมเคยกู้เงินจากประกันชีวิตมาซ่อมบ้านครับ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ในกรณีของคุณ dino ที่จะกู้มาซื้อหุ้น ผมว่าความเสี่ยงอยู่ตรงการเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยที่บริษัทประกันจะคิดนะครับ
อีกเรื่องคือเงื่อนไขในการกู้เงินนะครับ ลองอ่านดูเงื่อนไขให้ดีๆ ด้วย
good luck kub
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 4
ผมเคยทำงานพวก project ให้บริษัทประกัน
ผมยอมรับว่าการประกันไม่ใช่การลงทุน และไม่ใช่การออม แต่การประกันเป็นการลดความเสี่ยงครับ อย่างที่เขาบอกว่าชดเชยเวลาเกิดเหตุไม่คาดหวัง
ใน port ของผมมีทั้ง stock gold insurance and cash deposit ก็แล้วแต่ว่าจะมองการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนกันอย่างไรครับ
ผมเห็นเพื่อนๆ ที่มีประกันและได้ชดเชยค่าพยาบาลก็คุ้มมาก สำหรับผมที่ไม่เคย claim ก็ถือซะว่าการไม่มีโรคเป็นโชคของเรา
ผมยอมรับว่าการประกันไม่ใช่การลงทุน และไม่ใช่การออม แต่การประกันเป็นการลดความเสี่ยงครับ อย่างที่เขาบอกว่าชดเชยเวลาเกิดเหตุไม่คาดหวัง
ใน port ของผมมีทั้ง stock gold insurance and cash deposit ก็แล้วแต่ว่าจะมองการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนกันอย่างไรครับ
ผมเห็นเพื่อนๆ ที่มีประกันและได้ชดเชยค่าพยาบาลก็คุ้มมาก สำหรับผมที่ไม่เคย claim ก็ถือซะว่าการไม่มีโรคเป็นโชคของเรา
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 5
ถ้าจะทำอย่างนั้นจริงๆ ผมแนะนำให้คุยกับโบรกเกอร์ขอเปิด บัญชี margin ดูครับ ผมก็ใช้อยู่เหมือนกัน กู้เงินจากโบรกเกอร์เสียดอกเบี้ย 6.25% จะคืนเมื่อไหร่ก็ได้ คิดดอกเบี้ยตามจริง ถูกกว่ากู้ประกันตั้งเยอะdino เขียน:คือว่าผมมีกรมธรรภ์ประกันชีวิตอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถกู้ออกมาได้ประมาณหนึ่งแสนบาท เสียดอกเบี้ย 8% ต่อปี
ถ้าผมจะกู้ออกมาซื้อหุ้น น่าจะทำกำไรได้สัก 4% ต่อปีไหมครับ(หลังจากหักดอกเบี้ยแล้ว)
(แล้วควรจะเป็นหุ้นตัวไหนดีครับ? จะได้เอาไปทำการบ้านต่อ)
เอ! หรือวิธีนี้ไม่ดี เสี่ยงเกินไป ?
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆท่านที่ช่วยออกความเห็นครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 6
ลืมไปอีกนิด .. ถ้ายังไม่รู้ว่าจะกู้มาซื้อหุ้นตัวไหน ผมว่าอย่ากู้ดีกว่าครับ อันตราย!
ถ้าคิดจะกู้มาเล่นจริงๆ ต้องมั่นใจมากๆว่ากำไรชัวร์ๆ ไม่งั้นเจ๋งบ้งแน่ๆ
ถ้าคิดจะกู้มาเล่นจริงๆ ต้องมั่นใจมากๆว่ากำไรชัวร์ๆ ไม่งั้นเจ๋งบ้งแน่ๆ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 7
ก่อนผมเล่นหุ้น ศึกษามาว่า เล่นแบบมาร์จิน คือ หนทางหายนะครับ
ที่เค้าเล่นหุ้น หมดเนื้อหมดตัวกัน ก็เพราะมาร์จิน แหละครับ
กู้เงินมาซื้อ หุ้นขึ้น เอากำไร ไปจ่ายดอกเบี้ย
หุ้นลง โดนบังคับขาย เอาไปจ่ายเงินต้น ส่วนต่าง ขาดทุนต้องควักเนื้อ
แล้วมันจะเหลืออะไร ??
ที่คุณ yoyoว่า มั่นใจมากๆ ว่ากำไรชัวร์ๆ ถ้าเป็นแมงเม่า อย่างเราๆ ท่านๆ ไม่เห็นทางเลยครับ
ที่เค้าเล่นหุ้น หมดเนื้อหมดตัวกัน ก็เพราะมาร์จิน แหละครับ
กู้เงินมาซื้อ หุ้นขึ้น เอากำไร ไปจ่ายดอกเบี้ย
หุ้นลง โดนบังคับขาย เอาไปจ่ายเงินต้น ส่วนต่าง ขาดทุนต้องควักเนื้อ
แล้วมันจะเหลืออะไร ??
ที่คุณ yoyoว่า มั่นใจมากๆ ว่ากำไรชัวร์ๆ ถ้าเป็นแมงเม่า อย่างเราๆ ท่านๆ ไม่เห็นทางเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 8
คนที่กู้มาลงทุนเยอะๆ หรือ Leverage สูงๆ
ก็มั่นใจว่า กำไรแน่ๆ ชัวร์ๆ ทั้งนั้นแหละครับ
แต่ความผิดพลาด ผมว่าเกิดขึ้นได้เสมอนะ
ผมชอบที่พี่ Ball เอามา Post ที่กระทู้นี้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 4bf274196b
Warren Buffett :
You really dont need leverage in this world much. If youre smart, youre going to make a lot of money without borrowing."
ก็มั่นใจว่า กำไรแน่ๆ ชัวร์ๆ ทั้งนั้นแหละครับ
แต่ความผิดพลาด ผมว่าเกิดขึ้นได้เสมอนะ
ผมชอบที่พี่ Ball เอามา Post ที่กระทู้นี้ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 4bf274196b
Warren Buffett :
You really dont need leverage in this world much. If youre smart, youre going to make a lot of money without borrowing."
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 9
ค่าเบี้ยประกันแบ่งเป็นสองส่วนครับ
ส่วนแรกเป็นเงินออม
อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในการประกันความเสี่ยงให้เรา
ส่วนที่เป็นเงินออมให้ตายยังไงก็ได้ดอกเบี้ยไม่เท่าดอกเงินกู้
ซึ่งผมว่าดูไม่สาเหตุสมผลเลยครับที่คนคนหนึ่งจะมีทั้งเงินออมและเงินกู้
สำหรับคนที่ชีวิตนี้ยังอยากกู้เงินอยู่
แนะนำให้ทำประกันแบบที่ไม่ได้เงินคืน ค่าเบี้ยจะถูกกว่ามาก
เรื่องการเล่นหุ้นแบบใช้เงินกู้ ถ้าเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงโอกาสหมดตัวคงมีน้อยครับ และถึงหมดตัวก็คงรับสภาพได้เพราะเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี
ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่เข้าใจกันแต่เรื่องผลตอบแทน
ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความเสี่ยงอย่างที่คุณ hvi ว่านั่นแหละครับ
ส่วนแรกเป็นเงินออม
อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในการประกันความเสี่ยงให้เรา
ส่วนที่เป็นเงินออมให้ตายยังไงก็ได้ดอกเบี้ยไม่เท่าดอกเงินกู้
ซึ่งผมว่าดูไม่สาเหตุสมผลเลยครับที่คนคนหนึ่งจะมีทั้งเงินออมและเงินกู้
สำหรับคนที่ชีวิตนี้ยังอยากกู้เงินอยู่
แนะนำให้ทำประกันแบบที่ไม่ได้เงินคืน ค่าเบี้ยจะถูกกว่ามาก
เรื่องการเล่นหุ้นแบบใช้เงินกู้ ถ้าเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงโอกาสหมดตัวคงมีน้อยครับ และถึงหมดตัวก็คงรับสภาพได้เพราะเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี
ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่เข้าใจกันแต่เรื่องผลตอบแทน
ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความเสี่ยงอย่างที่คุณ hvi ว่านั่นแหละครับ
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 10
แหะ แหะ ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกมุมมองครับ
ผมเองเพิ่งเริ่มลงทะเบียนเรียนการเป็น VI ก็จากที่นี่ครับ
อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลา และ ความคิด
หุ้นที่มีอยู่ก็ติดหมด เงินสดก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่กรมธรรณ์นี่แหละที่ทำไว้นานแล้ว
เลยมีมูลค่าเหลือพอจะเอามาหมุนก่อนได้
ขอบคุณมากๆครับ
ผมเองเพิ่งเริ่มลงทะเบียนเรียนการเป็น VI ก็จากที่นี่ครับ
อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลา และ ความคิด
หุ้นที่มีอยู่ก็ติดหมด เงินสดก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่กรมธรรณ์นี่แหละที่ทำไว้นานแล้ว
เลยมีมูลค่าเหลือพอจะเอามาหมุนก่อนได้
ขอบคุณมากๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 11
ถ้าเพิ่งเริ่มหัดลงทุน แนะนำว่า "ไม่ควรทำอย่างยิ่ง" ครับdino เขียน:แหะ แหะ ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับทุกมุมมองครับ
ผมเองเพิ่งเริ่มลงทะเบียนเรียนการเป็น VI ก็จากที่นี่ครับ
อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลา และ ความคิด
หุ้นที่มีอยู่ก็ติดหมด เงินสดก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่กรมธรรณ์นี่แหละที่ทำไว้นานแล้ว
เลยมีมูลค่าเหลือพอจะเอามาหมุนก่อนได้
ขอบคุณมากๆครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 12
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าหุ้นที่เล่นอยู่ก็ติดหมดแบบนี้ กู้มาเล่นแล้วติดนี่เจ็บหนักมากๆนะครับakekarat เขียน: ถ้าเพิ่งเริ่มหัดลงทุน แนะนำว่า "ไม่ควรทำอย่างยิ่ง" ครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 16
1. ต้นทุนทางการเงิน ประมาณ 8% ดอกเบี้ยเงินกู้ + 5% (premium, อิงจากดอกฝากประจำ) = 13%
2. ต้นทุนการลงทุน เวลา, ค่า internet จิปาถะ
3. "ผมเองเพิ่งเริ่มลงทะเบียนเรียนการเป็น VI" ทำให้ผมคิดว่า การที่คุณจะทำให้ return ได้มากกว่า 13% เป็นไปได้ยาก
4. "อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลา และ ความคิด" ความอยากจะทำให้คุณรีบเร่ง และอาจสะดุดตัวเองได้ จากนั้นคงกู่ไม่กลับ
5. "หุ้นที่มีอยู่ก็ติดหมด เงินสดก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่กรมธรรณ์นี่แหละ" แค่ประโยคแรก คุณก็ควรจะ "ออกห่าง" จากการกู้เงินมาลงทุน ให้มาก ๆๆๆๆ ที่สุด
6. "เลยมีมูลค่าเหลือพอจะเอามาหมุนก่อนได้" ฟางเส้นสุดท้ายแล้วนะครับ ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆ
เหตุผลน่าจะมากพอที่จะ ล้มเลิกความคิดนี้ นะครับ
2. ต้นทุนการลงทุน เวลา, ค่า internet จิปาถะ
3. "ผมเองเพิ่งเริ่มลงทะเบียนเรียนการเป็น VI" ทำให้ผมคิดว่า การที่คุณจะทำให้ return ได้มากกว่า 13% เป็นไปได้ยาก
4. "อยากมีอิสรภาพทางการเงิน เวลา และ ความคิด" ความอยากจะทำให้คุณรีบเร่ง และอาจสะดุดตัวเองได้ จากนั้นคงกู่ไม่กลับ
5. "หุ้นที่มีอยู่ก็ติดหมด เงินสดก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่กรมธรรณ์นี่แหละ" แค่ประโยคแรก คุณก็ควรจะ "ออกห่าง" จากการกู้เงินมาลงทุน ให้มาก ๆๆๆๆ ที่สุด
6. "เลยมีมูลค่าเหลือพอจะเอามาหมุนก่อนได้" ฟางเส้นสุดท้ายแล้วนะครับ ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆ
เหตุผลน่าจะมากพอที่จะ ล้มเลิกความคิดนี้ นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 18
สรุปคือ ไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่เงินติดอยู่ในหุ้นตะหาก
ทีนี้ประเด็นคืออะไร
คือว่า อยากได้เงินมาเพื่อลงทุน เพราะตั้งใจจะทำให้เกิดกำไรงอกขึ้นมา
ต้องแยกกัน
ปัญหาคือ ไม่ใช่เรื่องไม่มีเงิน ดังนั้นไม่เกี่ยวเลย ที่จะต้องไปกู้เงินมาให้เสียดอกเบี้ย
ปัญหาจริงๆคือ เงินมันอยู่ในหุ้นที่ติดอยู่ แล้วถ้าที่ติดอยู่นี่ขาดทุนแดงอยู่ด้วย นี่แปลว่า ปัญหาคือ ความตั้งใจเดิมที่จะทำให้เงินงอกเป็นกำไร ยังไม่เกิดขึ้นตามเป้าหมาย
ดังนั้นหากไปกู้มาถมลงไปอีก ปัญหาจะมาทีเดียวสองชั้น
คือ ทั้งเสี่ยงที่อาจต้องนำมาติดหุ้นให้ขาดทุนอีก หนึ่งล่ะ และสอง เสียแน่ๆคือ ดอกเบี้ย
ก็ง่ายๆ แก้ที่ปัญหาค่ะ
เรื่องไม่มีเงิน ง่ายมากเลย แค่ขายที่ติดอยู่ออกมา ก็มีเงินแล้ว(แต่ไม่เท่าเก่านะ :lol: )
ดังนั้นปัญหาเรื่องไม่มีเงินนั้นแก้ง่าย
ทีนี้ ปัญหาที่ยาก และจริงๆมันคือสาระสำคัญ ในการจะมุ่งไปสู่เป้าหมาย คือ ทำเงินให้งอกเงย ได้...คือ ....ทำไงให้มันงอก เมื่อไหร่จะรู้ว่ามันจะเงย
ดิฉันคิดว่า ถ้าเราทำความเข้าใจเสียก่อน ว่าไปสู่เป้าหมาย คือ ทำอย่างไร
แล้วค่อยลงทุน จะถูกต้องที่สุด
ถ้ามั่นใจว่ารู้แล้ว ขายตัวที่ติดอยู่ ที่เรารู้ และเชื่อแล้ว ว่า อ้าว ไอ้ที่ถืออยู่นี่มันไม่ใช่แล้ว ก็ขายออกมาซะ ก็จบแล้ว ก็มีเงินลงทุนให้ถูกตัวแล้ว
หรือบางตัวไหน ที่ติดอยู่ และเมื่อศึกษาแล้ว เชื่อได้ว่าพอจะรอมันไหว เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา เราแค่ผิดจังหวะไปหน่อย ก็จะถือรอเหมือนเดิม ก็ไม่ผิดอะไร
อย่างคนที่เขาไตร่ตรองดีแน่แล้ว ว่าเข้าใจในหุ้นที่จะลงทุน ชนิดอ่านขาดเลย ว่างั้น
เขาอาจจะกู้เงินมาลงเพิ่มไปเลย เขาก็คงทำได้ ถ้าเขาหักดอกเบี้ยที่ต้องเสียแล้ว เขาก็ยังมั่นใจแน่ๆว่ากำไรคุ้มมากพอ อันนี้ ดิฉันก็ว่าไม่แปลก
ก็อย่างคนที่มีเงิน แต่เลือกที่จะซื้อรถระบบผ่อนไฟแนนซ์ แล้วเลือกที่จะเอาเงินก้อนที่มี ไว้เพื่อการลงทุน มันก็คือการ เสียดอกโดยอ้อม เพื่อเลือกที่จะให้เงินที่มี มาทำงานให้งอกเงยได้มากกว่า ดอกที่เสียให้กะรถ
หรือบางคน ก็ยังเอาบ้านเข้าแบงค์ซะงั้น เพราะเห็นทางที่จะเอาเงินมาทำธุรกิจอะไรที่เขาเล็งเห็นทาง
ทั้งนี้หมายถึง ดิฉันไม่อยากให้ฝังใจ ว่าการกู้เสียดอกนี่มันเป็นแต่จะมีเรื่องร้ายมาสู่ตัว มันก็ไม่ใช่เสมอไป
อย่างที่บอกค่ะ ต้องแยกกัน มีหรือไม่มีเงิน ,จะกู้เงินมั้ย หรือ จะลงทุนได้กำไรมั้ย สามข้อนี้ มันไม่ใช่ปัญหาเดียวกัน เพียงแต่มันมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน
:D :D
ทีนี้ประเด็นคืออะไร
คือว่า อยากได้เงินมาเพื่อลงทุน เพราะตั้งใจจะทำให้เกิดกำไรงอกขึ้นมา
ต้องแยกกัน
ปัญหาคือ ไม่ใช่เรื่องไม่มีเงิน ดังนั้นไม่เกี่ยวเลย ที่จะต้องไปกู้เงินมาให้เสียดอกเบี้ย
ปัญหาจริงๆคือ เงินมันอยู่ในหุ้นที่ติดอยู่ แล้วถ้าที่ติดอยู่นี่ขาดทุนแดงอยู่ด้วย นี่แปลว่า ปัญหาคือ ความตั้งใจเดิมที่จะทำให้เงินงอกเป็นกำไร ยังไม่เกิดขึ้นตามเป้าหมาย
ดังนั้นหากไปกู้มาถมลงไปอีก ปัญหาจะมาทีเดียวสองชั้น
คือ ทั้งเสี่ยงที่อาจต้องนำมาติดหุ้นให้ขาดทุนอีก หนึ่งล่ะ และสอง เสียแน่ๆคือ ดอกเบี้ย
ก็ง่ายๆ แก้ที่ปัญหาค่ะ
เรื่องไม่มีเงิน ง่ายมากเลย แค่ขายที่ติดอยู่ออกมา ก็มีเงินแล้ว(แต่ไม่เท่าเก่านะ :lol: )
ดังนั้นปัญหาเรื่องไม่มีเงินนั้นแก้ง่าย
ทีนี้ ปัญหาที่ยาก และจริงๆมันคือสาระสำคัญ ในการจะมุ่งไปสู่เป้าหมาย คือ ทำเงินให้งอกเงย ได้...คือ ....ทำไงให้มันงอก เมื่อไหร่จะรู้ว่ามันจะเงย
ดิฉันคิดว่า ถ้าเราทำความเข้าใจเสียก่อน ว่าไปสู่เป้าหมาย คือ ทำอย่างไร
แล้วค่อยลงทุน จะถูกต้องที่สุด
ถ้ามั่นใจว่ารู้แล้ว ขายตัวที่ติดอยู่ ที่เรารู้ และเชื่อแล้ว ว่า อ้าว ไอ้ที่ถืออยู่นี่มันไม่ใช่แล้ว ก็ขายออกมาซะ ก็จบแล้ว ก็มีเงินลงทุนให้ถูกตัวแล้ว
หรือบางตัวไหน ที่ติดอยู่ และเมื่อศึกษาแล้ว เชื่อได้ว่าพอจะรอมันไหว เดี๋ยวมันก็ขึ้นมา เราแค่ผิดจังหวะไปหน่อย ก็จะถือรอเหมือนเดิม ก็ไม่ผิดอะไร
อย่างคนที่เขาไตร่ตรองดีแน่แล้ว ว่าเข้าใจในหุ้นที่จะลงทุน ชนิดอ่านขาดเลย ว่างั้น
เขาอาจจะกู้เงินมาลงเพิ่มไปเลย เขาก็คงทำได้ ถ้าเขาหักดอกเบี้ยที่ต้องเสียแล้ว เขาก็ยังมั่นใจแน่ๆว่ากำไรคุ้มมากพอ อันนี้ ดิฉันก็ว่าไม่แปลก
ก็อย่างคนที่มีเงิน แต่เลือกที่จะซื้อรถระบบผ่อนไฟแนนซ์ แล้วเลือกที่จะเอาเงินก้อนที่มี ไว้เพื่อการลงทุน มันก็คือการ เสียดอกโดยอ้อม เพื่อเลือกที่จะให้เงินที่มี มาทำงานให้งอกเงยได้มากกว่า ดอกที่เสียให้กะรถ
หรือบางคน ก็ยังเอาบ้านเข้าแบงค์ซะงั้น เพราะเห็นทางที่จะเอาเงินมาทำธุรกิจอะไรที่เขาเล็งเห็นทาง
ทั้งนี้หมายถึง ดิฉันไม่อยากให้ฝังใจ ว่าการกู้เสียดอกนี่มันเป็นแต่จะมีเรื่องร้ายมาสู่ตัว มันก็ไม่ใช่เสมอไป
อย่างที่บอกค่ะ ต้องแยกกัน มีหรือไม่มีเงิน ,จะกู้เงินมั้ย หรือ จะลงทุนได้กำไรมั้ย สามข้อนี้ มันไม่ใช่ปัญหาเดียวกัน เพียงแต่มันมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน
:D :D
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
เอ ! วิธีนี้พวกพี่ๆว่าดีไหมครับ
โพสต์ที่ 19
The problem is many people including me are not that smartYou really dont need leverage in this world much. If youre smart, youre going to make a lot of money without borrowing
I do not sleep. I dream.