พุธ ม.ค. 14, 2004 4:09 pm
CK เขียน:
พูดถูกใจจริงท่านอาจารย์ ผมไม่ชอบเรื่องยากๆ ครับ
แค่เห็นสูตรยุบยับ อาหารเช้า-กลางวันมันพาลจะหนี
ออกมาข้างนอกเอาดื้อๆ
ถ้าใช้สูตรแล้วรวยได้ คนที่เป็นนักบัญชีคงจะรวยกันหมดแล้ว
อ้า ไม่ได้หมายความว่านักบัญชีไม่มีรวยสักคนนะครับ
chatchai เขียน:
ผมมีเพื่อนอย่คนหนึ่งจบปริญญาเอกบัญชีที่จฬาฯ ทำงานตำแหน่งก็ใหญ่โตพอควรที่ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งหนึ่ง ทกวันนี้เพื่อนผมมันยังเล่นห้นเก็งกำไรตามข่าว เข้าๆออกๆอย่เลยครับ
การเป็น VI นั้นผมว่ายากที่ใจนะครับ ยิ่งห้นขึ้นแบบนี้ ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ รวยช้าไป
คุณพี่CK ครับ อย่าเรียกผมว่า อาจารย์เลยครับ
เพราะผมยังไม่แก่ (ยังเอ๊าะเอ๊าะอยู่ อิ อิ)
เห็นด้วยกับพี่CK และพี่Chatchai ครับ
ขนาด CFO ของบริษัทผมมีดีกรีเป็น CFA
ยังถือหุ้นไม่เกินสามวันเลยครับ
วันก่อนมาบอกพวกผมที่ออฟฟิศว่า ได้มาสองแสน
พอวันถัดมาบอกเสียไปแล้ว 30%
แต่ผมไม่ได้บอกหรอกครับว่าผมเล่นหุ้นยังไง
พอดีก้วน CFO เป็นก้วนเดียวกับเจ้านายผม
มาปรึกษากันที่ห้องเจ้านายผมทุกเย็นว่า
พรุ่งนี้จะ"เล่น"ตัวไหน
พวกเขาก็ทำกำไรได้เรื่อยๆหละครับ
ช่วงขาขึ้นก็อย่างที่เขาบอกกันว่า
เอาลิงมาเลือกหุ้นก็ยังได้กำไร
ท่าทางจะจริงนะครับ
แต่ผมว่าปีนี้ใครคิดว่าจะหาเงินได้ง่ายๆเหมืือนปีที่แล้ว
คงต้องกลับไปคิดใหม่
ตอนนี้ที่ออฟฟิศผม
"เซียนหุ้น" เดินชนกันเป็นว่าเล่นเลยละครับ
มีน้องคนนึงเพิ่งเปิดพอร์ตเล่นหุ้นได้หนึ่งอาทิตย์
เดินมาบอกผมว่า ให้ซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิ
เขาเพิ่งซื้อไป ได่กำไรมาหลายสิบเปอร์เซนต์
ผมเห็นแล้วก็ตลกดี มองเป็นเรื่องขำขันไป
ส่วนตัวผมคิดว่า
ใครจะเซียนไม่เซียน ต้องดูที่ขาลงครับ
วันนั้นจะวัดใจกันว่า ใครจะประสาทแข็งกว่ากัน
ที่แน่ๆเซียนตัวจริงต้องผ่านร้อนผ่านหนาวได้ในตลาดมาได้ตลอด
ถ้าเพียงแค่เพิ่งเล่นหุ้น หรือ เพิ่งเจ็บจากรอบทีแล้วมา
แล้วได้กำไรรอบนี้ ผมยังถือว่ายังไม่เป็น"เซียน"ครับ
เซียนตัวจริง ทำเงินได้ทั้งขาขึ้นและขาลงครับ
เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าใครเป็น "ลูกผู้ชายตัวจริง" ฮา
ayethebing เขียน:
ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ
แหมเรื่องที่ผมคุยๆไป มันก้อไม่ถึงกับอยู่โลกอื่นหรอกครับ มันแค่อีกมุมมองนึงเท่านั้นเอง
อิ อิ
ยังไงก็รบกวนคุณayethebing ในกระทู้นี้เรื่อยๆนะครับ
รับปากแล้วนะครับ ห้ามปฏิเสธ
ลูกอีสาน เขียน:
คุณวิบูลย์ครับ หลังจากผมอ่าน The ืNew Buffetology จบแล้ว
ผมสรุปง่ายๆว่า
สูตรทำเงินของ Buffet คือ
ซื้อหุ้นของกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขัน(ที่ยั่งยืน)
ที่ราคาเหมาะสม (ตอนเศรษกิจหรืออุตสาหกรรมตกต่ำ)
ผมสงสัยประการหลังครับ คือ แม้แต่ตอนนี้ที่เป็นตลาดกระทิง
ผมก็คิดว่ายังมีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ผมก็เลยยังถือหุ้นเหล่านั้น เต็มพอร์ทร้อยเปอร์เซนต์
แล้วตอนภาวะตกต่ำ ผม (หรือวอร์เรนต์) จะเอาเงินจากไหน
ไปซื้อหุ้นราคาถูกละครับ
เพราะตอนซบเซา แม้แต่หุ้นดีๆ ราคาก็ตกลงไปมากครับ
ก็เลยแปลกใจว่าทำไม แม้แต่ในปีที่หุ้นตกอย่างรุนแรง
พอร์ทของวอร์เรนก็ยังเป็นบวกได้ครับ
รบกวนแค่นี้นะครับ
คุณพี่CKก็ช่วยตอบไปแล้วนะครับ
คราวนี้ถึงคิวของผมบ้าง
คำถามของคุณลูกอีสาน
ผมก็ถามตัวเองเหมือนกันครับ
ถามมานานๆๆๆๆๆมาก
แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากตัวเองสักที
มีวันหนึ่งไม่รุ้อะไรดลใจ
ตอบคำถามนี้ได้ตรงเปรี้ยงเลยละครับ
คือคำตอบมีอยู่ว่า
ที่อาจารย์บัฟเฟตสามารถมีเงินลงทุนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องขายหุ้นนั้น
ก็เพราะว่า แกไปซื้อธุรกิจประกันมาหลายบริษัทมาก
สิ่งที่แกเห็นในธุรกิจประกันซึ่งที่เป็นธุรกิจที่เป็น Commodity แข่งขันกันด้วยราคานั้น
ไม่ใช่กำไรจากหุ้นที่ถืออยู่
แต่เป็น.................
กระแสเงินสดและ Free Float อันมหาศาลของบริษัทประกัน
Free Float เกิดจากเงินที่ผู้เอาประกันจ่ายล่วงหน้า
ถ้าไม่มีการเคลม เงินนี้ก็คือได้มาฟรี
เงินก้อนนี้เองที่ไหลเข้ากระเป๋าของบัฟเฟตทุกวัน
วันละหลายล้านเหรียญ
สิ่งที่บัฟเฟตต้องคิดเพียงอย่างเดียวคือ
จะเอาเงินก้อนนี้ไป"ลงทุน"อย่างไร
ถึงเวลานั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่องซื้อขายแล้วครับ
แค่คิดจะเอาเงินที่ไหลเข้ามาทุกวันไปลงทุนให้หมดก็ปวดหัวแล้ว
ดังนั้นถือหุ้นสิบถึงยี่สิบปีก็ไม่มีปัญหาสำหรับอาจารย์บัฟเฟตแต่อย่างใด
ตอนเริ่มตั้ง Buffet Partnership ใหม่ๆ
บัฟเฟตก็หา Cashflow จากก้นบุหรี่ครับ
จนแกพบทางสว่างจากเงินฟรีของบริษัทประกัน
ก็เลยกว้านซื้อบริษัทประกันเข้าพอร์ตเป็นว่าเล่น
ฉลาดไหมครับ
ทีนี้คำถามที่ว่า ถ้าเกิดตลาดเข้าสู่ภาวะตกต่ำจะทำอย่างไร
ถ้าไม่ขายหุ้น จะเอาเงินจากไหนไปซื้อหุ้นล่ะ
แต่ก่อนผมก็ตอบคำถามนี้กับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
คิด คิดเท่าไร คิดไม่ออกซะที ๆ ๆ ๆ
(ลองร้องซ้ำๆหลายๆครั้งจะเหมือนเพลงดังในอดีตเพลงหนึ่ง)
จนวันนึงมีอะไรมาดลใจก็ไม่รู้
ตอบคำถามนี้ได้ตรงเปรี้ยงเลยละครับ
คำตอบมีอยู่ว่า..........
เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้ขายหุ้นที่ดูแล้วแย่ที่สุดในพอร์ตออกไป
จำพวกเกรดบี เกรดซี อะไรทำนองนั้น
แต่ถือหุ้นที่ดีที่สุดในระยะยาวไว้
เพื่อเอาเงินที่ขายหุ้นเกรดรองไปซื้อหุ้นเกรดเอที่ถือไว้
ในราคาที่ต่ำสุดๆ
เพื่อรอวันตลาดหวนกลับ
ซึ่งสักวันมันจะกลับมาแน่นอน
ถ้าไม่หุ้นเกรดเอเลยก็ล้างพอร์ต
เอาเงินไปรอซื้อหุ้นเกรดเอในตอนตลาดตกต่ำ
แต่ต้องดูด้วยนะครับ
ไม่ใช่ล้างพอร์ตแล้วหุ้นขึ้นต่อนะครับ
เสียโอกาสแย่เลย
ส่วนคำถามที่ว่า
"ก็เลยแปลกใจว่าทำไม แม้แต่ในปีที่หุ้นตกอย่างรุนแรง
พอร์ทของวอร์เรนก็ยังเป็นบวกได้ครับ"
ผมก็ตอบไม่ได้ครับ
ถ้าใครตอบได้ ช่วยบอกผมด้วยนะครับ
ผมว่านี่ละครับ "ยอดเซียนหุ้นตัวจริง"
ตลาดตก แต่พอร์ตยังเป็นบวกได้
สุดยอดครับ สุดยอด
ก็กำลังค้นหาอยู่เหมือนกันครับ
ว่าจะทำได้ยังไง ต้องค้นหาและศึกษาต่อไปครับ
อย่ายอมแพ้นะ ไอ้มดแดง ฮ่า ฮ่า
หวังว่าคุณอาจารย์ลูกอีสาน คงได้อะไรจากคำตอบผมบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
house เขียน:
คำถามครับ ผมเพิ่งอ่าน new buffetology ไปแบบกระโดดๆ(กะจะมาใหม่ละเอียดอีกรอบทีหลัง)แล้วสงสัยครับ
วอเรนต์ สวอปหุ้นของเบิร์กไชน์ 2.2 พันล้าน กับหุ้นบริษัทประกัน
100 % นี่หมายความว่าไงครับ หุ้นบริษัทประกันก็ต้องอยู่ในมือผู้ถือหุ้นไม่ใช่เหรอครับ หรือวอเรนต์ซื้อบริษัทเลยจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด หรือว่าแค่แลกพอร์ต งง ครับ แล้วกรณีนี้เหมือนหรือแตกต่างกับกรณีหุ้นราชบุรียังไงครับ
ฮ่า ฮ่า
ลองไปอ่านดูอีกสักรอบมั๊ยครับ
เพื่อจะเจอคำตอบเอง อิ อิ
แซวเล่นนะครับ
ตัวอย่างทีเห็นคือการแสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะของอาจารย์บัฟเฟต
คือว่า บัฟเฟตมองว่า
ราคาหุ้นเบริคไชน์ตอนนั้นมีมูลค่าสูงเกินจริงไปแล้ว
ในทางทฤษฏีก็ควรขายหุ้นมาถือพันธบัตรใช่ไหมครับ
แต่ถ้าจะขายออกมาในตลาดตอนนั้นก็จะทำให้ราคาหุ้นลดลงฮวบฮาบ
เพราะแกเล่นถือไว้เกือบครึ่งบริษัท
อีกอย่างแกคงไม่ยอมขายหุ้นเบริคไชน์ง่ายๆ
ดังนั้นจะทำอย่างไรดี..........
ช่วยแกคิดหน่อยซิครับ ...............ติ้กต้อก ติ้กต้อก ๆ ๆ ๆ
วิธีการก็คือ
เอาหุ้นเบริคไชน์(ที่มีมูลค่าสูงเกินจริง)
ไปแลกกับหุ้นของบริษัทประกัน
(น่าจะเป็น General Re น่ะถ้าผมจำไม่ผิด)
สิ่งที่ได้มาก็คือ มูลค่าพอร์ตการลงทุนในพันธบัตรของบริษัทประกันนั้นเต็มๆ
นั่นหมายความว่า
เอาหุ้นเบริคไชน์ไปแลกเป็นพันธบัตรมาโดยไม่ต้องขายหุ้นสักหุ้น
ฉลาดไหมครับ
อย่างนี้เขาเรียกว่า "อัจฉริยะ"ครับ
สมแล้วที่เขายกย่องกันว่า บัฟเฟตเป็นสุดยอดนักลงทุน
เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย
ลองศึกษาCaseนี้ดูดีๆแล้วกันครับ
จะเจออะไรดีดีๆอีกมากเลยครับ
ส่วนที่ถามว่าเหมือนหรือต่างจากราชบุรี
ผมว่าไม่เหมือนกันเลย
เพราะการที่ กฟผ ซื้อหุ้นราชบุรี
เป็นเรื่องของ Politic มากกว่าเรื่องการลงทุน
จริงไม่จริง ถามผู้รู้ท่านอื่นๆด้วยแล้วกันครับ
ผมไม่ใช่มนุษย์ไฟฟ้าเลยไม่ถนัดเรื่องไฟฟ้งไฟฟ้ากับเขา
ลองอ่านบทความของ ดร.ปิยะสวัสดิ์ อมรนันท์ ในกรุงเทพธุรกิจซิครับ
จะเข้าใจเรื่องมนุษย์ไฟฟ้าได้ถึงกึ๋นจริงๆ
เอาล่ะครับ
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ