นี่มันคืออะไรเหรอ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
นี่มันคืออะไรเหรอ
โพสต์ที่ 1
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
นี่มันคืออะไรเหรอ
โพสต์ที่ 2
ใคร short ครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- apichai214
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 207
- ผู้ติดตาม: 0
นี่มันคืออะไรเหรอ
โพสต์ที่ 6
SELLING SHORT หรือ SHORT SELL (การขายชอร์ต)
การขายหุ้นโดยที่ผู้ขายได้ยืมหุ้นนั้นมาจากบริษัทหลักทรัพย์หรือจากสถาบันที่ให้บริการยืมหุ้น ผู้ขายชอร์ตจะต้อง วางเงินประกัน (Margin) ไว้กับบริษัทผู้ให้ยืมหุ้นในจำนวนไม่ต่ำกว่าอัตราที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดและเงินจาก การขายหุ้นดัง กล่าว ก็ต้องเก็บรักษาไว้ที่บริษัทนายหน้าเพื่อเป็นหลักประกันด้วย ทั้งนี้จนกว่าผู้ขายชอร์ตจะส่งคืนหุ้น จำนวนที่ยืมไปนั้น ซึ่งจะส่ง คืนหุ้น ณ วันที่ถึงกำหนดส่งคืนหุ้นหรือส่งคืนก่อนวันครบกำหนดก็ได้ ในระหว่างที่ยัง ไม่ส่งคืนหุ้น หากหุ้นนั้นได้รับสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากบริษัทผู้ออกหุ้น ผู้ขายชอร์ตจะต้องส่งมอบสิทธิต่าง ๆ ี่เกิดขึ้นนั้นแก่บริษัทนายหน้าของตน เพื่อส่งมอบต่อให้แก่เจ้าของหุ้นที่ให้ ยืมอีกทอดหนึ่ง สิทธิต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การจ่ายเงินปันผล การให้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เป็นต้น
เอามาจาก web นี้ครับ
http://www.set.or.th/th/education/gloss ... llingshort
อันนี้จาก efinancethai.com
ในตอนนี้ผมจะขอพูดถึงการ Short Sell ในลักษณะต่างๆ อันจะนำมาซึ่งแนวคิดในการทำกำไรของท่านในเวลาที่ตลาดหุ้นหรือตัวหุ้นของท่านมีทิศทางเป็นขาลงครับ
การ Short Sell นั้นอยู่บนแนวคิดที่ว่าราคาของหุ้นหรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังจะตก เราจึงต้องการขายของสิ่งนั้นออกไปก่อนในราคาแพงๆเท่าที่เราจะขายได้ แล้วจึงค่อยกลับมาซื้อมันคืนในเวลาที่ราคาของมันตกมาแล้วในราคาถูกๆ สรุปง่ายๆก็คือการ ขายแพง ซื้อถูก นั่นเอง ซึ่งจะแตกต่างจากมุมมองที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยที่เป็นการ ซื้อถูก ขายแพง อันเป็นสัจธรรมแห่งการทำกำไรมาแต่ช้านาน
สำหรับการ Short Sell ในตลาดหุ้น(SET)นั้นผมขอแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
การยืมหุ้นคนอื่นมาขาย (Short sell stock) เนื่องจากมีกฎของตลาดหุ้นที่ว่าเราไม่สามารถขายหุ้นได้ถ้าไม่มีหุ้นนั้นในมือ ดังนั้นถ้าเราเห็นโอกาสว่าราคาของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งกำลังจะตก เราก็อาจไปยืมหุ้นของคนอื่นมาขายในตลาดก่อน พอราคาของมันตกลงไปแล้วค่อยไปซื้อมันคืนมาจากตลาดเพื่อนำไปคืนให้กับเจ้าของหุ้นที่เราไปยืมเขามา โดยในปัจจุบันก็มีโบรกเกอร์หุ้นบางรายที่มีบริการให้ยืมหุ้นแก่ลูกค้าของตัวเอง ซึ่งธุรกรรมประเภทนี้เขาจะเรียกว่าธุรกรรม SBL หรือ Securities Borrowing and Lending โดยหุ้นที่โบรกเกอร์มีให้ยืมมักจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 Index (เช่น PTT, SCC, KBANK ฯลฯ) ซึ่งผู้ยืมหุ้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยืม (เช่น 6% ต่อปี โดยคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันในระหว่างที่ทำการยืม) โดยระยะเวลาในการยืมนั้นอาจทำการกำหนดระยะเวลาไว้อย่างแน่นอน(Term) หรือไม่กำหนดระยะเวลา(On Call) ก็ได้แล้วแต่จะตกลงกันกับผู้ให้ยืมหุ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเราไปยืมหุ้นเขามาเราก็ต้องคืนหุ้นให้กับเขานะครับ จะเบี้ยวว่ายืมแล้วก็อมซะเลย(แบบเวลาที่เรายืมเงินเพื่อน)ไม่ได้นะครับ และเพื่อเป็นการป้องกันว่าผู้ยืมหุ้นจะบิดพลิ้วไม่ยอมคืนหุ้นที่ยืมแก่เจ้าของหุ้น โบรกเกอร์ก็จะให้ลูกค้าคนนั้นวางหลักประกันกับทางโบรกเกอร์ก่อนที่จะให้ลูกค้าคนนั้นยืมหุ้นครับ
สำหรับท่านใดที่เป็นนักลงทุนระยะยาวๆและต้องการให้คนอื่นยืมหุ้นของตนก็สามารถติดต่อโบรกเกอร์ที่มีบริการ SBL ได้เช่นกัน ซึ่งผู้ให้ยืมหุ้นก็จะได้รับค่าธรรมเนียมการให้ยืมเป็นของตอบแทนครับ ถือเป็นการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับท่านในระหว่างที่ท่านทำการลงทุนระยะยาวๆครับ
การขายหุ้นที่ตนมีอยู่ (Short against port) ในกรณีที่เรามีหุ้นอยู่ในมืออยู่แล้วและคิดว่าราคาของหุ้นตัวนั้นกำลังจะตก เราก็สามารถทำการขายหุ้นตัวนั้นของเราในตลาดก่อน พอราคาของมันตกลงไปแล้วก็ค่อยไปซื้อมันคืนจากตลาดกลับเข้ามาในมือใหม่ เช่น เรามีหุ้น PTT อยู่ในมือ 1,000 หุ้นแล้วคิดว่าราคาของมันกำลังจะตก เราจึงขายหุ้น PTT ออกไป 1,000 หุ้นที่ราคาตลาด 250 บาท ต่อจากนั้นปรากฏว่าราคาของหุ้น PTT ก็ตกจริงๆไปอยู่ที่ราคา 230 บาท เราจึงไปซื้อคืนจากตลาด ณ ราคาดังกล่าว ซึ่งผลลัพธ์ก็คือเราจะได้กำไร 20 บาท/หุ้น * 1,000 หุ้น = 20,000 บาทโดยที่เรามีหุ้น PTT อยู่ในมือ 1,000 หุ้นครบถ้วนเหมือนเดิม
แน่นอนครับว่าการ Short Sell ก็ต้องมีความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงก็คือถ้าเราทำการขายไปแล้วแต่ราคาของหุ้นตัวนั้นกลับปรับตัวสูงขึ้นทำให้เราต้องกลับไปซื้อมันคืนในราคาที่แพงขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่าเกิดอาการ ขายหมู นั่นเองครับ ซึ่งกรณี
นี้จะทำให้เราขาดทุนได้ เช่น ขาย PTT ออกไป 1,000 หุ้นที่ราคา 250 บาทแต่ต้องไปซื้อคืนที่ราคา 260 บาท ทำให้เราเสียเงินไป 10 บาท/หุ้น * 1,000 หุ้น = 10,000 บาทฟรีๆกับการมีจำนวนหุ้นในมือเท่าเดิม
สำหรับ SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์(TFEX)นั้นเราก็สามารถทำการ Short Sell ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะถูกขายนั้นจะไม่ใช่ตัวหุ้นแต่จะเป็นการขายดัชนี SET50 Index แทน ซึ่งถ้าเราคิดว่าตลาดหุ้นจะตก(ดัชนี SET50 Index จะตก) ราคาของ SET50 Index Futures ก็จะตกตามดัชนี SET50 Index เราก็สามารถทำกำไรได้โดยการขาย(Short) SET50 Index Futures ณ ราคาของ SET50 Index Futures ที่สูงๆในตอนนั้น แล้วค่อยกลับมาซื้อ(Long)SET50 Index Futures คืนเพื่อเป็นการปิดสถานะ ณ ราคาของ SET50 Index Futures ที่ต่ำๆในเวลาต่อมา ซึ่งการขาย(Short) SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์จะดีกว่าการ Short Sell หุ้นในตลาดหุ้นตรงที่เราสามารถขาย(Short) SET50 Index Futures ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index อยู่ในมือ และเราจะใช้วิธีการชำระส่วนต่างของกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด(Cash Settlement) แทนที่เราจะต้องไปหาซื้อหุ้นจากตลาดมาส่งมอบกันจริงๆ
ในการคำนวณกำไรขาดทุนของผู้ขาย(Short) SET50 Index Futures นั้นจะ = (ราคา SET50 Index Futures ที่ขายไว้ในตอนแรก ราคา SET50 Index Futures ที่ซื้อคืนเพื่อปิดสถานะ) * ตัวคูณดัชนี * จำนวนสัญญา
ตัวอย่างเช่นถ้าเราขาย(Short) SET50 Index Futures 2 สัญญาที่ราคา 500 จุด แล้วกลับมาซื้อคืนเพื่อปิดสถานะที่ราคา 490 จุด เราจะได้กำไร = (500 490) * ตัวคูณดัชนี(1,000 บาท) * เรามี 2 สัญญา = 20,000 บาท
แล้วเราควรจะ Short Sell หุ้น หรือ Short SET50 Index Futures ดีล่ะ? คำถามนี้ตอบง่ายมากเลยครับว่า
ถ้าคิดว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะตกแน่ๆ เราก็ควรจะ Short Sell หุ้นตัวนั้น ถ้ามีหุ้นในมือก็ให้ Short against port ถ้าไม่มีหุ้นในมือก็ให้ไปยืมหุ้นคนอื่นมาขายผ่านธุรกรรม SBL
ถ้าคิดว่าตลาดหุ้นจะตก เราก็ควรจะขาย(Short) SET50 Index Futures เพื่อทำกำไร
ถ้าคิดว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะตกแต่เราไม่มีหุ้นตัวนั้นในมือและไม่มีใครให้เรายืมหุ้นตัวนั้นมาขาย แต่หุ้นตัวนั้นน่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แน่นอนครับว่าคำตอบที่ถูกต้องที่จะช่วยท่านทำกำไรได้ก็คือการขาย(Short) SET50 Index Futures นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการขาย(Short) SET50 Index Futures นั้นสามารถทำได้ง่ายและใช้ได้ในหลายกรณีเมื่อเทียบกับการ Short Sell หุ้นครับ
http://www.efinancethai.com/columnist/f ... ort_id=579
การขายหุ้นโดยที่ผู้ขายได้ยืมหุ้นนั้นมาจากบริษัทหลักทรัพย์หรือจากสถาบันที่ให้บริการยืมหุ้น ผู้ขายชอร์ตจะต้อง วางเงินประกัน (Margin) ไว้กับบริษัทผู้ให้ยืมหุ้นในจำนวนไม่ต่ำกว่าอัตราที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดและเงินจาก การขายหุ้นดัง กล่าว ก็ต้องเก็บรักษาไว้ที่บริษัทนายหน้าเพื่อเป็นหลักประกันด้วย ทั้งนี้จนกว่าผู้ขายชอร์ตจะส่งคืนหุ้น จำนวนที่ยืมไปนั้น ซึ่งจะส่ง คืนหุ้น ณ วันที่ถึงกำหนดส่งคืนหุ้นหรือส่งคืนก่อนวันครบกำหนดก็ได้ ในระหว่างที่ยัง ไม่ส่งคืนหุ้น หากหุ้นนั้นได้รับสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากบริษัทผู้ออกหุ้น ผู้ขายชอร์ตจะต้องส่งมอบสิทธิต่าง ๆ ี่เกิดขึ้นนั้นแก่บริษัทนายหน้าของตน เพื่อส่งมอบต่อให้แก่เจ้าของหุ้นที่ให้ ยืมอีกทอดหนึ่ง สิทธิต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การจ่ายเงินปันผล การให้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เป็นต้น
เอามาจาก web นี้ครับ
http://www.set.or.th/th/education/gloss ... llingshort
อันนี้จาก efinancethai.com
ในตอนนี้ผมจะขอพูดถึงการ Short Sell ในลักษณะต่างๆ อันจะนำมาซึ่งแนวคิดในการทำกำไรของท่านในเวลาที่ตลาดหุ้นหรือตัวหุ้นของท่านมีทิศทางเป็นขาลงครับ
การ Short Sell นั้นอยู่บนแนวคิดที่ว่าราคาของหุ้นหรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังจะตก เราจึงต้องการขายของสิ่งนั้นออกไปก่อนในราคาแพงๆเท่าที่เราจะขายได้ แล้วจึงค่อยกลับมาซื้อมันคืนในเวลาที่ราคาของมันตกมาแล้วในราคาถูกๆ สรุปง่ายๆก็คือการ ขายแพง ซื้อถูก นั่นเอง ซึ่งจะแตกต่างจากมุมมองที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยที่เป็นการ ซื้อถูก ขายแพง อันเป็นสัจธรรมแห่งการทำกำไรมาแต่ช้านาน
สำหรับการ Short Sell ในตลาดหุ้น(SET)นั้นผมขอแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
การยืมหุ้นคนอื่นมาขาย (Short sell stock) เนื่องจากมีกฎของตลาดหุ้นที่ว่าเราไม่สามารถขายหุ้นได้ถ้าไม่มีหุ้นนั้นในมือ ดังนั้นถ้าเราเห็นโอกาสว่าราคาของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งกำลังจะตก เราก็อาจไปยืมหุ้นของคนอื่นมาขายในตลาดก่อน พอราคาของมันตกลงไปแล้วค่อยไปซื้อมันคืนมาจากตลาดเพื่อนำไปคืนให้กับเจ้าของหุ้นที่เราไปยืมเขามา โดยในปัจจุบันก็มีโบรกเกอร์หุ้นบางรายที่มีบริการให้ยืมหุ้นแก่ลูกค้าของตัวเอง ซึ่งธุรกรรมประเภทนี้เขาจะเรียกว่าธุรกรรม SBL หรือ Securities Borrowing and Lending โดยหุ้นที่โบรกเกอร์มีให้ยืมมักจะเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 Index (เช่น PTT, SCC, KBANK ฯลฯ) ซึ่งผู้ยืมหุ้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยืม (เช่น 6% ต่อปี โดยคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันในระหว่างที่ทำการยืม) โดยระยะเวลาในการยืมนั้นอาจทำการกำหนดระยะเวลาไว้อย่างแน่นอน(Term) หรือไม่กำหนดระยะเวลา(On Call) ก็ได้แล้วแต่จะตกลงกันกับผู้ให้ยืมหุ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเราไปยืมหุ้นเขามาเราก็ต้องคืนหุ้นให้กับเขานะครับ จะเบี้ยวว่ายืมแล้วก็อมซะเลย(แบบเวลาที่เรายืมเงินเพื่อน)ไม่ได้นะครับ และเพื่อเป็นการป้องกันว่าผู้ยืมหุ้นจะบิดพลิ้วไม่ยอมคืนหุ้นที่ยืมแก่เจ้าของหุ้น โบรกเกอร์ก็จะให้ลูกค้าคนนั้นวางหลักประกันกับทางโบรกเกอร์ก่อนที่จะให้ลูกค้าคนนั้นยืมหุ้นครับ
สำหรับท่านใดที่เป็นนักลงทุนระยะยาวๆและต้องการให้คนอื่นยืมหุ้นของตนก็สามารถติดต่อโบรกเกอร์ที่มีบริการ SBL ได้เช่นกัน ซึ่งผู้ให้ยืมหุ้นก็จะได้รับค่าธรรมเนียมการให้ยืมเป็นของตอบแทนครับ ถือเป็นการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับท่านในระหว่างที่ท่านทำการลงทุนระยะยาวๆครับ
การขายหุ้นที่ตนมีอยู่ (Short against port) ในกรณีที่เรามีหุ้นอยู่ในมืออยู่แล้วและคิดว่าราคาของหุ้นตัวนั้นกำลังจะตก เราก็สามารถทำการขายหุ้นตัวนั้นของเราในตลาดก่อน พอราคาของมันตกลงไปแล้วก็ค่อยไปซื้อมันคืนจากตลาดกลับเข้ามาในมือใหม่ เช่น เรามีหุ้น PTT อยู่ในมือ 1,000 หุ้นแล้วคิดว่าราคาของมันกำลังจะตก เราจึงขายหุ้น PTT ออกไป 1,000 หุ้นที่ราคาตลาด 250 บาท ต่อจากนั้นปรากฏว่าราคาของหุ้น PTT ก็ตกจริงๆไปอยู่ที่ราคา 230 บาท เราจึงไปซื้อคืนจากตลาด ณ ราคาดังกล่าว ซึ่งผลลัพธ์ก็คือเราจะได้กำไร 20 บาท/หุ้น * 1,000 หุ้น = 20,000 บาทโดยที่เรามีหุ้น PTT อยู่ในมือ 1,000 หุ้นครบถ้วนเหมือนเดิม
แน่นอนครับว่าการ Short Sell ก็ต้องมีความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงก็คือถ้าเราทำการขายไปแล้วแต่ราคาของหุ้นตัวนั้นกลับปรับตัวสูงขึ้นทำให้เราต้องกลับไปซื้อมันคืนในราคาที่แพงขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่าเกิดอาการ ขายหมู นั่นเองครับ ซึ่งกรณี
นี้จะทำให้เราขาดทุนได้ เช่น ขาย PTT ออกไป 1,000 หุ้นที่ราคา 250 บาทแต่ต้องไปซื้อคืนที่ราคา 260 บาท ทำให้เราเสียเงินไป 10 บาท/หุ้น * 1,000 หุ้น = 10,000 บาทฟรีๆกับการมีจำนวนหุ้นในมือเท่าเดิม
สำหรับ SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์(TFEX)นั้นเราก็สามารถทำการ Short Sell ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะถูกขายนั้นจะไม่ใช่ตัวหุ้นแต่จะเป็นการขายดัชนี SET50 Index แทน ซึ่งถ้าเราคิดว่าตลาดหุ้นจะตก(ดัชนี SET50 Index จะตก) ราคาของ SET50 Index Futures ก็จะตกตามดัชนี SET50 Index เราก็สามารถทำกำไรได้โดยการขาย(Short) SET50 Index Futures ณ ราคาของ SET50 Index Futures ที่สูงๆในตอนนั้น แล้วค่อยกลับมาซื้อ(Long)SET50 Index Futures คืนเพื่อเป็นการปิดสถานะ ณ ราคาของ SET50 Index Futures ที่ต่ำๆในเวลาต่อมา ซึ่งการขาย(Short) SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์จะดีกว่าการ Short Sell หุ้นในตลาดหุ้นตรงที่เราสามารถขาย(Short) SET50 Index Futures ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index อยู่ในมือ และเราจะใช้วิธีการชำระส่วนต่างของกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นเงินสด(Cash Settlement) แทนที่เราจะต้องไปหาซื้อหุ้นจากตลาดมาส่งมอบกันจริงๆ
ในการคำนวณกำไรขาดทุนของผู้ขาย(Short) SET50 Index Futures นั้นจะ = (ราคา SET50 Index Futures ที่ขายไว้ในตอนแรก ราคา SET50 Index Futures ที่ซื้อคืนเพื่อปิดสถานะ) * ตัวคูณดัชนี * จำนวนสัญญา
ตัวอย่างเช่นถ้าเราขาย(Short) SET50 Index Futures 2 สัญญาที่ราคา 500 จุด แล้วกลับมาซื้อคืนเพื่อปิดสถานะที่ราคา 490 จุด เราจะได้กำไร = (500 490) * ตัวคูณดัชนี(1,000 บาท) * เรามี 2 สัญญา = 20,000 บาท
แล้วเราควรจะ Short Sell หุ้น หรือ Short SET50 Index Futures ดีล่ะ? คำถามนี้ตอบง่ายมากเลยครับว่า
ถ้าคิดว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะตกแน่ๆ เราก็ควรจะ Short Sell หุ้นตัวนั้น ถ้ามีหุ้นในมือก็ให้ Short against port ถ้าไม่มีหุ้นในมือก็ให้ไปยืมหุ้นคนอื่นมาขายผ่านธุรกรรม SBL
ถ้าคิดว่าตลาดหุ้นจะตก เราก็ควรจะขาย(Short) SET50 Index Futures เพื่อทำกำไร
ถ้าคิดว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะตกแต่เราไม่มีหุ้นตัวนั้นในมือและไม่มีใครให้เรายืมหุ้นตัวนั้นมาขาย แต่หุ้นตัวนั้นน่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แน่นอนครับว่าคำตอบที่ถูกต้องที่จะช่วยท่านทำกำไรได้ก็คือการขาย(Short) SET50 Index Futures นั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการขาย(Short) SET50 Index Futures นั้นสามารถทำได้ง่ายและใช้ได้ในหลายกรณีเมื่อเทียบกับการ Short Sell หุ้นครับ
http://www.efinancethai.com/columnist/f ... ort_id=579