อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์ที่ 1
ว่าที่จริงตอนนี้ผมว่าหุ้นกลุ่มนี้ก็โตมาเยอะ จนน่าจะเป็น Overvalued แล้ว แต่ว่าในอนาคตเหตุผลหนึ่งที่มันจะยังคงไปได้ไกลก็คือ
ในความเป็น Medical hub ที่จะมีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ อันนี้เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
แต่อีกหนึ่งเหตุผล ที่คิดไว้ก็คือ การฟ้องร้องหมอมากขึ้น ก็กลับจะทำให้กลุ่มแพทย์ใช้วิธีป้องกันตัว โดยบางคนก็ไปทำประกันในวิชาชีพ แต่วิธีหนึ่งที่แพทย์ทำ (ซึ่งถ้าเป็นผมก็คงต้องทำด้วยเช่นกัน) ก็คือ ในการสื่อสารกับคนไข้ คนไข้จะได้รับข้อมูลที่ Exagerate มากขึ้น ซึ่งมิได้เป็นความผิดของแพทย์ แต่เป็นความจำเป็นที่แพทย์จะต้องใช้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด นั่นก็คือ จะสื่อสารในเรื่องของ Complication ล่วงหน้าให้คนไข้ได้รับรู้ไว้ก่อนเสมอ ทั้งที่คนที่มีความรู้ในวิชาชีพแพทย์เองก็รู้อยู่แล้วว่าโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนนั้นอาจจะมีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่ก็ต้องบอกคนไข้ไว้เสมอ เช่นว่า "ตกลงว่าคุณเป็นลำไส้อักเสบนะ แต่ว่าตอนนี้คุณมีไข้สูงมาก แสดงว่ามันอาจจะมีการติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด หมออยากให้คุณนอนโรงพยาบาล"
ซึ่งบางทีการรักษาท้องเสียเราอาจจะแค่กินยาก็หายได้ แต่ในอนาคต การเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ พร้อมจะถูกมองว่าเป็นเรื่องรุนแรงได้หมด เพราะถ้าหมอไม่บอกว่ามันรุนแรง แต่พอมันเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นมา แพทย์ก็โดนฟ้องอีกอยู่ดี
ในอนาคต คนไทยก็จะเป็นเหมือนอเมริกา นั่นก็คือ คนไม่ได้รู้เรื่องทางการแพทย์อย่างที่ควรจะเป็นเท่าไหร่เลย มีอะไรก็จะต้องกลัวไว้ก่อนเสมอ มีข่าวเรื่องไข้หวัดนกระบาด ก็ไปขวนขวายหายาวัคซีน หรือ ซื้อยาTamiflu มารอไว้ก่อนทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด หรือเอาง่ายๆ ลองดูนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เข้ามาในเมืองไทยดูสิ เกือบครึ่งที่จะต้องหายาป้องกันมาลาเรียมากิน ทั้งๆที่คนไทยไม่เคยมีใครต้องกินยาป้องกันดังกล่าวเลย ในทางการแพทย์เค้าก็รู้กันอยู่แล้วว่า เอาไว้เมือ่เป็นไข้หลังออกจากป่ามาค่อยสงสัย ค่อยเจาะเลือด ค่อยทำการรักษาดีกว่า
ก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร แต่ถือได้ว่าเป็น อีกหนึ่งกระแส หรือไม่ที่จะมีผลต่อระบบการแพทย์ของเมืองไทยเรา
(หมายเหตุ ผมมิได้มีหุ้นในกลุ่มนี้เพื่อปั่นหุ้นแต่อย่างใด แต่ก็มองๆไว้แหละ )
ในความเป็น Medical hub ที่จะมีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ อันนี้เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
แต่อีกหนึ่งเหตุผล ที่คิดไว้ก็คือ การฟ้องร้องหมอมากขึ้น ก็กลับจะทำให้กลุ่มแพทย์ใช้วิธีป้องกันตัว โดยบางคนก็ไปทำประกันในวิชาชีพ แต่วิธีหนึ่งที่แพทย์ทำ (ซึ่งถ้าเป็นผมก็คงต้องทำด้วยเช่นกัน) ก็คือ ในการสื่อสารกับคนไข้ คนไข้จะได้รับข้อมูลที่ Exagerate มากขึ้น ซึ่งมิได้เป็นความผิดของแพทย์ แต่เป็นความจำเป็นที่แพทย์จะต้องใช้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด นั่นก็คือ จะสื่อสารในเรื่องของ Complication ล่วงหน้าให้คนไข้ได้รับรู้ไว้ก่อนเสมอ ทั้งที่คนที่มีความรู้ในวิชาชีพแพทย์เองก็รู้อยู่แล้วว่าโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนนั้นอาจจะมีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่ก็ต้องบอกคนไข้ไว้เสมอ เช่นว่า "ตกลงว่าคุณเป็นลำไส้อักเสบนะ แต่ว่าตอนนี้คุณมีไข้สูงมาก แสดงว่ามันอาจจะมีการติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด หมออยากให้คุณนอนโรงพยาบาล"
ซึ่งบางทีการรักษาท้องเสียเราอาจจะแค่กินยาก็หายได้ แต่ในอนาคต การเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ พร้อมจะถูกมองว่าเป็นเรื่องรุนแรงได้หมด เพราะถ้าหมอไม่บอกว่ามันรุนแรง แต่พอมันเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นมา แพทย์ก็โดนฟ้องอีกอยู่ดี
ในอนาคต คนไทยก็จะเป็นเหมือนอเมริกา นั่นก็คือ คนไม่ได้รู้เรื่องทางการแพทย์อย่างที่ควรจะเป็นเท่าไหร่เลย มีอะไรก็จะต้องกลัวไว้ก่อนเสมอ มีข่าวเรื่องไข้หวัดนกระบาด ก็ไปขวนขวายหายาวัคซีน หรือ ซื้อยาTamiflu มารอไว้ก่อนทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด หรือเอาง่ายๆ ลองดูนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เข้ามาในเมืองไทยดูสิ เกือบครึ่งที่จะต้องหายาป้องกันมาลาเรียมากิน ทั้งๆที่คนไทยไม่เคยมีใครต้องกินยาป้องกันดังกล่าวเลย ในทางการแพทย์เค้าก็รู้กันอยู่แล้วว่า เอาไว้เมือ่เป็นไข้หลังออกจากป่ามาค่อยสงสัย ค่อยเจาะเลือด ค่อยทำการรักษาดีกว่า
ก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร แต่ถือได้ว่าเป็น อีกหนึ่งกระแส หรือไม่ที่จะมีผลต่อระบบการแพทย์ของเมืองไทยเรา
(หมายเหตุ ผมมิได้มีหุ้นในกลุ่มนี้เพื่อปั่นหุ้นแต่อย่างใด แต่ก็มองๆไว้แหละ )
รู้สึกดีๆ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์ที่ 2
พฤติกรรมแบบนี้คนไทยจะเปลี่ยนไปคล้ายๆกับอเมกาได้หรือครับ .. ผมว่าน่าจะยังห่างไกลอยู่พอควรนะครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์ที่ 5
ไม่ไกลครับyoyo เขียน:พฤติกรรมแบบนี้คนไทยจะเปลี่ยนไปคล้ายๆกับอเมกาได้หรือครับ .. ผมว่าน่าจะยังห่างไกลอยู่พอควรนะครับ
ปกติแล้ว (ที่อาจารย์ประสบการณ์สูงๆสอนๆ มา) เค้าบอกว่า ระบบการแพทย์ไทย ตามหลังอเมริกาอยู่ประมาณ 5-10 ปี (ระบบนะครับ ไม่ใช่ความรู้หรือความทันสมัยเครื่องไม้เครื่องมือ)
สิ่งที่อเมริกาประสบมานี่ นานแล้ว เกือบ10 ปี ไทยก็เริ่มมีปัญหาเนวๆ นี้มาประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ
ด้วยการคาดการณ์แล้ว มันก็ไม่ไกลหรอกครับ
และจาก practice ก็ทำให้เห็นได้ว่ามันไม่ไกลจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์ที่ 6
ตอนช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียที่เค้ากลัวกันว่า อิรัคจะเอาระเบิดชีวภาพไปถล่มอเมริกา เค้าก็มองว่าจะเป็นเชื้ออะไรได้บ้าง แล้วก็มองไกลไปถึงว่าจะต้องใช้ยาตัวหนึ่ง เป็นตัวฆ่าเชื้อนี้ ผลคือ ยานี้ก็ขาดตลาดในสหรัฐอเมริกาไปเลย แล้วครอบครัวพี่ชายผมซึ่งอยู่อเมริกา ก็บอกว่าให้ช่วยซื้อยานี้ที่เมืองไทยส่งไปให้หน่อย
ผมว่าสิ่งที่คุณโยโย่ถาม อาจจะเกิดขึ้นได้ยากกับคนระดับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ที่พอเจ็บป่วยก็เข้าร้านขายยา ซื้อยากินเอง
แต่คนประเภท High education จะมีความกังวลต่อสุขภาพของตัวเองมากขึ้น และจะต้องมาพึ่งพิงบริการทางการแพทย์มากขึ้นนะ
สังเกตได้ว่า ปัจจุบันนี้คนเริ่มมีการตรวจสุขภาพประจำปีมากขึ้น เริ่มมีโรงพยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ และ ทำหน้าที่ตรวจสุขภาพเป็นหลัก แทนการรักษาก็มี และหลายๆโรงพยาบาลก็ทำศูนย์ตรวจสุขภาพขึ้นมา
ผมว่าสิ่งที่คุณโยโย่ถาม อาจจะเกิดขึ้นได้ยากกับคนระดับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ที่พอเจ็บป่วยก็เข้าร้านขายยา ซื้อยากินเอง
แต่คนประเภท High education จะมีความกังวลต่อสุขภาพของตัวเองมากขึ้น และจะต้องมาพึ่งพิงบริการทางการแพทย์มากขึ้นนะ
สังเกตได้ว่า ปัจจุบันนี้คนเริ่มมีการตรวจสุขภาพประจำปีมากขึ้น เริ่มมีโรงพยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ และ ทำหน้าที่ตรวจสุขภาพเป็นหลัก แทนการรักษาก็มี และหลายๆโรงพยาบาลก็ทำศูนย์ตรวจสุขภาพขึ้นมา
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 79
- ผู้ติดตาม: 0
อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์ที่ 10
จริงแล้วก็เป็นนโยบายของสาธารณสุขที่เห็นว่าส่งเสริมสุขภาพของประชาชนลูกไม่ท้อ เขียน:เริ่มมีโรงพยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ และ ทำหน้าที่ตรวจสุขภาพเป็นหลัก แทนการรักษาก็มี และหลายๆโรงพยาบาลก็ทำศูนย์ตรวจสุขภาพขึ้นมา
ทำให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคทำให้ต้นทุนค่ารักษาชาวบ้านลดลงไปอย่างมาก
คุ้มค่าอย่างมากกับเงินที่ทุ่มไปให้กับการส่งเสริมสุขภาพแต่จะลดงบประมาณค่าป้องกัน
รักษา ฟื้นฟูสุขภาพของประชาชนที่นับวันจะมากขึ้นอย่างมากและต้องพึ่งพายา
จากต่างประเทศที่นับวันก็แพงมากขึ้น