ไม่อยากจะเชื่อ....

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
baggio
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 390
ผู้ติดตาม: 1

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 31

โพสต์

เพิ่งรู้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำลงไป...ซะงั้น  :x
autaiyai
Verified User
โพสต์: 24
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 32

โพสต์

ท่าน อุ๋ย ครับ ก่อนจะทำเรื่องอะไรที่มันละเอียดอ่อน และมีผลกระทบกับคนหมู่มาก
กรุณาทำด้วยความรอบคอบ  และหาข้อมูลให้ละเอียดและลึกกว่านี้หน่อยนะครับ
ไม่ใช่ ทำแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แบบนี้
อย่าทำเป็นวัวหายแล้วล้อมคอก เพราะมันจะไม่มีวัว ให้ล้อมแล้วครับ
ท่านผู้ใหญ่สอนว่า ก่อนทำอะไรต้องคิดก่อนเสมอ ทำแล้วคิดไม่ดี ต้องคิดให้ดีแล้วถึงทำ
:\/:  ก่อนพูดเราคือนาย  พูดแล้วเราคือทาส  :\/:

เห็นผิดเป็นชอบ รายย่อยเจ็บระนาว ใคร จะรับผิดชอบ
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 33

โพสต์

ถ้ารู้จักแก้ไข  ในสิ่งผิด  

ย่อมได้รับการให้อภัย  

และสรรเสริญครับ   :wink:
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ไม่อยากจะเชื่อ...  ว่า Set Index ได้กลายเป็นผู้นำตลาดโลกไปแล้ว



ตลาดการเงินเอเชียปั่นป่วน ตื่นมาตรการคุมเงินทุนไทย

19 ธันวาคม 2549 18:31 น.
ฮ่องกง - ตลาดการเงินเอเชียระส่ำ ดัชนีหุ้นหลักดิ่งฮวบ ค่าเงินอ่อนตัวหนัก นักลงทุนเสียขวัญกับความวุ่นวายในตลาดหุ้นไทย หลังรัฐบาลประกาศควบคุมเงินทุนไหลเข้าเพื่อป้องกันเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป

คำสั่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการควบคุมกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างชาติ วานนี้ (19 ธ.ค.) ไม่เพียงสร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดหุ้นในประเทศเท่านั้น ตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย โดยตลาดหุ้นอินโดนีเซียได้รับผลกระทบหนักสุด ดัชนีคอมโพสิตร่วงลง 50.950 จุด หรือ 2.85% ปิดที่ระดับ 1,736.670 นักลงทุนอาศัยข่าวความวุ่นวายในตลาดหุ้นไทยเป็นข้ออ้างในการเทขายทำกำไร หลังจากดัชนีหุ้นทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเร็วๆ นี้

ด้านตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีหุ้นสเตรทส์ ไทมส์ ลดลง 66.14 จุด หรือ 2.2% ปิดที่ระดับ 2,897.30 ขณะดัชนีหุ้นคอมโพสิตของมาเลเซียลดลง 21.24 จุด หรือ 1.96% ปิดที่ระดับ 1,060.36 ดัชนีหุ้นหั่งเส็งในฮ่องกงลดลง 228.36 จุด หรือ 1.2% ปิดที่ระดับ 18,964.55 ดัชนีหุ้นเซ็นเซ็กส์ของอินเดียลดลง 349.08 จุด หรือ 2.54% ปิดที่ระดับ 13,382.01

ดัชนีหุ้นนิกเคอิในตลาดโตเกียวลดลง 185.23 จุด หรือ 1.09% ปิดที่ระดับ 16,776.88 ผลจากเรื่องอื้อฉาวการทำบัญชีของบริษัทจดทะเบียน 2 แห่ง และความซบเซาของดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันก่อนหน้านั้น แต่ความวุ่นวายในตลาดหุ้นไทยก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งด้วย

สกุลเงินหลักในเอเชียปรับตัวลง ตามปัจจัยถ่วงจากการเทขายเงินบาท ท่ามกลางความวิตกว่า ธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาคอาจประกาศแผนเช่นเดียวกับ ธปท. ดอลลาร์สิงคโปร์และดอลลาร์ไต้หวันต่างแตะจุดต่ำสุดรอบ 3 สัปดาห์ ขณะที่วอนร่วงลงสู่ระดับราว 932.50 วอนต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน รูเปียะห์ติดลบประมาณ 1% อยู่ที่ 9,188 รูเปียะห์ต่อดอลลาร์ และริงกิตอ่อนค่าลงสู่จุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ประมาณ 3.5850 ริงกิตต่อดอลลาร์

แนะลดน้ำหนักหุ้นไทย

นายคริสโตเฟอร์ วูด นักยุทธศาสตร์ กล่าวว่าบริษัทโบรกเกอร์ ซีแอลเอสเอ ลดน้ำหนักหุ้นไทย เนื่องจากข่าวเกี่ยวกับการควบคุมเงินทุน ซึ่งจะไม่กระทบผู้ถือหุ้นปัจจุบัน แต่อาจมีผลต่อนักลงทุนหน้าใหม่ พร้อมระบุว่านโยบายล่าสุดยืนยันว่ารัฐบาลไทยที่มาจากการแต่งตั้งของทหาร ไม่เข้าใจแรงขับเคลื่อนการเติบโต

นอกจากนั้น สำนักข่าวดาวโจนส์ยังรายงานว่าการตัดสินใจออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรของไทย มีแนวโน้มจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในระยะสั้น นายเกรก แอนเดอร์สัน นักยุทธศาสตร์ค่าเงินของเอบีเอ็น แอมโร กล่าวว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าลงในช่วง 2-3 วันข้างหน้า เพราะเป็นปฏิกิริยาเฉพาะหน้า ขณะที่ในระยะกลางนั้น มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินและความวิตกว่าจะมีการออกมาตรการอื่นอีก น่าจะดึงไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากนัก แต่ไม่ได้ทำให้แรงกดดันทั้งหมดหายไป โดยแทนที่เงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้น 3% ในหนึ่งเดือน ก็กลายเป็นแข็งค่าขึ้น 3% ในหนึ่งปี

นักวิเคราะห์ส่วนมากดูเหมือนไม่วิตกกับแนวโน้มระยะกลางและระยะยาวของเงินบาท โดยนักยุทธศาสตร์ค่าเงินเอชเอสบีซี กล่าวว่าได้แนะให้เทขายทำกำไรระยะสั้นดอลลาร์-บาท ดอลลาร์ไต้หวัน-บาท แต่ยังมองเงินบาทในแง่บวก เพราะทุนสำรองสะสมมีมากกว่ากระแสเงินไหลเข้าในปีนี้ และกระแสเงินไหลเข้าระยะกลางก็มีแนวโน้มแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของธปท.จะมีผลกระทบกับนักลงทุน และลดแรงกดดันการเก็งกำไรค่าเงิน นอกจากนั้น มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินยังอาจทำให้เงินทุนระยะสั้นไหลเข้าเพื่อนบ้านของไทยแทน นักยุทธศาสตร์ค่าเงินแห่งบราวน์ บราเธอร์ส แฮร์ริแมน กล่าวว่าหากนักเก็งกำไรไม่สามารถเข้ามาในไทย ก็อาจไปที่อื่นอย่างมาเลเซียหรือจีน

นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่ามีโอกาสน้อยมากที่ประเทศอื่นในเอเชียจะออกมาตรการทำนองเดียวกับไทย แม้มีข่าวว่าคณะกรรมการการเงินของธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีแผนหารือ ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฏวิธีการซื้อขายค่าเงินของธนาคาร

"ตลาดวิตกว่าธนาคารกลางประเทศอื่นอาจทำตามอย่างไทย แต่ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้น" นักเศรษฐศาสตร์ค่าเงินแห่งโอซีบีซี กล่าว

ล่าสุดนายนอร์ โมฮัมเหม็ด ยักคอป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมาเลเซีย ระบุว่า มาเลเซียจะไม่ดำเนินมาตรการควบคุมเงินทุน ตามหลังการเคลื่อนไหวเพื่อคุมค่าเงินของไทย ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2541 มาเลเซียเคยประกาศมาตรการควบคุมเงินทุนมาแล้วครั้งหนึ่ง รวมถึงการตรึงค่าเงินริงกิตไว้กับดอลลาร์ เพื่อป้องกันเศรษฐกิจประเทศให้รอดพ้นจากบรรดานักเก็งกำไรค่าเงิน ในช่วงเกิดวิกฤติการเงินเอเชีย

ฟิทช์'ชี้มาตรการแบงก์ชาติไม่กระทบความน่าเชื่อถือ

นายเจมส์ แมคคอร์แมค นักวิเคราะห์ระดับสูงของฟิทช์ เรทติงส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ เผยว่า มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธปท. ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย เนื่องจากฐานะการคลังรัฐบาลและศักยภาพในการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างชาติของไทย จะยังไม่เปลี่ยนแปลง

"มาตรการสกัดเงินทุนจากต่างชาติไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของเราต่อพื้นฐานด้านการเงินของไทย" นายแมคคอร์แมคกล่าว พร้อมชี้ว่า อีกหลายประเทศยังมีมาตรการควบคุมเงินทุนที่เข้มงวดกว่ามาตรการของธปท.

ด้านนางมิแรนดา กัลทอม รองผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย เผยว่า จนถึงขณะนี้ อินโดนีเซียยังไม่วิตกมากเกินไปเกี่ยวผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของไทย โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียจะเข้าแทรกแซงค่าเงินรูเปียะห์ ก็ต่อเมื่อเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก

นางกัลทอมกล่าวด้วยว่า จะต้องสังเกตปฏิกิริยาของตลาดภายหลังมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมแสดงความมั่นใจว่า โครงสร้างอัตราแลกเปลี่ยนเงินในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
buglife
Verified User
โพสต์: 942
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 35

โพสต์

เหมือนสมัยพี่จิ๋วเลย
อยากประกาศก็ประกาศ
คนด่าก็เลิกซะงั้น

ลาออกได้แล้วครับ
เทียน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 426
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 36

โพสต์

[quote="matrix"]ถ้ารู้จักแก้ไข
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 37

โพสต์

ดาวโจนส์หวั่นไหวความวุ่นวายตลาดหุ้นไทย

20 ธันวาคม 2549 08:00 น.
นักวิเคราะห์ระบุมาตรการธปท.ซ้ำเติมตลาด จากเดิมไม่มั่นใจลงทุนระยะยาวเนื่องจากปัญหาการเมือง ขณะที่ดาวโจนส์ช่วงเปิดตลาดร่วง เหตุนักลงทุนวิตก

นายศรียัน ปิเอเตอร์ส หัวหน้าฝ่ายวิจัยของเจ.พี.มอร์แกน กล่าวว่า มาตรการของ ธปท.เหมือนการเอาค้อนขนาดใหญ่ไปทุบมด การกระทำเช่นนี้อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายในแง่ของการลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท แต่เครื่องมือที่นำมาใช้นั้นกว้างมาก และเท่ากับว่าเป็นการทุบนักลงทุนไปด้วย

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า สภาพการณ์ดังกล่าวบวกกับการที่ไทยเพิ่งเกิดการรัฐประหาร ทั้งยังไม่ชัดเจนว่าจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใน 1 ปีได้หรือไม่นั้น ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าลงทุนระยะยาวเป็นปี

นายเอียน กิสบอร์น หัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ภัทร กล่าวว่า มาตรการสกัดการเก็งกำไรจะทำให้นักลงทุนต่างชาติโดยตรง ปวดศีรษะเช่นกัน จากเดิมที่ต้องกระวนกระวายกับแผนการของทางการในการทบทวนกฎหมายการลงทุน ซึ่งอาจบีบให้พวกเขาต้องลดสัดส่วนการถือหุ้น

ขณะที่หุ้นดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์ก เปิดตลาดวานนี้ ลดลง 0.22% โดยนอกจากนักลงทุนจะวิตกเกี่ยวกับข้อมูลเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากสุดในรอบกว่า 30 ปีแล้ว และการทรุดตัวของตลาดหุ้นไทยก็มีผลต่อความรู้สึกของนักลงทุน
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 38

โพสต์

โบรกเกอร์หวั่นแรงฟอร์ซเซล ฉุดตลาดหุ้นรูดต่อเนื่อง

20 ธันวาคม 2549 09:03 น.
กระหน่ำขายหุ้นบลูชิพ ฉุดราคาทรุดหนัก 15-20% ทั้งแบงก์-พลังงาน-ปูนใหญ่" ตื่นตระหนกมาตรการ ธปท. นักวิเคราะห์ ระบุ ยังมีเทขายอีกคาดหุ้นบิ๊กแคปลงต่ออีก 2-3 วัน แนะนักลงทุนรีบตัดขาดทุน หวั่นแรงฟอร์ซเซลฉุดตลาดหุ้นรูดต่อ สั่งจับตาสถานการณ์ลงทุนต่อเนื่อง ขณะที่ บล.ทีเอสเอฟซี ยอมรับอาจมีบางส่วนที่ถูกบังคับขายวันนี้

บรรยากาศการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นบลูชิพ วานนี้ (19 ธ.ค.) ปรากฏว่า มีแรงเทขายกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง กดราคาหุ้นร่วงทั้งกระดาน ประกอบด้วยหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ลดลง 14 บาท หรือ 20.74% บริษัท ปตท. ลดลง 38 บาท คิดเป็น 16.96% ธนาคารกรุงเทพ ราคาลดลง 20 บาท หรือ 16.26% ธนาคารกสิกรไทย ลดลง 13 บาท หรือ 18.44% ธนาคารกรุงไทย ลดลง 3 บาท หรือ 21.58%

ตามด้วยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ลดลง 17 บาท หรือ 16.67% บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ปรับตัวลง 32 บาท หรือ 12.50% ไทยออยล์ ลดลง 9.50 บาท หรือ 16.52% บ้านปู ปรับตัวลง 25 บาท หรือ 13.59% และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ราคลดลง 3.50 บาท หรือ 17.33% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์รวมปิดตลาดที่ 622.14 จุด ปรับตัวลดลง 108.41 จุดหรือ 14.84%

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของหุ้นบลูชิพ หรือหุ้นขนาดใหญ่ ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีก 2-3 วัน เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก โดยประเมินว่านักลงทุนต่างประเทศ จะรีบขายเพื่อให้ได้กำไรจากค่าเงินบาท หลังจากที่เข้าลงทุนมาระยะหนึ่ง และได้กำไรแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการลดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงในวันนี้ (20 ธ.ค.) จะมีแรงบังคับขาย (force sell) จากหลายโบรกเกอร์เพื่อลดความเสี่ยง

"ถ้าชั่งน้ำหนักมองว่า หุ้นบิ๊กแคปจะร่วงเพราะปัจจัยเรื่องมาตรการของธปท.มากที่สุด โดยมองว่านักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นบิ๊กแคปต่ออีก 2-3 วัน โดยไม่สามารถประเมินกรอบการเคลื่อนไหว และแนวรับแนวต้านได้ว่าการขายจะสิ้นสุดเมื่อใด รวมทั้งไม่สามารถประเมินได้ว่าแรงขายนี้จะนานอีกเท่าไหร่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศ"

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นสัญญาณหรือทีท่าว่า ธปท.จะมีนโยบายผ่อนผันให้กับธุรกรรมในตลาดหุ้นเพื่อความผันผวนของดัชนี ทั้งนี้ประเมินว่า หากธปท.จะผ่อนคลายมาตรการ น่าจะเป็นช่วงที่ค่าเงินบาทเริ่มชะลอการแข็งค่าในระยะหนึ่ง และการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างประเทศที่ต้องการเก็งกำไรค่าบาทเริ่มชะลอตัวเพราะมาตรการดังกล่าวได้ผลสำเร็จ และเกิดกรณีที่ธนาคารกลางในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้หันมาใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินเช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดความแตกต่างของตลาดเงินระหว่างประเทศได้

ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นตัดขาดทุนโดยให้ขายประมาณ 50%และมาช้อนซื้อเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมา เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า วันนี้ (20 ธ.ค.) ดัชนีอาจมีการปรับขึ้นบ้าง แต่เป็นการปรับขึ้นเพื่อขายทำกำไรเท่านั้น นักลงทุนควรระวังการเข้าช้อนซื้อหุ้นเนื่องจากดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก และเชื่อว่าหุ้นขนาดใหญ่ส่วนมากจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับข่าวลือเกี่ยวกับการถอดหุ้นไทยออกจากการคำนวณดัชนีเอ็มเอสซีไอ และเอสแอนด์พี ซึ่งจะเป็นความกังวลหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอีก เนื่องจากเป็นปัจจัยที่เกิดจากมุมมองนักลงทุนต่างประเทศโดยตรง

ขณะที่แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์ กล่าวอีกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้(19 ธ.ค.) คงต้องจับตาดูว่าจะมีหุ้นที่ถูกบังคับขาย(ฟอร์ซเซล) ออกมามากน้อยแค่ไหน เพราะถ้ามีหุ้นถูกฟอร์ซเซลมากก็เชื่อว่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนมีความอึมครึมมากขึ้น และเท่าที่สำรวจในเบื้องต้นหากดัชนีปรับลดลงอีกระดับ 5-10% น่าจะมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ถูกฟอร์ซเซลออกมา

"ปกติการซื้อขายหุ้นนักลงทุนจะต้องวางเงินประกันประมาณ 50% ของวงเงินที่ขอสินเชื่อ และถ้าเงินประกันลดลงแตะระดับ 25% ผู้ให้สินเชื่อก็จะต้อง ฟอร์ซเซล ออกมาบางส่วนเพื่อให้เงินประกันสูงขึ้นมาอยู่ระดับ 30% เป็นอย่างน้อย จึงเชื่อว่าหากดัชนีหุ้นยังลงต่อเนื่อง ต้องมีผู้ที่ถูกฟอร์ซเซลออกมาอย่างแน่นอน"แหล่งข่าวกล่าว

นายอัครรัตน์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บล.เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ หรือ บล.ทีเอสเอฟซี กล่าวว่า แม้ว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ช่วงวานนี้(19 ธ.ค.) จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่ บล.ทีเอสเอฟซี ยังไม่มีการบังคับขายหุ้น(ฟอร์ซเซล) ออกมาแต่อย่างใด เพราะตามกระบวนการฟอร์ซเซลแล้วจะเกิดขึ้นถัดจากวันที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรง 1 วัน ดังนั้นการฟอร์ซเซลจะเกิดขึ้นจริงก็คือวันนี้(20 ธ.ค.) ส่วนมูลค่าจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้นยังไม่สามารถประเมินได้

"ยังประเมินไม่ได้ว่ามูลค่าที่จะเกิดขึ้นกับการฟอร์ซเซลมีเท่าไร เพราะต้องรอปิดสิ้นวันก่อน ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะคำนวณออกมา

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับลดลงรุนแรงขนาดนี้เชื่อว่าคงมีการฟอร์ซเซลเกิดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับการตัดสินใจของตัวผู้ลงทุนเองด้วย" นายอัครรัตน์ กล่าว

นายวีระชัย อาภรณ์พัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อ บล.ทีเอสเอฟซี กล่าวว่า โดยปกติแล้วเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรง ทางโบรกเกอร์ที่ลูกค้าใช้บริการซื้อขายอยู่จะคอยให้คำแนะนำอยู่แล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรกับหุ้นที่ถืออยู่ ดังนั้นถ้านักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นออกไปก่อน กระบวนการฟอร์ซเซล ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้านักลงทุนยังตัดสินใจถือหุ้นอยู่ทาง บล.ทีเอสเอฟซี ก็คงต้องหารือกับลูกค้าว่าจะตัดสินใจอย่างไร

กรณีที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยวานนี้ เชื่อว่าคงมีนักลงทุนบางส่วนต้องถูกฟอร์ซเซลในวันถัดไปอย่างแน่นอน แต่มูลค่ามากน้อยแค่ไหนยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะผู้ลงทุนบางส่วนก็ตัดสินใจเทขายหุ้นที่ถือออกไปก่อนได้ ซึ่งถ้านักลงทุนตัดสินใจแบบนั้นกระบวนการฟอร์ซเซลก็จะไม่เกิดขึ้น

"ปกติแล้วถ้าหุ้นวันนี้ปรับลดลงแรง เราก็จะประเมินผลว่าถึงระดับที่ฟอร์ซเซลในหุ้นตัวนั้นหรือยัง หลังจากนั้นก็จะคุยกับลูกค้าว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งลูกค้าอาจนำเงินมาวางประกันเพิ่มก็ได้ หรือถ้าไม่แล้วเขายอมให้เราทำการฟอร์ซเซลออกไป กระบวนการก็จะเกิดขึ้นในวัดถัดไป"นายวีระชัย กล่าว
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ไทยเสี่ยงถูกปลดจากดัชนีหุ้นระหว่างประเทศ

20 ธันวาคม 2549 09:00 น.
"เอ็มเอสซีไอ-เอฟทีเอสอี" ประกาศจัดตามาตรการสกัดเก็งกำไรบาท ขณะมีการคาดเดา ไทยเสี่ยงถูกปลดจากดัชนีหุ้นระหว่างประเทศ

เจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเอสซีไอ บาร์รา และบริษัท เอฟทีเอสอี ซึ่งเป็นผู้รวบรวมดัชนีทั่วโลก เผยว่าบริษัทกำลังศึกษามาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธปท. ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยอาจถูกปลดออกจากดัชนีตลาดหุ้นระหว่างประเทศ

"เงินลงทุนที่หมุนเวียนได้อย่างเสรีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก และเราก็กำลังจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยเราจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดก่อนที่เราจะตัดสินใจดำเนินการใดๆในเรื่องนี้" นายชิน-ปิง เชีย หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของ เอ็มเอสซีไอ บาร์รา กล่าว

ด้านนางแซนดรา จิม ผู้จัดการฝ่ายวิจัยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของเอฟทีเอสอี กล่าวว่า บริษัทกำลังพิจารณาสถานการณ์ และจะหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยหวังว่าจะออกแถลงการณ์ได้ในเวลาต่อไป

โบรกเกอร์กล่าวว่า ไทยเสี่ยงที่จะถูกถอนออกจากดัชนีหุ้นระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับมาเลเซียช่วงปลายทศวรรษ 90 หลังจากที่มาเลเซียบังคับใช้มาตรการควบคุมเงินทุนต่อนักลงทุนต่างชาติ แม้โบรกเกอร์จะยอมรับว่า มาตรการควบคุมของไทยมีความเข้มงวดน้อยกว่า

"เจ้าหน้าที่ไทยอาจจะไม่ทราบ แต่พวกเขาเผชิญกับความเสี่ยงต่อการถูกมองว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าความน่าลงทุนที่เหมาะสม" โบรกเกอร์ต่างชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย กล่าว

ต่อข้อถามที่ว่า ไทยเสี่ยงที่จะถูกถอดถอนจากดัชนีต่างๆ หรือไม่ นายเชียกล่าวว่า เอ็มเอสซีไอไม่สามารถตั้งข้อสรุปแบบเดียวกับที่เคยทำกับมาเลเซียในช่วงเวลานี้ และยังต้องการข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

นายคริส โลเบลโล หัวหน้าฝ่ายธุรกิจมาเลเซียของวาณิชธนกิจ ซีแอลเอสเอ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของการรวมไทยในดัชนีหุ้น แต่กล่าวว่า มาตรการควบคุมเงินทุนดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง

"บรรดาผู้จัดการกองทุนไม่พอใจในขณะนี้ นี่เป็นเรื่องเดียวกับที่มาเลเซียยังคงชดใช้ต่อมุมมองที่เกิดขึ้นจากมาตรการควบคุมเงินทุน แต่โชคดีที่รัฐมนตรีคลังมาเลเซียและเจ้าหน้าที่อื่นๆ พยายามเปลี่ยนแปลงมุมมองดังกล่าวมาโดยตลอด" นายโลเบลโลกล่าว
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 40

โพสต์

หุ้นยุโรปปิดร่วงหลังวิตกตลาดหุ้นไทยทรุด

20 ธันวาคม 2549 07:43 น.
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันอังคาร ในขณะที่ปัจจัยหลายประการทำให้นักลงทุนลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการพุ่งขึ้นของราคาผู้ผลิตสหรัฐ, การดิ่งลงของตลาดหุ้นไทย และผลกำไรที่ไร้ทิศทางของบริษัทสหรัฐ

ดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนีปิดร่วงลง 43.74 จุด หรือ 0.66 % ปิดที่ 6,553.51 ,ดัชนี CAC-40 ของตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดร่วงลง 45.56 จุด หรือ 0.82 % ปิดที่ 5,484.76 และ ดัชนี FTSEurofirst 300 ของหุ้นกลุ่มบลูชิพทั่วยุโรปปิดร่วงลง 9.57 จุด หรือ 0.64 % ปิดที่ 1,477.94
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 41

โพสต์

ตลาดตราสารหนี้6หมื่นล.วุ่นกองทุนฝรั่งหนีธปท.คุมบาท-โวยลามทั้งระบบ

โดย ผู้จัดการรายวัน 20 ธันวาคม 2549 09:08 น.


      ผู้จัดการรายวัน- ผู้จัดการกองทุน สวด ธปท.ยับ หลังออกมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาทรอบใหม่ ทำตลาดหุ้นพ่วงตลาดตราสารหนี้ป่วน ลงทุนพันธบัตรระยะสั้นช็อต เผยฝรั่งโยกเงินหนีตลาดหุ้นไทย ชี้นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ออกกฎไม่ถามผู้ปฏิบัติ แนะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายด้วยการ ลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) เพื่อลดแรงเก็งกำไรในตลาดเงิน
     
       หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศเพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยกำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือ แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้ 30% ของเงินตราต่างประเทศที่นำมาแลกทั้งหมด ส่วนที่เหลือ 70% ให้รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนให้ลูกค้า โดยเมื่อครบกำหนด 1 ปี ลูกค้าจะต้องแสดง หลักฐานให้ชัดเจนว่าได้นำเงินเข้ามาลงทุนอยู่ใน ประเทศเกิน 1 ปี จึงจะได้เงินที่กันสำรองไว้ 30% คืนไป หากลูกค้าต้องการเงินทุนกลับก่อนกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้เท่านั้น ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2549 ที่ผ่านมา ได้ฉุดความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก ฉุดให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 100 จุด และเป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ผู้จัดการกองทุน และคนในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมาตรการที่ออกมาในช่วงก่อนหน้าไม่ได้มีการปรึกษา หรือขอคำแนะนำจากผู้ปฏิบัติ
     
      **กองทุนนอกโยกเงินกลับทันควัน
       แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ กล่าวว่า หลังจากที่ธปท.ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไร ได้ส่งผลให้กองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งบางกองทุนมีนโยบายชัดเจน หากประเทศไหนออกมาตรการ หรือมีการคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายจะต้องถอนเงินลงทุนทันที ซึ่งจุดนี้เอง ทำให้กองทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นออกมา และเตรียมย้ายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีนโยบายคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย
       แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนให้ความเห็นว่า มาตรการที่ธปท.ออกมาถือเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ทั้งที่ธปท.ออกมาแสดงจุดยืนชัดว่าต้องการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่วานนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเพียง 0.50 สตางค์เท่านั้น ขณะที่ตลาดหุ้นร่วงลงกว่า 100 จุด
      สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา (ระหว่าง 20 พฤศจิกายน-15 ธันวาคม) มูลค่าการซื้อขายตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างประเทศมีประมาณ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี ในสัดส่วน 25% อายุ 1-3 ปี 53% อายุ 3-5 ปี 1% และอายุ 6-10 ปี 17%
       แหล่งข่าวกล่าวว่า วานนี้มูลค่าการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้มีน้อยมาก ตลาดพันธบัตรแทบไม่มีการเคลื่อนไหว ขณะที่ตลาดการกู้ยืมระหว่างธนาคาร (สวอป) มีการทำรายการซื้อขายโดยดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.20%
      แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า มาตรากรที่ธปท.ออกมาได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่สาระสำคัญต้องการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งมาตรการที่ออกมาทำให้กองทุนต่างชาติบางกองทุนเตรียมเคลื่อนย้ายเงินทุนไปลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่มีนโยบายคุมการเคลื่อนย้ายเงิน
       อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า ท้ายที่สุดแล้วธปท.จะยกเลิกมาตรการที่ออกมาหรือไม่
     
      **ตลาดหุ้น-ตราสารหนี้ป่วน
       "มาตรการที่ออกมา ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้น เป็นอย่างมาก หุ้นปรับตัวลดลงกว่า 100 จุด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมาตรการที่ธปท.ออกมา ต้องการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท สิ่งที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการที่ออกมาเป็นแนวคิดของนักวิชาการ ที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่สอบถามผู้ปฏิบัติ" แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์กล่าว
       นายอนุสรณ์ ธรรมใจ นักเศรษฐศาสตร์อิสระ ให้ความเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทว่า การเข้ามาดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทของธปท.ควรใช้มาตรการที่ไม่มีผลรกะทบต่อตลาดเงิน และตลาดทุน หรือถ้ามีผลกระทบก็ต้องให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าการแข็.ค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากการที่สถานะดุลการค้า โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มดีขึ้น และตัวแปรที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น นอกจากนี้ ธปท.ต้องมีข้อมูลให้ชัดว่านักลงทุนจะตอบสนองมาตรการอย่างไร
      "มาตรการที่ธปท. ออกมาเป็นใครๆ ก็ตกใจ เพราะมาตรการที่ออกมาคล้ายกับมาตรการที่ประเทศชิลีใช้เมื่อ 10 ปีก่อน ในการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น ที่มีการออกมาตรการเก็บภาษีเงินไหลเข้า-ออก เพื่อลดการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้น หรือที่เรียกว่า Tobin Tax" นายอนุสรณ์กล่าว
       นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การเทขายหุ้นออกมาเมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติค่อนข้างไม่พอใจกับมาตรการที่ออกมา ซึ่งคล้ายกับการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย หรือจำกัดการลงทุน และมาตรการที่ออกมาก็ไม่สามารถตอบโจทย์การเก็งกำไรค่าเงินบาทได้
       นักเศรษฐศาสตร์อิสระ เสนอแนะว่า ทางออกของการแก้ปัญหาธปท.ควรประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้มีเงินเคลื่อนย้ายเข้ามาเก็งกำไรในตลาดพันธบัตร และการลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกกับเศรษฐกิจ เนื่องจากจะทำให้เกิดการลงทุนในช่วง 4-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาเงินเฟ้อไม่น่ากังวลมากนัก หากธปท.ใช้นโยบายการเงินมากพอ จะช่วยลดแรงจูงใจเงินไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดเงินได้.
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ต่างชาติทำสงครามเงินบาท หุ้นดิ่ง140จุดมูลค่าวูบล้านล.

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 ธันวาคม 2549 07:19 น.


      ประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยกว่า 30 ปี ดัชนีดิ่งเหวกว่า 108 จุด ทุบสถิติเหตุการณ์ "911 - พฤษภาทมิฬ-แบล็กมันเดย์" ฉุดมาร์เกตแคปหายวับเกือบ 8.2 แสนล้านบาท หลังต่างชาติกระหน่ำขายสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท วอลุ่มทะลักกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท ประชดมาตรการสกัดเงินบาท "หม่อมอุ๋ย-ธปท." ขณะที่ระหว่างวันรูดต่ำสุดเกือบ 20% หรือ 142 จุด มาร์เกตแคปวูบกว่า 1 ล้านล้าน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นครั้งแรก 30 นาที ตั้งแต่ใช้มาตรการดังกล่าว พร้อมเรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและเสนอทางแก้ให้ธปท.ด่วนวันนี้ ส่วนโบรกเกอร์ต่างชาติ ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นลบ
     
      สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสกัดกั้นและคุ้มเข้มการเก็งกำไรค่าเงินบาท ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย โดยการปรับตัวลดลงของดัชนีวานนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด และปริมาณการซื้อขายสูงสุดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่ปี 2518 โดยดัชนีตลาดหุ้นเปิดปรับตัวลดลงกว่า 65 จุดก่อนจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า 10% จนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้มาตรการพักการซื้อขาย (Circuit Breaker ) ชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที
     
      ทั้งนี้ ภายหลังการเปิดตลาดในช่วงบ่ายดัชนียังคงปรับตัวลดลงจนปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 587.92 จุด ลดลง 142.63 จุด หรือ 19.52% ก่อนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาจนทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 622.14 จุด ลดลง 108.41 จุด หรือ 14.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 72,131.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 25,121.58 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,895.52 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 28,017.10 ล้านบาท
     
      สำหรับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคป ปรับตัวลดลงจากวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งปิดที่ 5.450 ล้านล้านบาท โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ 19 ธ.ค. มาร์เกตแคปอยู่ที่ 4.633 ล้านล้านบาท ลดลง 8.17 แสนล้านบาท แต่หากเทียบ ณ ดัชนีหุ้นต่ำสุดหรือลดลง 19.52% นั้น มาร์เกตแคปลดลงกว่า 1 ล้านล้านบาท
     
      ส่วนหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาปิดที่ 53.50 บาท ลดลง 20.74% มูลค่าการซื้อขาย 7.1 พันล้านบาท, บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 186 บาท ลดลง 16.96% มูลค่าการซื้อขาย 7.05 พันล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาปิดที่ 103 บาท ลดลง 16.26% มูลค่าการซื้อขาย 5.06 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาปิดที่ 57.50 บาท ลดลง 18.44% มูลค่าการซื้อขาย 4.84 พันล้านบาท, ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาปิดที่ 10.90 บาท ลดลง 21.58%
     
      นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศออกมาวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงกับตลาดหุ้นไทย ทำให้มีการขายหุ้นออกมาอย่างหนักจากนักลงทุนต่างชาติจนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker หรือ การหยุดการซื้อขายชั่วคราว ในช่วงเวลา 11.29 น. - 11.59 น.
     
      ทั้งนี้ ตามข้อ 15 ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2542 ระบุว่า เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงเท่ากับหรือมากกว่า 10% ในแต่ละวันจะหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที และระดับที่ 2 หากดัชนีปรับตัวลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 20% จะหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
     
      "การประกาศหยุดการซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที นับเป็นการใช้มาตรการดังกล่าวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการดังกล่าว"
     
      สำหรับความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการของธปท. ขณะนี้นักลงทุนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่ากระบวนการต่างๆ ที่จะใช้บังคับเกี่ยวกับการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท รวมถึงระยะเวลาที่ธปท.จะใช้มาตรการในการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่ง ธปท.จะต้องสร้างความชัดเจนในได้โดยเร็ว
     
      ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง ได้มีการประสานงานเพื่อขอให้ธปท.มีการทบทวนในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยเสนอให้มีการแยกการดูแลระหว่างการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนและตลาดเงิน เพราะเรื่องดังกล่าวถือว่าส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในวงกว้าง ขณะที่ธปท.ได้เรียกนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เข้าร่วมหารือเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
     
      "ประเมินจากตอนนี้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยและพื้นฐานของบริษัทต่างๆ ยังถือว่าไม่เปลี่ยน นักลงทุนไทยรวมถึงสถาบันไทยที่ได้รับผลกระทบเพียงทางอ้อมเท่านั้นจึงไม่ควรที่จะตระหนกมากกว่าที่ควรจะเป็น" นางภัทรียา กล่าว
     
      นางภัทรียา กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของเงินที่ถูกขายออกจากตลาดหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าการตัดสินใจจะเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในอนาคตจะใช้ความระมัดระวังที่จะลงทุนมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างไทยที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 30%
     
      **เฮจฟันด์เก็บของกลับบ้าน
      นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการหยุดที่จะเข้ามาลงทุนของกองทุนเก็งกำไร (เฮจฟันด์) เนื่องจากนโยบายการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและไม่มีข้อจำกัดในการลงทุนทำให้ต้องหลีกเลี่ยงตลาดหุ้นที่ปิดกั้นการลงทุน โดยตัวเลขจากธปท.ในช่วงตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาพบว่ามีเงินต่างชาติเข้ามาถึง 30,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์
     
      ทั้งนี้ การสกัดกั้นการเก็งกำไรอาจจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก แต่ผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับนักลงทุนทั่วไป
     
      **ก.ล.ต.อ้อนฝรั่งอย่าเร่งขาย
      นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการหารือกับนักลงทุนต่างประเทศนอกจากจะกังวลกับมาตรการที่ธปท. ประกาศไปแล้ว ยังคาดว่า ธปท.จะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาอีกในอนาคต จึงอยากขอให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการขายเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจาก ธปท. ให้ชัดเจนเสียก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเสียโอกาสการลงทุนได้
     
      "มาตรการเช่นนี้ หากสามารถแยกแยะให้มีผลควบคุมแต่เฉพาะแก่ผู้ที่นำเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน โดยกันไม่ให้มีผลกระทบผู้ที่นำเงินมาลงทุนในหุ้นได้ก็จะดีกว่า เพราะผู้ที่นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อต้องการเก็งกำไรค่าเงินเป็นหลักนั้น หากพักเงินดังกล่าวไว้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ย่อมจะมีความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวนมากกว่าที่จะกำไรจากค่าเงิน ดังนั้น ก.ล.ต. จึงจะลองศึกษาแนวทางหากจะสามารถยกเว้นเฉพาะตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกขึ้นหารือกับ ธปท. ต่อไป"
     
      **หุ้นร่วงหนักสุดเป็นประวัติการณ์
      นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนถือว่ารุนแรงมาก และถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดรวมถึงมูลค่าการซื้อขายสูงสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี
     
      "วันนี้จะมีการเรียกประชุมหน่วยงานทีเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน ก.ล.ต. , สมาคมบริษัทหลักทรัพย์, สมาคมโบรเกอร์ต่างประเทศ, ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้รับฝากและดูแลหลักทรัพย์ (คัสโตเดียส) ร่วมหารือเพื่อประเมินผลกระทบและหาข้อสรุปก่อนจะนำเสนอไปให้ธปท.อีกครั้ง"
     
      สำหรับแนวทางเบื้องต้นที่ได้เสนอเพื่อให้ธปท.พิจารณา คือการแบ่งแยกเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในตลาดเงิน กับเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนโดยเรื่องดังกล่าวสามารถตรวจสอบการนำเงินเข้ามาในประเทศได้เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลว่าจะไม่สามารถนำเงินที่ลงทุนออกไปจากประเทศได้ โดยธปท.ได้เสนอให้มีการทำเรื่องขอยกเว้นในเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีไป เช่น เงินที่จะเข้ามาซื้อหุ้นไอพีโอ หรือเงินที่เป็นเงินลงทุนเดิมที่ต้องการขายเพื่อลดความเสี่ยง เป็นต้น
     
      **ห่วงฝรั่งหยุดซื้อหุ้นไทยยาว
      นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บล. เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศหลายแห่งรวมถึงเจพี มอร์แกน ได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นลบ ภายหลังธปท.ประกาศมาตรการดังกล่าว เนื่องจากไม่มั่นใจว่าธปท.จะมีมาตรการใหม่ในการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทออกมาอีกหรือไม่
     
      ทั้งนี้ ยอมรับว่าการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ เพราะความกังวลเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยต้องเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นมาเลเซียเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงิน ส่งผลให้ตลาดหุ้นมาเลเซียปรับลดลงอย่างหนักและนักลงทุนต่างชาติไม่เข้าลงทุน ซึ่งกว่าตลาดหุ้นมาเลเซียจะฟื้นตัวขึ้นมาต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 ปี
     
      **โบรกฯมองรูดแตะ 600จุด
      นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท หรือ BSEC กล่าวว่า ในระยะสั้นๆ ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากที่ธปท.มีการออกมาตรการออกมาในการคุมในเรื่องเก็งกำไรค่าเงินบาท ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกมา ซึ่งถึงแม้นักลงทุนต่างชาติจะขายออกมาในขณะนี้ก็ยังคงมีกำไรจากค่าเงินถึง 20% และการที่เม็ดเงินต่างประเทศจะกลับเข้ามาลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็ว
     
      ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีฯจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 600 จุด ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างประเทศจะมีการนำเงินไปลงทุนประเทศอื่น ซึ่งการออกมาตรการของธปท.นั้นมองว่ามีการทำความเข้าใจกับนักลงทุนในตลาดทุนน้อยเกินไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นมีผลกระทบต่อบล.ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งบล.ต่างๆ จะต้องเร่งทำความเข้าใจ
     
      นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการบล.ซิกโก้ กล่าวว่า มาตการการควบคุมเงินบาทในส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากเป็นการสกัดกั้นไม่ให้เงินบาทแข็งค่าซึ่งถ้าหาค่าเงินบาทแข็งค่ามากว่านี้จะส่งผล กระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม เพราะว่าเป็นประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้หลัก
     
      ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะลดน้อยลงบ้าง แต่ยังเชื่อนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวจะยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน โดยประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าแนวโน้มทางเทคนิคดัชนีมีปรับตัวขึ้นได้ เพราะอาจจะมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆออกไป
     
      นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า การปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนรายย่อยห่วงการบังคับขายจึงจำเป็นต้องตัดใจเทขายออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น
     
      ทั้งนี้หากนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ก็สามารถที่จะถือครองหุ้นต่อไปได้ แต่หากจะเข้ามาซื้อในส่วนตัวมองว่ายังคงไม่เหมาะสมที่จะเข้ามาในช่วงนี้ เนื่องจากจะสังเกตได้ว่าขณะนี้มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่เป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยงเป็นส่วนใหญ่
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 43

โพสต์

ตราสารหนี้ยุ่ง 20ปีพุ่งต่อ เป้าจีดีพีวืด

โพสต์ทูเดย์ ตลาดตราสารหนี้ ยังไม่หายตื่นมาตรการอัตราผลตอบแทนยังพุ่งต่อเหตุเป็นเป้าหมาย ถูกคุม

การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ช่วงเช้าวันที่ 20 ธันวาคม ที่สมาคม ตราสารหนี้ไทย มีการเปิดประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี อัตราผลตอบแทนยังคงพุ่งขึ้นต่ออีก 0.14% หรือเพิ่มจากระดับ 5.5% ไปอยู่ที่ 5.72% และอัตราผลตอบแทนเกือบทุกช่วงอายุปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งนั้น


ด้าน นายสันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (BEX) กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นจะดีดกลับขึ้นมาแล้วหลังมาตรการคุมเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นถูกยกเลิกไป แต่ในส่วนของการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ยังไม่สดใส


ตลาดตราสารหนี้จะได้รับผลช้ากว่าตลาดหุ้น ซึ่งคงจะซึมต่ออีกประมาณ 1-2 วัน โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ระยะยาวที่มีผลกระทบมากกว่าตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น นายสันติ กล่าว


สำหรับปริมาณการซื้อขายใน ตลาดตราสารหนี้ที่พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายน จากปกติที่ซื้อขายกันอยู่ 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท ไม่สามารถที่จะชี้ชัดได้ว่าเกิดจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่ ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อน แหล่งข่าวจากสมาคมตราสารหนี้ กล่าวว่า การที่แบงก์ชาติยังคงสกัดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ด้วยการหักสำรอง 30% ซึ่งอนาคตจะ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาตลาด ตราสารหนี้ที่มีเป้าหมายที่จะให้โต 100% ของจีดีพี ก็คงเป็นเรื่องยาก
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 44

โพสต์

ยุนักลงทุนฟ้องแบงก์ชาติ จี้อุ๋ย-ธาริษาลาออกรับผิด

โพสต์ทูเดย์ ยุนักลงทุนฟ้องแบงก์ชาติ จี้หาคนรับผิดชอบ ทำตลาดหุ้นพัง 8 แสนล้านบาท เอกยุทธ เล็งเป็นผู้นำ ด้านสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุน ปัดต้องรับความเสี่ยง

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม มีนักลงทุนซึ่งลงทุนในตลาดหุ้น ได้โทรศัพท์เข้ามาที่กองบรรณาธิการโพสต์ทูเดย์ ระบายอารมณ์และอัดมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ทำให้เสียหายยับเยิน จากการถูกบังคับขาย และไม่มีใครออกมารับผิดชอบ


นักลงทุนกล่าวว่า คนที่อยู่เบื้องหลังการออกมาตรการ ทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะชดใช้และรับผิดชอบกับมาตรการนี้อย่างไร


ดิฉันไม่ใช่นักลงทุนหุ้นเก็งกำไร แต่ลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐานแล้วเจ๊ง ถ้าดิฉันลงทุนเลือกหุ้นไม่ดี ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับแล้วเจ๊ง ก็คือความผิดของตัวเอง ที่เลือกบริษัทลงทุนไม่ดี แต่วันที่ 19 ธันวาคม ดิฉันขาดทุนจากมาตรการของแบงก์ชาติ แล้วใครจะรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งของนักลงทุนและประเทศ นักลงทุนกล่าว


นายเอกยุทธ อันชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า วันที่ 21 ธันวาคม ได้เรียกทนายความเข้ามาปรึกษา เพื่อหารือความเป็นไปได้และช่องทางที่จะฟ้องร้องแบงก์ชาติ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ หรือ รมว.คลัง เพื่อรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนและตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เนื่องจากพอร์ตลงทุนของตนเองเสียหาย และนักลงทุนส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจากการถูกบังคับขายเช่นเดียวกัน


ผมคิดว่าต้องมีคนออกมารับผิดชอบกับมาตรการสกัดค่าเงินบาทครั้งนี้ของแบงก์ชาติ ไม่ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็หม่อมอุ๋ย (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร) คนใดคนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความเสียหายจากการใช้นโยบายผิดพลาดจนเกิดผลกระทบร้ายแรง มาบอกหุ้นลงเดี๋ยวก็ขึ้น แต่ความเสียหายเกิดไปแล้ว เหมือนนักลงทุนโดนตีหัวแตก มีรอยเย็บ ต้องมีคนลาออกรับผิดชอบ 1 คน นายเอกยุทธ กล่าว


นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า สมาคมไม่มีบทบาททำหน้าที่ผู้นำฟ้องร้องให้กับนักลงทุน โดยคิดว่าเป็นความเสี่ยงลงทุนที่ นักลงทุนต้องรับผิดชอบ และคิดว่าฟ้องร้องไม่ได้ เนื่องจากผู้ออกมาตรการทำโดยสุจริตในตำแหน่งหน้าที่ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าผู้เกี่ยวข้องควรจะแสดงความรับผิดชอบกับความเสียหายครั้งนี้ด้วยการลาออก
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 45

โพสต์

ความมั่งคั่งหุ้นคืน5แสนล.

โพสต์ทูเดย์ ดัชนีดีดบวก 69 จุด หลังกระทรวงการคลังกลับลำมาตรการคุมเงินหุ้น ความมั่งคั่งฟื้น 5.27 แสนล้าน โบรกเกอร์นอกเชื่อเงินเก่ายังไม่หวนคืน แต่มีคำสั่งซื้อใหม่ทั้งจากยุโรป สหรัฐ และเอเชีย ไหลเข้ามาซื้อหลังราคาสุดถูก ยันความเสี่ยงประเทศไทยอยู่ที่ตัวบุคคล

การลงทุนในตลาดหุ้นพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือ หลังจากดัชนีหุ้นดิ่งเหว 108 จุด และวันรุ่งขึ้นเปิดตลาดพุ่งขึ้นทันที 55 จุด หลังนักลงทุนรับรู้ข่าวแบงก์ชาติยกเลิกคุมเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนีปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 691.55 จุด เพิ่มขึ้น 69.41 จุด หรือ 11.16% มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 55,217.89 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม ต่างชาติยังขายสุทธิ 2,870.67 ล้านบาท หลังจากทิ้งหนักกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่สถาบันกลับลำซื้อสุทธิ 9,750.36 ล้านบาท ส่วนรายย่อยได้โอกาสขายทำกำไร 6,879.69 ล้านบาท เพราะเก็บไป 2.8 หมื่นล้านบาทวันก่อน


ทั้งนี้ แรงซื้อหุ้นที่กลับเข้ามาส่งผลให้ราคาหุ้นใหญ่ทุกตัวพุ่งขึ้นแรง และบางตัวเปอร์เซ็นต์การขึ้นของราคาใกล้เคียงกับที่ปรับตัวลงเมื่อวันก่อน เช่น ปตท.(PTT) ปิด 216 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 16.13% ส่วนหุ้นแบงก์ยังปรับตัวขึ้นไม่เท่ากับที่ ลดลง โดยธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิด 111 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 7.77%


การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเกือบทั้งกระดาน ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคป เพิ่มขึ้นมา 5.27 แสนล้านบาท อยู่ที่ 5.15 ล้านล้านบาท จากที่วันก่อนหน้าวูบไป 8.16 แสนล้านบาท ลงไปอยู่ที่ 4.63 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าตอนนี้มาร์เก็ตแคปยังหายอยู่ 3 แสนล้านบาท


แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนต่างประเทศแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เด้งขึ้นแรงเชื่อว่าเป็นเงินของต่างชาติ กลุ่มใหม่ ในส่วนของเงินทุนต่างชาติที่ขายออกไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ยังไม่ได้หวนคืนกลับมาซื้อ เพราะโดยธรรมชาติของการลงทุนแล้ว เมื่อขายที่ราคาต่ำจะไม่กลับเข้ามาซื้อในราคาที่สูงกว่า จึงรอดูจังหวะและโอกาสที่ดีกว่านี้


นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่หายคลางแคลงใจกับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะมีอะไรประหลาดๆ ออกมาอีกหรือไม่ ดังนั้นจึงเลือกที่จะรอมากกว่า


ทั้งนี้ แรงซื้อที่กลับเข้ามาน่าจะมาจากกลุ่มนักลงทุนทั้งจากยุโรป อเมริกา และในเอเชีย ที่เห็นว่าหุ้นลงมาแรงและถูก จึงเป็นจังหวะและโอกาสเข้าไปซื้อหุ้นดีๆ ไว้ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ได้ขายออกมาก็เข้าไปซื้อ แต่แรงซื้อที่เข้ามาไม่ได้ที่จะซื้อรวดเดียวเท่ากับแรงขายที่ออกมา 2.5 หมื่นล้านบาท


อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเห็นปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันน่าจะขึ้นมาอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาทได้


ตอนนี้ความเสี่ยงของตลาดหุ้นและประเทศไทยอยู่ที่ตัวบุคคล 2 คน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะโดยพื้นฐานและตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้วยังดีหมด ดังนั้นหลังจากนี้นักลงทุนต่างชาติจะนำมาคำนึงถึงในการเข้ามาลงทุน และถ้าหากยังไม่มีการแสดงความรับผิด ก็เชื่อว่าความน่าเชื่อถือก็จะหดหายลงไปด้วย แหล่งข่าวกล่าว


นักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ยังเชื่อว่าแรงเงินของนักลงทุนต่างชาติยังไม่ไหลกลับเข้ามา และหลังจากนี้จะเห็นเงินโยกออกจากตลาดตราสารหนี้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแทน ซึ่งตอนนี้มีเงินต่างชาติที่อยู่ในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 2 แสนล้านบาท และหากโยกมาเพียง 5 หมื่นล้านบาท ก็จะทำให้ดัชนีกลับขึ้นไปยืนที่ระดับเดิมได้


รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แจ้งว่า นักลงทุนต่างชาตินำเงินมาลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก โดยรักษาสัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทจดทะเบียนประมาณ 30%
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 46

โพสต์

ต่างชาติวิตกการเมืองครอบงำ "ธปท."

21 ธันวาคม 2549 07:25 น. กรุงเทพธุรกิจ
"มูดี้ส์" ชี้นโยบายกลับไปกลับมา ทุนนอกขาดความเชื่อมั่น ด้านโบรกฯ ชี้หวั่นความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ

ตลาดหุ้นดีดกลับทันควัน 69 จุดและคืนมาร์เก็ตแคปมาได้ 5.3 แสนล้านบาทหลังจากหายไป 8.2 แสนล้านบาท หลังทางการผ่อนปรนมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าบาท โบรกเกอร์เผย ความเชื่อมั่นของต่างชาติกลับคืนยาก วานนี้เดินหน้าขายสุทธิกว่า 2.8 พันล้านบาท หวั่นนโยบายของภาครัฐกลับไปกลับมาและวิตกความเป็นอิสระของ ธปท.ถูกการเมืองครอบงำ "ศุภวุฒิ" ชื้ต่างชาติขาดความมั่นใจ เกิดความเสี่ยงขึ้นใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบในระยะยาว

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) ดัชนีหุ้นดีดขึ้นมาทันทีที่เปิดตลาด หลังจากที่แบงก์ชาติยอมที่จะผ่อนปรนมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยหุ้นที่ปรับลดลงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก็ดีดกลับขึ้นมาทุกตัว เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นอยู่ในระดับที่ก่อนจะถูกเทขายออกมา โดยดัชนีหุ้นปิดที่ 691.55 จุด เพิ่มขึ้น 69.41 จุด หรือเพิ่มขึ้น 11.16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.5 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงเดินหน้าขายสุทธิ 2,872.67 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 6,866.06 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 9,738.73 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ขึ้นมาอยู่ที่ 5.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3 แสนล้านบาท จากวันก่อนหน้าเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม มาร์เก็ตแคปหายไป 8.2 แสนล้านบาท หุ้นที่มีมูลค่าการซ้อนขายหนาแน่นสุดก็คือหุ้น BBL ปิดที่ 111 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4.8 พันล้านบาท ตามด้วยหุ้น PTT ปิดที่ 216 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.9 พันล้านบาท หุ้น SCB ปิดที่ 61.50 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.8 พันล้านบาท และหุ้น KBANK ปิดที่ 64.50 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.4 พันล้านบาท และหุ้น PTTEP ปิดที่ 97 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.4 พันล้านบาท แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า การผ่อนปรนมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แม้จะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นคึกคักกลับมา โดยดันดัชนีดีดกลับขึ้นมาเกือบ 70 จุดหรือประมาณ 11% แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศคงจะยังไม่กลับมาในทันที โดยต้องใช้เวลา โดยแรงซื้อขายเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติมีทั้งซื้อและขาย ผสมโรงกับรายย่อยในประเทศ ขณะที่นักลงทุนที่ต้องตัดใจขายหุ้นในราคาติดฟลอร์ในวันก่อนหน้า บางรายก็ยังไม่กลับเข้ามาซื้อ อย่างไรก็ตาม แม้ความเชื่อมั่นของต่างชาติจะยังไม่กลับมาเต็ม 100% แต่การผ่อนปรนมาตรการของแบงก์ชาติ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีรูดลง แตะที่ระดับ 500 จุด โดยปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขในขณะนี้ก็คือ การกำกับนโยบายของภาครัฐที่จะต้องมีความชัดเจน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายรัฐบาลด้วย
buglife
Verified User
โพสต์: 942
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 47

โพสต์

มีตามมาอีกหลายดอกแน่ๆ

บักสีดาไม่ใช่แบบพี่ไทย
ยกเลิกแล้วก็ยอมๆ หยวนๆ กันไป
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 48

โพสต์

matrix เขียน:นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า สมาคมไม่มีบทบาททำหน้าที่ผู้นำฟ้องร้องให้กับนักลงทุน โดยคิดว่าเป็นความเสี่ยงลงทุนที่ นักลงทุนต้องรับผิดชอบ และคิดว่าฟ้องร้องไม่ได้ เนื่องจากผู้ออกมาตรการทำโดยสุจริตในตำแหน่งหน้าที่ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าผู้เกี่ยวข้องควรจะแสดงความรับผิดชอบกับความเสียหายครั้งนี้ด้วยการลาออก
ผมขอชื่นชมท่านครับที่กล้าให้ความเห็นอย่างตรงๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
yoyo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4833
ผู้ติดตาม: 1

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 49

โพสต์

หม่อมครับ ที่บอกว่าได้กลับคืนมา 5 แสนล้านกว่าๆ ตอนนี้เค้ามาเอาคืนไปอีกแล้วครับ .. ทำไงดี นักลงทุนไม่ได้ฉลาดทุกคนนะขอรับกระพ้ม เจ้านายยยย  :lol:
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
sunrise
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2273
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 50

โพสต์

เมื่อวานสั่งกองทุนซื้อเพิ่มหรือเปล่าน้อ

วันนี้บอกว่าคนหายต๊กกะใจแล้ว ปล่อยเลยตามเลยได้
เฮ้อ เงินคนลงทุนทั้งน้าน

ผมเปรยเล่นๆนะครับ  :wink:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 51

โพสต์

ไทยรัฐ [22 ธ.ค. 49 - 04:01]

อุ๋ยยืดอก ยินยอมเสียหน้า ชาติรอด

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังงอมพระราม แม้ว่าม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะออกมาระบุว่าการออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เป็นการกระทำที่ถูกต้องและสามารถปกป้องค่าเงินบาทไว้ได้ สำเร็จ แม้ว่าจะต้องสูญเสียมาร์เกตแคปไปถึง 8 แสนล้านบาทภายในวันเดียว จนมีการมองกันว่าเป็นการเสีย ค่าโง่ ของ ธปท. ขณะที่นักลงทุนพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึง การกระทำของ ธปท. ว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีการคิดให้ รอบคอบ จนทำให้ตลาดหุ้นพินาศและเมืองไทยกลายเป็นตัวตลกในสายตานักลงทุนชาวต่างชาตินั้น

ยันออกมาตรการเข้มเพื่ออุ้มส่งออก

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อบ่ายวานนี้ (21 ธ.ค.) ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ ถึงค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงภายหลัง ธปท.ออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทจนหุ้นตกอย่างร้ายแรง ว่า เงินบาทอ่อนก็ดีแล้ว และไม่ถือว่าอ่อนเกินไป เพราะที่ผ่านมาเราเสียเปรียบคู่แข่งไปเยอะแล้ว เพราะค่าเงินบาทสูงขึ้น 14% ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 12% ขณะที่เงินของคู่แข่งแข็งแค่ 6-7% เมื่อเทียบกับต้นปี เพื่อให้ผู้ส่งออกสู้กับประเทศอื่นได้ เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกันระหว่างการส่งออกกับมาร์เกตแคปที่หายไปถือว่าคุ้มหรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า การส่งออกสำคัญมากเพราะมีมูลค่าคิดเป็น 60% ของจีดีพี ที่เราห่วงมากว่าวันที่เงินบาทอยู่ที่ 35.11 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าทะลุ 35 บาทต่อดอลลาร์ ในแง่จิตวิทยาค่าเงินบาทจะตกไปถึง 34 บาทต่อดอลลาร์แน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ส่งออกจะขวัญเสีย เราไม่อยากให้เกิดวิกฤติในภาคการส่งออกมัน จะเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้น ต้องดำเนินการมาสกัดไว้ก่อน เพราะการส่งอออกหมายถึงทุกๆอย่าง หมายถึงเศรษฐกิจทั้งหมด รวมทั้งการจ้างงานด้วย ถ้าไม่มีเรื่องปัญหาการส่งออกตนไม่ทำหรอก

ปัดรัฐบาลไม่ได้แทรกแซงแบงก์ชาติ

เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกันระหว่างการส่งออกกับมูลค่ามาร์เกตแคปที่หายไปถือว่าคุ้มหรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า มาร์เกตแคปมันเป็นความสูญเสียทางบัญชี ดัชนีซื้อขายหุ้นเคยอยู่ที่ 1,700 จุด ลดมา 300 จุด แล้วก็ค่อยๆขึ้นมา คนที่ลงทุนระยะยาวเขาไม่ได้กลัว เรื่องมาร์เกตแคป แต่พวกที่ลงทุนระยะสั้นที่เอากำไรเข้าออกเร็วๆถึงจะห่วง เมื่อถามว่า มีการมองว่ารัฐบาลเข้าแทรกแซงการทำงานของ ธปท. ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว ว่า ไม่ใช่ เพียงแต่วันนั้นในวันประชุม ครม.ตนทราบข่าว จึงนั่งไม่ติด และได้โทรศัพท์ติดต่อกับนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. จนเย็นตลาดหลักทรัพย์ปิด ตนจึงเชิญประชุม 3 ฝ่าย ในที่สุดพวกโบรกเกอร์และตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์บอกว่า สถานการณ์เช่นนั้นเขาอาสาดูแลให้เองและสร้างระบบการรายงานกันในคืนนั้น เพื่อป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศไม่ให้ ไหลเข้าไปอีกช่องหนึ่งได้ แต่กว่านางธาริษาจะกลับถึงกรุงเทพฯ ช่วงเช้าวันอังคารที่ 19 ธ.ค. กว่าจะออกมาตรการมาก็จะสายเกินไป ตนในฐานะดูแลตลาดทุนอยู่ด้วย จึงเรียกประชุมแทนให้และช่วยประกาศมาตรการให้ บังเอิญตนทำงานใกล้ชิดกับนางธาริษามา 5 ปีก็เลยไม่ได้คิดอะไร

หวั่นนักลงทุนไทยตกเป็นเหยื่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุที่ต้องปรับมาตรการครั้งนี้ เพราะมีข่าวว่าในช่วงเย็นหลังตลาดปิดวันที่ 19 ธ.ค. มีคำสั่งเทขายออกมามากใช่หรือไม่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า สาเหตุที่ปรับมาตรการ เพราะค่อนข้างชัดว่า มีคำสั่งขายอีกเยอะ แต่ตนไม่ทราบตัวเลขแน่นอน โบรกเกอร์บอกว่า อย่าปล่อยให้มีการเทขายอีกเลย ไม่เช่นนั้นจะเสียขวัญ โดยเริ่มต้นจากนักลงทุนต่างชาติเทขายก่อน 35,000 ล้านบาท ตนไม่รู้สึกอะไร ถ้าจะขาดทุนบ้าง เพราะกำไรจากเราไปเยอะแล้ว แต่พอช่วงบ่ายนักลงทุนไทยเริ่มออกมาเทขายตาม จึงกลัวนักลงทุนไทยจะเป็นเหยื่อ ส่วนกรณีที่ต่างประเทศระบุว่ามาตรการ ดังกล่าวกลับกลอก ซึ่งอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตนเห็นว่าไม่ใช่มาตรการที่กลับกลอก เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงทั้งหมด แต่ยังคงมาตรการใหญ่ไว้ หากยังยึดมาตรการเดิมที่ป้องกันไม่ให้เงินไหลเข้าเพื่อเก็งกำไรก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ สำหรับตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ก็ดีขึ้น ดีกว่าวันแรกที่มีการประกาศใช้มาตรการ ส่วนค่าเงินบาทก็ยังอ่อนค่าลงไปได้อีก ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์กับประเทศได้

ยอมเสียหน้าเพื่อชาติไม่ถือเป็นค่าโง่

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ถือเป็นค่าโง่ เพราะถ้าไม่ทำวันนี้คงยุ่งไปแล้ว เงินบาทผ่าน 35 บาทต่อดอลลาร์ไปถึง 34 บาท ขวัญของผู้ส่งออกเสีย อันนั้นจะยุ่ง เมื่อเห็นปัญหาแล้วป้องกันดีกว่าให้เกิดปัญหาแล้วมาเสียใจภายหลัง เช่นเดียวกันเมื่อผมเห็นราคาหุ้นตกเยอะ ผมก็รีบทำดีกว่าหยิ่งผยองบอกว่าไม่เป็นไร ยึดไว้แล้วเดี๋ยวก็เสียเงินอีก ทำอะไรให้ประเทศได้ดี ถ้าตัวเองเสียหน้าหน่อยไม่เป็นไรหรอก และไม่ต้องห่วงเรื่องความเชื่อมั่น ต่างชาติเชื่อมั่นแล้ว ถ้าภาคการส่งออกไป นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่น แต่ถ้าภาคการส่งออกอยู่นี่สบายแล้ว

ลั่นรับผิดชอบปกป้องตลาดหุ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีหลายคนออกมาเรียกร้องหาคนรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ถ้าไม่ทำแล้วภาคการส่งออกเสียหายไปใครรับผิดชอบ เศรษฐกิจมันมีได้และเสีย แต่ถ้าตนไม่ออกไปปรับมาตรการในตลาดหลักทรัพย์ ตนต้องรับผิดชอบแน่ ต้องปรับให้มันอยู่ได้ และมาตรการดังกล่าวเคยใช้ในประเทศอื่น แต่ผลกระทบไม่รุนแรง แต่บ้านเรามีผลกระทบมาก เพราะระดับการครอบงำของนักลงทุนต่างชาติ ในตลาดหลักทรัพย์ไทยสูงมากจนคนตกใจ แม้ต่างชาติจะถือครองอยู่ประมาณ 30% ของมูลค่ารวมมาร์เกตแคป แต่เป็น 30% ที่เข้าออก มีพลังมากเกือบกลายเป็นพลังเกือบ 100% เป็นสิ่งน่าคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยถูกต่างชาติครอบงำมากไป ถ้าไม่ ครอบงำมากผลข้างเคียงจะไม่มากขนาดนี้ ต้องค่อยๆ ดูไป

สมาชิก สนช.ตั้งกระทู้ถามสด

อีกด้านที่รัฐสภา บ่ายวันเดียวกันมีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมีการพิจารณากระทู้ถามสด เรื่องผลกระทบจากการออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนายสำราญ รอดเพชร สมาชิก สนช.ได้ถามว่า การออกมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ทำให้มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยหายไปถึง 8 แสนล้านบาท ภาพรวมสังคมกล่าวขานว่าเป็นการให้ยาผิดของ ธปท. และสงสัยว่า มีการทำอะไรพลาดพลั้งไปก่อนหน้านี้หรือไม่ เป้าหมายการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ 13-14% จะเป็นไปตามที่ตั้งไว้หรือไม่ และคิดว่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพควรจะอยู่ที่จุดใด ที่มีข่าวการใช้เงินถึง 15,000 ล้านสหรัฐฯ เพื่อแทรกแซงค่าเงินจริงหรือไม่อย่างไร หากเงินบาทอ่อนจะเกิดวิกฤติมากขึ้นอีกหรือไม่ ที่สำคัญการออกมาตรการดังกล่าวเป็นการครอบงำและทำลายเกียรติภูมิของ ธปท.หรือไม่ มูลค่าการตลาดที่ยังหายไป 3 แสนล้านบาทนั้น จะมีความรับผิดชอบโดยส่วนตัวอย่างไร เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งต่อได้อย่างสง่างาม

ปลอบเดี๋ยวสถานการณ์ก็ปกติ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้ชี้แจงถึงปัญหาที่ทำให้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท และยืนยันว่า ธปท. และ กลต. ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น หลังออกมาตรการเข้ม ในการสกัดค่าเงินบาทตลอดทั้งวัน จึงได้ปรึกษาและเห็นพ้องต้องกันที่จะให้ยกเว้นมาตรการเรียกเก็บเงินสำรอง เฉพาะตลาดทุนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทเอกชนส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวล ทำให้ดัชนีตลาดสูงขึ้น เมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค. ถึง 69 จุด ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปแตะที่ 35.88-35.89 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเที่ยงวันที่ 21 ธ.ค. เงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่ 36.50 บาท ในด้านผลข้างเคียงก็ได้รับการแก้ปัญหา ให้ลดความรุนแรงลงได้ครึ่งหนึ่ง คาดว่าอีกระยะหนึ่ง สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ ขอยืนยันว่า มาตรการของ ธปท. ก็เพื่อผู้ส่งออกโดยแท้ เพราะหากปล่อยต่อไปเป้าหมายการส่งออก อาจจะขึ้นหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ถือเป็นการป้องกันวิกฤตการณ์ส่งออก ทั้งนี้ เสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายเป็นราคา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ยันไม่ได้ก้าวก่ายงาน ธปท.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวด้วยว่า การแทรกแซงค่าเงินบาทครั้งนี้ ไม่เหมือนในปี 2540 ที่เอาเงินดอลลาร์สหรัฐฯไปซื้อเงินบาท แต่ครั้งนี้เป็นการเอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการแทรกแซงที่จะมีแต่รวยขึ้น แต่ปัญหาขณะนี้คือมันมีเงินไหลเข้ามา จนเราสู้ไม่ทันมากกว่า กรณีข้อกล่าวหาว่าก้าวก่ายการทำงานของ ธปท. นั้น ขอชี้แจงว่า ตนจะก้าวก่าย ธปท.เป็นเรื่องสุดท้าย เหตุที่ตนเรียกประชุมภาคเอกชน ก็เพราะผู้ว่าการ ธปท. ติดภารกิจที่ จ.เชียงใหม่ จะกลับในรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าการ ธปท. เห็นว่าอาจจะไม่ทันการ จึงขอให้ตนเป็นผู้เรียกประชุมแทน

ขอให้ชาติอยู่รอดแม้ตัวเองไม่สง่างาม

ในเรื่องความรับผิดชอบ ถ้าผมผิดเต็มประตู ผมไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งอยู่แล้ว เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยได้เสนอว่าต้องใช้มาตรการนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดวิกฤติส่งออก หากเกิดก็จะดึงกลับมายากไม่เหมือนมูลค่าตลาด มาตรการที่คุยกันจริงๆมีแรงกว่านี้ แต่ได้ขอว่าเอาแค่นี้ก่อน แม้มีผลกระทบต่อตลาดแรง แต่มีผลดีด้านค่าเงินบาทมาก ผมทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้ ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ด้าน การส่งออกไม่เจอวิกฤติแน่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องลดผลกระทบ ท้ายสุดผมไม่สง่างามไม่เป็นไร แต่ขอให้ประเทศชาติไปรอด ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวตอนท้าย

สุรยุทธ์ หนุนมาตรการของ ธปท.

ก่อนหน้านี้ ตอนเช้า ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. ที่ส่งผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์เสียหาย 8 แสนล้านบาท ภายในวันเดียว ว่า ในการทำงาน คิดว่าทุกภาคส่วนต้องประสานกัน ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม การ ทำงานต้องมีการประสานกันทั้งสิ้น แต่ก็เป็นการตัดสินใจของ ธปท. ที่จะเห็นด้วยกับนโยบายหรือแนวทางในการดำเนินการอย่างไร การตัดสินนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีอำนาจ ในกรณีอันนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามันมีการเก็งค่าเงินกันจริงๆ เพราะว่าเมื่อได้ยกเลิกมาตรการที่จะดำเนินการต่อตลาดหุ้น มูลค่าในส่วนของตลาดหุ้นก็กลับขึ้นมาอีก การเปลี่ยนแปลงค่าเงินในช่วงระยะเวลาสั้นๆของการลงทุนในตลาดหุ้น ที่ว่า 8 แสนล้าน และกลับมาอยู่ 6 แสนล้าน ในช่วงเวลา 1 คืน คิดว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องตระหนัก และเข้าใจว่ามันน่าจะมีการแทรกแซง มันน่าจะมีการเก็งกำไร ที่เห็นได้อย่างชัดเจนในส่วนนี้

ปลื้ม หม่อมอุ๋ย ชมทำถูกต้องแล้ว

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ที่ได้รับผลกระทบ หากว่าเราไม่ยอมรับผลกระทบอันนี้บ้าง ส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบมากขึ้นกว่าผลกระทบส่วนน้อย การทำใดๆก็ตาม คิดว่ามันจะต้องมีผลทั้ง 2 ด้าน ไม่มีทำสิ่งใดแล้วไม่มีโอกาสที่จะมีผลบวกเป็นอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ คงจะต้องมีผลลบตามมาด้วย แต่ว่าเมื่อมีการปรับแก้ให้ทันเวลา คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของ ธปท. และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รมว.คลัง ได้ตัดสินใจดำเนินการอย่างถูกต้องและทันเวลาแล้ว

ไม่หวั่นต่างชาติว่ากลับกลอก

เมื่อถามว่า นโยบายที่กลับไปกลับมา ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ตอบว่า นโยบายไม่ได้กลับไปกลับมา นโยบายนี้แน่นอนคือไม่ให้เงินบาทแข็งมากจนเกินไป จนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเรา แต่เป็นเรื่องของวิธีการ ไม่ใช่นโยบาย เมื่อย้ำถามว่า วิธีการนี้ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ พล.อ. สุรยุทธ์ตอบว่า เหมือนอย่างที่เราพูดกันว่าให้ยาแรงไปไหม นั่นเป็นสิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์กันได้ อย่างที่เรียนไปแล้วว่า รมว.คลังได้ปรับวิธีการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนของการใช้วิธีการอยู่ นโยบายนั้นไม่ได้เปลี่ยน เมื่อถามว่า ก่อนออกมาตรการนี้ ได้มีการปรึกษานายกฯก่อนหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ได้คุยกันในเรื่องของนโยบาย แต่ว่าวิธีการไม่ได้คุย เพราะความประสงค์ของเราคือการที่จะให้เงินบาทมีเสถียรภาพอยู่ในลักษณะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะโดย รวมของเศรษฐกิจมากนัก นั่นเป็นประเด็นสำคัญที่ได้มีการหารือกัน

บาทไทยผันผวนอ่อนค่ารวดเร็ว

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทไทย นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ค่อนข้างผันผวนอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยเปิดตลาดที่ 36.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากปิดตลาดวันก่อนที่ 35.85-35.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นได้อ่อนค่าสุดไปแตะ 36.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมาปิดตลาดที่ 36.35-36.44 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ การที่ค่าเงินเริ่มอ่อนตัวเกิดจากผู้นำเข้าที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นำมาแลกเป็นเงินบาทเริ่มหมดไป ต่างกับในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ที่ผู้นำเข้านำเงินดอลลาร์สหรัฐฯมาแลกเป็นเงินบาทจำนวนมาก ยังไม่เห็นสัญญาณเงินที่ต่างชาติขายหุ้น นำออกนอกประเทศในช่วงนี้ ทั้งนี้ เชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าไปที่ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

เมื่อค่าเงินบาทเริ่มอ่อนตัวลง ต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน ก็ต้องติดตามดูว่าค่าเงินบาทที่อ่อนตัวจะรับได้แค่ไหน ขณะนี้การซื้อขายมีวอลุ่มการซื้อขายไม่มาก หากต่างชาติขายเงินบาท เพื่อแลกเป็นเงินดอลลาร์และนำออกนอกประเทศ ก็จะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว นายธิติกล่าว

คนกู้เงิน ตปท.ก็เจอผลกระทบ

นายธิติกล่าวอีกว่า มาตรการของ ธปท.ที่กำหนดให้สถาบันการเงินรับแลกเงินสกุลต่างประเทศกันเงินไว้ 30% ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเอกชนไทย ที่ต้องไปกู้เงินต่างประเทศเพื่อมาขยายธุรกิจ ก็ต้องถูกกันเงินไว้ 30% ด้วยเช่นกัน ซึ่งเอกชนที่กู้เงินไม่ได้นำมาเก็งกำไรค่าเงิน ดังนั้น เชื่อว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องไปหารือกับ ธปท. เพื่อขอแก้ไขในจุดนี้ เหมือนกับที่ได้มีการแก้ไขเงินต่างชาติ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อไม่ให้ภาคเอกชนได้รับความเดือดร้อน

ต้นปีหน้าค่าบาทไทยมีสิทธิ์ 38 บาท

ขณะที่นายเสถียร ตันธนะสฤษดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.ในครั้งนี้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปอยู่ที่ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลาไม่เกินเดือน ม.ค.50 และเป็นค่าเงินที่แข็งค่าใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ การตลาดเงินมีวอลุ่มการซื้อขายน้อย เพราะอยู่ในช่วงของสิ้นปี ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศได้หยุดงานแล้ว และจะเริ่มทำงานอีกครั้งต้นปีหน้า จากนั้นจะเห็นการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่แท้จริง เงินที่ต่างชาติขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ สามารถทำได้ 2 ทาง คือ นำไปพักไว้ที่บัญชีนอนเรซิเด้นท์ ดอกเบี้ย 0% เพื่อรอกลับเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้ง หรืออีกแนวทางหนึ่ง นำเงินมาแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมขนเงินออกนอกประเทศ ในจุดนี้จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัว ซึ่งเป็นแนวทางที่ ธปท.อยากเห็น

ตลาดหุ้นไทยยังงอมพระราม

ทางด้านบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 21 ธ.ค. ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยได้กลับลำปรับตัวลงต่อ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงถอดใจ โชว์การขายทิ้งหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ทางการจะผ่อนปรน ยกเว้นมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท สำหรับเงินลงทุนในตลาดหุ้น ที่คาดหวังกันว่าจะทำให้ดัชนีหุ้นดีดกลับขึ้นมาได้ แต่ก็เกิดขึ้นได้เพียงวันเดียวคือการซื้อขายวันที่ 20 ธ.ค. โดยล่าสุดวันที่ 21 ธ.ค. ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 676.10 จุด ลดลง 15.45 จุด หรือ 2.23% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 20,209 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 998 ล้านบาท รวม 3 วัน นับตั้งแต่มาตรการ ธปท.พ่นพิษ นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิแล้ว รวมทั้งสิ้น 28,995.64 ล้านบาท

ต้องเร่งสร้างความเข้าใจต่างชาติ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวถึงแผนงานปี 2550 ว่า การให้ข้อมูลและทำความ เข้าใจกับนักลงทุนและ ก.ล.ต.ต่างประเทศ กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนและเป็นแผนงานอันดับต้นๆ ที่ ก.ล.ต.ต้องทำเพื่อให้นักลงทุนเกิดความเข้าใจต่อสถานการณ์ประเทศ ไทย หลังจากต้องเจอผลกระทบจากมาตรการของ ธปท. ยอมรับว่าผลกระทบจากมาตรการ ธปท.นั้น จะทำให้เกิดความยากลำบากในการพัฒนาตลาดทุน โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ที่ถูกคุมโดยตรง แม้ตลาดทุนจะได้รับการยกเว้นแล้วและเป็นหน้าที่ของ ก.ล.ต.และบริษัทหลักทรัพย์ ต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าและต่างชาติให้ชัดเจนและเร็วที่สุด

ก.ล.ต.อาจฟ้องศาลปกครอง

เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวอีกว่า หากในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ หุ้นลดลง หรือเบาบาง ก็ไม่อยากให้นักลงทุนตกใจ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่หยุดพักปลายปีแล้ว ไม่คิดว่ามอร์แกนสแตนเลย์จะปรับลดการลงทุนหุ้นไทยลงในการคำนวณดัชนี MSCI เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ได้ เปลี่ยน เชื่อว่าอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งต่างชาติน่าจะกลับมาลงทุน สำหรับกรณีที่นักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจะฟ้องร้องทางการ หรือ ธปท.นั้น ไม่ขอออกความเห็นแต่ตามกฎหมายหลักทรัพย์ ไม่สามารถที่จะฟ้องได้ เพราะถือเป็นการดำเนินมาตรการตามกฎหมายของ ธปท. แต่คงต้องไปฟ้องตามกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายแพ่ง หรือศาลปกครอง ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมานั้น เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเงินที่ขายหุ้นออกมา เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. และมีการแลกเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำออกไปนอกประเทศจึงมีผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลง

เผย ธปท.เจ๊งซื้อขายเงิน 75,000 ล้าน

วันเดียวกัน นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธปท. สายเสถียรภาพการเงิน ได้ชี้แจงต่อกรรมาธิการการเงินการคลังการธนาคาร สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่า ธปท.มีผลขาดทุนจากซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันที 75,000 ล้านบาท เพื่อเข้าแทรกแซงลดความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา โดย ธปท.ยังมีผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นได้ จากการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าด้วยการซื้อดอลลาร์และมีสัญญาที่จะขายคืนกับนักลงทุนต่างประเทศ

11 เดือนบักโกรก 138,500 ล้านบาท

โดยมียอดคงค้างล่าสุด ณ วันที่ 15 ธ.ค. จำนวน 8,700 ล้านเหรียญฯ หากคิดยอดขาดทุนเท่ากับการซื้อ ขายทันที คือประมาณ 5 บาทต่อเหรียญฯ ธปท.จะมีผลขาดทุนจากส่วนนี้เพิ่มเติมอีก 43,500 ล้านเหรียญฯ รวมทั้งในช่วงเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ธปท.ได้มีการแทรกแซงค่าเงินบาทด้วยการซื้อดอลลาร์ทันที เพิ่มเข้ามาในทุน สำรองอีกจำนวนมาก คาดว่าประมาณ 1 เดือนครึ่ง ธปท.มีผลขาดทุนเพิ่มอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท ทำให้ ธปท. มีผลขาดทุนทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 138,500 ล้านบาท

กนง.เตรียมประชุมปีหน้า

ล่าสุดได้มีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมนัดพิเศษ หลังจากได้รับ ผลกระทบจากมาตรการสกัดเงินทุนระยะสั้นไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า กนง.ไม่ได้มีการประชุมนัดพิเศษแต่อย่างใด การประชุมของ กนง.ก็ยังคงเหมือนเดิม คือจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 17 ม.ค.2550 เพื่อประเมินเศรษฐกิจในระยะต่อไป สำหรับเงินทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทย จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งข้อมูลอาจจะล่าช้าไปหน่อย แต่เท่าที่ ธปท.ตรวจสอบพบว่าเงินทุนของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด คือเงินทุนโดยตรง (FDI) รองลงมาเป็นตราสารหนี้ต่างๆ และที่เหลือจะเป็นเงินทุนที่เข้าไปในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนโดยตรงและเงินที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ ตัวเลขใกล้เคียงกัน
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 52

โพสต์


เผย ธปท.เจ๊งซื้อขายเงิน 75,000 ล้าน

วันเดียวกัน นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธปท. สายเสถียรภาพการเงิน ได้ชี้แจงต่อกรรมาธิการการเงินการคลังการธนาคาร สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่า ธปท.มีผลขาดทุนจากซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันที 75,000 ล้านบาท เพื่อเข้าแทรกแซงลดความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา โดย ธปท.ยังมีผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นได้ จากการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าด้วยการซื้อดอลลาร์และมีสัญญาที่จะขายคืนกับนักลงทุนต่างประเทศ

11 เดือนบักโกรก 138,500 ล้านบาท

โดยมียอดคงค้างล่าสุด ณ วันที่ 15 ธ.ค. จำนวน 8,700 ล้านเหรียญฯ หากคิดยอดขาดทุนเท่ากับการซื้อ ขายทันที คือประมาณ 5 บาทต่อเหรียญฯ ธปท.จะมีผลขาดทุนจากส่วนนี้เพิ่มเติมอีก 43,500 ล้านเหรียญฯ รวมทั้งในช่วงเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ธปท.ได้มีการแทรกแซงค่าเงินบาทด้วยการซื้อดอลลาร์ทันที เพิ่มเข้ามาในทุน สำรองอีกจำนวนมาก คาดว่าประมาณ 1 เดือนครึ่ง ธปท.มีผลขาดทุนเพิ่มอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท ทำให้ ธปท. มีผลขาดทุนทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 138,500 ล้านบาท

 :shock:   ไม่อยากจะเชื่อ...    :shock:

แบบนี้เค้าเรียกว่า   หมดหนทาง  วางเพลิงเผา  หวังประกัน

ตายหมดยกบ้าน   ทั้งคนทั้งสัตว์...  


" ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  พวกนี้เค้าเก่งๆ  ทั้งน้าน  เด๋วก็หนีรอดเองแหละ "


แถมยังอ้างอีกว่า " ทำเพื่อชาติ "  

ชาติ  " อะฮู๊ววว " มัน น่ะเด่..  :evil:



สงสารประเทศไทยครับ    :'O
ภาพประจำตัวสมาชิก
tachikoma
Verified User
โพสต์: 140
ผู้ติดตาม: 0

ไม่อยากจะเชื่อ....

โพสต์ที่ 53

โพสต์

bsk(มหาชน) เขียน:หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมทั่วทั้งภูมิภาค

อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศา

ขอให้ประชาชนระวังสุขภาพกันไว้ให้ดี อาจจะปอดบวมได้จำนวนมาก

ควรรับประทานอาหารที่ให้ความอบอุ่นหรือร้อนรุ่ม

อาทิเช่น ต้มยำกุ้ง ไส้อั่วและซกเล็ก..
รู้สึกว่าประเทศไทยจะห่วงใยประเทศที่สนิทสนม เลยทำต้มยำกุ้งไว้เผื่อประเทศคู่ค้าด้วยนะครับ