ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 3
คนรู้น้อยอย่างผมก็ดูเอาจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ต้องมองให้ครบทุกด้านว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
- tanate
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 6
ผมเริ่มไม่เข้าใจVI คำว่าปัจจัยพื้นฐานคืออะไรกันแน่
เราเฝ้าเพียรวิเคราะห์หาราคาพื้นฐาน เมื่อได้เวลาที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน
ก็เป็นเวลาที่เราต้องซื้อไม่ใช้หรือครับ
แต่ขณะนี้ เรากลับกลัวต่างชาติขาย
มันควรจะดีใจที่ได้ซื้อของถูกซิครับ
What is the best VI?
เราเฝ้าเพียรวิเคราะห์หาราคาพื้นฐาน เมื่อได้เวลาที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน
ก็เป็นเวลาที่เราต้องซื้อไม่ใช้หรือครับ
แต่ขณะนี้ เรากลับกลัวต่างชาติขาย
มันควรจะดีใจที่ได้ซื้อของถูกซิครับ
What is the best VI?
หุ้นขึ้นสักแต่รู้ว่าหุ้นขึ้น หุ้นตกสักแต่รู้ว่าหุ้นตก
-
- Verified User
- โพสต์: 226
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 7
ส่วนผมไม่รู้ครับ เช้าวันอังคารยังตั้งซื้อหุ้นที่อยากได้แบบกดราคาอยู่เลยครับ ผลก็คือได้ทุกตัว ราคาที่ได้ก็เกือบสูงสุด ช่วงบ่ายก็ยังทยอยซื้ออีกหน่อย เหตุผลที่ซื้อ คือมันเป็นราคาที่เราดูแล้วว่าไม่แพง จิตใจตอนนั้นคิดว่า
ถ้าวันต่อๆไป ราคาหุ้นลงไปอีก ก็จะซื้ออีกตามเงินที่มี คิดว่าวันนั้นนายตลาดคงมีอารมณ์เสียมากๆ แต่ก็ยอมรับได้นะครับว่าถ้าวันต่อๆมาดัชนีมันจะลงแรงๆอีกถึงแม้ว่า เงินที่เราจะซื้อหุ้นได้หมดไปแล้ว เพราะเราคิดว่า เรารู้ตัวว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่
ถ้าวันต่อๆไป ราคาหุ้นลงไปอีก ก็จะซื้ออีกตามเงินที่มี คิดว่าวันนั้นนายตลาดคงมีอารมณ์เสียมากๆ แต่ก็ยอมรับได้นะครับว่าถ้าวันต่อๆมาดัชนีมันจะลงแรงๆอีกถึงแม้ว่า เงินที่เราจะซื้อหุ้นได้หมดไปแล้ว เพราะเราคิดว่า เรารู้ตัวว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 8
ถ้ามองระยะยาวคิดว่าน่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการในเชิงโครงสร้างมากกว่าว่าเราสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันที่ไม่ต้องอิงกับเรื่องค่าเงินได้แค่ไหน(เทคโนโลยี่ ประสิทธิภาพการบริหารจัดการขององค์กรธุรกิจ คุณภาพสินค้า อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ฯลฯ) ค่าเงินสุดท้ายคงจบลงที่ศักยภาพโดยรวมของประเทศมากกว่า เพราะอย่างไรสินค้าที่เราผลิตก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอยู่ เพียงแต่ความเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้ราคาของกิจการเราถูกลง(p/e)
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
- เพื่อน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1832
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 10
จากประสบการณ์ของผม หลายครั้งที่คนวิจารณ์ไม่ได้อยู่ร่วมในกระบวนการตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้น มักจะวิจารณ์ได้ถูกแต่ไม่ทั้งหมด.....บางครั้งการวิจารณ์พุ่งไปที่เรื่องเพียงเรื่องเดียว แต่ไม่ทันได้นึกว่า คนที่อยู่ในกระบวนการตัดสินใจเค้าคิดเลยจุดนี้ไปเรียบร้อยมาก่อนแล้ว เพราะเรื่องที่เค้าเผฉิญอยู่มันมีมากและผูกพันธ์กันมากกว่าที่คนที่อยู่วงนอกจะทันคิด
ขอเล่าประสบการณ์ ผมเองก็เคยถูกวิจารณ์งานบ่อยๆ ส่วนใหญ่คนที่วิจารณ์มักจะไม่ได้อยู่ร่วมในการถกปัญหาต่างๆในกระบวนการตัดสินใจเพื่อหาทางออกตั้งแต่เริ่มต้นให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด(บางทีก็ต้องยอมเสียบางอย่างไปบ้าง)
ยกตัวอย่างงานหนึ่งที่ผมเคยออกแบบอาคารไว้ พองานเสร็จก็มีคนวิจารณ์พอสมควร ทำนองออกแบบแปลนนิ่งอาคารไม่ดี ทำไมไม่เอาลิฟท์ไปไว้ตำแหน่งนั้น ทำไมไม่ทำให้พื้นที่ชั้นล่างใหญ่กว่านี้ เพื่อจะได้ใช้ค้าขายมากขึ้น ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด แถมด้วยคำพูดประเภท ถ้าเป็นเค้าออกแบบ เค้าจะทำแบบนั้นแบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ
.....หลายครั้งที่ผมก็ขี้เกียจอธิบายเค้า เพราะต้องเริ่มท้าวความที่มาที่ไปกันตั้งแต่เริ่มและเค้าจะไม่ยอมเข้าใจอย่างอื่นที่เค้าไม่อยากรู้อีกหลายๆเรื่องทั้งด้านกฎหมายและโครงสร้างอาคารรวมถึงความต้องการหลักของเจ้าของอาคาร....แต่เค้าลืมคิดไปว่า ก่อนหน้านี้มีคนมาออกแบบไว้2-3ราย ไม่สามารถขออนุญาติก่อสร้างได้ จะทำได้ก็เพียงเพียง4ชั้นบนที่ดินแสนแพงและมีพื้นที่จำกัดมาก(พร้อมกับบอกให้เจ้าของอาคารไปแอบต่อเติมทีหลัง) ในขณะที่ผมออกแบบให้สามารถสร้างได้8ชั้นอย่างถูกกฎหมาย....ไม่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเลย(แต่ต้องFight กับ ผู้ตรวจของ กทม.นานเหมือนกัน)
สรุปจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเลยไม่อยากวิจารณ์เรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมดว่าดีหรือแย่แค่ไหน เพราะผมคิดว่าเรื่องบางเรื่องที่เราพูดๆกันอยู่เรายังมองมันง่ายเกินไป อย่างเช่นทำไมไม่แก้ปัญหาโดยใช้ดอกเบี้ยหละ....ผมว่ากลุ่มคนระดับนี้เค้าคิดผ่านเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วมั้งครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ควรสนใจเพราะเกินความรู้..... เราสามารถวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ได้ โดยเฉพาะการวิจารณ์เชิงตั้งคำถามและสนใจคำตอบของเค้าจริงจัง....แบบที่คุณฉัตรชัยทำไว้ก็โอเคครับ ผมว่าช่วยกระตุ้นความสนใจดี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจะได้ระวังว่ามีคนคอยตรวจคอยถามอยู่
แต่ถ้าเป็นเรื่องฉ้อโกง...นี่ ผมเห็นวิธีการมามากพอสมควรโดยเฉพาะในแวดวงก่อสร้างและการจัดซื้อจัดจ้าง ....คาดคะเนได้ไม่ค่อยพลาดพร้อมกับหาข้อมูลได้ไม่ยาก ค่อนข้างพร้อมที่จะวิจารณ์ได้ทันทีครับ
เรื่องเศรษกิจเศรษศาสตร์นี่คงต้องยกให้คุณฉัตรชัยครับ.... 8)
ขอเล่าประสบการณ์ ผมเองก็เคยถูกวิจารณ์งานบ่อยๆ ส่วนใหญ่คนที่วิจารณ์มักจะไม่ได้อยู่ร่วมในการถกปัญหาต่างๆในกระบวนการตัดสินใจเพื่อหาทางออกตั้งแต่เริ่มต้นให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด(บางทีก็ต้องยอมเสียบางอย่างไปบ้าง)
ยกตัวอย่างงานหนึ่งที่ผมเคยออกแบบอาคารไว้ พองานเสร็จก็มีคนวิจารณ์พอสมควร ทำนองออกแบบแปลนนิ่งอาคารไม่ดี ทำไมไม่เอาลิฟท์ไปไว้ตำแหน่งนั้น ทำไมไม่ทำให้พื้นที่ชั้นล่างใหญ่กว่านี้ เพื่อจะได้ใช้ค้าขายมากขึ้น ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด แถมด้วยคำพูดประเภท ถ้าเป็นเค้าออกแบบ เค้าจะทำแบบนั้นแบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ
.....หลายครั้งที่ผมก็ขี้เกียจอธิบายเค้า เพราะต้องเริ่มท้าวความที่มาที่ไปกันตั้งแต่เริ่มและเค้าจะไม่ยอมเข้าใจอย่างอื่นที่เค้าไม่อยากรู้อีกหลายๆเรื่องทั้งด้านกฎหมายและโครงสร้างอาคารรวมถึงความต้องการหลักของเจ้าของอาคาร....แต่เค้าลืมคิดไปว่า ก่อนหน้านี้มีคนมาออกแบบไว้2-3ราย ไม่สามารถขออนุญาติก่อสร้างได้ จะทำได้ก็เพียงเพียง4ชั้นบนที่ดินแสนแพงและมีพื้นที่จำกัดมาก(พร้อมกับบอกให้เจ้าของอาคารไปแอบต่อเติมทีหลัง) ในขณะที่ผมออกแบบให้สามารถสร้างได้8ชั้นอย่างถูกกฎหมาย....ไม่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเลย(แต่ต้องFight กับ ผู้ตรวจของ กทม.นานเหมือนกัน)
สรุปจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเลยไม่อยากวิจารณ์เรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมดว่าดีหรือแย่แค่ไหน เพราะผมคิดว่าเรื่องบางเรื่องที่เราพูดๆกันอยู่เรายังมองมันง่ายเกินไป อย่างเช่นทำไมไม่แก้ปัญหาโดยใช้ดอกเบี้ยหละ....ผมว่ากลุ่มคนระดับนี้เค้าคิดผ่านเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วมั้งครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ควรสนใจเพราะเกินความรู้..... เราสามารถวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ได้ โดยเฉพาะการวิจารณ์เชิงตั้งคำถามและสนใจคำตอบของเค้าจริงจัง....แบบที่คุณฉัตรชัยทำไว้ก็โอเคครับ ผมว่าช่วยกระตุ้นความสนใจดี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจะได้ระวังว่ามีคนคอยตรวจคอยถามอยู่
แต่ถ้าเป็นเรื่องฉ้อโกง...นี่ ผมเห็นวิธีการมามากพอสมควรโดยเฉพาะในแวดวงก่อสร้างและการจัดซื้อจัดจ้าง ....คาดคะเนได้ไม่ค่อยพลาดพร้อมกับหาข้อมูลได้ไม่ยาก ค่อนข้างพร้อมที่จะวิจารณ์ได้ทันทีครับ
เรื่องเศรษกิจเศรษศาสตร์นี่คงต้องยกให้คุณฉัตรชัยครับ.... 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 12
ผลกระทบในครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่ามันจะมีผลเสียต่อตลาดหุ้นแบบนี้ ครับพี่ฉัตรชัย
ถ้ารู้ก่อนนะ สงสัยวันที่ 19 ผมคงได้ซื้อหุ้นที่เล็งไว้เข้าพอร์ตในจำนวนที่มีความหมาย (กว่าที่มีอยู่นี้) ครับ
...
ถ้ารู้ก่อนนะ สงสัยวันที่ 19 ผมคงได้ซื้อหุ้นที่เล็งไว้เข้าพอร์ตในจำนวนที่มีความหมาย (กว่าที่มีอยู่นี้) ครับ
...
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 13
ถ้ารู้ก่อนเหรอครับ ผมคงไม่ขายในวันที่ 19 อย่างมากขนาดนั้นหรอกครับ
แต่เพราะไม่รู้มาก่อนและไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมยังไม่อยากซื้อหุ้นกลับ
แต่เพราะไม่รู้มาก่อนและไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมยังไม่อยากซื้อหุ้นกลับ
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 14
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กลัวต่างชาติขายหุ้นหรอกครับtanate เขียน:ผมเริ่มไม่เข้าใจVI คำว่าปัจจัยพื้นฐานคืออะไรกันแน่
เราเฝ้าเพียรวิเคราะห์หาราคาพื้นฐาน เมื่อได้เวลาที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน
ก็เป็นเวลาที่เราต้องซื้อไม่ใช้หรือครับ
แต่ขณะนี้ เรากลับกลัวต่างชาติขาย
มันควรจะดีใจที่ได้ซื้อของถูกซิครับ
What is the best VI?
แต่มันมีผลกระทบต่อด้านอื่นๆ อีกหลายด้านครับ
- เรื่องระดมทุนก็เรื่องนึง ไม่ว่าจะระดมเงินกู้ การเพิ่มทุน หรือ IPO
- เรื่องความน่าเชื่อถือประเทศซึ่งมีผลต่อการลงทุนทางตรงในประเทศเราด้วย อย่างต่างชาติที่คิดจะมาเปิดโรงงานลงทุนในไทย (ซึ่งจะทำให้เกิดงานที่เพิ่มขึ้น) เค้าอาจจะเปลี่ยนใจไปประเทศอื่นได้
มีอีกหลายอย่างครับที่กระทบ ไม่ใช่แค่เรื่องกลัวเค้าขายหุ้นหรอกครับ แต่ก็อย่างที่คุณ Tanate ว่า อย่างเพิ่งไปกังวลมากเกินไป คิดให้ดีว่าอะไรมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้าหุ้นที่เราเล็งไว้โดนผลกระทบน้อยมาก ราคาลงมามากๆก็ซื้อซะ วันที่ 19 เองผมก็ไม่ได้ซื้อขายซักกะหุ้น เพราะดูแล้วหุ้นที่ผมเล่นไม่น่าจะโดยผลกระทบอย่างมีนัญสำคัญ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- khun_parinya
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 15
[quote="chatchai"]สำหรับผมแล้ว
- เพื่อน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1832
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 16
อยากทราบความเห็นคุณyoyoว่าทำไมถึงคิดว่าต่างชาติที่จะลงทุนเปิดโรงงานถึงเปลี่ยนใจหละครับ....ที่ผมเห็นคนที่คิดจะลงทุนในกิจการอย่างจริงจัง ดูเหมือนเค้าไม่กังวลเรื่องหุ้นในตลาดจะกระทบกับการลงทุนของเค้าเท่าไหร่นะครับ และบริษัทใหญ่ๆอีกจำนวนมากเค้าก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นนะครับ ผมเคยได้ยินมาว่าบริษัทฯใหญ่ๆในเมืองไทยมีมากกว่า2หมื่นแห่ง แต่อยู่ในตลาดแค่ประมาณ400เท่านั้น ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหน...ไว้จะลองเช็คๆดูอีกทีครับyoyo เขียน:อย่างต่างชาติที่คิดจะมาเปิดโรงงานลงทุนในไทย (ซึ่งจะทำให้เกิดงานที่เพิ่มขึ้น) เค้าอาจจะเปลี่ยนใจไปประเทศอื่นได้
....ถ้าผมเป็นลุงบัฟเฟ่ต์ หรือลุงลินช์ ผมจะหันมามองหุ้นเมืองไทยตอนนี้นะครับ....ตอนนี้คนไทยกำลังpanicกังวลว่าจะไม่มีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนระยะสั้นในเมืองไทย ทำให้ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยที่ชอบเล่นระยะสั้นปี2ปีขายของลดราคากัน...แล้วราคามันน่าสนมั้ยหละ....ส่วนเรื่องการบริหารประเทศก็ต้องสำรวจไปด้วยพร้อมๆกันก่อนจะลงมือ
ส่วนลุงโซรอส และเพื่อนๆคงโกรธและไม่ค่อยชอบ...ไปหาที่อื่นดีกว่า
ปล. ผมคิดว่าตอนที่เค้าออกมาตรการนี้ทีแรก เค้าคิดจะสกัดนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นด้วยเป็นหลักเลยครับ พอดีผมได้ยินหลักการผ่านรายการวิทยุรายการหนึ่งวันที่18 อ.จรัล ออกมาให้สัมภาษณ์สดเลย ทำนองเดียวกับมาตรการเลย ไม่น่าจะบังเอิญ....แต่มาตรการออกมาในวันจันทร์ทันที ซึ่งถ้าสังเกตุดูดีๆจะรู้ว่ารีบร้อนผิดปรกติ คงเพราะกลัวเรื่องข่าวรั่วแล้วจะมีคนได้ประโยชน์ไปจริงๆ....ที่ผมสังเกตุว่าผิดปรกติ เพราะมาตรการแบบนี้เค้ามักจะประกาศกันเย็นวันศุกร์ หรือยิ่งเป็นวันหยุดยาวก็ยิ่งดี เพื่อลดผลกระทบแบบทันทีทันใดจนเกิดอาการช็อคแบบที่เราเห็นกัน....ไม่เชื่อลองไปดูมาตรการสำคัญเก่าๆดูสิครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 17
ขึ้นอยู่กับการนิยามคำว่าใหญ่ครับ ไม่ทราบว่าจะ cut off กันอย่างไรดีเพื่อน เขียน: ผมเคยได้ยินมาว่าบริษัทฯใหญ่ๆในเมืองไทยมีมากกว่า2หมื่นแห่ง แต่อยู่ในตลาดแค่ประมาณ400เท่านั้น ไม่ทราบจริงเท็จแค่ไหน...ไว้จะลองเช็คๆดูอีกทีครับ
Impossible is Nothing
- ทุ่งทานพระจันทร์
- Verified User
- โพสต์: 120
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 18
ผมมีความเห็นว่า
ต่างชาติจะมาลงทุนในเมืองไทย มั่นใจแค่ไหนอยู่ที่ตัวผู้บริหารมากกว่าครับ
และเหตุการณ์ของตลาดหุ้น ก็สะท้อนผลงานของผู้บริหารครับ
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด) 1 ปีผ่านมาเราขายดีมีกำไร จากคนในพื้นที่ของเจ๊ เจ๊เจ้าของที่ ขอค่าต่อสัญญา สามแสน ค่าเช่าเดือนละหมื่น ถ้าจะเลิก มีค่าเสื่อมราคาของตึกอีกสองแสน
นั่นคือความมั่นใจของผู้เข้ามาลงทุน ต่อผู้คุมกฏของบ้านครับ
ไม่รู้เจ๊เจ้าของที่ แกจะเปลี่ยนกฏอะไรอีกหรือเปล่า
อันนี้มุมมองของเด็กน้อยอย่างผมครับ
ต่างชาติจะมาลงทุนในเมืองไทย มั่นใจแค่ไหนอยู่ที่ตัวผู้บริหารมากกว่าครับ
และเหตุการณ์ของตลาดหุ้น ก็สะท้อนผลงานของผู้บริหารครับ
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด) 1 ปีผ่านมาเราขายดีมีกำไร จากคนในพื้นที่ของเจ๊ เจ๊เจ้าของที่ ขอค่าต่อสัญญา สามแสน ค่าเช่าเดือนละหมื่น ถ้าจะเลิก มีค่าเสื่อมราคาของตึกอีกสองแสน
นั่นคือความมั่นใจของผู้เข้ามาลงทุน ต่อผู้คุมกฏของบ้านครับ
ไม่รู้เจ๊เจ้าของที่ แกจะเปลี่ยนกฏอะไรอีกหรือเปล่า
อันนี้มุมมองของเด็กน้อยอย่างผมครับ
- เพื่อน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1832
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 19
[quote="ทุ่งทานพระจันทร์"]ผมมีความเห็นว่า
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด)
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด)
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 20
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่ตลาดหุ้นอย่างเดียวนะครับ แต่กระทบถึงความน่าเชื่อถือของประเทศด้วย ... นักลงทุนต่างชาติอาจจะกลัวว่าในอนาคตจะมีมาตราอะไรแปลกๆออกมาอีกรึเปล่า มีครั้งแรกแล้วจะมีครั้งที่ 2 อีกก็ไม่แปลกอยากทราบความเห็นคุณyoyoว่าทำไมถึงคิดว่าต่างชาติที่จะลงทุนเปิดโรงงานถึงเปลี่ยนใจหละครับ....ที่ผมเห็นคนที่คิดจะลงทุนในกิจการอย่างจริงจัง ดูเหมือนเค้าไม่กังวลเรื่องหุ้นในตลาดจะกระทบกับการลงทุนของเค้าเท่าไหร่นะครับ
หรือผลกระทบอย่างหนึ่งที่พี่ฉัตรชัยได้เขียนเอาไว้คือเรื่องการระดมทุนด้วยหุ้นกู้ ถ้านักลงทุนที่เข้ามาเปิดโรงงานในไทยต้องการระดมทุนจะทำอย่างไรครับ ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือครับ ทีนี้ถ้าคนระดมทุนด้วยหุ้นกู้กันไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องจ่ายแพงขึ้น อาจจะทำให้ต้องหันไปกู้ยืมจากธนาคารแทน ทีนี้ลองคิดต่อเล่นๆว่า เมื่อคนไปกู้ธนาคารกันเยอะขึ้น Demand เงินกู้จะสูงขึ้น ดอกเบี้ยที่ว่าจะลงก็อาจจะยากขึ้น ดีไม่ดีอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนจาก risk premium ของประเทศที่สูงขึ้น ทำให้การลงทุนในประเทศไทยมความน่าสนใจลดลง ...
ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปบ้างนะครับ .. ผมไม่ได้เก่งในเรื่องของเศรษฐศาสตร์มหาภาคเท่าไหร่ อาศัยการคิดผลกระทบต่อเป็นทอดๆไป อาจจะตกหล่นไปบ้างต้องขออภัย
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 22
yoyo เขียน: เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กลัวต่างชาติขายหุ้นหรอกครับ
แต่มันมีผลกระทบต่อด้านอื่นๆ อีกหลายด้านครับ
- เรื่องระดมทุนก็เรื่องนึง ไม่ว่าจะระดมเงินกู้ การเพิ่มทุน หรือ IPO
- เรื่องความน่าเชื่อถือประเทศซึ่งมีผลต่อการลงทุนทางตรงในประเทศเราด้วย อย่างต่างชาติที่คิดจะมาเปิดโรงงานลงทุนในไทย (ซึ่งจะทำให้เกิดงานที่เพิ่มขึ้น) เค้าอาจจะเปลี่ยนใจไปประเทศอื่นได้
มีอีกหลายอย่างครับที่กระทบ ไม่ใช่แค่เรื่องกลัวเค้าขายหุ้นหรอกครับ แต่ก็อย่างที่คุณ Tanate ว่า อย่างเพิ่งไปกังวลมากเกินไป คิดให้ดีว่าอะไรมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ถ้าหุ้นที่เราเล็งไว้โดนผลกระทบน้อยมาก ราคาลงมามากๆก็ซื้อซะ วันที่ 19 เองผมก็ไม่ได้ซื้อขายซักกะหุ้น เพราะดูแล้วหุ้นที่ผมเล่นไม่น่าจะโดยผลกระทบอย่างมีนัญสำคัญ
ผมคิดว่าเมืองไทยคงไม่เหมือนตลาดใหญ่ ๆ ที่ว่าการเก็งกำไรหรือเม็ดเงินจากกลุ่มใดกล่มหนึ่งมีผลต่อราคาหุ้นมากน่ะครับ เพราะตลาดเรามันยังเล็กอยู่
ราคาของหุ้นยังไงก็ขึ้นลงตาม demand and supply ไม่ได้ขึ้นกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นครับ ดังนั้น vi ในความคิดของผมในสถานการณ์อย่างนี้ก็ต้องเป็น arbitraguers ประเภทหนึ่งแหล่ะครับ จริงไม๊ครับ
เค้าว่ากันว่าเงินที่ใช้ไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่เงินเรา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 23
ถ้าราคาในระยะสั้นอาจจะใช่ แต่ในระยะยาวคุณคิดว่าอะไรมากำหนด Demand และ Supply ละครับyield เขียน:ราคาของหุ้นยังไงก็ขึ้นลงตาม demand and supply ไม่ได้ขึ้นกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Muffin
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 24
[quote="เพื่อน"][quote="ทุ่งทานพระจันทร์"]ผมมีความเห็นว่า
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด)
เหมือนผมไปเช่าที่เขาค้าขาย ปีนี้เดือนละ 4000 เจ๊าเจ้าของที่สัญญาจะหามาตรการทุกอย่างทำให้คนมาจับจ่ายในย่านนี้ให้ได้ (อาคารพานิชย์ย่านนี้เป็นขอเจ๊หมด)
- Lady
- Verified User
- โพสต์: 45
- ผู้ติดตาม: 0
ผลกระทบจากมาตราการนี้ อยู่ในขอบเขตความรู้ของเราหรือไม่
โพสต์ที่ 25
ขอต่อในแง่ของจินตนาการ ในเรื่องของเจ๊ นะคะ
พอดีคุณพ่อ เป็นผู้จัดตลาดและเป็นผู้ค้าในตลาดด้วยเหมือนกัน
เลยพอจะเข้าใจความรู้สึก เจ๊ บ้าง
คือการขึ้นค่าที่ และค่าต่อสัญญา เนี่ยไม่ใช่เรื่องแปลก
มันต้องดูรายละเอียดก่อนหน้าที่คุณจะเช่าที่ 4,000 บาท
ถ้าตลาด หรือ ตึกยังใหม่อยู่ผู้จัด หรือ เจ๊ จะไม่เก็บค่าหัวเตียงหรือค่าเช่าสำหรับเจ้าประจำ
ค่าเช่าก็ถูกหน่อย เพราะต้องการดึงผู้ค้ามาเช่า พอผู้เค้าเยอะพอที่ตั้งเป้าขั้นต่ำไว้ ( หรืออาจจะติดตลาด เกินคาดเลยก็ได้ )
บวกกับระยะเวลาอีก 1ปี สามารถทำให้คนรู้จักตึกหรือตลาด ได้เป็นจำนวนมาก ( ช่วง 1 ปีนี้ เจ๊ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ แจกของ,ใบปลิว หรือวิธีไหนก็แล้วแต่ เพื่อดึงผู้ซื้อเข้าตึก )
จากนั้นจึงกำหนดราคาใหม่ ในช่วงเวลาที่ผู้ค้ามีกำไรอยู่ตัวแล้ว
จะมีค่าต่อสัญญาของตึก หรือถ้าเป็นตลาดคือค่าหัวเตียง ปีละครั้ง
และค่าเช่าต่อเดือน (อยู่ที่ เจ๊ แกจะพิจารณาว่า ตึกของเจ๊มีศักยภาพในการทำกำไรให้ผู้ค้าได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่าผู้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นมาแค่ 50 % แต่ดันเพิ่มค่าเช่าซะเว่อร์ เป็น 100 - 200% นี่ก็ออกแนวหน้าเลือด )
หลังจากปรับราคาใหม่แล้ว ผู้ค้าก็พิจารณาเอาเอง
พอใจก็ต่อสัญญา ไม่พอใจจะย้ายไปที่อื่น ก็เป็นสิทธ์ของคุณ
แต่โดยปกติแล้ว การที่ค่าเช่า ถูก หรือ แพง ไม่ได้หมายความว่า " ค่าเช่าแพงแล้วเราจะเสียเปรียบเสมอไป "
ถ้าเช่าต่อ มีกำไรดี หักลบแล้ว ยังไง ก็อยู่ได้สบาย ๆ
กับหาที่เช่าใหม่ถูก ๆ แต่ไม่รู้จะขายได้มั้ย และต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ กว่าร้านเราจะเข้าที่ และมีลูกค้าประจำ
Ps. แต่พ่อเค้าใจดีนะ วันไหนฝนตก ขายไม่ได้ ไม่เก็บค่าเช่าเต็ม แต่ถ้าวันไหนขายดีพ่อเก็บค่าเช่าเท่าเดิม ไม่มีเก็บเพิ่ม .... รักพ่อจัง ^^
ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์ในแง่คิด ตามหัวข้อรึป่าว
แต่เห็นว่า เป็นอีกแนวนึงที่ มาจากด้านของเจ๊ น่ะค่ะ
พอดีคุณพ่อ เป็นผู้จัดตลาดและเป็นผู้ค้าในตลาดด้วยเหมือนกัน
เลยพอจะเข้าใจความรู้สึก เจ๊ บ้าง
คือการขึ้นค่าที่ และค่าต่อสัญญา เนี่ยไม่ใช่เรื่องแปลก
มันต้องดูรายละเอียดก่อนหน้าที่คุณจะเช่าที่ 4,000 บาท
ถ้าตลาด หรือ ตึกยังใหม่อยู่ผู้จัด หรือ เจ๊ จะไม่เก็บค่าหัวเตียงหรือค่าเช่าสำหรับเจ้าประจำ
ค่าเช่าก็ถูกหน่อย เพราะต้องการดึงผู้ค้ามาเช่า พอผู้เค้าเยอะพอที่ตั้งเป้าขั้นต่ำไว้ ( หรืออาจจะติดตลาด เกินคาดเลยก็ได้ )
บวกกับระยะเวลาอีก 1ปี สามารถทำให้คนรู้จักตึกหรือตลาด ได้เป็นจำนวนมาก ( ช่วง 1 ปีนี้ เจ๊ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ แจกของ,ใบปลิว หรือวิธีไหนก็แล้วแต่ เพื่อดึงผู้ซื้อเข้าตึก )
จากนั้นจึงกำหนดราคาใหม่ ในช่วงเวลาที่ผู้ค้ามีกำไรอยู่ตัวแล้ว
จะมีค่าต่อสัญญาของตึก หรือถ้าเป็นตลาดคือค่าหัวเตียง ปีละครั้ง
และค่าเช่าต่อเดือน (อยู่ที่ เจ๊ แกจะพิจารณาว่า ตึกของเจ๊มีศักยภาพในการทำกำไรให้ผู้ค้าได้แค่ไหน ไม่ใช่ว่าผู้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นมาแค่ 50 % แต่ดันเพิ่มค่าเช่าซะเว่อร์ เป็น 100 - 200% นี่ก็ออกแนวหน้าเลือด )
หลังจากปรับราคาใหม่แล้ว ผู้ค้าก็พิจารณาเอาเอง
พอใจก็ต่อสัญญา ไม่พอใจจะย้ายไปที่อื่น ก็เป็นสิทธ์ของคุณ
แต่โดยปกติแล้ว การที่ค่าเช่า ถูก หรือ แพง ไม่ได้หมายความว่า " ค่าเช่าแพงแล้วเราจะเสียเปรียบเสมอไป "
ถ้าเช่าต่อ มีกำไรดี หักลบแล้ว ยังไง ก็อยู่ได้สบาย ๆ
กับหาที่เช่าใหม่ถูก ๆ แต่ไม่รู้จะขายได้มั้ย และต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ กว่าร้านเราจะเข้าที่ และมีลูกค้าประจำ
Ps. แต่พ่อเค้าใจดีนะ วันไหนฝนตก ขายไม่ได้ ไม่เก็บค่าเช่าเต็ม แต่ถ้าวันไหนขายดีพ่อเก็บค่าเช่าเท่าเดิม ไม่มีเก็บเพิ่ม .... รักพ่อจัง ^^
ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์ในแง่คิด ตามหัวข้อรึป่าว
แต่เห็นว่า เป็นอีกแนวนึงที่ มาจากด้านของเจ๊ น่ะค่ะ