my two cents...
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 1
ผมว่าเรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากแรงกดดันของผู้ส่งออกให้ธปท.เข้าไปทำค่าเงินบาทให้อ่อนในช่วงที่ผ่านมาที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ...
ที่ผ่านมา ถ้าการผันผวนของค่าเงินเป็นเรื่องชั่วคราว เช่น จาก 40 เป็น 39 การเข้าไปแทรกแซงให้กลับมาเป็น 40 อีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของธปท. แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ "ความผันผวน" แต่ดูเหมือนจะเป็น "การเลื่อนระดับ" แบบถาวร เนื่องจากนโยบายดอลล่าร์อ่อนของสหรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเลยว่าก้นเหวของดอลล่าร์จะไปอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเป็นลักษณะนี้ การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินจะทำให้ประเทศต้องขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาล เป็นต้นว่า ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนจาก 40 กลายเป็น 39 แล้วธปท.เข้าไปขายบาทซื้อดอลล่าร์ไว้ที่ 39 บาท เราจะมีทุนสำรองที่เป็นดอลล่าร์เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าดอลล่าร์อ่อนต่อกลายเป็น 36 ทุนสำรองที่ธปท.ไปรับซื้อมาไว้เมื่อกี้นี้ก็จะขาดทุนทันที 2 บาท ธปท.มีทรัพยากรน้อยกว่านักค้าเงินมากนัก น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผมจึงเห็นว่าการที่บาทแข็งครั้งนี้ ธปท.ไม่ควรจะเข้าไปแทรกแซงค่าเงินอย่างเด็ดขาด
แต่พอไม่แทรกแซงค่าเงินก็จะถูกผู้ส่งออกกดดัน ธปท.ก็เลยหาวิธีอื่นที่จะช่วยผู้ส่งออกโดยที่ประเทศไม่ต้องขาดทุน ก็เลยเป็นที่มาของมาตรการสกัดการเก็งกำไรของนักค้าเงินแทน... ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่ามันจะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นมากถึงเพียงนี้
ถ้าผมเป็น ธปท. ผมจะไม่แทรกแซงค่าเงิน และจะไม่ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรใดๆ ด้วย ผู้ส่งออกจะด่าก็ด่าไป แต่ก็นั่นแหละ การอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย พูดง่ายทำยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศที่ ธปท.ไม่ได้มีดาบอาญาสิทธิ์อย่างแท้จริง อย่างประเทศไทย
สรุปก็คือ ในมุมมองของผมนั้น ผมเห็นว่าธปท.ผิดพลาดแต่เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผมก็รู้สึกเห็นใจธปท.ซึ่งถูกกดดันอย่างหนักมาโดยตลอดจนทางออกที่ดีไม่เจอ...
ที่ผ่านมา ถ้าการผันผวนของค่าเงินเป็นเรื่องชั่วคราว เช่น จาก 40 เป็น 39 การเข้าไปแทรกแซงให้กลับมาเป็น 40 อีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของธปท. แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ "ความผันผวน" แต่ดูเหมือนจะเป็น "การเลื่อนระดับ" แบบถาวร เนื่องจากนโยบายดอลล่าร์อ่อนของสหรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเลยว่าก้นเหวของดอลล่าร์จะไปอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเป็นลักษณะนี้ การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินจะทำให้ประเทศต้องขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาล เป็นต้นว่า ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนจาก 40 กลายเป็น 39 แล้วธปท.เข้าไปขายบาทซื้อดอลล่าร์ไว้ที่ 39 บาท เราจะมีทุนสำรองที่เป็นดอลล่าร์เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าดอลล่าร์อ่อนต่อกลายเป็น 36 ทุนสำรองที่ธปท.ไปรับซื้อมาไว้เมื่อกี้นี้ก็จะขาดทุนทันที 2 บาท ธปท.มีทรัพยากรน้อยกว่านักค้าเงินมากนัก น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผมจึงเห็นว่าการที่บาทแข็งครั้งนี้ ธปท.ไม่ควรจะเข้าไปแทรกแซงค่าเงินอย่างเด็ดขาด
แต่พอไม่แทรกแซงค่าเงินก็จะถูกผู้ส่งออกกดดัน ธปท.ก็เลยหาวิธีอื่นที่จะช่วยผู้ส่งออกโดยที่ประเทศไม่ต้องขาดทุน ก็เลยเป็นที่มาของมาตรการสกัดการเก็งกำไรของนักค้าเงินแทน... ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่ามันจะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นมากถึงเพียงนี้
ถ้าผมเป็น ธปท. ผมจะไม่แทรกแซงค่าเงิน และจะไม่ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรใดๆ ด้วย ผู้ส่งออกจะด่าก็ด่าไป แต่ก็นั่นแหละ การอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย พูดง่ายทำยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศที่ ธปท.ไม่ได้มีดาบอาญาสิทธิ์อย่างแท้จริง อย่างประเทศไทย
สรุปก็คือ ในมุมมองของผมนั้น ผมเห็นว่าธปท.ผิดพลาดแต่เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผมก็รู้สึกเห็นใจธปท.ซึ่งถูกกดดันอย่างหนักมาโดยตลอดจนทางออกที่ดีไม่เจอ...
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 2
แล้วผู้ส่งออกควรทำไง ปล่อยให้เดือดร้อนงั้นหรือ?
ใจจริงผมก็คิดว่าน่าจะเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ให้กบได้อยู่ในน้ำร้อนบ้างกบจะได้ยอมเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาที่เราจะต้องหาวิธีที่จะได้เปรียบจีนโดยไม่ใช่เรื่องทำค่าเงินให้อ่อนได้แล้ว
แต่ผมก็รู้ว่าถ้าใครมีนโยบายแบบนี้เก้าอี้คงหลุดแน่ๆ ดังนั้นถ้ายังไงก็ต้องช่วยผู้ส่งออก เราควรจะช่วยด้วยวิธีไหน
ผมเห็นว่าเราควรจะเลิกช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเวลาช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนมันไม่ได้ส่งผลกับผู้ส่งออกอย่างเดียวแต่ส่งผลกับนักค้าเงินด้วย ทุกวันนี้ธุรกรรมระหว่างประเทศส่วนใหญ่คือการย้ายเงินทุน ธุรกรรมทางการค้ามีนิดเดียว การช่วยด้วยค่าเงิน ประเทศจะต้องจ่ายเงิน 10 บาท เพื่อให้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์ 1 บาท ที่เหลืออีก 9 บาท เข้ากระเป๋านักค้าเงิน
ผมเห็นว่าแทนที่จะเอาเงินไปให้นักค้าเงิน น่าจะแจกเงินผู้ส่งออกโดยตรงเลยจะดีกว่า ใครส่งออกได้ 10 บาท ก็ให้มารับแจกเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 1 บาท แบบนี้จะไม่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เงินช่วยเหลือนี้อาจอยู่ในรูปของ tax refund ก็ได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมภิบาลให้กับผู้ส่งออกอีกด้วย เพราะคราวนี้คนที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่จะได้รับการช่วยเหลือ
ใจจริงผมก็คิดว่าน่าจะเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ให้กบได้อยู่ในน้ำร้อนบ้างกบจะได้ยอมเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาที่เราจะต้องหาวิธีที่จะได้เปรียบจีนโดยไม่ใช่เรื่องทำค่าเงินให้อ่อนได้แล้ว
แต่ผมก็รู้ว่าถ้าใครมีนโยบายแบบนี้เก้าอี้คงหลุดแน่ๆ ดังนั้นถ้ายังไงก็ต้องช่วยผู้ส่งออก เราควรจะช่วยด้วยวิธีไหน
ผมเห็นว่าเราควรจะเลิกช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเวลาช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนมันไม่ได้ส่งผลกับผู้ส่งออกอย่างเดียวแต่ส่งผลกับนักค้าเงินด้วย ทุกวันนี้ธุรกรรมระหว่างประเทศส่วนใหญ่คือการย้ายเงินทุน ธุรกรรมทางการค้ามีนิดเดียว การช่วยด้วยค่าเงิน ประเทศจะต้องจ่ายเงิน 10 บาท เพื่อให้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์ 1 บาท ที่เหลืออีก 9 บาท เข้ากระเป๋านักค้าเงิน
ผมเห็นว่าแทนที่จะเอาเงินไปให้นักค้าเงิน น่าจะแจกเงินผู้ส่งออกโดยตรงเลยจะดีกว่า ใครส่งออกได้ 10 บาท ก็ให้มารับแจกเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 1 บาท แบบนี้จะไม่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เงินช่วยเหลือนี้อาจอยู่ในรูปของ tax refund ก็ได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมภิบาลให้กับผู้ส่งออกอีกด้วย เพราะคราวนี้คนที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่จะได้รับการช่วยเหลือ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 4
ก็ถ้าใครไม่เสียภาษีก็จะไม่ได้ tax rebate แบบนี้ก็จะเป็นการสนับสนุนคนดีๆ ที่เขายอมเสียภาษีมาโดยตลอด
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 5
ภาครัฐช่วยกันแบบโจ๋งครึ่งแบบนี้ เข้าข่ายทุ่มตลาดครับสุมาอี้ เขียน:ผมเห็นว่าแทนที่จะเอาเงินไปให้นักค้าเงิน น่าจะแจกเงินผู้ส่งออกโดยตรงเลยจะดีกว่า ใครส่งออกได้ 10 บาท ก็ให้มารับแจกเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 1 บาท แบบนี้จะไม่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เงินช่วยเหลือนี้อาจอยู่ในรูปของ tax refund ก็ได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมภิบาลให้กับผู้ส่งออกอีกด้วย เพราะคราวนี้คนที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่จะได้รับการช่วยเหลือ
ผมว่าพัฒนาทรัพยากรการผลิตให้ดีๆ จะประเสริฐสุดครับ เช่นการ Import/Export ช่วยเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น เช่นยื่นขอ BOI ของวัสดุรายการใหม่ 1 เดือน เป็น 1 ชั่วโมงได้มั้ย
1 เดือนนี่นานนะครับ แค่ดอกเบี้ยก็แย่แล้ว บางรายการเป็นสารเคมีทีมีอายุ ก็ไปลดอายุการใช้งานมันอีก หรือบางรายการลูกค้าต้องการ prototype lot / quick turn งานพวกนี้ราคาแพงหูฉี่ แต่เราก็ทำให้เค้าไม่ได้ เสียโอกาสครับ ทั้งที่เป็นงาน prototype ที่เค้าไม่กล้าสั่งจีนอยู่แล้ว
พวก niche market ในหลายๆอุตสาหกรรมน่าจะทำให้ไทยเรารอดได้ครับ อย่าไปคิดว่าต้องเน้นโวลุ่ม สู้ค่าเงิน คิดแบบนี้เหมือนช้างขี้ ขี้ตามช้าง ไม่ไหวหรอกครับ
- SupachaiZ594
- Verified User
- โพสต์: 834
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 8
ผมว่า ถ้าจะช่วยก็น่าจะให้ผู้ส่งออกสามารถถือดอลล่าไว้ ไม่ต้องแลกเป็นเงินบาททันทีที่รับเงินจากต่างชาติ จะสามารถพยุงค่าเงินได้แล้วครับ เป็นทางเลือกให้ผู้ส่งออกสามารถเก็บดอลล่ารอได้ ไม่ต้องเจ็บตัวกับการแลกเป็นเงินบาททันที
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
my two cents...
โพสต์ที่ 9
สุมาอี้ เขียน:แล้วผู้ส่งออกควรทำไง ปล่อยให้เดือดร้อนงั้นหรือ?
ใจจริงผมก็คิดว่าน่าจะเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ให้กบได้อยู่ในน้ำร้อนบ้างกบจะได้ยอมเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาที่เราจะต้องหาวิธีที่จะได้เปรียบจีนโดยไม่ใช่เรื่องทำค่าเงินให้อ่อนได้แล้ว
แต่ผมก็รู้ว่าถ้าใครมีนโยบายแบบนี้เก้าอี้คงหลุดแน่ๆ ดังนั้นถ้ายังไงก็ต้องช่วยผู้ส่งออก เราควรจะช่วยด้วยวิธีไหน
ผมเห็นว่าเราควรจะเลิกช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเวลาช่วยด้วยอัตราแลกเปลี่ยนมันไม่ได้ส่งผลกับผู้ส่งออกอย่างเดียวแต่ส่งผลกับนักค้าเงินด้วย ทุกวันนี้ธุรกรรมระหว่างประเทศส่วนใหญ่คือการย้ายเงินทุน ธุรกรรมทางการค้ามีนิดเดียว การช่วยด้วยค่าเงิน ประเทศจะต้องจ่ายเงิน 10 บาท เพื่อให้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์ 1 บาท ที่เหลืออีก 9 บาท เข้ากระเป๋านักค้าเงิน
ผมเห็นว่าแทนที่จะเอาเงินไปให้นักค้าเงิน น่าจะแจกเงินผู้ส่งออกโดยตรงเลยจะดีกว่า ใครส่งออกได้ 10 บาท ก็ให้มารับแจกเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล 1 บาท แบบนี้จะไม่เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เงินช่วยเหลือนี้อาจอยู่ในรูปของ tax refund ก็ได้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมภิบาลให้กับผู้ส่งออกอีกด้วย เพราะคราวนี้คนที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่จะได้รับการช่วยเหลือ
Jaychou เขียน:ภาครัฐช่วยกันแบบโจ๋งครึ่งแบบนี้ เข้าข่ายทุ่มตลาดครับ
ผมว่าพัฒนาทรัพยากรการผลิตให้ดีๆ จะประเสริฐสุดครับ เช่นการ Import/Export ช่วยเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น เช่นยื่นขอ BOI ของวัสดุรายการใหม่ 1 เดือน เป็น 1 ชั่วโมงได้มั้ย
1 เดือนนี่นานนะครับ แค่ดอกเบี้ยก็แย่แล้ว บางรายการเป็นสารเคมีทีมีอายุ ก็ไปลดอายุการใช้งานมันอีก หรือบางรายการลูกค้าต้องการ prototype lot / quick turn งานพวกนี้ราคาแพงหูฉี่ แต่เราก็ทำให้เค้าไม่ได้ เสียโอกาสครับ ทั้งที่เป็นงาน prototype ที่เค้าไม่กล้าสั่งจีนอยู่แล้ว
พวก niche market ในหลายๆอุตสาหกรรมน่าจะทำให้ไทยเรารอดได้ครับ อย่าไปคิดว่าต้องเน้นโวลุ่ม สู้ค่าเงิน คิดแบบนี้เหมือนช้างขี้ ขี้ตามช้าง
8) จำได้ว่าบางรัฐบาล ใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยยืมเงินจากต่างประเทศ เอามาทำโครงการก่อสร้างตามชนบท
เช่นกองทุนมิยาซาว่า มีคนเปรียบเทียบไว้ว่า ตอนเขียนโปรเจคท์ก็ยากกว่าจะแซะเอาเงินออกมาได้
พอได้มาเป็นไอติมหนึ่งแท่ง พอไปถึงชนบท แฮะ...ผลัดกันเลียบ้าง ดูดบ้าง กัดบ้าง เหลือแต่ไม้ไอติมแล้ว
พอมายุคสมคิด ใช้สถาบันการเงินของรัฐ เป็นผู้ปล่อยหรือยืดเวลาชำระหนี้ ให้สินเชื่อกับรากหญ้า
วิธีการดังกล่าวมีคนต่อว่า ทำให้รากหญ้าเสียนิสัยการใช้เงิน เอาเงินในอนาคตมาใช้ แล้วก็ชาวบ้านก็ไม่ได้เอาไปลงทุน
แต่เอาไปซื้อมือถือ ชี้อมอไชค์ ซื้อปิกอัพ
ทุกวิธีก็มีคนวิจารณ์ทั้งนั้นแหละครับ
แต่วิธีหลังนี่เงินหรือไอติมนี่ชาวบ้านเขาได้กินนะครับ ไม่ใช่เหลือแต่ไม้ไอติมอย่างเมื่อก่อน
รัฐรู้ว่าถ้าทำอย่างที่เคยทำไม่ได้ผลหรอก จะมีเสียหายก็ชดเชยเฉพาะส่วนนั้น ไม่ใช่ตกหล่นไปเข้ากระเป๋าใครเรี่ยราดไปหมด
ส่วนที่ใครบอกว่า นโยบายประชานิยม ก็แน่นอนว่าคงจะมีส่วนด้วย
ไหนๆเงินมันก็ต้องออกมาทางใดทางหนึ่งแล้ว
แต่ถ้ามันกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ซึ่งต่อมาก็เห็นได้ว่าดีกว่าวิธีมิยาซาว่าซึ่งน้ำพริกลอยเต้มแม่น้ำไปหมดแน่ๆ
ฉันใดก็ฉันนั้น
วิธีของท่านแม่ทัพเป็นความพยายามจากความคิดอ่านผ่าทางตัน ให้กับบ้านเมืองในยามนี้
ผมดูอย่างไรก็ดีกว่าที่เจย์บอก
เพราะวิธีของท่านแม่ทัพทำได้เลยทันที
แต่วิธีของเจย์ไม่ใช่ว่าไม่ดี
แต่แหมคาดหวังให้ขั้นตอนของราชการจากเดือนนึงเหลือวันนึงนี่
แฮ่....ต้องสัมนากันไปมา เฉพาะเถียงกันเรื่องwordingว่าจะลงรายงานการประชุมยังไงดีนี่ก็แย่แล้วละครับ......
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า