...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 214
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 1
รายงานพิเศษ...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETยังอยู่650..
วันนี้หากมามองตลาดหุ้นย่านเอเชียแล้ว ความร้อนแรงวินาทีนี้ ต้องยกให้ตลาดหุ้นเวียดนาม
เป็นอันดับ 1 อัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางเม็ดเงินลงทุนจากต่าง
ประเทศหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย โดยนาย ลี มินห์ ฮัง ผู้อำนวยการสำนักสถิติแห่งชาติ
เวียดนาม ระบุว่า ผลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวในอัตรา
8.17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ความร้อนแรงของเศรษฐกิจเวียดนาม ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่าง
ร้อนแรง ทำให้เป็นเวียดนามเป็นตลาดหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเซีย
แปซิฟิก และเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากตลาดหุ้นซิมบัมเว่) ในปีนี้ โดยนับตั้งแต่
วันที่ 30 ธันวาคมปีที่ผ่านมา มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้น
เวียดนามเพิ่มขึ้นสูงถึง 60% ขณะที่ในช่วง 2 ปีหลังสุด มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น
มากกว่า 10 เท่า มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ และมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 22
บริษัทเป็น 35 บริษัทในปัจจุบัน
ล่าสุด ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามใกล้แตะ 1000 จุด ทั้งๆที่ปลายปีที่ผ่าน ดัชนีฯอยู่ที่ 700 จุด
แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถยืนเหนือ 900 จุดได้ โดยตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มเปิดการซื้อขายครั้ง
แรกเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2000 หรือ กรกฎาคม 2543
สัญญาณตลาดหุ้นที่ดี ย่อมบ่งชี้ถึงฝีไม้ลายมือการบริหารประเทศของรัฐบาลเวียดนามว่า
เจ๋งเพียงใด...แน่นอน ตลาดหุ้นที่ดี ย่อมมีสินค้าที่นักลงทุนให้การยอมรับ ซึ่งเวียดนามเตรียมเร่ง
นำหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จภายในปี 2009 ตามแผนปรับ
โครงสร้างกิจการของรัฐเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยนาย วู วาน นินห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามจะเร่ง
รัดแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เสร็จสิ้นในปี 2009 ซึ่งจะเป็นการขายหุ้นให้กับนักลงทุนในประเทศ
และพันธมิตรต่างประเทศและรัฐบาลได้เห็นชอบร่างแก้ไขกฎหมายกิจการรัฐวิสาหกิจมาตรา
187 แล้ว ซึ่งเป็นกระบวนแรกที่จะเปิดทางให้มีการนำหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในอนาคต
ทั้งนี้ กิจการที่อยู่ในแผนแปรรูปของรัฐบาลเวียดนามได้แก่ กิจการพลังงาน โทรคมนาคม
กิจการเดินเรือ กิจการน้ำมันและก๊าซ ไปจนถึงธนาคารและประกันภัย ปัจจุบันธนาคารรัฐ
วิสาหกิจชั้นนำ 4 แห่งของเวียดนามเตรียมอยู่ระหว่างเตรียมการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์โฮจิมินห์ภายในปี 2007 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาที่ปรึกษาต่างชาติ
ธนาคารทั้ง 4 แห่งได้แก่ State Bank of Viet Nam (SBV), Bank for Foreign of
Viet Nam Trade (Vietcombank), Bank of Investment and Development of Viet
Nam (BIDV) และ the Mekong Housing Bank (MHB)
นั่นคือ ภาพรวมคร่าวๆ สำหรับตลาดเวียดนามที่ชาวหุ้นไทยแลนด์ มองแล้ว อด อิจฉาชาว
หุ้นเวียดนามหรือมังกรน้อยไม่ได้....เพราะ ตลาดหุ้นไทย เคยลงนาม MOU ให้ความช่วยเหลือ
ตลาดหุ้นเวียดนาม The Ho Chi Minh City Securities Trading Center (HoSTC) ด้าน
เทคโนโลยี และการดูแลบำรุงรักษาระบบงานซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อปี 2543 จนทำให้ศูนย์ซื้อขาย
หลักทรัพย์แห่งนครโฮจิมินห์เปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2543
พอเหลียวมองตลาดหุ้นไทยวันนี้ กลับเหี่ยวเฉา ดัชนีตลาดยังคงเคลื่อนไหวระดับ 600 จุด
ต้นๆ ขณะที่โบรกเกอร์ต่างชาติบางแห่งมองระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจได้เห็น 550 จุด ขณะ
ที่โบรกเกอร์บางรายมองดัชนีตลาดสิ้นปีนี้ มีเป้าหมายอยู่ที่ 720-740 จุด ท่ามกลางปัจจัยการ
เมืองไทยยังเป็นตัวกดดันหรือตัวถ่วง
ตลาดหุ้นไทยกี่ไม่เดือน ก็จะมีอายุครบ 32 ปี ในวันที่ 30 เมษายน 2518 ซึ่งย่างเข้าสู่ปีที่
33 และในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ก็จะย้ายที่ตั้งบนถนนสายบันเทิง หรือถนน
รัชดาฯ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนตั้งบริเวณศูนย์กลางทางการเงิน...ตลาดหุ้นไทยนับว่า ผ่านร้อน
ผ่านหนาวมาเยอะ ดัชนีตลาดเคยทะลุ 1700 จุด เคยตกต่ำเหลือกว่า 200 จุดช่วงวิกฤติ
เศรษฐกิจ
มาวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่บริเวณ 650 จุด ท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้าน ปัจจัยบวกยังไม่
โผล่หน้ามาเห็น นักลงทุนในประเทศสวมบทผู้ชมนั่งเฝ้าหน้าจอเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนได้จากวอลุ่ม
เทรดแต่ละวัน ซึ่งถือว่าลดลงค่อนข้างมาก หากเล่นหรือเข้าเทรดดิ้งจบในวัน นักลงทุนสถาบัน
ในประเทศซื้อขายสลับกันไป ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ยังยืนยันค่อยๆซื้อ พร้อมกับการขายหุ้น
ออกมาเหมือนกัน
ตลาดหุ้นอับเฉาเช่นนี้ ย่อมบ่งชี้ ถึงนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)รวมทั้ง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ทั้งในอดีต ปัจจุบันได้เป็นอย่างดีว่า มีฝีมือไร้เทียมทานเพียง
ใด ความฝันในอดีตที่หวังจะเป็นเสือตัวที่ห้าสูญสิ้นไปหมดแล้วหรือ.... ตอนนี้จึงมองไม่ออกว่า
เศรษฐกิจไทยจะเสือหรือแมว หรือ ไม่ใช่ทั้งเสือทั้งแมว จุด จุด จุด
อาจจะเป็นเรื่องเศร้า หรือเวรกรรม สำหรับตลาดหุ้นไทย ถ้าเรามัวจ้องทำลายล้างซึ่งกัน
และกัน จนทำให้เศรษฐกิจเดินไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น ผู้ประกอบการภาคเอกชน รอ
คอยว่า เมื่อไร ผู้มีอำนาจ วาสนา จะคำนึงเห็นแก่ผลประกอบการของประเทศชาติอย่างแท้จริง
มิใช่มัวเล่นเกมการเมืองลูกเดียว ดัชนีตลาดหุ้นย่อมเป็นสิ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
หรืออีกนัยหนึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อนาคต รัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
ไทย สำนักงาน ก.ล.ต. บริษัทหลักทรัพย์ อาจจะต้องเดินทางไปเยี่ยมชมประเทศเวียดนาม และ
กิจการตลาดหุ้นเวียดนามก็ได้ เพราะตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามมีพัฒนาหรือเติบโตได้อย่างน่าทึ่ง
ทั้งๆที่เพิ่งเกิดไม่ถึง 7 ปี แต่ดัชนีหุ้นเวียดนามกลับพุ่งทะยานใกล้แตะ 1000 จุด สรุปง่ายๆ ทิ้ง
ห่างตลาดหุ้นไทยไปเรื่อยๆ
การพัฒนาการตลาดหุ้นเวียดนามอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเสน่ห์ให้บริษัทหลักทรัพย์ใน
ประเทศไทยสนใจไปหาช่องทางทำมาหากิน รวมทั้งนักธุรกิจไทยก็ได้ อย่างน้อยไม่ต้องมีปัจจัย
การเมืองคอยกดดัน ..และอนาคตชาวหุ้นไทย อาจกระโดดไปเทรดหุ้นเวียดนามก็ได้ ใครจะรู้
จักรภพ .. รายงาน
วันนี้หากมามองตลาดหุ้นย่านเอเชียแล้ว ความร้อนแรงวินาทีนี้ ต้องยกให้ตลาดหุ้นเวียดนาม
เป็นอันดับ 1 อัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางเม็ดเงินลงทุนจากต่าง
ประเทศหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย โดยนาย ลี มินห์ ฮัง ผู้อำนวยการสำนักสถิติแห่งชาติ
เวียดนาม ระบุว่า ผลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวในอัตรา
8.17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ความร้อนแรงของเศรษฐกิจเวียดนาม ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่าง
ร้อนแรง ทำให้เป็นเวียดนามเป็นตลาดหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเซีย
แปซิฟิก และเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากตลาดหุ้นซิมบัมเว่) ในปีนี้ โดยนับตั้งแต่
วันที่ 30 ธันวาคมปีที่ผ่านมา มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้น
เวียดนามเพิ่มขึ้นสูงถึง 60% ขณะที่ในช่วง 2 ปีหลังสุด มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น
มากกว่า 10 เท่า มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ และมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 22
บริษัทเป็น 35 บริษัทในปัจจุบัน
ล่าสุด ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามใกล้แตะ 1000 จุด ทั้งๆที่ปลายปีที่ผ่าน ดัชนีฯอยู่ที่ 700 จุด
แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถยืนเหนือ 900 จุดได้ โดยตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มเปิดการซื้อขายครั้ง
แรกเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2000 หรือ กรกฎาคม 2543
สัญญาณตลาดหุ้นที่ดี ย่อมบ่งชี้ถึงฝีไม้ลายมือการบริหารประเทศของรัฐบาลเวียดนามว่า
เจ๋งเพียงใด...แน่นอน ตลาดหุ้นที่ดี ย่อมมีสินค้าที่นักลงทุนให้การยอมรับ ซึ่งเวียดนามเตรียมเร่ง
นำหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จภายในปี 2009 ตามแผนปรับ
โครงสร้างกิจการของรัฐเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยนาย วู วาน นินห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามจะเร่ง
รัดแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เสร็จสิ้นในปี 2009 ซึ่งจะเป็นการขายหุ้นให้กับนักลงทุนในประเทศ
และพันธมิตรต่างประเทศและรัฐบาลได้เห็นชอบร่างแก้ไขกฎหมายกิจการรัฐวิสาหกิจมาตรา
187 แล้ว ซึ่งเป็นกระบวนแรกที่จะเปิดทางให้มีการนำหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในอนาคต
ทั้งนี้ กิจการที่อยู่ในแผนแปรรูปของรัฐบาลเวียดนามได้แก่ กิจการพลังงาน โทรคมนาคม
กิจการเดินเรือ กิจการน้ำมันและก๊าซ ไปจนถึงธนาคารและประกันภัย ปัจจุบันธนาคารรัฐ
วิสาหกิจชั้นนำ 4 แห่งของเวียดนามเตรียมอยู่ระหว่างเตรียมการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์โฮจิมินห์ภายในปี 2007 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาที่ปรึกษาต่างชาติ
ธนาคารทั้ง 4 แห่งได้แก่ State Bank of Viet Nam (SBV), Bank for Foreign of
Viet Nam Trade (Vietcombank), Bank of Investment and Development of Viet
Nam (BIDV) และ the Mekong Housing Bank (MHB)
นั่นคือ ภาพรวมคร่าวๆ สำหรับตลาดเวียดนามที่ชาวหุ้นไทยแลนด์ มองแล้ว อด อิจฉาชาว
หุ้นเวียดนามหรือมังกรน้อยไม่ได้....เพราะ ตลาดหุ้นไทย เคยลงนาม MOU ให้ความช่วยเหลือ
ตลาดหุ้นเวียดนาม The Ho Chi Minh City Securities Trading Center (HoSTC) ด้าน
เทคโนโลยี และการดูแลบำรุงรักษาระบบงานซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อปี 2543 จนทำให้ศูนย์ซื้อขาย
หลักทรัพย์แห่งนครโฮจิมินห์เปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2543
พอเหลียวมองตลาดหุ้นไทยวันนี้ กลับเหี่ยวเฉา ดัชนีตลาดยังคงเคลื่อนไหวระดับ 600 จุด
ต้นๆ ขณะที่โบรกเกอร์ต่างชาติบางแห่งมองระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจได้เห็น 550 จุด ขณะ
ที่โบรกเกอร์บางรายมองดัชนีตลาดสิ้นปีนี้ มีเป้าหมายอยู่ที่ 720-740 จุด ท่ามกลางปัจจัยการ
เมืองไทยยังเป็นตัวกดดันหรือตัวถ่วง
ตลาดหุ้นไทยกี่ไม่เดือน ก็จะมีอายุครบ 32 ปี ในวันที่ 30 เมษายน 2518 ซึ่งย่างเข้าสู่ปีที่
33 และในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ก็จะย้ายที่ตั้งบนถนนสายบันเทิง หรือถนน
รัชดาฯ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนตั้งบริเวณศูนย์กลางทางการเงิน...ตลาดหุ้นไทยนับว่า ผ่านร้อน
ผ่านหนาวมาเยอะ ดัชนีตลาดเคยทะลุ 1700 จุด เคยตกต่ำเหลือกว่า 200 จุดช่วงวิกฤติ
เศรษฐกิจ
มาวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่บริเวณ 650 จุด ท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้าน ปัจจัยบวกยังไม่
โผล่หน้ามาเห็น นักลงทุนในประเทศสวมบทผู้ชมนั่งเฝ้าหน้าจอเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนได้จากวอลุ่ม
เทรดแต่ละวัน ซึ่งถือว่าลดลงค่อนข้างมาก หากเล่นหรือเข้าเทรดดิ้งจบในวัน นักลงทุนสถาบัน
ในประเทศซื้อขายสลับกันไป ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ยังยืนยันค่อยๆซื้อ พร้อมกับการขายหุ้น
ออกมาเหมือนกัน
ตลาดหุ้นอับเฉาเช่นนี้ ย่อมบ่งชี้ ถึงนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)รวมทั้ง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ทั้งในอดีต ปัจจุบันได้เป็นอย่างดีว่า มีฝีมือไร้เทียมทานเพียง
ใด ความฝันในอดีตที่หวังจะเป็นเสือตัวที่ห้าสูญสิ้นไปหมดแล้วหรือ.... ตอนนี้จึงมองไม่ออกว่า
เศรษฐกิจไทยจะเสือหรือแมว หรือ ไม่ใช่ทั้งเสือทั้งแมว จุด จุด จุด
อาจจะเป็นเรื่องเศร้า หรือเวรกรรม สำหรับตลาดหุ้นไทย ถ้าเรามัวจ้องทำลายล้างซึ่งกัน
และกัน จนทำให้เศรษฐกิจเดินไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น ผู้ประกอบการภาคเอกชน รอ
คอยว่า เมื่อไร ผู้มีอำนาจ วาสนา จะคำนึงเห็นแก่ผลประกอบการของประเทศชาติอย่างแท้จริง
มิใช่มัวเล่นเกมการเมืองลูกเดียว ดัชนีตลาดหุ้นย่อมเป็นสิ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
หรืออีกนัยหนึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อนาคต รัฐบาล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
ไทย สำนักงาน ก.ล.ต. บริษัทหลักทรัพย์ อาจจะต้องเดินทางไปเยี่ยมชมประเทศเวียดนาม และ
กิจการตลาดหุ้นเวียดนามก็ได้ เพราะตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามมีพัฒนาหรือเติบโตได้อย่างน่าทึ่ง
ทั้งๆที่เพิ่งเกิดไม่ถึง 7 ปี แต่ดัชนีหุ้นเวียดนามกลับพุ่งทะยานใกล้แตะ 1000 จุด สรุปง่ายๆ ทิ้ง
ห่างตลาดหุ้นไทยไปเรื่อยๆ
การพัฒนาการตลาดหุ้นเวียดนามอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเสน่ห์ให้บริษัทหลักทรัพย์ใน
ประเทศไทยสนใจไปหาช่องทางทำมาหากิน รวมทั้งนักธุรกิจไทยก็ได้ อย่างน้อยไม่ต้องมีปัจจัย
การเมืองคอยกดดัน ..และอนาคตชาวหุ้นไทย อาจกระโดดไปเทรดหุ้นเวียดนามก็ได้ ใครจะรู้
จักรภพ .. รายงาน
-
- Verified User
- โพสต์: 777
- ผู้ติดตาม: 0
เพื่อนเก่า
โพสต์ที่ 4
พูดถึงเวียดนาม...
ผมเคยมีเพื่อนครอบครัวเวียดนามอยู่ครอบครัวหนึ่ง ชื่อ Mr.Doung
แกเรียนเก่งมากๆเลย แกเคยเอาคะแนน GMAT มาให้ดูปรากฏว่าได้
700 กว่า!!!
เค้าเรียนทางด้าน Finance ที่ University of Chicago
ผมยังสอนเค้าขับรถเลย แกขับไม่เป็น สอนเสร็จก็เลี้ยงข้าวผมเป็นการ
ขอบคุณ!!! 8)
สงสัยเป็นเศรษฐีหุ้นที่เวียดนามไปแล้ว!!!
ผมเคยมีเพื่อนครอบครัวเวียดนามอยู่ครอบครัวหนึ่ง ชื่อ Mr.Doung
แกเรียนเก่งมากๆเลย แกเคยเอาคะแนน GMAT มาให้ดูปรากฏว่าได้
700 กว่า!!!
เค้าเรียนทางด้าน Finance ที่ University of Chicago
ผมยังสอนเค้าขับรถเลย แกขับไม่เป็น สอนเสร็จก็เลี้ยงข้าวผมเป็นการ
ขอบคุณ!!! 8)
สงสัยเป็นเศรษฐีหุ้นที่เวียดนามไปแล้ว!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 5
เวียตนาม คงไม่แตกต่างจากไทยเรามากนัก ที่หุ้นไทยเคยกระโดดหลังประชุมเอเปค เป็นกับดักของทุนนิยม
ตอนนี้เวียตนามก็เหมือนสาวสวย บริสุทธิ์ ใครๆก็อยากเชยชิดชม (ทรัพยากรมากมาย ราคาถูก)
ส่วนไทยเรานั้นแต่งงานกับทุนนิยมไปแล้ว (ทรัพยากรถูกใช้จนร่อยหรอ ต้นทุนสูงขึ้นจากการเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อความสะดวกสะบาย มองว่ามีความศิวิลัย ลืมวัฒนธรรมสิ่งดีงามไปเกือบหมด ) เริ่มมีการทะเลาะกัน อาจถึงขั้นหย่าร้างนะครับ เราถูกจงใจให้ลืมการพัฒนาด้านการศึกษา มาไม่รู้กี่สมัย แถมถูกชี้นำให้จับจ่ายใช้สอยแบบฟุ่มเฟย ก็คงเป็นเช่นนี้แหละครับ สิ้นเปลืองไปกับค่ามือถือ น้ำมัน แอลกอฮอล์ ไปเท่าไหร่แล้ว โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ผมมีความเห็นว่า เราไม่ต้องไปแข่งกับใคร มองตัวเราให้ออก ร่วมกันสร้างสรร ทำวิถีชีวิตที่ดี แม้จะใช้เวลานาน ก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ เอาชนะตัวเราเองให้ได้ก่อน เศรษฐกิจ/หุ้นควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่าครับ
ตอนนี้เวียตนามก็เหมือนสาวสวย บริสุทธิ์ ใครๆก็อยากเชยชิดชม (ทรัพยากรมากมาย ราคาถูก)
ส่วนไทยเรานั้นแต่งงานกับทุนนิยมไปแล้ว (ทรัพยากรถูกใช้จนร่อยหรอ ต้นทุนสูงขึ้นจากการเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อความสะดวกสะบาย มองว่ามีความศิวิลัย ลืมวัฒนธรรมสิ่งดีงามไปเกือบหมด ) เริ่มมีการทะเลาะกัน อาจถึงขั้นหย่าร้างนะครับ เราถูกจงใจให้ลืมการพัฒนาด้านการศึกษา มาไม่รู้กี่สมัย แถมถูกชี้นำให้จับจ่ายใช้สอยแบบฟุ่มเฟย ก็คงเป็นเช่นนี้แหละครับ สิ้นเปลืองไปกับค่ามือถือ น้ำมัน แอลกอฮอล์ ไปเท่าไหร่แล้ว โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ผมมีความเห็นว่า เราไม่ต้องไปแข่งกับใคร มองตัวเราให้ออก ร่วมกันสร้างสรร ทำวิถีชีวิตที่ดี แม้จะใช้เวลานาน ก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ เอาชนะตัวเราเองให้ได้ก่อน เศรษฐกิจ/หุ้นควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 7
จำนวนหุ้นเค้าน่าจะน้อยกว่าของไทย
แล้วมีแต่บริษัทที่กำลังโตเร็ว
มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะขึ้นไปได้ถึงพันจุด
ย้อนดูไทย
มีบริษัทจดทะเบียนหลายร้อยบริษัท
มีทั้งฟุบ ทั้งเฟื่อง คอยดึงดัชนีไว้อยู่
คงต้องรอให้เศรษฐกิจดีทุกภาคส่วน
จึงจะสามารถทำพันจุดได้อีกครั้ง
แล้วมีแต่บริษัทที่กำลังโตเร็ว
มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะขึ้นไปได้ถึงพันจุด
ย้อนดูไทย
มีบริษัทจดทะเบียนหลายร้อยบริษัท
มีทั้งฟุบ ทั้งเฟื่อง คอยดึงดัชนีไว้อยู่
คงต้องรอให้เศรษฐกิจดีทุกภาคส่วน
จึงจะสามารถทำพันจุดได้อีกครั้ง
- bigshow
- Verified User
- โพสต์: 730
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 8
pe เกิน 30 เท่าแล้ว ฟองสบู่ใกล้แตกแล้ว
ผู้จัดการรายวัน-- นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต้องสำรวจตรวจตรากันใหม่ ขณะที่หลายฝ่ายก็กำลังจับตามองการพุ่งกระฉูดของดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN- Index) อย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีได้ฝ่าแนวต้าน 1,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (19 ม.ค.) โดยตลาดปิดลงที่ 1,023.5 เพิ่มขึ้น 39.96 จุด หรือ 4.06% ซึ่งเป็นการสร้างประวัติการใหม่
ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์หรือ "ตลาดหุ้น" มีหุ้นถูกซื้อขายเปลี่ยนมือกว่า 9.7 ล้านหุ้น ในนั้นเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 7.1 ล้านหุ้น ที่เหลือเป็นตราสารและพันธบัตร มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1 ล้านล้านด่ง หรือกว่า 60.24 ล้านดอลลาร์ มีหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นจำนวน 64 ตัวราคาต่ำลง 28 ตัวและไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 16 ตัว โดยนักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้น "บลูชิป"ของตลาด
สัปดาห์ที่แล้วมีนักลงทุนไปที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเนืองแน่นเป็นประวัติการณ์แทบจะทุกวัน ทั้งนักลงทุนทั้งชาวเวียดนาม และนักลงทุนประเภทสถาบันจากต่างประเทศ ต่างก็อยู่ในอารมณ์เดียวกันคือ ช่วยกันลากดัชนีให้ฝ่าแนวต้าน 1,000 จุดให้จงได้
ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กรุงฮานอย (Hanoi Securities Trading Centre) ซึ่งเป็น "ตลาดหลักทรัพย์" แห่งที่ 2 ที่เปิดการซื้อขายมายังไม่ถึงขวบปีนั้น ดัชนี HASTC ก็ได้เพิ่มขึ้น 5.63 จุด ปิดลงที่ 321.59 หรือเพิ่ม 1.78%
ตลาดทุนเวียดนามยังเล็กมากหากเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบใหญ่ที่สูงเร็วที่สุดในโลก
นับตั้งแต่เปิดการซื้อขายมาเป็นเวลากว่า 10 วันในปี 2550 มีอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้นที่ VN-Index ปิดลดลง จึงได้ทำให้เกิดมีคำถามขึ้นมากมายในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ คำถามที่ว่าตลาดทุนที่ยังอ่อนด้อย อายุเพียงไม่ถึง 10 ขวบแห่งนี้จะรับกับความร้อนแรงไหวหรือไม่ หรือว่าจะวาลงกลางคัน
นักแต่ต้นเดือน ม.ค.มานี้ กรรมการหลักทรัพย์เวียดนาม (Vietnam Securities Commission) ได้ออกเตือนอย่างน้อย 2 ครั้งให้นักลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทรายย่อย ต้องระวังตัวให้มาก และควรจะหันไปลงทุนผ่านโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้มากกว่า ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจ็บตัวที่เกิดจากการผันผวนของตลาด นับตั้งแต่ดัชนีเริ่มร้อนแรงในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2549 เป็นต้นมา
VN-Index ปิดการซื้อขายในท้ายปี 2549 ที่ระดับเกือบ 752 จุด หลังจากทำสถิติใหม่ในเดือน ธ.ค.โดยฝ่าทะลุไปถึง 809 จุด เทียบกับเพียง 306 จุดเมื่อปิดการซื้อขายท้ายปี 2548
แต่พอเริ่มเปิดซื้อขายปี 2550 ดัชนีก็ทะยานต่อชนิดแทบจะไม่หยุดหายใจเร็ว ทำจุดสูงใหม่ติดต่อกันเกือบจะทุกวัน
ตามสถิติตัวเลขของบริษัทหลักทรัพย์เวียดคอมแบงก์ (Vietcombank Securities) ในปี 2549 ที่ผ่านมานักลงทุนได้ช่วยกันทำให้มูลค่าของ9ลาดหุ้นโฮจิมินห์เพิ่มขึ้นเป็น 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินความคาดหมายของคณะกรรมการหลักทรัพย์แห่งชาติ ที่ตั้งตัวเลขเอาไว้ประมาณ 8,200 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
สถิติยังเปิดเผยตัวเลขการซื้อขายพันธบัตรที่เข้าจดทะเบียน ที่มีสูงถึง 3,600 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้อื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 154 ล้านดอลลาร์
ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยก็ไม่ต่างกัน ปี 2549 นับเป็นปีทอง ดัชนีโตพรวด 170% ปิดลงที่ 243 จุดในตอนสิ้นปี ทั้งนี้เป็นรายงานของนิตยสารเวียดนามอินเวสท์เม้นต์รีวิว (Vietnam Investment Review)
ปี 2549 "ตลาดหุ้น" ทั้งสองแห่งในเวียดนามมีมูลค่ารวมกันถึง 13,800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 25% ของจีดีพีเมื่อปี 2548 หรือ อีกด้านหนึ่งในปัจจุบันมูลค่าของตลาดเวียดนาม ได้ทะยานขึ้นไปถึงเป้าหมายที่ทางการตั้งเอาไว้ในปี 2553 ซึ่งคิดเป็น15% ของจีดีพีในปีนั้น
หรือว่าฟองสบู่กำลังก่อตัวขึ้นแล้วจริงๆ? นักลงทุนเริ่มถามคำถามนี้อีกครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ท่ามกลางความร้อนแรงของดัชนี กับความร้อนใจของนักลงทุน หลายฝ่ายเริ่มวิตกว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นพวกนักเก็งกำไรซื้อขายรายวัน กำลังแห่เข้าไปที่นั่น
ปัจจุบันหุ้น "บลูชิป" หลายตัวมีราคาเกินตัวของมันไปหลายเท่า ทำให้นักลงทุนเริ่มมองย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2544 ที่สถานการณ์การซื้อขายทรุดต่ำลงอย่างหนัก จนเมื่อถึงเดือน ก.ย.2546 นักลงทุนก็ได้พบว่า เงินได้เหือดหายออกจากตลาดถึง 72%
จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีกหรือไม่? คำถามนี้ถูกถามขึ้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.2549 โดยกลุ่มนักลงทุนจากเกาหลี ระหว่างการประชุมสัมมนานัดหนึ่งในกรุงฮานอย ซึ่งตอนนั้นดัชนีเวียดนามได้ดีดขึ้นทำสถิติใหม่กว่า 809 จุด
ดร.เจิ่นดึ๊กซิง (Tran Duc Sinh) นักวิเคราะห์ของ Vietcombank Securities ได้ออกเตือนตั้งแต่ต้นปีโดยชี้ให้เห็นค่าพี/อี ที่ทะยานขึ้นถึง 38.18 เทียบกับระดับสามัญที่ควรจะเป็นคือ 15-17 เท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้บอกว่าสัดส่วนมูลค่าหุ้นต่อรายได้ที่พุ่งแรงนี้ได้เตือนว่า นักลงทุนกำลังจะต้องปรับทิศปรับทางกันใหม่ นั่นคือ มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงในช่วงอีกไม่นานข้างหน้า
หลังจาก ดร.ซิง ออกเตือนและข่าวนี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ ไม่กี่วันนักลงทุนเริ่มตื่นตระหนัก ทำให้ดัชนีหยุดหายใจเฮือกใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่มีรายงานอะไรที่เป็นลบต่อตลาดนอกเหนือไปจากคำเตือนนี้
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมี "แรงกระตุ้นเทียม" กับแรงกระตุ้นที่แท้จริงอยู่หลายอย่าง อันเป็นเหตุให้ดัชนีเริ่มวิ่งเร็ว มาตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว นั่นก็คือ ข่าวดีที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปก มีโครงการลงทุนใหม่ๆ เซ็นกันหลายโครงการในระหว่างนั้น และ เวียดนามกำลังจะได้รับฐานประเทศคู่ค้าปกติที่ถาวร หรือ PNTR (Permanent Normal Trade Relation) จากสหรัฐฯ
แรงกระตุ้นจริงได้แก่ข่าวดีเกี่ยวกับตัวเลขการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ที่ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว กับตัวเลขส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่เกือบจะทุกรายการหลัก ข่าวที่รัฐบาลจะขยายเพดานการเข้าถือหุ้นของบริษัทต่างชาติในธนาคารเวียดนามจาก 10% เป็น 30% ตลอดจนตัวเลขผลประกอบการของธนาคารแห่งต่างๆ ที่สูงพลิกความคาดหมาย
ตลาดทุนเวียดนามยังได้รับข่าวดีจากรัฐบาล ที่ประกาศจะนำบริษัทของรัฐกับรัฐวิสาหกิจกว่า 70 แห่งเข้าจดทะเบียน ซึ่งรวมทั้งธนาคารใหญ่ 4 แห่ง บริษัทสายการบินแห่งชาติและบริษัทน้ำมันแห่งชาติ กระขบวนการต่างๆ จะเริ่มในปีนี้
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดเวียดนามส่วนใหญ่ยังใช้ความเชื่อ ความรู้สึกในการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งนายเหวียนกวางวิง (Nguyen Quang Vinh) แห่งบริษัทหลักทรัพย์บ๋าวเหวียด (Bao Viet Securities) กล่าวว่า นักลงทุนประเภทนี้มีถึง 70% พวกนี้สามารถสร้างความผันผวนให้กับการซื้อขายได้ทุกเมื่อ
ปัจจุบันการลงทุนในตลาดทุนเวียดนามไม่มีใครอาศัยข่าวดีเป็นปัจจัยในการตัดสินใจมากนัก และไม่ต้องอาศัยดัชนีบ่งชี้อะไรอ้างอิง ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก เช่น เพียงมีข่าวว่าช่วงใดมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศลดน้อยลง ก็อาจจะส่งผลต่อการซื้อขายประจำวันในทันที
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยอมรับว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง แม้จะพยากรณ์ได้ยากว่าวันไหน ทั่วทั้งกระดานจะปรากฏเป็นสีแดง หรือวันไหนจะเป็นสีเขียว ทั้งนี้เนื่องจากว่าที่นั่นเป็นตลาดหุ้นที่อยู่ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย
นักวิเคราะห์เชื่อว่า นับวันที่ตลาดทุนจะมีสัดส่วนสูงขึ้นในจีดีพีของประเทศ เช่นเดียวกันกับในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียหรือประเทศไทย ที่ตลาดเป็นปึกแผ่นแน่นหนาแล้ว
นักวิเคราะห์ค่ายอังกฤษเชื่อว่า มูลค่าของตลาดเวียดนามจะสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีจากนี้ไป ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่คำพูด หากแต่กำลังแสดงออกในชีวิตจริง
นักลงทุนสถาบันได้หันเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้น จากความจริงที่ว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้โตเร็ว และทุกภาคส่วนกำลังต้องการเงินทุน ซึ่งว่ากันว่าภายในปี 2553 จะต้องมีเงิน FDI สูงถึง 140,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ในระดับสูงต่อไป
ปัจจุบันมีนักลงทุนประเภทสถาบันกว่า 10 แห่งที่มีทุนรวมกันกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังรอจังหวะเข้าลงทุนในตลาดทุนนครโฮจิมินห์ เช่น กองทุน Vietnam Corporate Days ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) กองทุนเทมเปิลตัน (Templeton)
สถาบันลงทุนต่างๆ ซึ่งรวมทั้ง Credit Agricole, Black River, Artesian Investment, Daiwa, DBS, JF, JL Capital, OUB, Treeline และ Wardferry ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่กำลังแต่งตัวจะเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม
"เพียง 1 เปอร์เซ็นที่สถาบันเหล่านี้เอามาลงทุนในเวียดนาม มูลค่าตลาดในปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว" นายเหวียนก๊วกสี (Nguyen Quoc Sy) ผู้จัดการธนาคารฝ่ายธุรกิจภายในและธนาคารพาณิชย์ของธนาคาร HSBC ในเวียดนามกล่าว.
ผู้จัดการรายวัน-- นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต้องสำรวจตรวจตรากันใหม่ ขณะที่หลายฝ่ายก็กำลังจับตามองการพุ่งกระฉูดของดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN- Index) อย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีได้ฝ่าแนวต้าน 1,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (19 ม.ค.) โดยตลาดปิดลงที่ 1,023.5 เพิ่มขึ้น 39.96 จุด หรือ 4.06% ซึ่งเป็นการสร้างประวัติการใหม่
ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์หรือ "ตลาดหุ้น" มีหุ้นถูกซื้อขายเปลี่ยนมือกว่า 9.7 ล้านหุ้น ในนั้นเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 7.1 ล้านหุ้น ที่เหลือเป็นตราสารและพันธบัตร มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1 ล้านล้านด่ง หรือกว่า 60.24 ล้านดอลลาร์ มีหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นจำนวน 64 ตัวราคาต่ำลง 28 ตัวและไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 16 ตัว โดยนักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้น "บลูชิป"ของตลาด
สัปดาห์ที่แล้วมีนักลงทุนไปที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเนืองแน่นเป็นประวัติการณ์แทบจะทุกวัน ทั้งนักลงทุนทั้งชาวเวียดนาม และนักลงทุนประเภทสถาบันจากต่างประเทศ ต่างก็อยู่ในอารมณ์เดียวกันคือ ช่วยกันลากดัชนีให้ฝ่าแนวต้าน 1,000 จุดให้จงได้
ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กรุงฮานอย (Hanoi Securities Trading Centre) ซึ่งเป็น "ตลาดหลักทรัพย์" แห่งที่ 2 ที่เปิดการซื้อขายมายังไม่ถึงขวบปีนั้น ดัชนี HASTC ก็ได้เพิ่มขึ้น 5.63 จุด ปิดลงที่ 321.59 หรือเพิ่ม 1.78%
ตลาดทุนเวียดนามยังเล็กมากหากเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบใหญ่ที่สูงเร็วที่สุดในโลก
นับตั้งแต่เปิดการซื้อขายมาเป็นเวลากว่า 10 วันในปี 2550 มีอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้นที่ VN-Index ปิดลดลง จึงได้ทำให้เกิดมีคำถามขึ้นมากมายในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ คำถามที่ว่าตลาดทุนที่ยังอ่อนด้อย อายุเพียงไม่ถึง 10 ขวบแห่งนี้จะรับกับความร้อนแรงไหวหรือไม่ หรือว่าจะวาลงกลางคัน
นักแต่ต้นเดือน ม.ค.มานี้ กรรมการหลักทรัพย์เวียดนาม (Vietnam Securities Commission) ได้ออกเตือนอย่างน้อย 2 ครั้งให้นักลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทรายย่อย ต้องระวังตัวให้มาก และควรจะหันไปลงทุนผ่านโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้มากกว่า ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเจ็บตัวที่เกิดจากการผันผวนของตลาด นับตั้งแต่ดัชนีเริ่มร้อนแรงในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2549 เป็นต้นมา
VN-Index ปิดการซื้อขายในท้ายปี 2549 ที่ระดับเกือบ 752 จุด หลังจากทำสถิติใหม่ในเดือน ธ.ค.โดยฝ่าทะลุไปถึง 809 จุด เทียบกับเพียง 306 จุดเมื่อปิดการซื้อขายท้ายปี 2548
แต่พอเริ่มเปิดซื้อขายปี 2550 ดัชนีก็ทะยานต่อชนิดแทบจะไม่หยุดหายใจเร็ว ทำจุดสูงใหม่ติดต่อกันเกือบจะทุกวัน
ตามสถิติตัวเลขของบริษัทหลักทรัพย์เวียดคอมแบงก์ (Vietcombank Securities) ในปี 2549 ที่ผ่านมานักลงทุนได้ช่วยกันทำให้มูลค่าของ9ลาดหุ้นโฮจิมินห์เพิ่มขึ้นเป็น 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินความคาดหมายของคณะกรรมการหลักทรัพย์แห่งชาติ ที่ตั้งตัวเลขเอาไว้ประมาณ 8,200 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
สถิติยังเปิดเผยตัวเลขการซื้อขายพันธบัตรที่เข้าจดทะเบียน ที่มีสูงถึง 3,600 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้อื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 154 ล้านดอลลาร์
ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยก็ไม่ต่างกัน ปี 2549 นับเป็นปีทอง ดัชนีโตพรวด 170% ปิดลงที่ 243 จุดในตอนสิ้นปี ทั้งนี้เป็นรายงานของนิตยสารเวียดนามอินเวสท์เม้นต์รีวิว (Vietnam Investment Review)
ปี 2549 "ตลาดหุ้น" ทั้งสองแห่งในเวียดนามมีมูลค่ารวมกันถึง 13,800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 25% ของจีดีพีเมื่อปี 2548 หรือ อีกด้านหนึ่งในปัจจุบันมูลค่าของตลาดเวียดนาม ได้ทะยานขึ้นไปถึงเป้าหมายที่ทางการตั้งเอาไว้ในปี 2553 ซึ่งคิดเป็น15% ของจีดีพีในปีนั้น
หรือว่าฟองสบู่กำลังก่อตัวขึ้นแล้วจริงๆ? นักลงทุนเริ่มถามคำถามนี้อีกครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ท่ามกลางความร้อนแรงของดัชนี กับความร้อนใจของนักลงทุน หลายฝ่ายเริ่มวิตกว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นพวกนักเก็งกำไรซื้อขายรายวัน กำลังแห่เข้าไปที่นั่น
ปัจจุบันหุ้น "บลูชิป" หลายตัวมีราคาเกินตัวของมันไปหลายเท่า ทำให้นักลงทุนเริ่มมองย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2544 ที่สถานการณ์การซื้อขายทรุดต่ำลงอย่างหนัก จนเมื่อถึงเดือน ก.ย.2546 นักลงทุนก็ได้พบว่า เงินได้เหือดหายออกจากตลาดถึง 72%
จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีกหรือไม่? คำถามนี้ถูกถามขึ้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.2549 โดยกลุ่มนักลงทุนจากเกาหลี ระหว่างการประชุมสัมมนานัดหนึ่งในกรุงฮานอย ซึ่งตอนนั้นดัชนีเวียดนามได้ดีดขึ้นทำสถิติใหม่กว่า 809 จุด
ดร.เจิ่นดึ๊กซิง (Tran Duc Sinh) นักวิเคราะห์ของ Vietcombank Securities ได้ออกเตือนตั้งแต่ต้นปีโดยชี้ให้เห็นค่าพี/อี ที่ทะยานขึ้นถึง 38.18 เทียบกับระดับสามัญที่ควรจะเป็นคือ 15-17 เท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้บอกว่าสัดส่วนมูลค่าหุ้นต่อรายได้ที่พุ่งแรงนี้ได้เตือนว่า นักลงทุนกำลังจะต้องปรับทิศปรับทางกันใหม่ นั่นคือ มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงในช่วงอีกไม่นานข้างหน้า
หลังจาก ดร.ซิง ออกเตือนและข่าวนี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ ไม่กี่วันนักลงทุนเริ่มตื่นตระหนัก ทำให้ดัชนีหยุดหายใจเฮือกใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่มีรายงานอะไรที่เป็นลบต่อตลาดนอกเหนือไปจากคำเตือนนี้
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมี "แรงกระตุ้นเทียม" กับแรงกระตุ้นที่แท้จริงอยู่หลายอย่าง อันเป็นเหตุให้ดัชนีเริ่มวิ่งเร็ว มาตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว นั่นก็คือ ข่าวดีที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปก มีโครงการลงทุนใหม่ๆ เซ็นกันหลายโครงการในระหว่างนั้น และ เวียดนามกำลังจะได้รับฐานประเทศคู่ค้าปกติที่ถาวร หรือ PNTR (Permanent Normal Trade Relation) จากสหรัฐฯ
แรงกระตุ้นจริงได้แก่ข่าวดีเกี่ยวกับตัวเลขการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ที่ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว กับตัวเลขส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่เกือบจะทุกรายการหลัก ข่าวที่รัฐบาลจะขยายเพดานการเข้าถือหุ้นของบริษัทต่างชาติในธนาคารเวียดนามจาก 10% เป็น 30% ตลอดจนตัวเลขผลประกอบการของธนาคารแห่งต่างๆ ที่สูงพลิกความคาดหมาย
ตลาดทุนเวียดนามยังได้รับข่าวดีจากรัฐบาล ที่ประกาศจะนำบริษัทของรัฐกับรัฐวิสาหกิจกว่า 70 แห่งเข้าจดทะเบียน ซึ่งรวมทั้งธนาคารใหญ่ 4 แห่ง บริษัทสายการบินแห่งชาติและบริษัทน้ำมันแห่งชาติ กระขบวนการต่างๆ จะเริ่มในปีนี้
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดเวียดนามส่วนใหญ่ยังใช้ความเชื่อ ความรู้สึกในการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งนายเหวียนกวางวิง (Nguyen Quang Vinh) แห่งบริษัทหลักทรัพย์บ๋าวเหวียด (Bao Viet Securities) กล่าวว่า นักลงทุนประเภทนี้มีถึง 70% พวกนี้สามารถสร้างความผันผวนให้กับการซื้อขายได้ทุกเมื่อ
ปัจจุบันการลงทุนในตลาดทุนเวียดนามไม่มีใครอาศัยข่าวดีเป็นปัจจัยในการตัดสินใจมากนัก และไม่ต้องอาศัยดัชนีบ่งชี้อะไรอ้างอิง ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก เช่น เพียงมีข่าวว่าช่วงใดมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศลดน้อยลง ก็อาจจะส่งผลต่อการซื้อขายประจำวันในทันที
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยอมรับว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง แม้จะพยากรณ์ได้ยากว่าวันไหน ทั่วทั้งกระดานจะปรากฏเป็นสีแดง หรือวันไหนจะเป็นสีเขียว ทั้งนี้เนื่องจากว่าที่นั่นเป็นตลาดหุ้นที่อยู่ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย
นักวิเคราะห์เชื่อว่า นับวันที่ตลาดทุนจะมีสัดส่วนสูงขึ้นในจีดีพีของประเทศ เช่นเดียวกันกับในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียหรือประเทศไทย ที่ตลาดเป็นปึกแผ่นแน่นหนาแล้ว
นักวิเคราะห์ค่ายอังกฤษเชื่อว่า มูลค่าของตลาดเวียดนามจะสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีจากนี้ไป ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่คำพูด หากแต่กำลังแสดงออกในชีวิตจริง
นักลงทุนสถาบันได้หันเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้น จากความจริงที่ว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้โตเร็ว และทุกภาคส่วนกำลังต้องการเงินทุน ซึ่งว่ากันว่าภายในปี 2553 จะต้องมีเงิน FDI สูงถึง 140,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ในระดับสูงต่อไป
ปัจจุบันมีนักลงทุนประเภทสถาบันกว่า 10 แห่งที่มีทุนรวมกันกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังรอจังหวะเข้าลงทุนในตลาดทุนนครโฮจิมินห์ เช่น กองทุน Vietnam Corporate Days ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) กองทุนเทมเปิลตัน (Templeton)
สถาบันลงทุนต่างๆ ซึ่งรวมทั้ง Credit Agricole, Black River, Artesian Investment, Daiwa, DBS, JF, JL Capital, OUB, Treeline และ Wardferry ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่กำลังแต่งตัวจะเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม
"เพียง 1 เปอร์เซ็นที่สถาบันเหล่านี้เอามาลงทุนในเวียดนาม มูลค่าตลาดในปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว" นายเหวียนก๊วกสี (Nguyen Quoc Sy) ผู้จัดการธนาคารฝ่ายธุรกิจภายในและธนาคารพาณิชย์ของธนาคาร HSBC ในเวียดนามกล่าว.
เป็นคนเลว ในสายตาคนอื่น ดีกว่าโกหกตัวเอง ให้เทิดทูนบูชา ติดกับมายาคติ ที่กะลาครอบ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 9
ดัชนีหุ้น ก็เหมือนหุ้นประเทศนั้น นะครับ มีหน่วยเป็นเงินสกุลท้องถิ่น เช่น
NIKKEI เป็น เยน
DOW JONES ดอลล่าร์, เซ็นต์
HANG SENG HKdollar,cent
SET Baht
VIETNAM Dong
LAOS กีบ ถ้ามี
ETC.
ต้อง convert ก่อนนะครับ
NIKKEI เป็น เยน
DOW JONES ดอลล่าร์, เซ็นต์
HANG SENG HKdollar,cent
SET Baht
VIETNAM Dong
LAOS กีบ ถ้ามี
ETC.
ต้อง convert ก่อนนะครับ
Rabbit VS. Turtle
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 10
ได้ยินว่าเสี่ยปู่ก็จะไปช่วยตีฟองสบู่ที่เวียตนามด้วย
นายสมพงษ์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้ศึกษาข้อมูลการลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐมานานแล้ว และเมื่อปีที่ผ่านมาได้พลาดโอกาสการลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งที่ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกโครงการที่จะออกไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ
ขณะเดียวกันก็มีความสนใจที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมอบให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี เป็นคนศึกษาระยะเวลา 2-3 ปี เพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้างโอกาสได้ผลตอบแทน 10 เท่าตัวมาได้ไม่ยากนัก โดยปีที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนถึง 100%
นายสมพงษ์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้ศึกษาข้อมูลการลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐมานานแล้ว และเมื่อปีที่ผ่านมาได้พลาดโอกาสการลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งที่ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกโครงการที่จะออกไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ
ขณะเดียวกันก็มีความสนใจที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมอบให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี เป็นคนศึกษาระยะเวลา 2-3 ปี เพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้างโอกาสได้ผลตอบแทน 10 เท่าตัวมาได้ไม่ยากนัก โดยปีที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนถึง 100%
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
- khun_parinya
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 13
น่าจะเป็นตามที่คุณซากทัพบอกน่ะครับซากทัพ เขียน:เวียตนาม คงไม่แตกต่างจากไทยเรามากนัก ที่หุ้นไทยเคยกระโดดหลังประชุมเอเปค เป็นกับดักของทุนนิยม
ตอนนี้เวียตนามก็เหมือนสาวสวย บริสุทธิ์ ใครๆก็อยากเชยชิดชม (ทรัพยากรมากมาย ราคาถูก)
ส่วนไทยเรานั้นแต่งงานกับทุนนิยมไปแล้ว (ทรัพยากรถูกใช้จนร่อยหรอ ต้นทุนสูงขึ้นจากการเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อความสะดวกสะบาย มองว่ามีความศิวิลัย ลืมวัฒนธรรมสิ่งดีงามไปเกือบหมด ) เริ่มมีการทะเลาะกัน อาจถึงขั้นหย่าร้างนะครับ เราถูกจงใจให้ลืมการพัฒนาด้านการศึกษา มาไม่รู้กี่สมัย แถมถูกชี้นำให้จับจ่ายใช้สอยแบบฟุ่มเฟย ก็คงเป็นเช่นนี้แหละครับ สิ้นเปลืองไปกับค่ามือถือ น้ำมัน แอลกอฮอล์ ไปเท่าไหร่แล้ว โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ผมมีความเห็นว่า เราไม่ต้องไปแข่งกับใคร มองตัวเราให้ออก ร่วมกันสร้างสรร ทำวิถีชีวิตที่ดี แม้จะใช้เวลานาน ก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ เอาชนะตัวเราเองให้ได้ก่อน เศรษฐกิจ/หุ้นควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่าครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 14
8) บอลอาเซียน เวียตนามแพ้ไทยไปแล้วครับ
แพ้ในบ้านด้วย
โดนไทยจิ้มไป2ดอก
เรียบร้อยโรงเรียนเหงียน
แม๊ทช์หน้าที่รัชมังคลาหรือสนามศุภ ไม่รู้
ต้องยิงไทยให้ไ้ด้อย่างน้อย2เช่นกัน
เพื่อเล่นต่อเวลา
แต่ที่น่าสนใจ คนดูเต็มสนามเลยครับ
ถ้าวัดด้วยจำนวนคนดู
ที่เมืองไทยคนเต็มสนามก็คิงส์คัพ ไทย พม่า
อูย ร่วมๆ10กว่า20ปีแล้วนะครับ
เวียตนามล้าหลังกว่าไทยขนาดนั้นเชียวหรือ.............
แพ้ในบ้านด้วย
โดนไทยจิ้มไป2ดอก
เรียบร้อยโรงเรียนเหงียน
แม๊ทช์หน้าที่รัชมังคลาหรือสนามศุภ ไม่รู้
ต้องยิงไทยให้ไ้ด้อย่างน้อย2เช่นกัน
เพื่อเล่นต่อเวลา
แต่ที่น่าสนใจ คนดูเต็มสนามเลยครับ
ถ้าวัดด้วยจำนวนคนดู
ที่เมืองไทยคนเต็มสนามก็คิงส์คัพ ไทย พม่า
อูย ร่วมๆ10กว่า20ปีแล้วนะครับ
เวียตนามล้าหลังกว่าไทยขนาดนั้นเชียวหรือ.............
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 15
เมื่อวาน ทางเวียดนามก็ได้ออกมาตรการมาสกัดบ้างแล้ว
เรื่องบทความ ผมไม่ทราบว่าผู้เขียนมีความเข้าใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันเรามีนักเขียน นักวิจารณ์ และผู้บริหารทั้งระดับประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการลงทุนอยู่เต็มไปหมด
เรื่องบทความ ผมไม่ทราบว่าผู้เขียนมีความเข้าใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันเรามีนักเขียน นักวิจารณ์ และผู้บริหารทั้งระดับประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการลงทุนอยู่เต็มไปหมด
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 16
ผมสงสัยเหลือเกิน กับข่าวการลงทุนในเวียตนามของบริษัทคอมพิวเตอร์ ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
ดูจะขัดแย้งกับความรู้สึกเกรียดชังของชาวเวียตนามที่มีต่อชาวอเมริกันช่วงสงครามเวียตนามอันโหดร้าย หรือชาวเวียตนามลืมภาพอดีตไปแล้วหรืออย่างไรครับ
ดูจะขัดแย้งกับความรู้สึกเกรียดชังของชาวเวียตนามที่มีต่อชาวอเมริกันช่วงสงครามเวียตนามอันโหดร้าย หรือชาวเวียตนามลืมภาพอดีตไปแล้วหรืออย่างไรครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 17
เอ พี่ Eto, พี่ jaychou ครับ อย่างนี้เค้าเรียกว่าอะไรนะครับ Business is Business nothing personal หรือเปล่า จำไม่ค่อยจะได้ซากทัพ เขียน:ผมสงสัยเหลือเกิน กับข่าวการลงทุนในเวียตนามของบริษัทคอมพิวเตอร์ ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
ดูจะขัดแย้งกับความรู้สึกเกรียดชังของชาวเวียตนามที่มีต่อชาวอเมริกันช่วงสงครามเวียตนามอันโหดร้าย หรือชาวเวียตนามลืมภาพอดีตไปแล้วหรืออย่างไรครับ
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 255
- ผู้ติดตาม: 0
...หุ้นเวียดนามใกล้1000จุด แต่SETไทยยังอยู่650..
โพสต์ที่ 18
ผมเคยได้ยินพี่คนนึง เค้าไปเวียดนามเมื่อ ปีก่อน
เค้าเล่าว่า เค้าไปกินก้วยเตี้ยว เล็กๆ ที่ร้านใน ไซง่อน
ก่อนทานก็ถามเ เจ้าของร้าน ว่าชามละเท่าไหร่
เจ้าของร้านบอกว่าชามละ 30
พอทานไปได้ซักพัก เค้าเห็นคนเวียดนามที่ทาน
ก้วยเตี้ยว แบบเดียวกัน ชามเหมือนกัน
ไปจ่ายใน ราคา 20
เค้าก็เลยลุกไปถามเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านก็ยืนยันว่าชามละ 30
แล้วคนเวียดนาม ทั้งร้าน (มีประมาณ5-6 คน)ที่นั้งกินอยู่ ได้ยินเข้า
ก็พร้อมใจกันมาช่วยเจ้าของร้านยืนยัน โดยเจ้าของร้าน ไม่ต้องร้องขอเลย
เห็นพี่เค้าบอกว่า คนเวียดนาม นี้เค้า สามัคคี กันมาก ถ้าจะมาลงทุน ต้องศึกษาวัฒนธรรม เค้าให้ดีๆ คับ :D
เค้าเล่าว่า เค้าไปกินก้วยเตี้ยว เล็กๆ ที่ร้านใน ไซง่อน
ก่อนทานก็ถามเ เจ้าของร้าน ว่าชามละเท่าไหร่
เจ้าของร้านบอกว่าชามละ 30
พอทานไปได้ซักพัก เค้าเห็นคนเวียดนามที่ทาน
ก้วยเตี้ยว แบบเดียวกัน ชามเหมือนกัน
ไปจ่ายใน ราคา 20
เค้าก็เลยลุกไปถามเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านก็ยืนยันว่าชามละ 30
แล้วคนเวียดนาม ทั้งร้าน (มีประมาณ5-6 คน)ที่นั้งกินอยู่ ได้ยินเข้า
ก็พร้อมใจกันมาช่วยเจ้าของร้านยืนยัน โดยเจ้าของร้าน ไม่ต้องร้องขอเลย
เห็นพี่เค้าบอกว่า คนเวียดนาม นี้เค้า สามัคคี กันมาก ถ้าจะมาลงทุน ต้องศึกษาวัฒนธรรม เค้าให้ดีๆ คับ :D