+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 3
1.บริษัทแรก ทำไม growth ต่ำ และมีโอกาสมี growth ต่อไปหรือไม่ ปันผลมีโอกาสเพิ่มขึ้นในปีต่อๆไปหรือไม่ (กำไรเพิ่มขึ้น)
ถ้าไม่ ก็คงไม่สนใจ
2.บริษัทสอง คงต้องไปดูว่า growth นั้นเพราะอะไรที่ทำให้เติบโต แต่ชั่วครั้งชั่วคราว หรือเปล่า เป็นกำไรปกติ หรือไม่
แล้วก็ย้อนไปดูว่าที่อดีตไม่เคยปันผลเลย เพราะอะไร และมีแนวโน้มจะปันได้ในอนาคตหรือไม่
สรุปแล้วคงต้องคิดดูก่อน
ปล. แต่ตั้งโจทย์ ใจร้ายนะ น่าจะตั้งให้ PEG เท่าๆกัน
สรุปว่าโจทย์นี้ ให้เลือกระหว่าง PEG - dividend ใช่มะครับ
เห็นปกติมักจะถามกันให้เลือกระหว่าง PE - G โดยให้ PEG พอๆ กัน
ปล2 อย่างไรก็ตาม จะเลือกบริษัทไหนคงต้องให้ ธรรมาภิบาลผ่านก่อน
ถ้าไม่มีเลย ก็ไม่เลือกทั้งคู่ ต่อให้ Growth 100% PE 1 เท่า
โดยเฉพาะ ถ้า PE และ growth นั้น สามารถ ตกแต่งตัวเลขได้ง่ายดาย เช่น งานประมูล ...
ปล3 ถ้าไม่มี คงถือว่า ไม่ผ่านตะแกรงร่อนทั้งคู่ ไม่ซื้อเลยครับ
ถ้าไม่ ก็คงไม่สนใจ
2.บริษัทสอง คงต้องไปดูว่า growth นั้นเพราะอะไรที่ทำให้เติบโต แต่ชั่วครั้งชั่วคราว หรือเปล่า เป็นกำไรปกติ หรือไม่
แล้วก็ย้อนไปดูว่าที่อดีตไม่เคยปันผลเลย เพราะอะไร และมีแนวโน้มจะปันได้ในอนาคตหรือไม่
สรุปแล้วคงต้องคิดดูก่อน
ปล. แต่ตั้งโจทย์ ใจร้ายนะ น่าจะตั้งให้ PEG เท่าๆกัน
สรุปว่าโจทย์นี้ ให้เลือกระหว่าง PEG - dividend ใช่มะครับ
เห็นปกติมักจะถามกันให้เลือกระหว่าง PE - G โดยให้ PEG พอๆ กัน
ปล2 อย่างไรก็ตาม จะเลือกบริษัทไหนคงต้องให้ ธรรมาภิบาลผ่านก่อน
ถ้าไม่มีเลย ก็ไม่เลือกทั้งคู่ ต่อให้ Growth 100% PE 1 เท่า
โดยเฉพาะ ถ้า PE และ growth นั้น สามารถ ตกแต่งตัวเลขได้ง่ายดาย เช่น งานประมูล ...
ปล3 ถ้าไม่มี คงถือว่า ไม่ผ่านตะแกรงร่อนทั้งคู่ ไม่ซื้อเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
Re: +ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 5
เพิ่มโจทย์อีกนิดครับbeammy เขียน:บริษัทที่มี Growth 5%
มี P/E 10 เท่า
จ่ายปันผล 10% ของราคาหุ้น
กับ
บริษัทที่มี Growth 10%
มี P/E 5 เท่า
ไม่จ่ายปันผลเลย
เอาอย่างไหนดีครับ ??? ...
บริษัทแรก Growth แทบจะไม่ขยับเลย เพราะธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัว
แต่จ่ายปันผล 10% จากราคาหุ้น อย่างสม่ำเสมอ
บริษัทที่สอง มี Growth 10% ไปอีก 5 ปี ธุรกิจยังโตได้อีกเยอะ
ที่ไม่จ่ายปันผล เพราะจะเอาไปขยายงาน
ทั้งสองบริษัท มีธรรมาภิบาลในระดับที่ดี ครับ
เอาอย่างไหนดี ...
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 6
แน่นอนว่า บริษัทที่ growth 10% ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว และการไม่ปันผลเลย ก็คือการนำเงินไปลงทุนต่อ ซึ่งสุดท้าย คุณค่าจะสะท้อนกลับมาที่มูลค่าหุ้น
แต่ในกรณีประเทศไทย ผู้บริหารแบบไทย ๆ ในฐานะเราเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจของผู้บริหาร ผมเลือก กำขี้ดีกว่ากำตด ละกัน ... ขอปันผลก่อน ไม่อยากแค่รวย "ทางบัญชี" และทนไม่ได้ที่จะเห็น "เงินสด" ในบริษัท ต้องถูกดองเค็มด้วยผลตอบแทน 5-6% ต่อปี
แต่ในกรณีประเทศไทย ผู้บริหารแบบไทย ๆ ในฐานะเราเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจของผู้บริหาร ผมเลือก กำขี้ดีกว่ากำตด ละกัน ... ขอปันผลก่อน ไม่อยากแค่รวย "ทางบัญชี" และทนไม่ได้ที่จะเห็น "เงินสด" ในบริษัท ต้องถูกดองเค็มด้วยผลตอบแทน 5-6% ต่อปี
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 7
ภายใต้ข้อมูลที่ให้มาแค่นั้น ขอเลือกบริษัทที่ 2 ละกัน
แต่ก็จะซื้อคงต้องขอตรวจดูก่อนว่ามีวอร์จำนวนมหาศาลที่รอแปลงกลายอยู่หรือไม่ และ balance sheet อ่อนแอเกินไปหรือไม่ (เพราะจะเสี่ยงที่จะโดนเพิ่มทุนมหาศาลได้ในอนาคต)
แต่ก็จะซื้อคงต้องขอตรวจดูก่อนว่ามีวอร์จำนวนมหาศาลที่รอแปลงกลายอยู่หรือไม่ และ balance sheet อ่อนแอเกินไปหรือไม่ (เพราะจะเสี่ยงที่จะโดนเพิ่มทุนมหาศาลได้ในอนาคต)
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 8
ถ้าเช่นนั้นคนส่วนมากก็จะเลือกบริษัทที่สอง (จากแค่ 2 บริษัทนี้)
แต่...
1 อะไรที่จะบอกได้ว่าโตได้ 10% ต่อไปได้อีก 5 ปีแน่นอน?
อันนี้เป็นการยากมาก เทียบกับการคิดว่าบริษัทไหนโอกาส down หรือ บอกว่าgrowth น้อยๆ คงที่ ไม่เจ๊ง (ความเห็นผม)
2 ถ้าราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงสักที? ราคาขึ้นๆ ลงๆ อยู่ที่เดิม
แล้วจะขายที่ราคาไหน เพราะถ้าไม่ขายก็ไม่ได้ capital gain ก็คือ ไม่ได้อะไรเลย
และไม่มีอะไรการันตีได้ว่า ราคาจะสะท้อนมูลค่าหุ้น
3 สืบเนื่องจากข้อสอง ถ้า มีเหตุให้ขาดทุน เจ๊ง ไป ก็จะไม่ได้อะไรคืนกลับมาเลย (ข้อนี้ มันก็มีผลต่อทั้งคู่)
ลึกๆ สำหรับผมแล้ว ยังไงก็ต้องมีปันผลอ่ะครับถึงจะน้อยๆ ก็ยังดี แต่ขอให้ปันเพิ่มขึ้นตาม กำไร ทุกๆ ปีก็แล้วกัน
แต่...
1 อะไรที่จะบอกได้ว่าโตได้ 10% ต่อไปได้อีก 5 ปีแน่นอน?
อันนี้เป็นการยากมาก เทียบกับการคิดว่าบริษัทไหนโอกาส down หรือ บอกว่าgrowth น้อยๆ คงที่ ไม่เจ๊ง (ความเห็นผม)
2 ถ้าราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงสักที? ราคาขึ้นๆ ลงๆ อยู่ที่เดิม
แล้วจะขายที่ราคาไหน เพราะถ้าไม่ขายก็ไม่ได้ capital gain ก็คือ ไม่ได้อะไรเลย
และไม่มีอะไรการันตีได้ว่า ราคาจะสะท้อนมูลค่าหุ้น
3 สืบเนื่องจากข้อสอง ถ้า มีเหตุให้ขาดทุน เจ๊ง ไป ก็จะไม่ได้อะไรคืนกลับมาเลย (ข้อนี้ มันก็มีผลต่อทั้งคู่)
ลึกๆ สำหรับผมแล้ว ยังไงก็ต้องมีปันผลอ่ะครับถึงจะน้อยๆ ก็ยังดี แต่ขอให้ปันเพิ่มขึ้นตาม กำไร ทุกๆ ปีก็แล้วกัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 9
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บริษัทที่สอง มี Growth 10% ไปอีก 5 ปี ธุรกิจยังโตได้อีกเยอะ
ที่ไม่จ่ายปันผล เพราะจะเอาไปขยายงาน
ทั้งสองบริษัท มีธรรมาภิบาลในระดับที่ดี ครับ
เอาอย่างไหนดี ...
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 10
ตามความชอบผม ให้น้ำหนักกับ Growth มากสุด
คงเลือกหุ้น No.2 ครับ
แต่ก็ต้องติดตามเป็นระยะๆ คือไม่ถือยาว 5 ปี โดยประเมินจากปีที่ 1 ครั้งเดี่ยว
เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่
ประเมินในวันนี้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
คงเลือกหุ้น No.2 ครับ
แต่ก็ต้องติดตามเป็นระยะๆ คือไม่ถือยาว 5 ปี โดยประเมินจากปีที่ 1 ครั้งเดี่ยว
เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่
ประเมินในวันนี้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 341
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 13
ผิดทุกข้อครับ หาตัวอื่นดีกว่า :roll:
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 16
P/E 10 เท่า ปันผล 10%
แสดงว่าปันผล 100% ของ E
ขอเลือกข้อ 1 ดีกว่า ถ้างั้น
เพราะแสดงว่า ผู้บริหารเจ๋งมาก
ขนาดไม่ retain กำไรเลย
ยังสร้างการเติบโตได้ตั้ง 5%
บริษัทที่สองอาจมีปัญหา
growth 10% แต่ต้องใช้กำไรทั้ง 100%
ไปสร้าง growth
แสดงว่าปันผล 100% ของ E
ขอเลือกข้อ 1 ดีกว่า ถ้างั้น
เพราะแสดงว่า ผู้บริหารเจ๋งมาก
ขนาดไม่ retain กำไรเลย
ยังสร้างการเติบโตได้ตั้ง 5%
บริษัทที่สองอาจมีปัญหา
growth 10% แต่ต้องใช้กำไรทั้ง 100%
ไปสร้าง growth
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 17
อืมม์ แบบแรกได้ผลตอบแทนสูงกว่าจริงๆ ด้วย
ลองไปทำตาราง 5 ปีมาดู สำหรับสองแบบ
แบบมีปันผล ถ้าเอาไป reinvest ในหุ้นตัวเดิม จะได้ผลตอบแทน 95.7%
แบบไม่มีปันผล ได้แค่ 75.7% ในห้าปีเท่ากัน
สมมุติว่าราคาอยู่ที่ P/E 10 และ 5 เท่าไปเรื่อยๆ
ลองไปทำตาราง 5 ปีมาดู สำหรับสองแบบ
แบบมีปันผล ถ้าเอาไป reinvest ในหุ้นตัวเดิม จะได้ผลตอบแทน 95.7%
แบบไม่มีปันผล ได้แค่ 75.7% ในห้าปีเท่ากัน
สมมุติว่าราคาอยู่ที่ P/E 10 และ 5 เท่าไปเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 19
น่าจะยังคงเลือกแบบที่สองนะครับ
แบบที่หนึ่งคล้ายๆหุ้นโรงพยาบาล ที่ P/E ขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ดูมั่นคง แต่ว่าแนวโน้มการโตเป็นความชันเตี้ยๆแล้ว
ส่วนแบบที่สองคล้ายๆธุรกิจ Star ที่ P/E ก็ต่ำ แสดงว่า จุดเริ่มต้นตอนนี้ก็ดีกว่าแบบที่หนึ่งอยู่แล้ว (เหมือนว่าปีนี้ถ้าปันผลก็จะมากกว่าถึงสองเท่า) แล้วยังมีแนวโน้มการโตที่มีความชันมากกว่าอีกด้วย ก็ต้องถือว่าดีกว่าอยู่ดีนะครับ (ขึ้นกับว่า Dividend payout ration เป็นเท่าไร แต่ถ้าให้สิบเปอร์เซนต์เท่ากัน ก็ถือว่าแบบที่สองดีกว่าอยู่ดี)
หรือทดสอบจากสูตรของคุณสุมาอี้ในหนังสือก็ได้
หรือ จากเว็บนี้ครับ
http://www.moneychimp.com/articles/finw ... uation.htm
การใส่ค่า EPS แบบที่หนึ่ง P/E = 10 , EPS = 1/10 = 0.1 = 10%
แบบที่สอง P/E = 5 , EPS = 1/5 = 0.2 = 20%
ได้ผลว่า แบบที่สองดีกว่าครับผม[/list]
แบบที่หนึ่งคล้ายๆหุ้นโรงพยาบาล ที่ P/E ขึ้นมาสูงแล้ว แต่ก็ดูมั่นคง แต่ว่าแนวโน้มการโตเป็นความชันเตี้ยๆแล้ว
ส่วนแบบที่สองคล้ายๆธุรกิจ Star ที่ P/E ก็ต่ำ แสดงว่า จุดเริ่มต้นตอนนี้ก็ดีกว่าแบบที่หนึ่งอยู่แล้ว (เหมือนว่าปีนี้ถ้าปันผลก็จะมากกว่าถึงสองเท่า) แล้วยังมีแนวโน้มการโตที่มีความชันมากกว่าอีกด้วย ก็ต้องถือว่าดีกว่าอยู่ดีนะครับ (ขึ้นกับว่า Dividend payout ration เป็นเท่าไร แต่ถ้าให้สิบเปอร์เซนต์เท่ากัน ก็ถือว่าแบบที่สองดีกว่าอยู่ดี)
หรือทดสอบจากสูตรของคุณสุมาอี้ในหนังสือก็ได้
หรือ จากเว็บนี้ครับ
http://www.moneychimp.com/articles/finw ... uation.htm
การใส่ค่า EPS แบบที่หนึ่ง P/E = 10 , EPS = 1/10 = 0.1 = 10%
แบบที่สอง P/E = 5 , EPS = 1/5 = 0.2 = 20%
ได้ผลว่า แบบที่สองดีกว่าครับผม[/list]
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 21
คุณ CK ต้องใส่ Earning ในปีแรกของแบบที่สองให้เป็นเลข สอง ครับ คือให้ได้เป็นสองเท่าของ แบบที่หนึ่ง เพราะบอกมาอยู่แล้วว่า P/E แบบที่หนึ่งน้อยกว่าเป็น 0.5 เท่า ครับผม
แสดงว่าในตอนนี้แบบที่สองได้ Earning มากกว่าแบบที่หนึ่งอยู่ โดยแบบที่หนึ่งได้ 10% แต่แบบที่สองได้ 20% ครับผม
แสดงว่าในตอนนี้แบบที่สองได้ Earning มากกว่าแบบที่หนึ่งอยู่ โดยแบบที่หนึ่งได้ 10% แต่แบบที่สองได้ 20% ครับผม
รู้สึกดีๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 22
คุณลูกไม่ท้อไปดูใหม่ครับ ผมใส่ไม่ผิดหรอกครับลูกไม่ท้อ เขียน:คุณ CK ต้องใส่ Earning ในปีแรกของแบบที่สองให้เป็นเลข สอง ครับ คือให้ได้เป็นสองเท่าของ แบบที่หนึ่ง เพราะบอกมาอยู่แล้วว่า P/E แบบที่หนึ่งน้อยกว่าเป็น 0.5 เท่า ครับผม
แสดงว่าในตอนนี้แบบที่สองได้ Earning มากกว่าแบบที่หนึ่งอยู่ โดยแบบที่หนึ่งได้ 10% แต่แบบที่สองได้ 20% ครับผม
ให้ earning เท่ากันได้ครับ
แต่แบบที่สอง P/E ครึ่งเดียวของแบบที่หนึ่ง
ดังนั้นซื้อหุ้นได้ 200,000 หุ้น
ในขณะที่แบบที่ 1 ซื้อได้แค่ 100,000 หุ้นครับ
แบบที่ 1 ทำได้ดีกว่า เพราะ reinvested dividend ล้วนๆ ครับ
ทำให้ได้หุ้นเพิ่ม ในขณะที่แบบที่สอง จำนวนหุ้นคงที่
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 24
อ่า ผมกลับมาละ สรุปว่าการ Re-invest มีความสามารถในการทำให้เงินงอกเงยได้มากจริงๆด้วย แต่ว่าผมก็ยังมีความเห็นแย้งอยู่ดีนะครับ
ถ้าคิดในแบบคุณ CK ก็เหมือนจะถูกนะครับ
แต่ผมว่าคุณ CK ให้ค่า Price ในแต่ละปีผิดไป
เพราะว่าที่จริงต้องใส่ตามสูตรในหนังสือคุณสุมาอี้เลย
ก็คือ = D * (1+g)/(k-g)
โดย D ก็คือการปันผลในปีสุดท้ายก่อนหน้านั้น
และในตอนนี้ผมให้ค่า k = 0.15
ในปีที่ห้า แบบที่หนึงจะได้ = 12.76281563
ในปีที่ห้า แบบที่สองจะได้ = 32.2102
นั่นก็คือ แบบที่หนึง พอร์ตหุ้นมีมูลค่า 1806227.47
และได้ปันผลครั้งเดียวคิดเป็น 172,022
รวมเป็น 1,978,249
แบบที่สอง พอร์ตหุ้นมีมูลค่า 32.2102 x 200000 = 6442040
และปันผล(สะสมห้าปี) คิดเป็น 1,221,020
รวมเป็น 7,663,060
นั่นก็ยังคงแสดงถึงว่า Growth ที่มากๆที่ซ่อนอยู่ในสูตรจะเป็นตัวเพิ่มมุลค่าให้ราคาหุ้นอยู่ดี แต่ถ้ามองไม่เห็นGrowth ที่projection ออกไปได้ชัดเจน ผมว่า คิดแบบคุณ CK ก็ถูกเลยแหละครับ
ถ้าคิดในแบบคุณ CK ก็เหมือนจะถูกนะครับ
แต่ผมว่าคุณ CK ให้ค่า Price ในแต่ละปีผิดไป
เพราะว่าที่จริงต้องใส่ตามสูตรในหนังสือคุณสุมาอี้เลย
ก็คือ = D * (1+g)/(k-g)
โดย D ก็คือการปันผลในปีสุดท้ายก่อนหน้านั้น
และในตอนนี้ผมให้ค่า k = 0.15
ในปีที่ห้า แบบที่หนึงจะได้ = 12.76281563
ในปีที่ห้า แบบที่สองจะได้ = 32.2102
นั่นก็คือ แบบที่หนึง พอร์ตหุ้นมีมูลค่า 1806227.47
และได้ปันผลครั้งเดียวคิดเป็น 172,022
รวมเป็น 1,978,249
แบบที่สอง พอร์ตหุ้นมีมูลค่า 32.2102 x 200000 = 6442040
และปันผล(สะสมห้าปี) คิดเป็น 1,221,020
รวมเป็น 7,663,060
นั่นก็ยังคงแสดงถึงว่า Growth ที่มากๆที่ซ่อนอยู่ในสูตรจะเป็นตัวเพิ่มมุลค่าให้ราคาหุ้นอยู่ดี แต่ถ้ามองไม่เห็นGrowth ที่projection ออกไปได้ชัดเจน ผมว่า คิดแบบคุณ CK ก็ถูกเลยแหละครับ
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 26
เอ่อ คุณลูกไม่ท้อ ทำไมแบบที่ ๒ price ต้นปี ๕ แต่ปลายปี ๒๒ ได้ล่ะครับ เจ้านาย... เริ่มต้น ก็เง็งแล้ว
แล้ว แบบที่ ๒ เค้าไม่จ่ายปันผล แล้วทำไมคิดปันผมสะสม ทุกปีได้ล่ะครับ
ผมว่า บริษัท ๑ จ่ายปันผลตั้ง ๑๐% ว่าเยอะแล้ว ยังมี growth ได้อีกปีละ ๕%
P/E ๕ กับ P/E ๑๐ นี่ ไม่น่ามีประเด็นในการคิด case นี้นะครับ เพราะตราบใดที่ทั้ง ๒ บริษัท ยังเทรดที่ P/E เท่าเดิม ทุกๆปี ยกเว้นว่า บริษัท ๒ จะ trade ที่ P/E สูงขึ้น
ว่าแต่ว่า มันเป็นเรื่องสมมติ นี่ครับ
แล้ว แบบที่ ๒ เค้าไม่จ่ายปันผล แล้วทำไมคิดปันผมสะสม ทุกปีได้ล่ะครับ
ผมว่า บริษัท ๑ จ่ายปันผลตั้ง ๑๐% ว่าเยอะแล้ว ยังมี growth ได้อีกปีละ ๕%
P/E ๕ กับ P/E ๑๐ นี่ ไม่น่ามีประเด็นในการคิด case นี้นะครับ เพราะตราบใดที่ทั้ง ๒ บริษัท ยังเทรดที่ P/E เท่าเดิม ทุกๆปี ยกเว้นว่า บริษัท ๒ จะ trade ที่ P/E สูงขึ้น
ว่าแต่ว่า มันเป็นเรื่องสมมติ นี่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 27
ตอบคำถามคุณปุยครับ
ที่ต้องคิดว่ามีการคิดราคาต้นปีปลายปีไว้ก็เพื่อจะได้เอาราคาปลายปีไปคิดในครั้งต่อไป (เพือใช้เป็นตัวหาร หาจำนวนหุ้น รวมถึงหาราคาผลรวมของพอร์ตจากการเอาราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้นครับ)
และที่ต้องเอาสูตรมาคำนวณ ก็เพราะว่าเจ้าของกระทู้มีการสมมุติไว้ชัดเจนว่าจะมีการปันผลไปตลอด(เทียบได้กับว่ามีการปันผลในอัตรา ห้า หรือ สิบ เปอร์เซนต์คงที่ไปตลอด)
ซึ่งในหลักการของการ Stock evaluation ก็คือการมองเห็นถึง Dividend ที่จะได้กลับคืนมาในอนาคตต่างหาก และเมื่อprojection Growth ให้โตคงที่แบบนี้ไปแบบ Infinity ก็ย่อมจะนำเข้ามาเทคเข้าสูตรเพื่อคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงได้ในปลายปีได้เลย (ให้มองไปไกลๆนะครับว่า ปีที่สามสิบ เราจะได้เงินปันผลจากการโตแบบสิบเปอร์เซนต์มากกว่าแบบห้าเปอร์เซนต์เยอะๆๆมากๆจริงๆ)
ซึ่งการมีอัตราที่สิบเปอร์เซนต์จะมากกว่าอย่างมาก โดยในปีหลังๆ เช่นปีที่สามสิบ การปันผลจากในแบบ โตสิบเปอร์เซนต์จะได้มากกว่า แบบ ห้าเปอร์เซนต์เยอะมากๆ ดูตารางข้างล่างครับผม
years dividend(5) dividend(10)
1 1 1
2 1.05 1.1
3 1.1025 1.21
4 1.157625 1.331
5 1.21550625 1.4641
6 1.276281563 1.61051
7 1.340095641 1.771561
8 1.407100423 1.9487171
9 1.477455444 2.14358881
10 1.551328216 2.357947691
11 1.628894627 2.59374246
12 1.710339358 2.853116706
13 1.795856326 3.138428377
14 1.885649142 3.452271214
15 1.979931599 3.797498336
16 2.078928179 4.177248169
17 2.182874588 4.594972986
18 2.292018318 5.054470285
19 2.406619234 5.559917313
20 2.526950195 6.115909045
21 2.653297705 6.727499949
22 2.78596259 7.400249944
23 2.92526072 8.140274939
24 3.071523756 8.954302433
25 3.225099944 9.849732676
26 3.386354941 10.83470594
27 3.555672688 11.91817654
28 3.733456322 13.10999419
29 3.920129138 14.42099361
30 4.116135595 15.86309297
รวม 66.4388475 164.4940227
นั่นคือ ปีที่สามสิบ แบบที่โตห้าเปอร์เซนต์จะได้ปันผล แค่ 4.116 บาท
แต่แบบที่โตสิบเปอร์เซนต์จะได้ปันผล 15.86 บาท
ปัญหาคือ แบบที่โตสิบเปอร์เซนต์จะจ่ายปันผลโดยคิดจากปีสุดท้ายครั้งเดียวไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีการคิดปันผลสะสมที่เก็บไว้ นั่นแสดงว่าปีสุดท้ายแบบที่สองได้เงินแค่ครั้งเดียวก็คือ 15.86 บาท ในขณะที่แบบที่หนึ่งได้ผลรวมไปแล้วตั้ง 66.44 บาท ซึ่งถือว่าไม่มีนักลงทุนรายไหนยอมลงทุนกับบริษัทที่สองนี้แน่ๆ บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลไว้แต่ก็ต้องหมายความว่าจะต้องเป็นการสะสมไว้ที่พร้อมจะจ่ายสะสมให้ครบตามจำนวน
อย่างไรก็ตามในแบบที่หนึ่งก็ยังไม่ได้มีการคิดในเรื่องเอาเงินมา Re-invest ในแบบที่คุณ CK คิด แต่คิดว่าอาจจะทำให้ได้เงินปันผลรวมมากกว่าได้จริง แต่การคิดมูลค่าของพอร์ตหุ้นน่าจะแพ้ด้วยประการทั้งปวง
ที่ต้องคิดว่ามีการคิดราคาต้นปีปลายปีไว้ก็เพื่อจะได้เอาราคาปลายปีไปคิดในครั้งต่อไป (เพือใช้เป็นตัวหาร หาจำนวนหุ้น รวมถึงหาราคาผลรวมของพอร์ตจากการเอาราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้นครับ)
และที่ต้องเอาสูตรมาคำนวณ ก็เพราะว่าเจ้าของกระทู้มีการสมมุติไว้ชัดเจนว่าจะมีการปันผลไปตลอด(เทียบได้กับว่ามีการปันผลในอัตรา ห้า หรือ สิบ เปอร์เซนต์คงที่ไปตลอด)
ซึ่งในหลักการของการ Stock evaluation ก็คือการมองเห็นถึง Dividend ที่จะได้กลับคืนมาในอนาคตต่างหาก และเมื่อprojection Growth ให้โตคงที่แบบนี้ไปแบบ Infinity ก็ย่อมจะนำเข้ามาเทคเข้าสูตรเพื่อคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงได้ในปลายปีได้เลย (ให้มองไปไกลๆนะครับว่า ปีที่สามสิบ เราจะได้เงินปันผลจากการโตแบบสิบเปอร์เซนต์มากกว่าแบบห้าเปอร์เซนต์เยอะๆๆมากๆจริงๆ)
ซึ่งการมีอัตราที่สิบเปอร์เซนต์จะมากกว่าอย่างมาก โดยในปีหลังๆ เช่นปีที่สามสิบ การปันผลจากในแบบ โตสิบเปอร์เซนต์จะได้มากกว่า แบบ ห้าเปอร์เซนต์เยอะมากๆ ดูตารางข้างล่างครับผม
years dividend(5) dividend(10)
1 1 1
2 1.05 1.1
3 1.1025 1.21
4 1.157625 1.331
5 1.21550625 1.4641
6 1.276281563 1.61051
7 1.340095641 1.771561
8 1.407100423 1.9487171
9 1.477455444 2.14358881
10 1.551328216 2.357947691
11 1.628894627 2.59374246
12 1.710339358 2.853116706
13 1.795856326 3.138428377
14 1.885649142 3.452271214
15 1.979931599 3.797498336
16 2.078928179 4.177248169
17 2.182874588 4.594972986
18 2.292018318 5.054470285
19 2.406619234 5.559917313
20 2.526950195 6.115909045
21 2.653297705 6.727499949
22 2.78596259 7.400249944
23 2.92526072 8.140274939
24 3.071523756 8.954302433
25 3.225099944 9.849732676
26 3.386354941 10.83470594
27 3.555672688 11.91817654
28 3.733456322 13.10999419
29 3.920129138 14.42099361
30 4.116135595 15.86309297
รวม 66.4388475 164.4940227
นั่นคือ ปีที่สามสิบ แบบที่โตห้าเปอร์เซนต์จะได้ปันผล แค่ 4.116 บาท
แต่แบบที่โตสิบเปอร์เซนต์จะได้ปันผล 15.86 บาท
ปัญหาคือ แบบที่โตสิบเปอร์เซนต์จะจ่ายปันผลโดยคิดจากปีสุดท้ายครั้งเดียวไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีการคิดปันผลสะสมที่เก็บไว้ นั่นแสดงว่าปีสุดท้ายแบบที่สองได้เงินแค่ครั้งเดียวก็คือ 15.86 บาท ในขณะที่แบบที่หนึ่งได้ผลรวมไปแล้วตั้ง 66.44 บาท ซึ่งถือว่าไม่มีนักลงทุนรายไหนยอมลงทุนกับบริษัทที่สองนี้แน่ๆ บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลไว้แต่ก็ต้องหมายความว่าจะต้องเป็นการสะสมไว้ที่พร้อมจะจ่ายสะสมให้ครบตามจำนวน
อย่างไรก็ตามในแบบที่หนึ่งก็ยังไม่ได้มีการคิดในเรื่องเอาเงินมา Re-invest ในแบบที่คุณ CK คิด แต่คิดว่าอาจจะทำให้ได้เงินปันผลรวมมากกว่าได้จริง แต่การคิดมูลค่าของพอร์ตหุ้นน่าจะแพ้ด้วยประการทั้งปวง
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 28
ย้ำตรงนี้นิดครับผมซึ่งในหลักการของการ Stock evaluation ก็คือการมองเห็นถึง Dividend ที่จะได้กลับคืนมาในอนาคตต่างหาก
ผมแสดงข้อมูลที่เป็นตาราง Excel ออกมาให้เป็นตารางไม่เป็นแหะ ใครพอจะเสนอแนะได้บ้างครับว่าต้องทำยังไง
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
+ถ้าต้องเลือกระหว่าง ...+
โพสต์ที่ 29
รวมผลจาก reinvest แล้วยังไงตัวที่ 1 ก็ชนะครับ ยืนยัน
หุ้นตัวที่ 1 ให้ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หุ้นตัวที่ 2 ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
อันนี้อ้างตามตำราจริง ๆ นะครับ
ผมตอบแทนของหุ้น = yield + growth
โจทย์ข้อนี้ p/e เป็นตัวหลอกครับ เพราะว่าให้ growth กับ yield มาแล้ว p/e จึงไม่ต้องนำมาใช้
หุ้นตัวที่ 1 ให้ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หุ้นตัวที่ 2 ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
อันนี้อ้างตามตำราจริง ๆ นะครับ
ผมตอบแทนของหุ้น = yield + growth
โจทย์ข้อนี้ p/e เป็นตัวหลอกครับ เพราะว่าให้ growth กับ yield มาแล้ว p/e จึงไม่ต้องนำมาใช้